tag:blogger.com,1999:blog-11245257037737014722024-03-13T06:37:52.769-07:00ดาวน์โหลด ฟรี งานวิจัย โหลด วิจัย all research free downloadศึกษาและโหลดฟรีเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับงานวิจัย all free download researchpoe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.comBlogger215125tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-11605122217710959822011-08-31T12:36:00.000-07:002011-08-31T12:36:55.588-07:00การพัฒนาบทเรียน e-Learning วิชาการสื่อสารข้อมูล สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคนิคคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล<a href="http://www.ziddu.com/download/16247181/_e_Learning_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
Title การพัฒนาบทเรียน e-Learning วิชาการสื่อสารข้อมูล สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคนิคคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล<br />
Title Alternative Development of e-Learning instruction for the course Data communication diploma in computer technology Rajamangala Institute of Technology<br />
Creator Name: เอกรินทร์ วิจิตต์พันธ์<br />
Subject ThaSH: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน<br />
keyword: E-Learning<br />
ThaSH: การเรียนการสอนผ่านเว็บ -- การศึกษาและการสอน (อาชีวศึกษา)<br />
ThaSH: การเรียนการสอนผ่านเว็บ -- การประเมิน<br />
Publisher สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สำนักหอสมุดกลาง<br />
Address: กรุงเทพมหานคร (Bangkok)<br />
Email: pkp@kmitnb.ac.th<br />
Contributor Name: ราชันย์ บุญธิมา<br />
Role: ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
Email : rap@kmitnb.ac.th<br />
<br />
Name: จรัญ แสนราช<br />
Role: ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
Email : jsr@kmitnb.ac.th<br />
Date Created: 2547<br />
Issued: 2548-05-25<br />
Modified: 2006-05-17<br />
Type วิทยานิพนธ์/Thesis<br />
ISBN: 9746238043<br />
Source CallNumber: วพ MTCT อ881ว<br />
Language tha<br />
Thesis DegreeName: ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต<br />
<br />
Level: ปริญญาโท<br />
<br />
Descipline: เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์<br />
<br />
Grantor: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
Rights ?copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16247181/_e_Learning_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-17333085960717360852011-08-31T12:33:00.000-07:002011-08-31T12:33:52.708-07:00การพัฒนาบทเรียน e-Learning แบบปฏิสัมพันธ์ วิชาการวิเคราะห์ระบบและการออกแบบ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง<a href="http://www.ziddu.com/download/16247167/_e_Learning_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
Title การพัฒนาบทเรียน e-Learning แบบปฏิสัมพันธ์ วิชาการวิเคราะห์ระบบและการออกแบบ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สำหรับวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2538<br />
Title Alternative The development of interactive e-Learning on system analysis and design for diploma students majoring computer in Community College<br />
Creator Name: กรรณิกา ทองพันธ์<br />
Subject ThaSH: การเรียนการสอนผ่านเว็บ -- การศึกษาและการสอน (อาชีวศึกษา)<br />
ThaSH: การเรียนการสอนผ่านเว็บ -- การประเมิน<br />
Publisher สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สำนักหอสมุดกลาง<br />
Address: กรุงเทพมหานคร (Bangkok)<br />
Email: pkp@kmitnb.ac.th<br />
Contributor Name: ราชันย์ บุญธิมา<br />
Role: ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
Email : rap@kmitnb.ac.th<br />
<br />
Name: จรัญ แสนราช<br />
Role: ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
Email : jsr@kmitnb.ac.th<br />
Date Created: 2547<br />
Issued: 2548-05-24<br />
Modified: 2006-05-10<br />
Type วิทยานิพนธ์/Thesis<br />
ISBN: 9741900562<br />
Source CallNumber: วพ MTCT ก172ท<br />
Language tha<br />
Thesis DegreeName: ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต<br />
<br />
Level: ปริญญาโท<br />
<br />
Descipline: เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์<br />
<br />
Grantor: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
Rights ?copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16247167/_e_Learning_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-70752183629263646422011-08-29T12:58:00.000-07:002011-08-29T12:58:10.496-07:00การเปรียบเทียบโปรแกรมตรวจหาการบุกรุกเครือข่ายระหว่างโปรแกรมสนอร์ทและเรียลซีเคียวภายใต้ปัจจัยการโจมตี<a href="http://www.ziddu.com/download/16227859/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
Title การเปรียบเทียบโปรแกรมตรวจหาการบุกรุกเครือข่ายระหว่างโปรแกรมสนอร์ทและเรียลซีเคียวภายใต้ปัจจัยการโจมตี<br />
Title Alternative comparison of network intrusion detection system between SNORT and RealSecure under attack<br />
Creator Name: กาญจนา ศิลาวราเวทย์<br />
Subject ThaSH: เครือข่ายคอมพิวเตอร์ -- มาตรการความปลอดภัย<br />
ThaSH: สนอร์ท (โปรแกรมคอมพิวเตอร์)<br />
ThaSH: เรียลซีเคียว (โปรแกรมคอมพิวเตอร์)<br />
ThaSH: โปรแกรมคอมพิวเตอร์<br />
Description Abstract: ระบบตรวจหาการบุกรุกถูกนำมาใช้ค้นหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงการบุกรุกหรือการโจม ตีที่เกิดขึ้น จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยด้านการทดสอบการตรวจหาการบุกรุกพบว่างานวิจัย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวิธีการสร้างเกณฑ์เปรียบเทียบ การปรับปรุงและทดสอบการทำงานของอัลกอริทึมที่ใช้ในการค้นหารูปแบบการบุกรุก ซึ่งงานวิจัยเหล่านั้นเป็นการทดสอบในเชิงทฤษฎีและยังไม่พบการทดสอบการทำงาน ของระบบตรวจหาการบุกรุกเครือข่ายในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้าน การโจมตี ในงานวิจัยนี้เป็นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบการทำงานของโปรแกรมตรวจหาการ บุกรุกเครือข่ายระหว่างโปรแกรมสนอร์ทและเรียลซีเคียวภายใต้ปัจจัยการโจมตีใน เครือข่ายปิด โดยทำการทดสอบในหลายสภาพแวดล้อมและใช้การโจมตีที่พบบ่อยในปัจจุบัน จากการทดสอบและเปรียบเทียบพบว่าโปรแกรมตรวจหาการบุกรุกทั้งสองมีพฤติกรรมใน การทำงาน ความสามารถในการตรวจวิเคราะห์และการใช้งานซีพียูใกล้เคียงกัน จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของเวลาที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์และความ ผิดพลาดในการแจ้งเตือนที่โปรแกรมสนอร์ททำงานได้ดีกว่า ส่วนโปรแกรมเรียลซีเคียวมีความถูกต้องของการแจ้งเตือนมากกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าการโจมตีและข้อมูลปะปนส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการทำ งานของทั้งสองโปรแกรมลดลง ความผิดพลาดในการแจ้งเตือนจึงสูงขึ้น ซึ่งผลจากงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการทดสอบโปรแกรมตรวจหาการบุกรุก อื่นได้<br />
Abstract: Network intrusion detection system has been used to find the signal that reflects intrusion or attack. According to our studies in existing intrusion detection research, we found that most studies focus in comparing, improving, and testing the intrusion detection algorithms. These researches are theoretical and usually ignore the study in the environment with actual attack. This research is to compare performance of intrusion detection software between SNORT and RealSecure under actual attacks in isolated local area network. Our studies have been conducted in various environments using attacks commonly found in the real world. The results of our experiments indicated that both software share similar performances and characteristics, as well as, CPU utilization. There are slightly differences in response time and accuracy. SNORT can detect faster but RealSecure is more accurate. Moreover, the performances of both systems decrease when being used in environments with multiple attacks and background data. Fault alerts become higher. The results from our studies can be used as a guideline for testing other intrusion detection systems in the future.<br />
Publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
Address: กรุงเทพมหานคร (Bangkok)<br />
Email: webmaster@car.chula.ac.th<br />
Contributor Name: ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์<br />
Role: ที่ปรึกษา<br />
Date Created: 2545<br />
Issued: 2008-01-14<br />
Modified: 2008-01-14<br />
Type วิทยานิพนธ์/Thesis<br />
ISBN: 9741723865<br />
Language tha<br />
Thesis DegreeName: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
<br />
Level: ปริญญาโท<br />
<br />
Descipline: วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์<br />
<br />
Grantor: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
Rights ?copyrights จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16227859/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-43729189208953854522011-08-29T12:52:00.000-07:002011-08-29T12:52:22.952-07:00การเปรียบเทียบบทเรียนคอมพิวเตอร์ สุขศึกษา การใช้ถนนการเปรียบเทียบบทเรียนคอมพิวเตอร์ สุขศึกษา การใช้ถนน<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16227835/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-88662730022306027242011-08-29T12:49:00.000-07:002011-08-29T12:49:50.197-07:00การประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบริหารงานให้บริการซ่อมบำรุงและสอบ เทียบมาตรวัดน้ำมัน กรณีศึกษา บริษัทแห่งหนึ่งในธุรกิจซ่อมบำรุงมาตรวัดน้ำมัน<a href="http://www.ziddu.com/download/16227819/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
Title การ ประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบริหารงานให้บริการซ่อมบำรุงและสอบเทียบ มาตรวัดน้ำมัน : กรณีศึกษา บริษัทแห่งหนึ่งในธุรกิจซ่อมบำรุงมาตรวัดน้ำมัน<br />
Title Alternative The design of a Database system for Meter Calibration and Maintenance<br />
Creator Name: ธนวรรธน์ ปุนนะรา<br />
Subject ThaSH: มาตรอัตราการไหล -- การบำรุงรักษาและการซ่อมแซม -- โปรแกรมคอมพิวเตอร์<br />
Publisher มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สำนักหอสมุดกลาง<br />
Address: กรุงเทพมหานคร<br />
Email: pkp@kmutnb.ac.th<br />
Contributor Name: อรรถกร เก่งพล<br />
Role: ที่ปรึกษาสารนิพนธ์<br />
Email : athakorn@kmutnb.ac.th<br />
Date Issued: 2551-02-16<br />
Modified: 2551-06-16<br />
Created: 2550<br />
Type วิทยานิพนธ์/Thesis<br />
Format application/pdf<br />
Language tha<br />
Thesis DegreeName: วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต<br />
<br />
Level: ปริญญาโท<br />
<br />
Descipline: วิศวกรรมการจัดการอุตสาหกรรม<br />
<br />
Grantor: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
Rights ?copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16227819/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-66875217418879074932011-08-19T22:40:00.000-07:002011-08-19T22:40:54.464-07:00การบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบฐานข้อมูล ORACLE ของกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์<a href="http://www.ziddu.com/download/16112664/_ORACLE_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
Title การบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบฐานข้อมูล ORACLE ของกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์<br />
Title Alternative Database Maintenance and Performance Tuning Oracle of Department of Business Economics<br />
Creator Name: สมศรี หอกันยา<br />
Organization : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ. สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
Subject keyword: ออราเคิล<br />
; การจัดการฐานข้อมูล<br />
; Oracle [Computer file]<br />
; กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์<br />
Description Abstract: The Oracle Database System of the Department of Business Economics was rectified to increase its efficiency, Applying the calculation of dataspeace theory. Tables existing in the system were restructened. More tables were also added up. Softwere was used to manage database. The special project consists of three steps. All existing problems were first analysed to identify the information required. The second step is to study the calculation of database theory and the application of softwere,known as Oracle Context Option. The final step is to calculate the total amount of tablespace required for the system in order to help reduce the unneccessary use of space, thereby increasing the efficiency of the system.<br />
Publisher มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. สำนักหอสมุด<br />
Address: กรุงเทพมหานคร (Bangkok)<br />
Email: info@lib.kmutt.ac.th<br />
Contributor Name: จินต์ วรมหาภูติ<br />
Role: อาจารย์ที่ปรึกษา<br />
Date Created: 2541<br />
Issued: 2008-01-30<br />
Modified: 2008-01-30<br />
Type วิทยานิพนธ์/Thesis<br />
Source CallNumber: INT209<br />
Language tha<br />
Thesis DegreeName: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
<br />
Level: ปริญญาโท<br />
<br />
Descipline: เทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
<br />
Grantor: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
Rights ?copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16112664/_ORACLE_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-48097534505535693702011-08-19T22:34:00.003-07:002011-08-19T22:37:13.177-07:00การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี<br />
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร<br />
ปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
พ.ศ. 2548<br />
ISBN 974-184-749-1<br />
oC:to QI 'j) d ~ fie:::'<br />
fll1lJ1'1111'i!~fl11~ l'U fl11t1uufl11nnuu'U tJ'Um tJ1 ~'U I9l<br />
'1JtJ~ffmU'U t;l\9l:IJfYfl1J 11l-J~'1J\9lfl~ ~~'Vl'Vl:IJ'I11'Um<br />
D'1t1.1WlmfflffI9l1tJl9lffl'11m 1:IJ:IJ'111UWcVll9l ffl'1Jl1'lflf1tJ:lJVl1~l9ltJ1m'I~~'Vlflil-J I r1Vffl1ffl-Jl'Vli'l' t.I u q q<br />
f1W~'fl1i•'l'lffI9l1t•Jl9lffl'11m1:IJllrl~~'Vl'fli'U irlv<br />
'Vl.i'l'.2548<br />
(~1.wnW ~fl1Jfl:IJrI)<br />
;L..... ~G1-t/(Yl.,. (1..(/ .......................... 1' .......<br />
QI d~fI fI<br />
('H'l.~1.mW1W 'i!19l19lfl11WtI) q<br />
.j.~.y..~~.Jk ....<br />
(1ff.~'j.i'Vll.J.rl6 ~fitl1~ifl:IJrI)<br />
~SBN 974-184-749-1<br />
~'1Jff'Vli-i'1JtJ~:IJ'I11i'Vltl1~tlmflil-J I rIV'W1~lltJ:lJtfl~11il-J lJ1 q<br />
fhi!flYlfJ'l:f~1f!l<br />
"'1-'l11'VW1-ft'tIl'VlflL'UlTIV'lN.':i~tlf)1J1f!~11iu'ij1<br />
ข<br />
หัวข้อวิทยานิพนธ์ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
หน่วยกิต 6<br />
ผู้เขียน นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี<br />
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์<br />
รศ.ดร. ไพบูลย์ เกียรติโกมล<br />
หลักสูตร ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต<br />
สาขาวิชา คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
คณะ ครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
พ.ศ. 2548<br />
บทคัดย่อ<br />
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
บนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา<br />
ประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร จำนวน 23 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
เป็นแบบสอบถาม วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการสร้างแผนผัง<br />
การทำงานของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้ คือ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management<br />
System: LMS) บนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขต กรุงเทพมหานคร ส่วนมากจะใช้<br />
เครื่องมือที่นำต้นแบบมาปรับร่วมกับการพัฒนาระบบขึ้นเองโดยใช้ภาษา PHP กับฐานข้อมูล MySQL<br />
ระยะเวลาการเปิดให้บริการเป็นเวลา 1-2 ปี และมากกว่า 4 ปีขึ้นไป จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการ<br />
ในปัจจุบันมากกว่า 10 วิชา และมีระบบย่อยสำหรับการทำงานบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
แบ่งได้เป็น 5 ระบบย่อย คือ (1) ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (2) ระบบการสื่อสาร<br />
(3) ระบบติดตามการเรียนการสอน (4) ระบบการวัดผลประเมินผล และ (5) ระบบการจัดการเนื้อหา<br />
รายวิชา ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานครที่ใช้ระบบการบริหารจัดการด้าน<br />
การเรียนการสอน ทั้งในส่วนของผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งมีความสมบูรณ์มากที่สุด ได้แก่ มหาวิทยาลัย<br />
ราชภัฏพระนคร และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สำหรับ<br />
ความคาดหวังในอนาคตที่เพิ่มขึ้นของระบบ LMS ทั้งของผู้สอนและผู้เรียน ได้แก่ (1) ระบบ<br />
การจัดการเนื้อหารายวิชา ประกอบด้วย การเชื่อมต่อกับ Courseware จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ<br />
ค<br />
(2) ระบบติดตามการเรียนการสอน ประกอบด้วย ตรวจสอบเวลาเข้าเรียนตามหัวข้อการเรียน<br />
หรือ บทเรียน และ สรุปการตรวจสอบ การเข้าเรียน ในทางตรงข้ามผู้สอนมีความคาดหวัง<br />
ในระบบ LMS ได้แก่ (1) ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา ได้แก่ ผู้สอนสามารถโอนย้ายเนื้อหา<br />
บทเรียนที่ทำไว้แล้วได้เอง เช่น ย้ายจาก LMS ตัวหนึ่งไปยัง LMS อีกตัวหนึ่ง (2) ระบบการจัดการ<br />
ผู้ใช้และการจัดการรายวิชา ประกอบด้วย การเชื่อมต่อระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
เข้ากับระบบทะเบียน/ประเมินผลของสถาบัน และระบบ Web Service สำหรับให้บริการ<br />
Download/Upload Software ได้ไม่จำกัด (3) ระบบการสื่อสาร ประกอบด้วย การ สร้าง Post Board<br />
ต่าง ๆ และการเปิดห้อง Chat ภายในรายวิชา ในทางตรงข้ามสำหรับความคาดหวังในระบบ LMS<br />
ของผู้เรียน ได้แก่ ระบบการสื่อสาร ประกอบด้วย การเข้าใช้ Post Board ต่าง ๆ และ การเข้าใช้<br />
ห้อง Chat ภายในรายวิชา<br />
คำสำคัญ : ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน / อินเทอร์เน็ต<br />
ง<br />
Thesis Title Learning Management System on Internet of Higher Education Institutes<br />
in Bangkok Metropolitan Area<br />
Thesis Credits 6<br />
Candidate Mr. Somphong Bussarakummanee<br />
Thesis Advisors Assoc. Prof. Dr. Kalayanee Jitgarun<br />
Assoc. Prof. Dr. Paiboon Kiattikomol<br />
Program Master of Science in Industrial Education<br />
Field of Study Computer and Information Technology<br />
Faculty Industrial Education and Technology<br />
B.E. 2548<br />
ABSTRACT<br />
Purpose of this research was to study Learning Management System (LMS) on internet of higher<br />
education institutes in Bangkok Metropolitan area. Sample chosen for this study, using random<br />
sampling, were 23 administrators of the Learning Management System at the universities in<br />
Bangkok Metropolitan area. Instrument for data collection was a questionnaire. Methods for<br />
analyzing the data were analysis, synthesis, and work flow of LMS.<br />
Results revealed that most universities in Bangkok Metropolitan area used prototype tools adjusted<br />
with an existing system which was self developed by PHP with MySQL for their LMS. A duration<br />
of LMS service was 1-2 years and/or more than 4 years. At present, there were more than 10<br />
subjects which were online. Subsystems of LMS were as follows: (1) user and course<br />
management,<br />
(2) communication system, (3) course tracking system, (4) assessment system, and (5) content<br />
management system. Then, nowadays the most completed LMS of universities in Bangkok<br />
Metropolitan area, in terms of students and instructors were placed at Phranakhon Rajabhat<br />
University and King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. Expectations for more<br />
subsystems on the LMS in the future for both the instructors and the students were: (1) the content<br />
management system in connection with the internet, and (2) the course tracking system for checking<br />
class attending on each topic or lesson and then summarizing. On the other hand, the instructors’<br />
expectations on the LMS were: (1) the content management system on lesson transfer should<br />
ง<br />
จ<br />
constructed by itself; for example, the transfer from one LMS to another LMS, (2) the user and<br />
course management system consisted of registration/ evaluation to be connected with the LMS and<br />
Web Service system for download/ upload software without limitation, and (3) the communication<br />
system by opening post board/ chat room within each subject. On the other hand, the students’<br />
expectations on the LMS was that the communication system could access in different post board as<br />
well as chat room in each subject.<br />
Keywords : Learning Management System / Internet<br />
จ<br />
ช<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะได้รับความกรุณาของ รศ.ดร.กัลยาณี จิตต์การุณย์<br />
ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และ และ รศ.ดร. ไพบูลย์ เกรียติโกมล ประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ร่วม ที่กรุณาให้คำปรึกษา และเสนอแนะแนวทางในการดำเนินการวิจัย รวบรวมแก้ไข<br />
และตรวจสอบข้อบกพร่อง ที่เป็นประโยชน์มาโดยตลอด อีกทั้งอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้เอ่ยนามใน<br />
ที่นี้ ในการนี้ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอกราบ<br />
ขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจ แก้ไข ข้อบกพร่องเพื่อให้<br />
แบบสอบถามมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เพื่อนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัย<br />
สุดท้ายผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ พระพี่ชาย คุณพ่อ คุณแม่ คุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน พระคุณพี่สาว<br />
พี่ชาย ซึ่งมีส่วนในการให้การสนับสนุนสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ รวมถึงเพื่อน ๆ และบุคคลที่มิได้<br />
กล่าวถึง ขอขอบคุณ ที่คอยให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจเสมอมา<br />
ช<br />
ซ<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
บทคัดย่อภาษาไทย ข<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ง<br />
กิตติกรรมประกาศ ช<br />
สารบัญ ซ<br />
รายการตาราง ญ<br />
รายการรูปประกอบ ฎ<br />
บทที่<br />
1. บทนำ 1<br />
1.1 ความสำคัญและที่มาของงานวิจัย 1<br />
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2<br />
1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2<br />
1.4 ขอบเขตของการวิจัย 3<br />
1.5 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 3<br />
2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6<br />
2.1 แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549) 6<br />
2.2 การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction: WBI) 9<br />
2.3 การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต (e-Learning) 18<br />
2.4 การจัดการบริหารด้านการเรียนการสอน(Learning Management System: LMS) 38<br />
2.5 มาตรฐาน SCROM (Sharable Content Object Reference Model) 46<br />
2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 48<br />
2.7 บทสรุป 52<br />
3. วิธีดำเนินการวิจัย 56<br />
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 56<br />
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 57<br />
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 58<br />
ซ<br />
ฌ<br />
สารบัญ (ต่อ)<br />
หน้า<br />
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 59<br />
4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 61<br />
4.1 ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต 61<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
4.2 การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา 63<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
4.3 การศึกษาการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต 116<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
4.4 ผลการวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานของระบบการบริหารจัดการด้าน 149<br />
การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
5. สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 159<br />
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 159<br />
5.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 159<br />
5.3 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 159<br />
5.4 สรุปผลการวิจัย 160<br />
5.5 อภิปรายผลการวิจัย 166<br />
5.6 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 172<br />
เอกสารอ้างอิง 173<br />
ภาคผนวก 179<br />
ก แบบสอบถามเพื่อการวิจัย 179<br />
ข ตารางการวิเคราะห์ข้อมูล 188<br />
ค หนังสือราชการ 205<br />
ประวัติผู้วิจัย 229<br />
ฌ<br />
ญ<br />
รายการตาราง<br />
ตาราง หน้า<br />
2.1 แสดงลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบปกติและการจัดการเรียน 22<br />
การสอน e-Learning<br />
3.1 แสดงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำแนกตามประเภทสถานศึกษา 57<br />
4.1 แสดงจำนวน และค่าร้อยละ ของสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยที่ใช้ 61<br />
เครื่องมือสำหรับการพัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
4.2 แสดงจำนวน และค่าร้อยละ ของระยะเวลา (ปี) ที่สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัย 62<br />
เปิดให้บริการระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
4.3 แสดงจำนวน และค่าร้อยละ ของวิชาที่สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยเปิดให้ 63<br />
บริการระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
4.4 แสดงสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของ 122<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครส่วนของผู้สอน<br />
4.5 แสดงสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของ 130<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครส่วนของผู้เรียน<br />
4.6 แสดงความคาดหวังในอนาคตเกี่ยวกับระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน 139<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครส่วนของผู้สอน<br />
4.7 แสดงความคาดหวังในอนาคตเกี่ยวกับระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน 148<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครส่วนของผู้เรียน<br />
ญ<br />
ฎ<br />
รายการรูปประกอบ<br />
รูป หน้า<br />
4.1 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 64<br />
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
4.2 แสดงการหน้าจอหลักของการทำงานระบบการบริหารจัดการ 65<br />
ด้านการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.3 แสดงการหน้าจอหลักของการทำงานระบบการบริหารจัดการ 66<br />
ด้านการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.4 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 67<br />
ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
4.5 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ 68<br />
ด้านการเรียนการสอนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
4.6 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ 69<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
4.7 แสดงการลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ 69<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
4.8 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่สำหรับ 70<br />
การ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
4.9 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 71<br />
4.10 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัย 72<br />
ศรีนครินทรวิโรฒในส่วนของผู้สอน<br />
4.11 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัย 72<br />
ศรีนครินทรวิโรฒในส่วนของผู้เรียน<br />
4.12 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 74<br />
ส่วนของสอนและผู้ดูแลระบบของมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
4.13 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศิลปากร 74<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
ฎ<br />
ฏ<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.14 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศิลปากร 75<br />
ส่วนของผู้เรียน<br />
4.15 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 76<br />
4.16 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัย 77<br />
ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในส่วนของผู้เรียน<br />
4.17 แสดงหน้าจอหลักหลังการ Login เข้าใช้งานระบบ LMS ของ 77<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาในส่วนของผู้เรียน<br />
4.18 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 78<br />
ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
4.19 แสดงรายวิชาที่เปิดสอนแบบออนไลน์ที่มีในระบบ LMS ของ 79<br />
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
4.20 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่ เพื่อใช้ Login 80<br />
เข้าสู่ระบบ LMS ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
4.21 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนของ 81<br />
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
4.22 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 82<br />
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
4.23 แสดงหน้าจอหลังจากทำการเลือก Available Courses ในส่วนของผู้เรียน 83<br />
ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
4.24 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 84<br />
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา<br />
4.25 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 85<br />
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
4.26 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบการบริหารจัดการ 86<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
4.27 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน 87<br />
ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
ฏ<br />
ฐ<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.28 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้สอนระบบการบริหารจัดการ 88<br />
ด้านการเรียนการสอนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
4.29 แสดงหน้าจอการจัดการรายวิชาในส่วนของผู้สอนระบบการบริหารจัดการ 88<br />
ด้านการเรียนการสอนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
4.30 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ 89<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ<br />
วิทยาเขตพระนครใต้<br />
4.31 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน 90<br />
การสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
4.32 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ 91<br />
ด้านการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
4.33 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LCMS ของผู้สอนและผู้เรียน 92<br />
ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ<br />
4.34 แสดงหน้าจอหลักการทำงานระบบ LCMS ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ 93<br />
4.35 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของผู้สอน 94<br />
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
4.36 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้สอนระบบ LMS 94<br />
ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
4.37 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของผู้เรียน 95<br />
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
4.38 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบ LMS 95<br />
ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
4.39 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 96<br />
4.40 แสดงการลงทะเบียนผู้สอนสำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS 97<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.41 แสดงการลงทะเบียนผู้เรียนสำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS 98<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
ฐ<br />
ฑ<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.42 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS 98<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.43 แสดงหน้าจอ Courses for Study ในส่วนของผู้สอนระบบ LMS 99<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.44 แสดงหน้าจอ Web Board (All your Question) ในส่วนของผู้สอน 100<br />
ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.45 แสดงหน้าจอ Modify User Information ในส่วนของผู้สอนระบบ 100<br />
LMS ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.46 แสดงหน้าจอ Change Password ในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS 101<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.47 แสดงหน้าจอ Check Login Date ในส่วนของผู้สอนระบบ LMS 101<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
4.48 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS 102<br />
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
4.49 แสดงหน้าจอรายละเอียดแต่ละรายวิชาระบบ LMS 103<br />
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
4.50 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม 104<br />
4.51 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่ 105<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
4.52 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS 106<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
4.53 แสดงหน้าจอการเข้าสู่บทเรียนในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS 107<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
4.54 แสดงหน้าจอการเข้าเรียนรายวิชาในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS 107<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
4.55 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม 108<br />
ฑ<br />
ฒ<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.56 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้เรียนสำหรับ 109<br />
การ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
4.57 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้สอนสำหรับ 110<br />
การ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
4.58 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบ LMS 111<br />
ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
4.59 แสดงการเข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 112<br />
4.60 แสดงหน้าจอรายการวิชาที่เปิดสอนของระบบ LMS 112<br />
ของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ<br />
4.61 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 113<br />
4.62 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่สำหรับการ Login 114<br />
เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
4.63 แสดงหน้าจอวิชาที่ผู้เรียนได้ลงทะเบียนเรียนแล้วของระบบ LMS 115<br />
ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
4.64 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 1 ระบบการจัดการเนื้อหา 116<br />
รายวิชา (Content Management System) ของระบบการจัดการบริหาร<br />
การเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.65 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 2 ระบบการจัดการผู้ใช้ 117<br />
และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System) ของ<br />
ระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.66 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 3 ระบบติดตาม 118<br />
การเรียนการสอน (Course Tracking System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.67 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 4 ระบบ 119<br />
การวัดผลประเมินผล (Assessments System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
ฒ<br />
ณ<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.68 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 5 ระบบการสื่อสาร 119<br />
(Communication System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
4.69 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยรวมทั้ง 5 ระบบของระบบ 120<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System)<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
4.70 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 1 ระบบ 124<br />
การจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) ของระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.71 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 2 ระบบการจัดการผู้ใช้และ 125<br />
การจัดการรายวิชา (User and Course Management System) ของระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.72 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 3 ระบบติดตามการเรียน 126<br />
การสอน (Course Tracking System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียน<br />
การสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.73 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 4 ระบบการวัดผลประเมินผล 126<br />
(Assessments System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วน<br />
ของผู้เรียน<br />
4.74 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 5 ระบบการสื่อสาร 127<br />
(Communication System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียน<br />
การสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.75 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยรวมทั้ง 5 ระบบของระบบ 128<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System)<br />
ส่วนของผู้เรียน<br />
4.76 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 1 ระบบการจัดการ 132<br />
เนื้อหารายวิชา (Content Management System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.77 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 2 ระบบการจัดการผู้ใช้ 133<br />
และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System) ของระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
ณ<br />
ด<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.78 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 3 ระบบติดตาม 134<br />
การเรียนการสอน (Course Tracking System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.79 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 4 ระบบ 135<br />
การวัดผลประเมินผล (Assessments System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
4.80 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 5 ระบบการสื่อสาร 135<br />
(Communication System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
4.81 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยรวมทั้ง 5 ระบบของระบบ 137<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System)<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
4.82 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 1 ระบบ 141<br />
การจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) ของระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.83 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 2 ระบบการจัดการผู้ใช้ 142<br />
และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System) ของระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.84 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 3 ระบบติดตาม 143<br />
การเรียนการสอน (Course Tracking System) ของระบบการจัดการบริหาร<br />
การเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.85 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 4 ระบบ 144<br />
การวัดผลประเมินผล (Assessments System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
4.86 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 5 ระบบการสื่อสาร 145<br />
(Communication System) ของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
ส่วนของผู้เรียน<br />
ด<br />
ต<br />
รายการรูปประกอบ (ต่อ)<br />
รูป หน้า<br />
4.87 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยรวมทั้ง 5 ระบบของระบบ 146<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System)<br />
ส่วนของผู้เรียน<br />
4.88 แสดงแผนผังขั้นตอนการทำงานของระบบ LMS ในปัจจุบันส่วนของผู้สอน 150<br />
4.89 แสดงแผนผังขั้นตอนการทำงานของระบบ LMS ในปัจจุบันส่วนของผู้เรียน 151<br />
4.90 แสดงแผนผังขั้นตอนการทำงานของระบบ LMS ตามความคาดหวัง 153<br />
ในอนาคตส่วนของผู้สอน<br />
4.91 แสดงแผนผังขั้นตอนการทำงานของระบบ LMS ตามความคาดหวัง 154<br />
ในอนาคตส่วนของผู้เรียน<br />
4.92 แสดงการออกแบบ Context Diagram ของระบบ LMS ตามความคาดหวัง 155<br />
ในอนาคต<br />
4.93 แสดงการออกแบบ Data Flow Diagram Level 1 ของระบบ LMS 156<br />
ตามความคาดหวังที่ต้องการในอนาคต<br />
4.94 แสดงการออกแบบ Data Flow Diagram Level 1.1 ของระบบ LMS 157<br />
ต<br />
บทที่ 1 บทนำ<br />
1.1 ความสำคัญและที่มาของการวิจัย<br />
ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน หรือ LMS (Learning Management System) เป็น<br />
นวัตกรรมใหม่ ที่เข้ามาช่วยจัดระบบการเรียนการสอนให้เป็นระบบมากขึ้นแบบครบวงจร<br />
โดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ อีกทั้ง<br />
ยังเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ได้ในทุกที่ทุกเวลาตามหลักการของ e-Learning [21, 23]<br />
นอกจากนี้ ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนยังเป็นซอฟท์แวร์สำหรับการบริหาร<br />
จัดการรายวิชาที่รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานในการจัด<br />
การเรียนการสอนออนไลน์ [1] ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ที่เป็นกลไกทำให้กระบวน<br />
การเรียนการสอนสามารถดำเนินไปได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น ผู้สอนสามารถร้องขอไปยังระบบ<br />
เพื่อขอทำการเปิดวิชาที่ต้องการ จากนั้นผู้สอนจะทำการจัดเตรียมเนื้อหาโดยการอัพโหลด และ<br />
ดาวน์โหลดข้อมูล กำหนดสิทธิ์ให้กับผู้เรียนเพื่อเข้ามาศึกษาเนื้อหาที่สร้างขึ้น ติดตามการเข้าใช้งาน<br />
ของผู้เรียน สร้างแบบทดสอบ พร้อมทั้งกำหนดเวลาในการสอบ มีการเก็บสถิติผลการสอบของ<br />
ผู้เรียน ส่วนด้านผู้เรียนนั้นจะมีระบบรองรับมากมาย เช่น การตรวจสอบตารางเรียนและผลการสอบ<br />
การติดตามประกาศ การส่งงาน การเรียนแบบออฟไลน์ และด้านผู้ดูแลระบบจะมีเครื่องมือที่คอย<br />
สนับสนุน หรือปรับปรุงระบบได้ง่าย มีการติดตามสถิติการเข้าใช้งานทั้งผู้เรียนและผู้สอน อีกทั้ง<br />
มีเครื่องมือติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน หรือผู้เรียนกับผู้สอนโดยใช้กระดานประกาศ<br />
(Webboard) การสนทนาออนไลน์ (Chat) และการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) เป็นต้น<br />
อย่างไรก็ตาม การนำระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนมาใช้ในระบบการศึกษาของ<br />
ประเทศนั้นนับว่ายังเป็นสิ่งใหม่และไม่คุ้นเคย ต่อผู้สอน และผู้เรียน อีกทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อ<br />
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เช่น ปัญหาการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน<br />
ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และระหว่างผู้เรียน/ผู้สอนกับผู้ดูแลระบบ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ<br />
สุวิชัย พรรษา [2] ที่พบว่า ทัศนคติต่อการยอมรับนวัตกรรมใหม่ ๆ การทำแบบทดสอบออนไลน์ได้<br />
ตลอดเวลา รวมทั้งการเรียนและทำงานร่วมกัน ล้วนส่งผลกระทบเป็นปัญหาต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน<br />
อย่างมีนัยสำ คัญ นอกจากนี้ผลการวิจัยของ หทัยชนก ผลาวรรณ์ [3] ยังพบว่า ระบบ<br />
การติดต่อสื่อสาร ความรู้ความสามารถของบุคลากร การบริหารจัดการของผู้ใช้ รูปแบบของสื่อ และ<br />
การจัดการรายวิชา ล้วนมีส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน สำหรับปัญหาอื่น ๆ เช่น โครงสร้าง<br />
พื้นฐานของสถานศึกษา ดังนี้เป็นต้น<br />
1<br />
2<br />
จากความสำคัญและปัญหาระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมี<br />
ความสนใจที่จะทำการศึกษา เรื่อง การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งข้อมูลที่ได้<br />
จากการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอน ผู้เรียน และสถานศึกษา ที่จะนำผลการวิจัยนี้ไปใช้<br />
ปรับปรุงระบบการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไปในอนาคต<br />
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
(Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยมีดังนี้ คือ<br />
1.3.1 สถานศึกษาสามารถนำผลงานวิจัยไปพัฒนา ปรับปรุง ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอน (Learning Management System: LMS) ให้ทันสมัยและมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อีกทั้ง<br />
ยังสามารถใช้เป็นระบบต้นแบบให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่มีความสนใจต่อไป<br />
1.3.2 ผู้สอนสามารถนำผลการวิจัยไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ให้สอดคล้องกับ<br />
ความต้องการของผู้เรียนเช่น การจัดทำ เนื้อหารายวิชา การจัดกิจกรรม การมีปฏิสัมพันธ์<br />
การออกแบบข้อสอบ เกณฑ์ในการให้คะแนน เกณฑ์การบันทึกเวลาการเข้าออกระบบและการออก<br />
รายงาน<br />
1.3.3 ผู้ดูแลระบบสามารถนำผลการวิจัยไปปรับปรุงตัวระบบให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เช่น<br />
ความปลอดภัยในการเข้าใช้งาน ความเร็วในการใช้งาน ความเร็วในการประมวลผล การออกแบบ<br />
หน้าจอให้สื่อความหมายและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน<br />
1.3.4 ผู้เรียนได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากขึ้น เช่น<br />
ความเสถียรและความยืดหยุ่นของระบบมากกว่าเดิมทำให้การเรียนสามารถทำได้ตลอดเวลาไม่ติดขัด<br />
2<br />
3<br />
1.4 ขอบเขตของการวิจัย<br />
ขอบเขตของการวิจัยมีดังนี้ คือ<br />
1.4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />
1) ประชากร หมายถึง ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning<br />
Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษา<br />
2) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
1.4.2 ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย<br />
1) ลักษณะทั่วไปของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
2) องค์ประกอบของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management<br />
System: LMS) ซึ่งประกอบไปด้วย<br />
2.1 ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
2.2 ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
2.3 ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
2.4 ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessments System)<br />
2.5 ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
1.5 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย<br />
นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ คือ<br />
1.5.1 การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากเดิมไม่รู้เป็นรู้ของนักศึกษาจากการเรียน<br />
ผ่านระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
1.5.2 ผู้เรียน หมายถึง นักศึกษาระดับอุดมศึกษาที่กำ ลังศึกษากับมหาวิทยาลัยในเขต<br />
กรุงเทพมหานครที่มีการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS)<br />
3<br />
4<br />
1.5.3 ผู้สอน หรือ อาจารย์ หมายถึง อาจารย์หรือคณะอาจารย์ที่ทำการจัดการเรียนการสอน<br />
รายวิชาให้กับนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
1.5.4 ผู้ดูแลระบบ/ผู้บริหารระบบ หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าดูแล บริหาร และจัดการระบบการบริหาร<br />
จัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ให้สามารถใช้งานได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
1.5.5 ผู้ใช้งาน หมายถึง อาจารย์ หรือ คณะอาจารย์ หรือ นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ทำการใช้งาน<br />
ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
1.5.6 ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
หมายถึง ซอฟท์แวร์ ที่ใช้ในการบริการจัดการเรียนการสอนแบบครบวงจร โดยอาศัยระบบเครือข่าย<br />
คอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง โดยระบบจะครอบคลุมกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดแบบครบวงจร ประกอบ<br />
ไปด้วยส่วนต่าง ๆ ที่เป็นกลไกลทำให้กระบวนการเรียนการสอนสามารถดำเนินไปได้<br />
1.5.7 ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
หมายถึง ระบบการจัดการกลุ่มผู้ใช้งานแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารระบบ โดย<br />
สามารถเข้าสู่ระบบจากที่ไหน เวลาใดก็ได้ โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบสามารถรองรับ<br />
จำนวนผู้ใช้และจำนวนบทเรียนได้ ไม่จำกัด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Hardware/Software ที่ใช้ และระบบ<br />
สามารถรองรับการใช้งานภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ<br />
1.5.8 ระบบการสื่อสาร (Communication System) หมายถึง ระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้สื่อสาร<br />
ระหว่าง ผู้เรียน-ผู้สอน และ ผู้เรียน-ผู้เรียน ได้แก่ กระดานข่าว (Web board) และ ห้องสนทนา<br />
(Chat Room) โดยสามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นประวัติการเข้าใช้ของผู้ใช้แต่ละคนได้<br />
1.5.9 ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System) หมายถึง ระบบที่มีความสามารถ<br />
ในการติดตามความคืบหน้าในการเรียน เช่น การบันทึกเวลาการเข้าใช้งานระบบอย่างละเอียด<br />
4<br />
5<br />
1.5.10 ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System) หมายถึง ระบบคลังข้อสอบ ซึ่งเป็นระบบ<br />
การสุ่มข้อสอบที่สามารถจำกัดเวลาในการทำข้อสอบและการสามารถตรวจข้อสอบได้โดยอัตโนมัติ<br />
มีการรายงานผลคะแนน และเกรด รวมทั้งมีระบบการรายงานสถิติการเข้าเรียนและเข้าทำข้อสอบ<br />
ของผู้เรียนด้วย<br />
1.5.11 ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) หมายถึง ระบบการสร้าง<br />
การจัดทำเนื้อหาของผู้สอนเอง และ/หรือมีการเชื่อมโยงเนื้อหารายวิชาจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้งาน<br />
ในระบบได้<br />
1.5.12 สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัย หมายถึง สถาบันอุดมศึกษาทั้งเอกชนและรัฐบาลในเขต<br />
กรุงเทพมหานครที่มีการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS)<br />
5<br />
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
สำหรับการศึกษารูปแบบการจัดการบริหารด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงจึงได้ทำการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี และ<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่<br />
2.1 แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)<br />
2.2 การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction: WBI)<br />
2.3 การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต (e-Learning)<br />
2.4 การจัดการบริหารด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
2.5 มาตรฐาน SCROM (Sharable Content Object Reference Model)<br />
2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
2.7 บทสรุป<br />
2.1 แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)<br />
แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 [7] คือ แผนพัฒนาการศึกษาที่ใช้ในระดับอุดมศึกษา<br />
โดยมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนจะต้องนำแผนดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อให้ผลการดำเนินการเป็น<br />
ไปอย่างมีประสิทธิภาพทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยีและ<br />
วัฒนธรรม สอดคล้องกับช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การวางแผนการพัฒนาฉบับนี้<br />
จะเน้นให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆได้มีส่วนร่วมในการกำหนด เสนอความคิดเห็น ทำให้ได้<br />
ความคิดเห็นที่หลากหลายครอบคลุม ดังมีรายละเอียดดังนี้<br />
2.1.1 วิสัยทัศน์แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) มีดังนี้<br />
1) สถาบันอุดมศึกษาผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม มีความเป็นผู้นำ มีจิตสำนึก<br />
ในการสร้างงานของตนเอง มีความคิดและวิจารณญาณ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ มีวินัยมี<br />
ความรับผิดชอบ นำไปสู่การพัฒนาประเทศได้<br />
2) อุดมศึกษาไทยเป็นการศึกษาของปวงชน กระจายโอกาสสู่ปวงชนทุกระดับทุกอาชีพ<br />
ให้สามารถเข้าศึกษาในหลักสูตร ทั้งเพื่อรับปริญญาและ ไม่รับปริญญา จากการจัด การศึกษา<br />
ในระบบการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย<br />
3) อุดมศึกษาไทยมีเอกภาพเชิงนโยบายและมาตรฐาน สถาบันอุดมศึกษาระดับปริญญา<br />
เป็นนิติบุคคล สามารถพัฒนาระบบบริหาร และการจัดการที่เป็นของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ และ<br />
6<br />
7<br />
สามารถตรวจสอบได้ ภายใต้กลไกการประกันคุณภาพ ภายในที่เหมาะสม และสามารถพัฒนา<br />
ยกระดับให้ทัดเทียมกับสากล และเป็นศูนย์การศึกษาในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน<br />
4) สถาบันอุดมศึกษาระดับปริญญา มีพันธกิจในการให้การศึกษาชั้นสูงทางวิชาการและ<br />
วิชาชีพ จัดฝึกอบรม และพัฒนาทักษะ ที่เป็นความต้องการในการพัฒนาท้องถิ่น ชุมชน และ<br />
ประเทศชาติ มีการวิจัย และพัฒนา องค์ความรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม พัฒนา และ<br />
ถายทอดเทคโนโลย ่ ี จัดบริการวิชาการและทำนุบาํ รุง ศิลปวัฒนธรรม<br />
โดยสรุปพบว่า วิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 เป็นการสรุปความคิดเห็น<br />
ข้อเสนอแนะ จากบุคคลหลายฝ่าย ทั้งจากประชาชน บุคคลที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อมุ่งเน้นให้<br />
อุดมศึกษาไทย เป็นสถานที่ผลิตบุคลากรเพื่อให้ได้คนที่ดีมีคุณภาพ อีกทั้งมุ่งเน้นการกระจายการศึกษา<br />
ให้ทั่วถึงคนทุกระดับในสังคม นอกจากนี้ตัวองค์กรอุดมศึกสามารถดำเนินการบริหารจัดการภายใต้<br />
การควบคุมด้วยตัวขององค์กรเองและต้องพร้อมสำหรับการตรวจสอบได้ตลอดเวลา พร้อมด้วย<br />
การประกันคุณภาพ เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาให้กับประเทศใกล้เคียง เพื่อพัฒนาประเทศได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
2.1.2 วัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)<br />
มีดังนี้<br />
1) เพื่อสร้างคนไทยให้มีคุณภาพทั้งในด้านวิชาการและวิชาชีพ มีความรู้ และทักษะที่เป็น<br />
ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ชุมชน และท้องถิ่น มีสติปัญญา มีคุณธรรมจริยธรรม มีวินัย<br />
มีจิตสำนึกในการสร้างงานของตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สามารถเรียนรู้อย่างต่อเนื่องด้วย<br />
ตนเองตลอดชีวิต<br />
2) เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้และภูมิปัญญาไทย มีการศึกษาวิจัย และนวัตกรรมที่ก่อให้เกิด<br />
ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ชุมชน และท้องถิ่น สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และ<br />
สิ่งแวดล้อม ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ และส่งเสริมบทบาทของประเทศในการเป็นศูนย์กลาง<br />
การศึกษาในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน<br />
3) เพื่อสร้างรากฐานการพัฒนาให้เกิดความมั่นคงของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความสามารถ<br />
รับผิดชอบตนเอง สามารถพึ่งพาตนเองได้ รู้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและมีการศึกษาที่พอเพียง<br />
4) เพื่อปรับปรุงระบบบริหาร และการจัดการอุดมศึกษาทั้งในระดับรัฐบาล และระดับสถาบัน<br />
ให้มีความอิสระคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม<br />
การเมือง และเทคโนโลยี โดยให้ภาคเอกชน ชุมชน และสังคมมีส่วนร่วมรับผิดชอบอุดมศึกษาเพิ่ม<br />
มากขึ้น<br />
7<br />
8<br />
โดยสรุปพบว่า วัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 เป็นไปเพื่อการพัฒนา<br />
ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศเพื่อให้เป็นเลิศในกลุ่มประเทศใกล้เคียง โดยเริ่มจาก<br />
พัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ มีความรู้ควบคู่คุณธรรม จริยธรรม สามารถพึ่งตนเองได้ ดังนั้น<br />
ย่อมต้องส่งผลต่อ ชุมชน สังคม และประเทศ ก็ย่อมมีความเข้มแข็งเป็นปรึกแผ่นปัญหาต่าง ๆ ย่อม<br />
ถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นในเรื่องความคล่องตัวในการบริหารจัดการทุกองค์กร<br />
ต่างมีอิสระในการปกครองตนเองทั้งนี้เพื่อให้ทันต่อ เหตุการณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ<br />
เทคโนโลยี<br />
2.1.3 ยุทธศาสตร์<br />
ภายใต้วัตถุประสงค์และเป้าหมาย จึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา อุดมศึกษาในช่วง<br />
แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) ดังต่อไปนี้<br />
1) การเสริมสร้างขีดความสามารถของสถาบันอุดมศึกษาให้มีคุณภาพระดับสากลที่สามารถ<br />
พึ่งพาตนเองได้จากรากฐานของภูมิปัญญาไทย โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา<br />
ให้เป็นมันสมองของประเทศ ให้สามารถแข่งขันในระดับเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ เป็น<br />
การสร้างพลังทางปัญญาให้แก่ประเทศในการคิด วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา โดยอิงจากภูมิปัญญา<br />
ไทยเป็นหลัก พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างประเทศอย่างเท่าทัน เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้<br />
ในระยะยาว ด้วยการจัดการให้มีการบริหารและการจัดการเพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการ<br />
บนพื้นฐานของการแข่งขัน การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การประเมินคุณภาพระดับนานาชาติ<br />
มีการวิจัยและพัฒนาที่สมดุลทั้งการวิจัยพื้นฐาน และการวิจัยประยุกต์ การสร้างองค์ความรู้ใหม่<br />
มีการสร้างนักวิจัยที่เพียงพอและมีคุณภาพสูง มีการปฏิรูปการบริหารการวิจัยในระดับชาติ<br />
สร้างสรรค์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
2) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการที่ยั่งยืนให้กับระบบอุดมศึกษา โดยมุ่งให้<br />
ความสำคัญกับการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการศึกษาให้เพียงพอต่อการรักษาคุณภาพ<br />
การจัดการศึกษา และการก่อให้เกิดผลผลิตที่เหมาะสมสอดคล้อง และตรงตามความต้องการ<br />
ด้วยการเพิ่มอาจารย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบอุดมศึกษาให้มากยิ่งขึ้น ปรับโครงสร้างพื้นฐาน<br />
การจัดการโดยเฉพาะโครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสาร และโทรคมนาคม การจัดการ<br />
ครุภัณฑ์ อุปกรณ์การศึกษา ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของการศึกษา ขั้นพื้นฐานก่อนที่จะส่งต่อ<br />
ให้อุดมศึกษา แนวทางหลัก คือ การปฏิรูปการเรียนการสอนตามแนว พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ<br />
พ.ศ. 2542 รวมทั้งการจัดกิจการนักศึกษา ตลอดจนการส่งเสริมสถาบันการศึกษาเฉพาะทาง<br />
3) การปฏิรูปการบริหารและการจัดการอุดมศึกษาเพื่อการยกระดับคุณภาพ และประสิทธิภาพ<br />
โดยมุ่งหมายให้มีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีความโปร่งใส และการมีส่วนร่วม มีการกระจายอำนาจ<br />
และจัดระบบการตรวจสอบระบบการเงินงบประมาณอุดมศึกษา มีเสถียรภาพ และสถาบันอุดมศึกษา<br />
8<br />
9<br />
มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่าคุ้มประโยชน์ ด้วยการส่งเสริม การบริหารจัดการที่ดี<br />
(Good Governance) การปรับบทบาทของหน่วยงานของรัฐในการกำกับสถาบันอุดมศึกษา การระดม<br />
ทรัพยากร และการปรับปรุงระบบการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และ<br />
ทันสมัย<br />
4) การเสริมสร้างศักยภาพการศึกษาให้เกิดความมั่นคงแก่ชุมชนและท้องถิ่น โดยมุ่งให้<br />
ความสำคัญกับการนำชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ของการสร้างแนวคิดในการปรับปรุงบทบาท<br />
และ วิธีการจัดการให้สถาบันอุดมศึกษาให้ตอบสนองตามความต้องการในการพัฒนาชุมชน และ<br />
ท้องถิ่น จึงเป็นการปรับวิธีการปฏิบัติของสถาบันอุดมศึกษาทั้งในเชิงวิชาการ การจัดการศึกษา<br />
การกระจายโอกาส และความเสมอภาค กิจกรรมการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งการร่วมมือ<br />
และเรียนรู้ซึ่งกันและกันในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น<br />
โดยสรุปพบว่า ยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 ได้มุ่งเน้นให้<br />
สถาบันอุดมศึกษามีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลาง ในการพัฒนาประเทศ เป็นที่พึ่งของชุมชน และ<br />
ของประเทศ โดยให้ความสำคัญในด้าน ต่างๆดังนี้ มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ ใช้ทรัพยากรที่มี<br />
อยู่อย่างประหยัดสุด ประโยชน์สูง ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างรู้เท่าทัน มุ่งสร้างพัฒนา บุคลากรให้มี<br />
คุณภาพ ในสาขาอาชีพต่าง ๆ อย่างเพียงพอ ต่อความต้องการ รู้จักใช้ภูมิปัญญา ไทยในการคิดค้น<br />
พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ไปพร้อมกับการ ปกป้องสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา มีการบริหารจัดการที่ดี<br />
พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสภาพการณ์<br />
2.2 การจัดการเรียนการสอนผ่านการเรียนการสอนผ่านเว็บ<br />
การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction: WBI) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี<br />
ปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และ<br />
แก้ปัญหาในเรื่อง ข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและ<br />
ทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่ง<br />
การเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้ อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการเรียนการสอนก็ได้<br />
2.2.1 ความหมายของ Web-Based Instruction (WBI)<br />
การใช้เว็บเพื่อการเรียนการสอนเป็นการนำเอาคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต มาออกแบบเพื่อใช้<br />
ในการศึกษา การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction) มีชื่อเรียกหลายลักษณะ เช่น<br />
การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web-Based Instruction) เว็บการเรียน(Web-Based Learning)<br />
เว็บฝึกอบรม (Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Internet-Based Training) อินเทอร์เน็ต<br />
9<br />
10<br />
ช่วยสอน(Internet-Based Instruction) เวิลด์ไวด์เว็บฝึกอบรม (WWW-Based Training) และ<br />
เวิลด์ไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) [11] ทั้งนี้มีผู้นิยามและให้ความหมายของการเรียน<br />
การสอนผ่านเว็บเอาไว้หลายนิยาม ได้แก่<br />
กิดานันท์ มลิทอง [12] ให้ความหมายว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการใช้เว็บในการเรียน<br />
การสอน โดยอาจใช้เว็บเพื่อนำเสนอบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติของวิชาทั้งหมดตามหลักสูตร<br />
หรือใช้เพียงการเสนอข้อมูลบางอย่างเพื่อประกอบการสอนก็ได้ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะ<br />
ต่าง ๆ ของการสื่อสารที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การเขียนโต้ตอบกันทางไปรษณีย์<br />
อิเล็กทรอนิกส์และการพูดคุยสดด้วยข้อความและเสียงมาใช้ประกอบด้วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ<br />
สูงสุด<br />
ถนอมพร เลาจรัสแสง [13] ให้ความหมายว่า การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) เป็น<br />
การผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่ม<br />
ประสิทธิภาพทางการเรียนรู้ และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลา โดยการสอน<br />
บนเว็บจะประยุกต์ใช้ คุณสมบัติ และทรัพยากรของเวิลด์ไวด์เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริม<br />
และสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด<br />
ของกระบวนการเรียนการสอนก็ได้<br />
ใจทิพย์ ณ สงขลา [14] ได้ให้ความหมายการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าหมายถึง การผนวก คุณสมบัติ<br />
ไฮเปอร์มีเดียเข้ากับคุณสมบัติของเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนในมิติ<br />
ที่ไม่มี ขอบเขตจำกัดด้วยระยะทาง และเวลาที่แตกต่างกันของผู้เรียน (Learning without Boundary)<br />
วิชุดา รัตนเพียร [15] กล่าวว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการนำเสนอโปรแกรมบทเรียน<br />
บนเว็บเพจโดยนำเสนอผ่านบริการเวิลด์ไวด์เว็บในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ออกแบบ และสร้าง<br />
โปรแกรมการสอนผ่านเว็บจะต้องคำนึงถึงความสามารถและบริการที่หลากหลายของอินเทอร์เน็ต<br />
และนำคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้เพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอนให้มากที่สุด<br />
คาร์ลสัน และคณะ [16] กล่าวว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นภาพที่ชัดเจนของการผสมผสาน<br />
ระหว่างเทคโนโลยี กับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) ซึ่งก่อให้เกิด<br />
โอกาสที่ชัดเจนในการนำการศึกษาไปสู่ที่ด้อยโอกาส เป็นการจัดหาเครื่องมือใหม่ ๆ สำหรับส่งเสริม<br />
การเรียนรู้ และเพิ่มเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่ช่วยขจัดปัญหา เรื่องสถานที่ และเวลา<br />
10<br />
11<br />
แคมเพลส และแคมเพลส [17] ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเป็นการจัดการเรียน<br />
การสอนทั้งกระบวนการ หรือบางส่วน โดยใช้เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความรู้<br />
แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างกัน เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บมีความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูลได้<br />
หลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง จึงเหมาะแก่การเป็นสื่อกลาง<br />
ในการถ่ายทอดเนื้อหาการเรียนการสอน<br />
ลานเพียร์ [18] ได้ให้นิยามของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป็นการจัดการเรียนการสอนผ่าน<br />
สภาพแวดล้อมของเวิลด์ไวด์เว็บ ซึ่งอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในหลักสูตร<br />
มหาวิทยาลัย เป็นส่วนประกอบการบรรยายในชั้นเรียน การสัมมนาโครงการกลุ่มหรือการสื่อสาร<br />
ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนหรืออาจเป็นลักษณะของหลักสูตรที่เรียนผ่านเวิลด์ไวด์เว็บโดยตรงทั้ง<br />
กระบวนการเลยก็ได้ การเรียนการสอนผ่านเว็บนี้เป็นการรวมกันระหว่างการศึกษา และการฝึกอบรม<br />
เข้าไว้ด้วยกัน โดยให้ความสนใจต่อการใช้ในระดับ การเรียนที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษา<br />
โดยสรุปพบว่า การเรียนการสอนผ่านเวิลด์ไวด์เว็บนั้นเป็นความพยายาม ในการถ่ายทอดความรู้<br />
จากต้นทางสู่ปลายทางโดยอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ข้ามพ้น<br />
ข้อจำ กัดด้านเวลา สถานที่ อีกทั้งการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้ยังเป็นต้นแบบให้<br />
การจัดการเรียนการสอนในอนาคตอีกด้วย<br />
2.2.2 ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ<br />
การเรียนการสอนผ่านเว็บสามารถทำได้ในหลายลักษณะ โดยแต่ละเนื้อหาของหลักสูตรก็มีวิธี<br />
การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในประเด็นนี้ มีนักการศึกษาหลายท่าน<br />
ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ดังต่อไปนี้<br />
เจมส์ [19] ได้อธิบายอีกแนวคิดหนึ่งของเว็บช่วยสอนซึ่งแยกตามโครงสร้าง และประโยชน์การใช้งาน<br />
สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ<br />
1) โครงสร้างแบบค้นหา (Eclectic Structures) ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบนี้<br />
เป็นแหล่งของเว็บไซต์ที่ใช้ในการค้นหาไม่มีการกำหนดขนาด รูปแบบ ไม่มีโครงสร้างที่ผู้เรียน<br />
ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บ ลักษณะของเว็บไซต์แบบนี้จะมีแต่การให้ใช้เครื่องมือในการสืบค้นหรือ<br />
เพื่อบางสิ่งที่ต้องการค้นหาตามที่กำหนด หรือโดยผู้เขียนเว็บไซต์ต้องการ โครงสร้างแบบนี้จะเป็น<br />
แบบเปิดให้ผู้เรียนได้เข้ามาค้นคว้าในเนื้อหาในบริบท โดยไม่มีโครงสร้างข้อมูลเฉพาะให้เลือก<br />
แต่โครงสร้างแบบนี้จะมีปัญหากับผู้เรียนเพราะผู้เรียนอาจจะไม่สนใจข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง<br />
โดยไม่กำหนดแนวทางในการสืบค้น<br />
11<br />
12<br />
2) โครงสร้างแบบสารานุกรม (Encyclopaedic Structures) ถ้าเราควบคุมโครงสร้างของเว็บ<br />
ที่เราสร้างขึ้นเองได้ เราก็จะใช้โครงสร้างข้อมูลในแบบต้นไม้ในการเข้าสู่ข้อมูล ซึ่งเหมือนกับหนังสือ<br />
ที่มีเนื้อหาและมีการจัดเป็นบทเป็นตอน ซึ่งจะกำหนดให้ผู้เรียนหรือผู้ใช้ได้ผ่านเข้าไปหาข้อมูลหรือ<br />
เครื่องมือที่อยู่ในพื้นที่ของเว็บหรืออยู่ภายใน และนอกเว็บ เว็บไซต์จำนวนมากมีโครงสร้างใน<br />
ลักษณะดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเว็บไซต์ทางการศึกษาที่ไม่ได้กำหนดทางการค้า องค์กร ซึ่งอาจจะต้องมี<br />
ลักษณะที่ดูมีมากกว่านี้ แต่ในเว็บไซต์ทางการศึกษาต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กลวิธี<br />
ด้านโครงสร้างจึงมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน<br />
3) โครงสร้างแบบการเรียนการสอน (Pedagogic Structures) มีรูปแบบโครงสร้างหลายอย่าง<br />
ในการนำมาสอนตามต้องการ ทั้งหมดเป็นที่รู้จักดีในบทบาทของการออกแบบทางการศึกษาสำหรับ<br />
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือเครื่องมือมัลติมีเดีย ซึ่งความจริงมีหลักการแตกต่างกันระหว่าง<br />
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเว็บช่วยสอนนั้นคือความสามารถของ HTML ในการที่จะจัดทำในแบบ<br />
ไฮเปอร์เท็กซ์กับการเข้าถึงข้อมูลหน้าจอโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต<br />
โดเฮอร์ตี้ [20] แนะนำว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บ มีวิธีการใช้ใน 3 ลักษณะ คือ<br />
1) การนำเสนอ (Presentation) ในลักษณะของเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วยข้อความ ภาพกราฟิก<br />
โดยมีวิธีการนำเสนอ คือ<br />
1.1 การนำเสนอแบบสื่อเดี่ยว เช่น ข้อความ หรือ รูปภาพ<br />
1.2 การนำเสนอแบบสื่อคู่ เช่น ข้อความกับรูปภาพ<br />
1.3 การนำเสนอแบบมัลติมีเดีย คือ ประกอบด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง<br />
2) การสื่อสาร (Communication) การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ทุกวันในชีวิตซึ่งเป็น<br />
ลักษณะสำคัญของอินเทอร์เน็ต โดยมีการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตหลายแบบ เช่น<br />
2.1 การสื่อสารทางเดียว เช่น การดูข้อมูลจากเว็บเพจ<br />
2.2 การสื่อสารสองทาง เช่น การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โต้ตอบกัน<br />
2.3 การสื่อสารแบบหนึ่งแหล่งไปหลายที่ เป็นการส่งข้อความจากแหล่งเดียว<br />
แพร่กระจายไปหลายแหล่ง เช่น การอภิปรายจากคนเดียวให้คนอื่น ๆ ได้รับฟังด้วยหรือการประชุม<br />
ผ่านคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)<br />
2.4 การสื่อสารหลายแหล่งไปสู่หลายแหล่ง เช่น การใช้กระบวนการกลุ่มในการสื่อสาร<br />
บนเว็บ โดยมีคนใช้หลายคนและคนรับหลายคนเช่นกัน<br />
3) การทำให้เกิดความสัมพันธ์ (Dynamic Interaction) เป็นคุณลักษณะที่สำคัญของ<br />
อินเทอร์เน็ตและสำคัญที่สุด ซึ่งมี 3 ลักษณะคือ<br />
3.1 การสืบค้นข้อมูล<br />
3.2 การหาวิธีการเข้าสู่เว็บ<br />
12<br />
13<br />
3.3 การตอบสนองของมนุษย์ต่อการใช้เว็บ<br />
แฮนนัม [21] ได้แบ่งประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ออกเป็น 4 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ<br />
1) รูปแบบการเผยแพร่ รูปแบบนี้สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ชนิด คือ<br />
1.1 รูปแบบห้องสมุด (Library Model) เป็นรูปแบบที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถ<br />
ในการเข้าไปยังแหล่งทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่หลากหลาย โดยวิธีการจัดหาเนื้อหาให้ผู้เรียน<br />
ผ่านการเชื่อมโยงไปยังแหล่งเสริมต่าง ๆ เช่นสารานุกรม วารสาร หรือหนังสือออนไลน์ทั้งหลาย<br />
ซึ่งถือได้ว่า เป็นการนำเอาลักษณะทางกายภาพของห้องสมุดที่มีทรัพยากรจำนวนมหาศาล<br />
มาประยุกต์ใช้ ส่วน ประกอบของรูปแบบนี้ ได้แก่ สารานุกรมออนไลน์ วารสารออนไลน์ หนังสือ<br />
ออนไลน์ สารบัญการอ่านออนไลน์ (Online Reading List) เว็บห้องสมุด เว็บงานวิจัย รวมทั้ง<br />
การรวบรวมรายชื่อเว็บที่สัมพันธ์กับวิชาต่าง ๆ<br />
1.2 รูปแบบหนังสือเรียน (Textbook Model) การเรียนการสอนผ่านเว็บรูปแบบนี้<br />
เป็นการจัดเนื้อหาของหลักสูตรในลักษณะออนไลน์ให้แก่ผู้เรียน เช่น คำบรรยาย สไลด์ นิยาม คำศัพท์<br />
และส่วนเสริมผู้สอนสามารถเตรียมเนื้อหาออนไลน์ที่ใช้เหมือนกับที่ใช้ในการเรียนในชั้นเรียนปกติ<br />
และสามารถทำสำเนาเอกสารให้กับผู้เรียนได้ รูปแบบนี้ต่างจากรูปแบบห้องสมุดคือรูปแบบนี้<br />
จะเตรียมเนื้อหาสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ขณะที่รูปแบบห้องสมุดช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึง<br />
เนื้อหาที่ต้องการจากการเชื่อมโยงที่ได้เตรียมเอาไว้ ส่วนประกอบของรูปแบบหนังสือเรียนนี้<br />
ประกอบด้วยบันทึกของหลักสูตร บันทึกคำบรรยาย ข้อแนะนำของห้องเรียน สไลด์ที่นำเสนอ วิดีโอ<br />
และภาพ ที่ใช้ในชั้นเรียน เอกสารอื่นที่มีความสัมพันธ์กับชั้นเรียน เช่น ประมวลรายวิชา รายชื่อในชั้น<br />
กฎเกณฑ์ข้อตกลงต่าง ๆ ตารางการสอบและตัวอย่างการสอบครั้งที่แล้ว ความคาดหวังของชั้นเรียน<br />
งานที่มอบหมาย เป็นต้น<br />
1.3 รูปแบบการสอนที่มีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Instruction Model) รูปแบบนี้จัดให้<br />
ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ได้รับ โดยนำลักษณะ<br />
ของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มาประยุกต์ใช้เป็นการสอนแบบออนไลน์ที่เน้น<br />
การมีปฏิสัมพันธ์ มีการให้ คำแนะนำ การปฏิบัติ การให้ผลย้อนกลับ รวมทั้งการให้สถานการณ์จำลอง<br />
2) รูปแบบการสื่อสาร (Communication Model) การเรียนการสอนผ่านเว็บรูปแบบนี้เป็น<br />
รูปแบบที่อาศัยคอมพิวเตอร์มาเป็นสื่อเพื่อการสื่อสาร (Computer-Mediated Communications Model)<br />
ผู้เรียนสามารถที่จะสื่อสารกับผู้เรียนคนอื่น ๆ ผู้สอนหรือกับผู้เชี่ยวชาญได้ โดยรูปแบบ<br />
การสื่อสารที่หลากหลายในอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้แก่ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอภิปรายการสนทนา<br />
และการอภิปรายและการประชุมผ่านคอมพิวเตอร์ เหมาะสำหรับการเรียนการสอนที่ต้องการส่งเสริม<br />
การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน<br />
13<br />
14<br />
3) รูปแบบผสม (Hybrid Model) รูปแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บรูปแบบนี้เป็นการนำเอา<br />
รูปแบบ 2 ชนิด คือ รูปแบบการเผยแพร่กับรูปแบบการสื่อสารมารวมเข้าไว้ด้วยกัน เช่น เว็บไซต์ที่รวม<br />
เอารูปแบบห้องสมุดกับรูปแบบหนังสือเรียนไว้ด้วยกัน เว็บไซต์ที่รวบรวมเอาบันทึกของหลักสูตร<br />
รวมทั้งคำบรรยายไว้กับกลุ่มอภิปรายหรือเว็บไซต์ที่รวมเอารายการแหล่งเสริมความรู้ต่าง ๆ และ<br />
ความสามารถของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไว้ด้วยกัน เป็นต้นรูปแบบนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก<br />
กับผู้เรียนเพราะผู้เรียนจะได้ใช้ประโยชน์ของทรัพยากรที่มีในอินเทอร์เน็ตในลักษณะที่หลากหลาย<br />
4) รูปแบบห้องเรียนเสมือน (Virtual classroom model) รูปแบบห้องเรียนเสมือนเป็น<br />
การนำเอาลักษณะเด่นหลาย ๆ ประการของแต่ละรูปแบบที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาใช้ ฮิลทซ์ (Hiltz,<br />
1993) ได้นิยามว่าห้องเรียนเสมือนเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่นำแหล่งทรัพยากรออนไลน์<br />
มาใช้ในลักษณะการเรียนการสอนแบบร่วมมือ โดยการร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกัน นักเรียนกับ<br />
ผู้สอน ชั้นเรียนกับสถาบันการศึกษาอื่น และกับชุมชนที่ไม่เป็นเชิงวิชาการ (Khan, 1997) ส่วน<br />
เทอรอฟฟ์ (Turoff, 1995) กล่าวถึงห้องเรียนเสมือนว่า เป็นสภาพแวดล้อมการเรียน การสอนที่ตั้งขึ้น<br />
ภายใต้ระบบการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ในลักษณะของการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งเป็นกระบวนการที่<br />
เน้นความสำคัญของกลุ่มที่จะร่วมมือทำกิจกรรมร่วมกัน นักเรียนและผู้สอนจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ<br />
จากกิจกรรมการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล ลักษณะเด่นของการเรียนการสอน<br />
รูปแบบนี้ก็คือความสามารถในการลอกเลียนลักษณะของห้องเรียนปกติมาใช้ในการออกแบบ<br />
การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยอาศัยความสามารถต่างๆ ของอินเทอร์เน็ต โดยมี<br />
ส่วนประกอบคือ ประมวลรายวิชา เนื้อหาในหลักสูตร รายชื่อแหล่งเนื้อหาเสริมกิจกรรมระหว่าง<br />
ผู้เรียนผู้สอน คำแนะนำและการให้ผลป้อนกลับ การนำเสนอในลักษณะมัลติมีเดีย การเรียน<br />
แบบร่วมมือ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน รูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน<br />
โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่<br />
สรุปได้ว่า ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บนั้น สามารถจัดแบ่งได้หลากหลายลักษณะขึ้นอยู่กับ<br />
รูปแบบของการนำเสนอ การสื่อสารข้อมูล วัตถุประสงค์การใช้งาน รูปแบบการออกแบบการเรียน<br />
การสอน โดยอาศัยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว สไลด์ วิดีโอเป็นสื่อ ไม่ว่าการเรียนการสอน<br />
ผ่านเว็บจะถูกจัดแบ่งเป็นกี่ประเภท วัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ อำนวยความสะดวกให้การเรียน<br />
การสอนเป็นไปได้ไม่ติดขัด ช่วยให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่า<br />
การเรียนการสอนแบบเดิม<br />
14<br />
15<br />
2.2.3 ประโยชน์ของการเรียนการสอนผ่านเว็บ<br />
ประโยชน์ของการเรียนการสอนผ่านเว็บมีมากมายหลายประการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์<br />
ของการนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นมิติใหม่ของเครื่องมือและกระบวนการ<br />
ในการเรียนการสอน โดยมีผู้กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ดังนี้<br />
ถนอมพร เลาหจรัสแสง [13] ได้กล่าวถึงการสอนบนเว็บมีข้อดีอยู่หลายประการ กล่าวคือ<br />
1) การสอนบนเว็บเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล หรือไม่มีเวลาในการมาเข้า<br />
ชั้นเรียนได้เรียนในเวลาและสถานที่ ๆ ต้องการ ซึ่งอาจเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาใกล้เคียง<br />
ที่ผู้เรียนสามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ การที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางมายัง<br />
สถานศึกษาที่กำหนดไว้จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาในด้านของข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลา และสถานที่ศึกษา<br />
ของผู้เรียนเป็นอย่างดี<br />
2) การสอนบนเว็บยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา ผู้เรียนที่ศึกษาอยู่<br />
ในสถาบัน การศึกษาในภูมิภาคหรือในประเทศหนึ่งสามารถที่จะศึกษา ถกเถียง อภิปราย<br />
กับอาจารย์ ครูผู้สอนซึ่งสอน อยู่ที่สถาบันการศึกษาในนครหลวงหรือในต่างประเทศก็ตาม<br />
3) การสอนบนเว็บนี้ ยังช่วยส่งเสริมแนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเว็บ<br />
เป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้<br />
ได้อย่างต่อเนื่องและ ตลอดเวลาการสอนบนเว็บ สามารถตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้รวมทั้งมี<br />
ทักษะในการตรวจสอบการ เรียนรู้ด้วยตนเอง (Meta-cognitive Skills) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
4) การสอนบนเว็บ ช่วยทลายกำแพงของห้องเรียนและเปลี่ยนจากห้องเรียน 4 เหลี่ยมไปสู่โลก<br />
กว้างแห่งการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและมี<br />
ประสิทธิภาพสนับสนุน สิ่งแวดล้อมทางการเรียนที่เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับปัญหาที่พบในความเป็นจริง<br />
โดยเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตาม บริบทในโลกแห่งความเป็นจริง (Contextualization) และการเรียนรู้<br />
จากปัญหา (Problem-based Learning) ตามแนวคิดแบบ Constructivism<br />
5) การสอนบนเว็บเป็นวิธีการเรียนการสอนที่มีศักยภาพ เนื่องจากที่เว็บได้กลายเป็นแหล่ง<br />
ค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการรูปแบบใหม่ครอบคลุมสารสนเทศทั่วโลกโดยไม่จำกัดภาษา การสอน<br />
บนเว็บช่วยแก้ปัญหาของ ข้อจำกัดของแหล่งค้นคว้าแบบเดิมจากห้องสมุดอันได้แก่ ปัญหาทรัพยากร<br />
การศึกษาที่มีอยู่จำกัดและเวลา ที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากเว็บมีข้อมูลที่หลากหลายและ<br />
เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการที่เว็บใช้การ เชื่อมโยงในลักษณะของไฮเปอร์มิเดีย (สื่อหลายมิติ) ซึ่งทำให้<br />
การค้นหาทำได้สะดวกและง่ายดายกว่าการ ค้นหาข้อมูลแบบเดิม<br />
6) การสอนบนเว็บจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ที่กระตือรือร้น ทั้งนี้เนื่องจากคุณลักษณะของ<br />
เว็บที่เอื้ออำนวยให้เกิดการศึกษา ในลักษณะที่ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นได้อยู่ตลอดเวลา<br />
โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น การให้ผู้เรียนร่วมมือกันในการทำกิจกรรม<br />
15<br />
16<br />
ต่าง ๆ บนเครือข่ายการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงไว้บนเว็บบอร์ดหรือการให้<br />
ผู้เรียนมีโอกาสเข้ามาพบปะกับผู้เรียนคนอื่น ๆ อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในเวลาเดียวกันที่ห้องสนทนา<br />
เป็นต้น<br />
7) การสอนบนเว็บเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งการเปิดปฏิสัมพันธ์นี้อาจทำได้ 2 รูปแบบ คือ<br />
ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนด้วยกันและ/หรือผู้สอน ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนในเนื้อหาหรือสื่อการสอนบน<br />
เว็บ ซึ่งลักษณะแรกนี้จะอยู่ในรูปของการเข้าไปพูดคุย พบปะ แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกัน ส่วนใน<br />
ลักษณะหลังนั้นจะอยู่ในรูปแบบของการเรียนการสอน แบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบที่ผู้สอนได้จัดหา<br />
ไว้ให้แก่ผู้เรียน<br />
8) การสอนบนเว็บยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับผู้เรียนในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ทั้ง<br />
ในและนอกสถาบันจากในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก โดยผู้เรียนสามารถติดต่อสอบถามปัญหา<br />
ขอข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจริงโดยตรงซึ่งไม่สามารถทำได้ในการเรียน<br />
การสอนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับการติดต่อสื่อสาร<br />
ในลักษณะเดิม ๆ<br />
9) การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานของตน สู่สายตาผู้อื่น<br />
อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหากแต่เป็นบุคคลทั่วไปทั่วโลกได้ ดังนั้น<br />
จึงถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายนอกในการเรียนอย่างหนึ่งสำหรับผู้เรียน ผู้เรียนจะพยายามผลิตผล<br />
งานที่ดีเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงตนเองนอกจากนี้ผู้เรียนยังมีโอกาสได้เห็นผลงานของผู้อื่นเพื่อนำมา<br />
พัฒนางานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น<br />
10) การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตร ให้ทันสมัย<br />
ได้อย่าง สะดวกสบายเนื่องจากข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ดังนั้น ผู้สอนสามารถ<br />
อัพเดตเนื้อหาหลักสูตรที่ทันสมัยแก่ผู้เรียนได้ตลอดเวลา นอกจากนี้การให้ผู้เรียนได้สื่อสารและแสดง<br />
ความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียนการสอน<br />
แบบเดิมและเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ การสอนบนเว็บสามารถนำเสนอ<br />
เนื้อหาในรูปของมัลติมีเดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์ ภาพ 3 มิติ โดย<br />
ผู้สอนและผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบของการนำเสนอเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางการเรียน<br />
ปรัชญนันท์ นิลสุข [19] ได้กล่าวถึงคุณลักษณะสำคัญของเว็บซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการจัด<br />
การเรียนการสอน มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่<br />
1) การที่เว็บเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและ<br />
ผู้เรียนกับผู้เรียนหรือผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียน<br />
2) การที่เว็บสามารถนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia)<br />
16<br />
17<br />
3) การที่เว็บเป็นระบบเปิด (Open System) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้มีอิสระในการเข้าถึงข้อมูลได้<br />
ทั่วโลก<br />
4) การที่เว็บอุดมไปด้วยทรัพยากร เพื่อการสืบค้นออนไลน์ (Online Search/Resource)<br />
5) ความไม่มีข้อจำกัดทางสถานที่และเวลาของการสอนบนเว็บ (Device, Distance and Time<br />
Independent) ผู้เรียนที่มีคอมพิวเตอร์ในระบบใดก็ได้ ซึ่งต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตจะสามารถเข้าเรียนจาก<br />
ที่ใดก็ได้ในเวลาใดก็ได้<br />
6) การที่เว็บอนุญาตให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุม (Learner Controlled) ผู้เรียนสามารถเรียน<br />
ตามความพร้อม ความถนัดและความสนใจของตน<br />
7) การที่เว็บมีความสมบูรณ์ในตนเอง (Self-contained) ทำให้เราสามารถจัดกระบวน<br />
การเรียนการสอนทั้งหมดผ่านเว็บได้<br />
8) การที่เว็บอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารทั้งแบบเวลาเดียว (Synchronous Communication)<br />
เช่น Chat และต่างเวลากัน (Asynchronous Communication) เช่น Webboard เป็นต้น<br />
สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการเรียนการสอน ผ่านเว็บนั้นเป็นการรวบรวมเอาข้อดีของ ระบบเครือข่าย<br />
อินเทอร์เน็ตผนวกเข้ากับแนวคิดรูปแบบใหม่ของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ทำให้การเรียน<br />
การสอนเกิดความคล่องตัว ซึ่งแตกต่างไปการการเรียนการสอนแบบเดิมเป็นอย่างมาก การเรียน<br />
การสอนผ่านเว็บนั้นเป็นคำตอบในความพยายาม ของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ข้ามข้อจำกัดด้านเวลา และ<br />
สถานที่ ลดช่องว่างทางการศึกษา เกิดการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก<br />
อย่างทั่วถึงและง่ายดาย เป็นแรงการกระตุ้นให้ทั้งผู้สอนและ ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวและใช้ประโยชน์<br />
จากการเรียนการสอนรูปแบบใหม่นี้ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ<br />
2.2.4 ส่วนประกอบของ WBI<br />
ภาสกร เรืองรอง [20] ได้แยกประเภทตามลักษณะการใช้งานการสื่อสารใน WBI ดังนี้<br />
1) e-Mail ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างเฉพาะ ผู้ที่เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ผู้อื่นจะไม่<br />
สามารถอ่านได้ (Two Way) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์ หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกัน โดยใช้<br />
ส่งการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย<br />
2) Webboard ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) ใช้กำหนด<br />
ประเด็นหรือกระทู้ ตามที่อาจารย์กำหนด หรือตามแต่นักเรียนจะกำหนด เพื่อช่วยกันอภิปรายตอบ<br />
ประเด็น หรือกระทู้นั้น ทั้งอาจารย์และผู้เรียน<br />
3) Chat ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) โดยการสนทนา<br />
แบบ Real Time มีทั้ง Text Chat และ Voice Chat โดย ใช้สนทนา ระหว่างผู้เรียนและอาจารย์<br />
ในห้องเรียนหรือชั่วโมงเรียน นั้น ๆ เสมือนว่ากำลังคุยกันอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ<br />
17<br />
18<br />
4) ICQ ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) โดยการสนทนา<br />
แบบ Real Time และ Past Time โดยใช้สนทนา ระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนเสมือนว่า<br />
กำลังคุยกันอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ โดยที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเวลานั้น ๆ ICQ จะเก็บข้อความไว้<br />
ให้ และยังทราบด้วยว่า ในขณะนั้นผู้เรียนอยู่หน้าเครื่องหรือไม่<br />
5) Conference ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) แบบ<br />
Real Time โดยที่ผู้เรียนและอาจารย์ สามารถเห็นหน้ากันได้ โดยผ่านทางกล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่กับ<br />
เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองฝ่าย โดย ใช้บรรยายให้ผู้เรียนกับที่อยู่หน้าเครื่องเสมือนว่ากำลังนั่งเรียนอยู่<br />
ในห้องเรียนจริง ๆ<br />
6) Electronic Home Work ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์เป็นเสมือสมุด<br />
ประจำตัวนักเรียน โดยที่นักเรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริง ๆ เป็นสมุดการบ้านที่ติดตัวตลอดเวลา<br />
ใช้ส่งงานตามที่อาจารย์กำหนด เช่นให้เขียนรายงาน โดยที่อาจารย์สามารถเปิดดู Electronic Home<br />
Work ของนักเรียนและเขียนบันทึกเพื่อตรวจงานและให้คะแนนได้ แต่นักเรียนด้วยกันจะเปิดดูไม่ได้<br />
สรุปได้ว่า ส่วนประกอบของ WBI นั้นเป็นการนำเอาเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วหรือที่กำลังจะมี<br />
ในอนาคต ในอินเทอร์เน็ต มาใช้เพื่อให้เกิดการเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่าย ภายในการเรียน<br />
การสอน มีการกำหนดการทำกิจกรรมทั้งแบบประสานเวลา หรือแบบไม่ประสานเวลาระหว่างกัน<br />
ขึ้นอยู่กับรูปแบบของเครื่องมือ และความต้องการของผู้สอน โดยมีส่วนประกอบคือ ประมวลรายวิชา<br />
เนื้อหาในหลักสูตร รายชื่อแหล่งเนื้อหาเสริม กิจกรรมระหว่าง ผู้เรียนผู้สอน คำแนะนำและการให้ผล<br />
ป้อนกลับ การนำเสนอในลักษณะมัลติมีเดีย รูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน<br />
โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่<br />
2.3 การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต (e-Learning)<br />
ประเทศไทยได้มีการนำคอมพิวเตอร์ มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อการเรียน การถ่ายทอดความรู้<br />
เป็นระยะเวลานานพอสมควร โดยอาจจะนับได้ว่า จุดเริ่มต้นตั้งแต่การใช้คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือ<br />
ในการเรียนการสอน วิชาคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็มีการสร้างสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ แทนที่<br />
เอกสารหนังสือ ที่เรียกว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI (Computer Aided Instruction) ซึ่งมี<br />
ซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย ทั้งที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส เช่น<br />
โปรแกรมจุฬาซีเอไอ (Chula CAI) ที่พัฒนาโดยแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
โปรแกรม ThaiTas ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์เทคโนโลยีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ<br />
รวมถึงซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ เช่น ShowPartnet F/X, ToolBook, Authorware<br />
18<br />
19<br />
ในปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตได้พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว และได้ก้าวมาเป็น<br />
เครื่องมือชิ้นสำคัญ ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้<br />
โดยพัฒนา CAI เดิม ๆ ให้เป็น WBI (Web Based Instruction) หรือการเรียนการสอนผ่านบริการ<br />
เว็บเพจ ส่งผลให้ข้อมูลในรูปแบบ WBI สามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกลกว่าสื่อ CAI ปกติ<br />
ทั้งนี้ก็มาจากประเด็นสำคัญอีก 2 ประการ<br />
1) ประเด็นแรกได้แก่ สามารถประหยัดเงินที่ต้องลงทุนในการจัดหาซอฟต์แวร์สร้างสื่อ<br />
(Authoring Tools) ไม่จำเป็นต้องซื้อโปรแกรมราคาแพง ๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อการเรียน<br />
การสอน เพราะสามารถใช้ NotePad ที่มาพร้อมกับ Microsoft Windows ทุกรุ่น หรือ Text Editor ใด ๆ<br />
ก็ได้ลงรหัส HTML (Hyper Text Markup Language) สร้างเอกสาร HTML ที่มีลักษณะการถ่ายทอด<br />
ความรู้ด้านการศึกษา<br />
2) ประเด็นที่สองเนื่องจากคุณสมบัติของเอกสาร HTML ที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทั้ง<br />
ข้อความ ภาพ เสียง VDO และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยงไปตำแหน่งต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของ<br />
ผู้พัฒนา<br />
สรุป ผลให้การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ WBI เป็นที่นิยมอย่างสูง และได้รับการพัฒนา<br />
ปรับปรุงรูปแบบมาเป็นสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ e-Learning (Electronics Learning) ซึ่งกำลัง<br />
ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน<br />
2.3.1 ความหมายของ e-Learning<br />
e-Learning หรือ Electronic Learning คือการส่งความรู้ไปสู่ผู้เรียนโดยใช้ สื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
(Electronic Media) เช่น Computer ที่เชื่อมต่อเครือข่าย Internet หรือ Intranet ในหลักการที่ว่าด้วย<br />
"การเรียนการสอนทางไกล" การเรียนการสอนแบบ e-Learning นี้สามารถเรียนได้จาก Web, CD ด้วย<br />
เครื่องคอมพิวเตอร์ และผู้สอนกับผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยทาง e-Mail, Webboard<br />
และ Chatroom<br />
e-Learning หมายถึง การเรียนรู้โดยอาศัยอินเทอร์เน็ต ซึ่งประกอบด้วยการจัดทำสื่อ การเรียนการสอน<br />
ในรูปแบบต่าง ๆ การบริหารประสบการณ์การเรียนรู้ กลุ่มผู้เรียน ผู้สร้างบทเรียน ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ<br />
ทั้งหลาย e-Learning สามารถทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นในขณะที่ค่าใช้จ่ายถูกลง รวมทั้ง<br />
เปิดโอกาสให้ผู้ใฝ่เรียนให้สามารถเลือกเรียนได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีองค์กรหลายแห่ง<br />
ได้นำเอา e-Learning มาใช้ในองค์กรเพื่อ "เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส"<br />
19<br />
20<br />
การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-Learning การศึกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต<br />
(Internet) หรืออินทราเนต (Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถ<br />
และความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียงวิดีโอและ<br />
มัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียน<br />
ทุกคน สามารถ ติดต่อปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียน ในชั้นเรียน<br />
ปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-Mail, Webboard, Chat) จึงเป็นการเรียน<br />
สำหรับทุกคน เรียนได้ ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)<br />
ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง [25] ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า คำว่า e-Learning โดยทั่ว ๆ ไปจะ<br />
ครอบคลุมความหมายที่กว้างมาก กล่าวคือ จะหมายถึง การเรียนในลักษณะใดก็ได้ ซึ่งใช้การถ่ายทอด<br />
เนื้อหาผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต<br />
เอ็กทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ก็ได้ ซึ่งเนื้อหาสารสนเทศ<br />
อาจอยู่ในรูปแบบการเรียนที่เราคุ้นเคย กันมาพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer<br />
Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียนออนไลน์ (On-line<br />
Learning) การเรียนทางไกลผ่าน ดาวเทียม หรืออาจอยู่ในลักษณะที่ยังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายนัก เช่น<br />
การเรียนจากวิดีทัศน ์ตามอัธยาศัย (Video On-Demand) เป็นต้น<br />
ดร. สุรสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ [21] ผู้อำนวยการโครงการการเรียนรู้แบบออนไลน์แห่ง สวทช. ได้ให้คำ<br />
จำกัดความของ e-Learning ดังนี้ "การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-Learning การศึกษา เรียนรู้ผ่าน<br />
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) หรือ อินทราเน็ต (Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้<br />
เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ<br />
รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน<br />
และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้<br />
เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย (e-Mail,<br />
Webboard, Chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all :<br />
anyone, anywhere and anytime)"<br />
อุทัยรัตน์ [22] ได้ให้ความหมาย ของ e-Learning ว่าหมายถึง การศึกษาที่เรียนรู้ ผ่านเครือข่าย<br />
อินเตอร์เน็ต โดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่ง<br />
การเรียนรู้สองประการ คือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียนเอง และ การตอบสนองใน<br />
ความแตกต่างระหว่างบุคคล (เวลาที่แต่ละบุคคลใช้ในการเรียนรู้) การเรียนจะกระทำผ่านสื่อบน<br />
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษาผ่านบริการ World<br />
20<br />
21<br />
Wide Web หรือเว็บไซด์ โดยอาจให้มีปฏิสัมพัธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะที่มี<br />
การเรียนรู้ ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคนกับ<br />
กลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์นี้สามารถกระทำผ่านเครื่องมือสองลักษณะคือ<br />
1) แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน<br />
หรือ ส่งในลักษณะของเสียง จากบริการของ Chatroom<br />
2) แบบ Non Real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเล็กทรอนิกส์เมลล์<br />
Webboard News-group เป็นต้น<br />
ดร. ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ [23] ได้ให้ความหมายของ e-Learning ไว้ว่า e-Learning หมายถึง<br />
รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่<br />
มีวัตถุประสงค์ที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ (Knowledge) ได้โดยไม่จำกัดเวลาและ<br />
สถานที่ (Anywhere-Anytime Learning) เพื่อให้ระบบการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาที่เรียนนั้นๆ<br />
สรุปได้ว่า e-Learning เป็นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน โดยอาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ ดาวเทียม คอมพิวเตอร์ หรือบทเรียนในรูปแผ่น ซีดี แต่ในปัจจุบัน<br />
คนทั่วไปจะนึกถึง e-Learning การถ่ายทอดเนื้อหาโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นหลักโดยมีคอมพิวเตอร์<br />
เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์เนื้อหาบทเรียนและเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นตัวช่วยในการส่งผ่าน<br />
ข้อมูล การส่งผ่านเนื้อหานั้นสามารถทำได้หลากหลายช่องทาง ทั้งทางด้าน ออฟไลน์ เช่นบันทึกลง<br />
แผ่นซีดี เพื่อทำการแจกจ่าย หรือจะเป็นทางด้าน ออนไลน์ โดยอาศัยเทคโนโลยี เครือข่ายเป็นตัวกลาง<br />
ในการส่งผ่านเนื้อหา ในปัจจุบันการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านการสื่อสารแบบ ออนไลน์ จะเป็นที่นิยม<br />
แพร่หลายมากกว่า กล่าวคือ การถ่ายทอดเนื้อหาแบบ ออนไลน์ นั้นมีความคล่องตัว สามารถแก้ไข<br />
เนื้อหาที่มีความทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ได้ทันที ตอบสนองต่อกระแสการเรียนรู้ตลอดชีวิตและ<br />
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี นอกจากเนื้อหาที่ต้องการส่งถึงผู้เรียนแล้ว การเรียนผ่าน<br />
e-Learning ยังมีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างผู้เรียน ผู้สอน ทั้งแบบประสานเวลา<br />
และไม่ประสานเวลา ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ทั้งนี้วัตถุประสงค์เป็นไปเพื่อการเรียนการสอนที่มี<br />
ประสิทธิภาพ พร้อมกับการกระจายการศึกษาให้เป็นไปอย่างทั่วถึง<br />
2.3.2 ลักษณะของ e-Learning<br />
e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเว็บ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br />
มีสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) และการเรียนที่เน้นผู้เรียน<br />
เป็นศูนย์กลาง (Child Center Learning) ผู้เรียนเป็นผู้คิด ตัดสินใจเรียน โดยการสร้างความรู้ และ<br />
21<br />
22<br />
ความเข้าใจใหม่ ๆ ด้วยตนเอง สามารถเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับชีวิตจริง ครอบคลุม<br />
การเรียนทุกรูปแบบ ทั้งการเรียนทางไกล และการเรียนผ่านเครือข่ายระบบต่าง ๆ โดยมีลักษณะ<br />
ดังต่อไปนี้ คือ<br />
1) Anywhere Anytime หมายถึง e-Learning ที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเนื้อหาตามความสะดวก<br />
ของผู้เรียน<br />
2) Multimedia หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหา โดยใช้ประโยชน์จาก<br />
สื่อประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศ ของผู้เรียน เพื่อให้เกิดความคงทนในการเรียนรู้ได้<br />
ดีขึ้น<br />
3) Non-linear หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่ไม่เป็น<br />
เชิงเส้นตรง กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหา<br />
การเชื่อมโยงที่ยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน<br />
4) Interaction หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบกับเนื้อหาหรือ<br />
กับผู้อื่นได้<br />
5) Immediate Response หมายถึง e-Learning ควรมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล<br />
และประเมินผล ซึ่งให้ผลย้อนกลับโดยทันทีแก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของแบบทดสอบ<br />
ก่อนเรียน (Pre-test) หรือแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test)<br />
ตารางที่ 2.1 แสดงลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบปกติและการจัดการเรียนการสอน<br />
e-Learning [24]<br />
ลักษณะ ห้องเรียนปกติ e-Learning<br />
สถานที่เรียน ต้องมีสถานที่สำหรับทำการเรียน<br />
การสอน ซึ่งอาจจะเป็นที่โรงเรียน<br />
หรือสถานที่ที่จัดไว้ก็ได้<br />
จะมีห้องเรียนหรือไม่มีก็ได้ แต่โดยปกติ<br />
มักจะไม่อาศัย ห้องเรียน ซึ่งเป็นจุดเด่น<br />
อย่างหนึ่งในการเรียนแบบ e-Learning<br />
(เพียงขอให้ผู้เรียนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่<br />
สามารถต่อระบบเครือข่ายได้)<br />
22<br />
23<br />
ตารางที่ 2.1 (ต่อ)<br />
ลักษณะ ห้องเรียนปกติ e-Learning<br />
การเตรียม<br />
การสอน<br />
การเตรียมการสอนในห้องเรียน<br />
ปกติจะง่ายกว่าการ เตรียมการสอน<br />
ของ e-Learning เพราะอาจารย์<br />
เตรียมการสอนตามปกติ เช่น<br />
เอกสารประกอบ การสอน แผ่นใส<br />
วีดิทัศน์ เทปเสียง หรือการใช้<br />
PowerPoint ก็ได้<br />
สำหรับe-Learning จะมีการเตรียมการสอน<br />
ที่ยากกว่า เพราะเมื่อ อาจารย์เตรียมการสอน<br />
สำหรับสอนในห้องเรียนปกติแล้ว ก็ต้องนำ<br />
ทุกอย่าง มาแปลงให้อยู่ในรูปของไฟล์<br />
คอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถนำไป เปิดใช้งาน<br />
โดยโปรแกรมเบราเซอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น<br />
IE หรือ Netscape<br />
ผู้สอน ผู้เรียน<br />
เห็นหน้ากัน<br />
เห็นหน้ากันหมด ซึ่งเป็นข้อดีอย่าง<br />
หนึ่งของการเรียนใน ห้องเรียน<br />
ปกติ เพราะผู้เรียนสามารถพบปะ<br />
พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น<br />
อย่างอิสระ(คุยกันในห้องเรียน)<br />
และอาจมีข้อจำกัดบ้างในเรื่องของ<br />
การถามตอบเพราะ ผู้เรียนจะเขิน<br />
อายกันเองหากตอบคำถามไม่ได้<br />
หรือ จะถามในส่วนใดส่วนหนึ่ง<br />
ของเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ<br />
จะขึ้นอยู่กับการออกแบบว่าเป็นอย่างไร ซึ่ง<br />
อาจจะมีการเก็บภาพวีดิทัศน์ ของอาจารย์ไว้<br />
แล้วให้ผู้เรียนเปิดดูพร้อมเนื้อหาโดยผ่าน<br />
ระบบเครือข่าย หรือจะเป็นการเรียน<br />
การสอนโดยอาจารย์สอนผ่านกล้องที่ต่อ<br />
คอมพิวเตอร์ ผ่านในระบบเครือข่าย ผู้เรียน<br />
ก็จะสามารถเรียนกับผู้สอนได้โดยทันที<br />
(Live) แต่ในเวลานี้ยังอยู่ในระดับที่พอใช้ได้<br />
เทคโนโลยียังคงต้องรอการพัฒนา เพื่อให้<br />
อยู่ในระดับดี และดีมากในอนาคตต่อไป<br />
ต้องมาเรียน<br />
พร้อมกัน<br />
มีความจำเป็นมากที่ต้องมาเรียน<br />
พร้อมๆกันในการเรียน ใน<br />
ห้องเรียนปกติ ถ้าใครไม่มาก็มี<br />
โอกาสตามไม่ทัน พอมาเรียนอีก<br />
วันก็ไม่สามารถเรียนในเนื้อหา<br />
ต่อไปได้ และอาจารย์จะต้อง<br />
มาสอนทุกวันแม้ว่าจะมีผู้เรียนมา<br />
เรียนกี่คนก็ตาม<br />
แต่ถ้าเป็นการเรียนแบบ e-Learning ใครจะ<br />
มาเรียนเมื่อไรก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ที่ไหน<br />
ก็ได้ (ที่มีคอมพิวเตอร์ต่อกับระบบเครือข่าย)<br />
อาจารย์ ผู้สอนก็ไม่จำเป็น ต้องมานั่งเฝ้า<br />
สอนอีกต่อไป โดย e-Learning จะเปิด<br />
โอกาสให้ผู้เรียนที่เรียนไม่ทันสามารถ<br />
ทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วได้ อีกทั้งใช้<br />
เวลาศึกษาได้นานซ้ำ ไปซ้ำมาได้ไม่จำกัด<br />
เวลาในการเรียนรู้<br />
23<br />
24<br />
ตารางที่ 2.1 (ต่อ)<br />
ลักษณะ ห้องเรียนปกติ e-Learning<br />
คุณภาพใน<br />
การสอน<br />
คุณภาพในการเรียนการสอนจะขึ้นอยู่<br />
กับอาจารย์ผู้สอน เป็นหลักถึงแม้ว่าจะ<br />
เป็นเนื้อหาวิชาเดียวกัน หนังสือเล่มเดียว<br />
กันแต่ก็ใช่ว่าผู้เรียนจะได้รับเนื้อหาที่<br />
สมบูรณ์หรือ เข้าใจในเนื้อหาที่<br />
เหมือนกัน เพราะอาจารย์แต่ละท่าน จะมี<br />
เทคนิคในการถ่ายทอดความรู้ที่แตกต่าง<br />
กันไปตามประสบการณ์ และการที่<br />
อาจารย์ต้องสอนในเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ<br />
บ่อย ๆ จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและ<br />
ไม่อยากอธิบายซ้ำ ๆ จึงทำให้ผู้เรียนไม่<br />
เข้าใจในบางส่วนและไม่กล้าที่จะถาม<br />
ซ้ำอีก<br />
การเรียน e-Learning คุณภาพการเรียน<br />
การสอนจะเท่ากัน คำว่าเท่ากันนี้<br />
หมายความว่า เนื้อหาในบทเรียนนี้เป็น<br />
เนื้อหาบทเรียนเดียวกัน ผู้เรียนสามารถ<br />
เปิดดูซ้ำกี่ครั้งก็ได้ ไม่เข้าใจสามารถดูซ้ำ<br />
จนเข้าใจได้ ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็สามารถ<br />
e-Mail มาถามอาจารย์หรือ เข้า Web<br />
board เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน<br />
ระหว่างผู้เรียนกันเอง<br />
เรียนไป<br />
พร้อม ๆ กัน<br />
เท่า ๆ กัน<br />
การเรียนในห้องเรียนปกติผู้เรียนจะต้อง<br />
ตั้งใจฟังเนื้อหาไป พร้อม ๆ กันและต้อง<br />
เข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์สอนในเวลาที่<br />
รวดเร็ว เพราะถ้าไม่เข้าใจแล้วให้<br />
อาจารย์อธิบายซ้ำบ่อย ๆ จะทำให้ผู้เรียน<br />
อื่น เสียเวลาในการเรียนเนื้อหาถัดไป<br />
หรือเบื่อหน่ายได้<br />
เรียนกับ e-Learningไม่ต้องรอกันใคร<br />
เข้าใจก่อนก็สามารถเรียนในเนื้อหา<br />
ถัดไปได้เลย ส่วนใครที่ไม่สามารถเข้าใจ<br />
ในเนื้อหานั้น ๆ ก็สามารถใช้เวลา ทำ<br />
ความเข้าใจในเนื้อหานั้นได้มากขึ้นโดย<br />
ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้คนอื่น ช้าไปด้วย<br />
การวัดผล<br />
การเรียน<br />
ในห้องเรียนการวัดผลการเรียนต้องทำ<br />
การสอบ มีการเก็บข้อสอบ อาจารย์ต้อง<br />
มาตัดเกรดเองและประกาศผลเอง<br />
e-Learning สามารถวัดผลการเรียนรู้ของ<br />
ผู้เรียนได้โดยทันที คือถ้าทำข้อใดผิด ก็<br />
จะแจ้งผลย้อนกลับทันที(Feedback) ซึ่ง<br />
ผู้สอนอาจจะมีคำอธิบายที่ให้ผู้เรียนได้<br />
เข้าใจว่าที่ถูกเป็นเช่นไร ทำให้ผู้เรียน<br />
เข้าใจ และจดจำในวิชานั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น<br />
ข้อควรคำนึง<br />
24<br />
25<br />
ตารางที่ 2.1 (ต่อ)<br />
ลักษณะ ห้องเรียนปกติ e-Learning<br />
ที่อาจจะดูว่ายุ่งยากก็คือ จะต้องมีการออก<br />
ข้อสอบให้มากกว่าที่ใช้สอบจริง 2- 3 เท่า<br />
ให้มีข้อสอบมาก ๆ ในอยู่ในลักษณะของ<br />
คลังข้อสอบ e-Learning จะทำการเลือก<br />
ข้อสอบแบบสุ่ม ให้ตามจำนวนข้อที่<br />
ต้องการใช้สอบ ถ้าคิดกันให้ดีการทำ<br />
อย่างนี้จะช่วยให้ สามารถประหยัดเวลา<br />
ในการออกข้อสอบบ่อย ๆ และคลัง<br />
ข้อสอบจะช่วยให้ ผู้เรียนไม่สามารถลอก<br />
ข้อสอบกันได้เพราะจะได้ข้อสอบที่มี<br />
ข้อแตกต่างกัน<br />
ต้นทุน<br />
การเตรียม<br />
การสอน<br />
ต่ำกว่า เพราะแผ่นใส ปากกาเขียนแผ่นใส<br />
(ฟรี) สื่ออื่น ๆ ก็สามารถยืมได้ (ที่กอง<br />
เทคโนโลยีการศึกษา)<br />
สูงกว่า เพราะทางมหาวิทยาลัยต้องมี<br />
การลงทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มีระบบ<br />
e-Learning<br />
ต้นทุน<br />
เมื่อทำ<br />
การสอน<br />
สูงกว่า เพราะมหาวิทยาลัยต้องซื้ออุปกรณ์<br />
การสอนและสื่อต่าง ๆ และต้องบำรุง<br />
รักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอด<br />
ต่ำกว่า เพราะลงทุนไปแล้ว เวลาสอนก็<br />
จะไม่ต้องลงทุนซ้ำอีก เพียงแต่เพิ่มหรือ<br />
ปรับเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา<br />
จำนวน<br />
ผู้เรียนใน<br />
ห้องเรียน<br />
ต้องมีการจำกัดจำนวนผู้เรียน หากมีผู้เรียน<br />
จำนวนมาก ก็ต้องแบ่งกลุ่มเข้าเรียน ทำให้<br />
ผู้สอนเหนื่อยซ้ำหลายครั้ง<br />
e-Learning สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่<br />
จำกัดจำนวนผู้เรียน และไม่มีการเข้าเรียน<br />
สาย (แล้วโดดเรียน)<br />
ผู้เรียน<br />
สามารถ<br />
ค้นคว้า<br />
เพิ่มเติมได้<br />
มีโอกาสไปศึกษาด้วยตนเองน้อย เพราะ<br />
เมื่อเรียนเสร็จ ก็จะกลับบ้าน ห้องสมุดเอง<br />
ก็เปิดในเวลาหลังเลิกเรียนได้ไม่นาน ก็<br />
ต้องปิด<br />
ผู้เรียนสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมในขณะ<br />
เรียนได้เลยเพราะมี Link ที่ให้ค้นคว้าได้<br />
ทันที แล้ว กลับมาศึกษาต่อหรือควบคู่กัน<br />
ไปก็ยังได้<br />
25<br />
26<br />
ตารางที่ 2.1 (ต่อ)<br />
ลักษณะ ห้องเรียนปกติ e-Learning<br />
ความ<br />
เป็น<br />
ส่วนตัว<br />
มีน้อยกว่า เพราะอยู่รวมกันหลายคน จะไอ จะจาม<br />
ก็คงลำบาก หรือทานขนมขบเคี้ยวไปด้วยก็ทำ<br />
ไม่ได้ (เดี๋ยวอาจารย์จะขอด้วย)<br />
อันนี้คงไม่ต้องบรรยายมาก หาก<br />
อยู่ที่บ้านใส่ชุดนอนเข้าเรียนก็ได้<br />
ไม่มีใครห้าม หรือกินข้าวเช้าไป<br />
ด้วยก็ได้ (โปรดระวังข้าวหกใส่<br />
แป้นพิมพ์ด้วย)<br />
สรุปได้ว่า ลักษณะของ e-Learning เป็นการผนวกความสามารถทางเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เข้ากับ<br />
ระบบการเรียนการสอน ผู้สอนมีความคล่องตัวในการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย การออกข้อสอบ<br />
และวัดผลสามารถทำได้ง่าย ผู้เรียนมีความเป็นส่วนตัว มีอิสระทางการเรียน เนื้อหาการเรียนการสอน<br />
มีประกอบไปด้วย มัลติมีเดีย มีส่วนกระตุ้นให้ผู้เรียน ไม่เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความใฝ่รู้อยากเรียน<br />
มากขึ้น<br />
2.3.3 ประโยชน์ของ e-Learning<br />
ประโยชน์ของการนำระบบ e-Learning มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนมีดังนี้ คือ<br />
ศุภชัย สุขะนินทร์ [28] ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ e-Learning ไว้ 8 ข้อไว้ดังนี้<br />
1) เพิ่มความยืดหยุ่นในด้านเวลาผู้เรียนที่อยู่ในวัยทำงานและนักเรียน นักศึกษาที่เรียนใน<br />
ชั้นเรียนปกติอยู่แล้ว การเรียนแบบ e-Learning จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถศึกษาหาความรู้<br />
เพิ่มเติมได้ โดยสามารถเลือกเวลาเรียนได้เองตามความเหมาะสมของแต่ละคน กล่าวคือในเวลา<br />
กลางวันพวกเขาก็ทำงานหรือเรียนตามปกติ แต่หลังจากนั้นหรือในวันหยุดการใช้เวลาว่างให้เป็น<br />
ประโยชน์ด้วยการเรียนรู้เพิ่มเติมก็สามารถเรียนออนไลน์แบบ e-Learning กับ www.Thai2Learn.com<br />
ได้ในทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ<br />
2) เลือกสถานที่เรียนได้เอง สำหรับผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ก็ต้องพบกับสภาพการจราจรที่ติดขัด<br />
โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็น ส่วนผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกลก็ต้องเดินทางจากบ้านไปยังสถานศึกษา<br />
ที่อยู่ไกลออกไป จึงสรุปได้ว่าการเดินทางไปยังสถานศึกษาเป็นข้อจำกัดของการเรียนปกติแต่ด้วย<br />
การเรียนแบบ e-Learning ทุกท่านสามารถเข้าสู่บทเรียนได้จากทุกที่ (ที่สามารถเชื่อมต่อกับ<br />
อินเทอร์เน็ตได้) อาจใช้เวลาหลังเลิกงานหรือหลังรับประทานอาหารเย็น ด้วยเวลาเพียงวันละประมาณ<br />
1-2 ชั่วโมงท่านก็สามารถเพิ่มพูนความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นการพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาส<br />
การหางานทำหรือเพิ่มโอกาสในหน้าที่การงานที่ดีขึ้น<br />
26<br />
27<br />
3) ประหยัดค่าใช้จ่ายการเรียนภาคปกติหรือภาคค่ำในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ นั้นจะมี<br />
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้สอน ผู้บรรยาย ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอุปกรณ์<br />
การเรียน และอื่น ๆ ด้วยการเรียนแบบ e-Learning จะช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ประมาณ 30-50<br />
เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการเรียนปกติ<br />
4) เลือกเรียนในวิชาที่สนใจ ในอดีตผู้ที่จะได้เรียนวิชาต่าง ๆ ที่เปิดสอนในภาคปกติ<br />
ของสถาบันการศึกษาแห่งใดนั้น ก็คือนักศึกษาของสถาบันแห่งนั้นบุคคลภายนอกก็ไม่มีโอกาส<br />
ได้เรียน ดังนั้นทางโครงการ ฯ จึงได้มุ่งที่จะสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของ<br />
ความรู้เนื้อหา บทเรียนในสาขาวิชาต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนทุกคนได้เลือกเรียนในวิชาต่าง ๆ ตามความ<br />
สนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเรียนตามอัธยาศัยดังที่ได้ระบุไว้ใน<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542<br />
5) ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกต้อง การเรียนแบบ e-Learning เป็นการเรียนที่ผู้เรียน<br />
แต่ละคนได้รับเนื้อหาของบทเรียนที่มีความเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ นั่นคือไม่เกิดการบิดเบือน<br />
ในกระบวนการถ่ายทอด เนื่องจากทุกครั้งที่ผู้เรียนแต่ละคนเรียกดูเนื้อหาของบทเรียนเดียวกัน ระบบ<br />
ก็จะไปดึงเอาข้อมูลนั้น ๆ มาแสดงให้กับทุกคนเหมือนกัน ผู้เรียนจึงมั่นใจได้ว่าเนื้อหาของบทเรียน<br />
ที่ได้รับนั้นมีความน่าเชื่อถือสูงสุด<br />
6) ขยายโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในชุมชนแห่งการเรียนรู้แบบออนไลน์<br />
(Virtual Learning Community) มีลักษณะพิเศษคือแม้ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน<br />
ก็สามารถใช้เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ติดต่อ สอบถาม ปรึกษาหารือ<br />
และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างตัวผู้เรียนกับครู อาจารย์สอน และระหว่างผู้เรียนกับเพื่อนร่วม<br />
ชั้นเรียนคนอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ ทำให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้ที่สมบูรณ์แบบ<br />
7) การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน โครงการได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และระบบ<br />
บริหารการเรียน (LMS: e-Learning Management System) ระบบจะบันทึก ติดตาม ตรวจสอบ และ<br />
ประเมินผลการเรียนของผู้เรียนได้อย่างครบถ้วน ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอน<br />
สามารถพัฒนาการเรียนการสอนให้มีความสมบูรณ์และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียนที่ได้<br />
กำหนดไว้<br />
8) การได้เรียนรู้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการเรียนในบทเรียนเนื่องจาก e-Learning<br />
เป็นการเรียนผ่านWeb browser ที่ต้องอาศัยทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ (Hardware)<br />
และโปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ ที่จำ เป็นต่อการเรียนแบบนี้ (Software) ซึ่งก็จะทำ ให้ผู้เรียน<br />
เกิดความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี กลายเป็นคนที่พร้อมที่จะรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่กลัว<br />
การเปลี่ยนแปลง เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทั้งด้าน (Hardware) และ (Software) นั้นเปลี่ยนแปลง<br />
อยู่ตลอดเวลา<br />
27<br />
28<br />
ชฎิล เกษมสันต์ [26] การเรียนแบบ e-Learning มีจุดเด่นและประโยชน์ที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดได้แก่<br />
1) ความสะดวกสบาย ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะระบบการเรียนการสอน<br />
แบบ e-Learning จะไม่ผูกติดกับชั้นเรียน ในตัวระบบจะทำการจำลองห้องเรียนเสมือนเพื่อให้ผู้เรียน<br />
เข้าไปเรียนเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ได้ ผู้เรียนจะสามารถเข้าชั้นเรียนที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับ<br />
สถานที่นั้นมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถต่อ Internet ได้หรือไม่ นอกจากนี้ผู้เรียนยังกำหนด<br />
ระยะเวลาการเรียนได้อย่างอิสระ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล<br />
2) ความทันสมัยของเนื้อหา นี่คือจุดเด่นอีกประการของการเรียนการสอนแบบ e-Learning<br />
เพราะการผลิตบทเรียนได้เน้นการผลิตในรูปแบบของเว็บไซต์เป็นประการสำคัญ ดังนั้นการปรับปรุง<br />
และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสามารถทำได้ง่าย และใช้เวลาไม่มาก นอกจากนี้ยังไม่จบแค่เนื้อหา<br />
ในบทเรียนที่นำเสนอ ยังสามารถเสริมเนื้อหากว้างไกลด้วย Link ที่เกี่ยวข้องได้อีก<br />
3) ง่ายต่อการใช้งานระบบ เนื่องด้วยการทำงานของระบบ e-Learning นั้นเป็นวิธีการทำงาน<br />
แบบเว็บไซต์ จึงทำให้ใช้งานได้ง่าย ผู้เรียนเพียง แค่คลิกเมาส์หรือพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดก็สามารถใช้งาน<br />
ได้แล้ว<br />
4) ความเป็นเลิศของระบบ ระบบสามารถติดตามบันทึกข้อมูลของผู้เรียน อาทิ เวลาเข้าเรียน<br />
คะแนนเก็บ คะแนนสอบ ดังนั้นผู้เรียนสามารถตรวจสอบตัวเองได้ตลอดเวลา ส่วนทางด้านผู้สอน<br />
ผู้สอนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของผู้เรียนได้อย่างละเอียดตามความต้องการ การเรียนแบบ<br />
e-Learning นั้น มีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนได้ทั้งแบบเป็นกลุ่ม และรายบุคคล<br />
สามารถรวมคะแนนและแสดงผลการเรียนให้ Feed Back อย่างทันทีทันใด ผ่านระบบได้<br />
5) ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้เรียนสามารถเรียนที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ จะช่วยประหยัดค่าเดินทาง<br />
และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมา<br />
6) ใช้เป็นสื่อหลัก หรือสื่อเสริมก็ได้ การใช้ระบบ e-Learning เป็นสื่อหลักนั้นหมายถึง<br />
การนำมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างเต็มรูปแบบ คือผู้เรียนจะเข้าเรียน ส่งงาน ติดต่อสื่อสารกับ<br />
ผู้สอนผ่านระบบ โดยไม่ต้องเข้าเรียนในชั้นเรียน แต่ในกรณีที่นำมาใช้เป็นสื่อเสริมนั้นหมายถึง ผู้เรียน<br />
ได้เข้าเรียนในชั้นเรียนตามปกติ แล้วสามารถใช้ระบบ e-Learning เป็นตัวเสริมเพื่อทบทวนเนื้อหาวิชา<br />
ต่าง ๆ ก่อนหรือหลังการเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติได้<br />
สรุปได้ว่า ประโยชน์ของ e-Learning นั้นมีมากมายหลายประการ คือ ความยืดหยุ่นสำหรับผู้เรียน<br />
กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเลือกวันเวลา สถานที่เองได้ สามารถเรียนซ้ำๆในเนื้อหาที่ต้องการ ประหยัด<br />
ค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ สำหรับผู้สอนจะได้ประโยชน์ในด้าน ไม่เกิดความซ้ำซากจำเจ ในการสอน<br />
เนื้อหาซ้ำๆ มีความคล่องตัวสูงทั้งในด้านการจัดทำเนื้อหา ข้อสอบ ใช้เวลาในการประมวลผลสอบ<br />
น้อยลง ทั้งผู้เรียน และผู้สอนมีเครื่องมือที่หลากหลายในการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร<br />
ทั้งที่เป็นแบบ ประสานเวลา และแบบไม่ประสานเวลา<br />
28<br />
29<br />
2.3.4 ส่วนประกอบของ e-Learning<br />
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) [29] ได้กำหนดส่วนประกอบของ<br />
ระบบ e-Learning ไว้ว่า องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบออนไลน์ มีส่วนสำคัญ 4 ส่วน โดยแต่ละ<br />
ส่วนต้องได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วทำให้ระบบทั้งหมด<br />
สามารถทำงาน ประสานกันได้เป็นอย่างดี<br />
1) Content Delivery in Multiple Formats ส่วนประกอบแรกของ e-Learning ก็คือ เนื้อหาวิชา<br />
ที่จะนำมาสร้างเป็น e-Content ซึ่งจะได้มาจากอาจารย์ผู้แต่ง/อาจารย์ผู้สอนในเนื้อหานั้น ๆ โดยต้องนำ<br />
เนื้อหาดังกล่าวมาสร้างให้อยู่ในรูปแบบของมัลติมีเดียสื่อผสมเพื่อที่จะสามารถเรียนรู้จากคอมพิวเตอร์<br />
ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้<br />
2) Management of Learning Experience ส่วนนี้จะเป็นส่วนของระบบการจัดการอีเลิร์นนิ่ง<br />
หรือ LMS (Learning Management System) เป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลเพื่อทำหน้าที่<br />
ช่วยในการจัดการระบบการเรียน (Database Application Software) หน้าที่หลัก ๆ ได้แก่ การวางแผน<br />
การเรียน การลงทะเบียนผู้เรียน การเผยแพร่การเรียนผ่านทางอินเทอร์เน็ต การติดตาม ผลการเรียน<br />
ของผู้เรียน การวัดผลซึ่งซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะเข้ามาช่วยในระบบการจัดการของระบบการเรียน<br />
3) Networked Community of Learners การสร้างชุมชมของการเรียนรู้ เนื่องจากเรียนรู้<br />
ในระบบอีเลิร์นนิ่งเป็นการเรียนรู้โดยการ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br />
4) Content Developers and Experts ส่วนสุดท้ายก็คือ ส่วนของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้พัฒนา<br />
เนื้อหาวิชา<br />
ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ และกรกนก วงศ์พานิช [24] ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของe-Learning ไว้ดังนี้<br />
e-Learning มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะต้องได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี<br />
เพราะเมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วระบบทั้งหมดจะต้องทำงานประสานกันอย่างลงตัว<br />
1) เนื้อหาของบทเรียน อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าเป็นการศึกษาแล้ว เนื้อหาก็ต้องถือว่าสำคัญ<br />
ที่สุด ดังนั้น แม้ว่าจะพัฒนาให้เป็นแบบ e-Learning ก็จะต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาเป็นอันดับแรก<br />
2) ระบบบริหารการเรียน หรือ LMS ซึ่งย่อมาจาก e-Learning Management System<br />
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารและการกำหนดลำดับของเนื้อหาในบทเรียน แล้วส่งผ่าน<br />
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้เรียน ซึ่งรวมไปถึงขั้นตอนการประเมินผลในแต่ละบทเรียน ควบคุม และ<br />
สนับสนุนการให้บริการแก่ผู้เรียน LMS จะทำหน้าที่ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน จัดหลักสูตร เมื่อผู้เรียนเริ่มต้น<br />
บทเรียน ระบบจะเริ่มทำงาน โดยส่งบทเรียนผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นได้ทั้งระบบ<br />
เครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือเครือข่ายอินทราเน็ตในองค์กร หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ไปแสดงที่<br />
Web Browser ของผู้เรียน จากนั้นผู้เรียนก็จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และระบบก็จะติดตามและบันทึก<br />
29<br />
30<br />
ความก้าวหน้า รวมทั้งสามารถจัดทำรายงานกิจกรรม และผลการเรียนของผู้เรียนในทุกหน่วยการเรียน<br />
อย่างละเอียดจนกระทั่งจบหลักสูตร<br />
3) การติดต่อสื่อสาร ความโดดเด่นและความแตกต่างของ e-Learning กับการเรียนทางไกล<br />
แบบทั่ว ๆ ไป ก็คือการนำรูปแบบการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง (Two-way Communication) มาใช้<br />
ประกอบในการเรียนเพื่อสร้างความน่าสนใจ และความตื่นตัวของผู้เรียนให้มากยิ่งขึ้น เช่น ในระหว่าง<br />
บทเรียน ก็อาจจะมีแบบฝึดหัดเป็นคำถาม เพื่อเป็นการทดสอบในบทเรียนที่ผ่านมา และผู้เรียน<br />
ก็จะต้องเลือกคำตอบและส่งคำตอบกลับมายังระบบในทันที ลักษณะแบบนี้จะทำให้การเรียนรักษา<br />
ระบบความน่าสนใจในการเรียนได้เป็นระยะเวลามากขึ้น นอกจากนี้วัตถุประสงค์สำคัญอีกประการ<br />
ของการติดต่อแบบ 2 ทางก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ติดต่อสอบถาม ปรึกษาหารือ<br />
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างตัวผู้เรียนกับผู้สอน และระหว่างผู้เรียนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคน<br />
อื่น ๆ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอาจแบ่งได้ เป็น 2 ประเภทดังนี้<br />
3.1 ประเภท Synchronous ได้แก่ Chat (Message, Voice), White board/Text Slide,<br />
Real-time Annotations, Interactive Poll, Conferencing และ อื่นๆ<br />
3.2 ประเภท Asynchronous ได้แก่ กระดานข่าว อีเมล์ เป็นต้น<br />
4) การสอบ/วัดผลการเรียน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้ การเรียนแบบ e-Learning เป็น<br />
การเรียนที่สมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้วการเรียนไม่ว่า จะเป็นการเรียนในระดับใด หรือเรียนวิธีใด<br />
ก็ย่อมต้องมีการสอบ/การวัดผลการเรียนเป็นส่วนหนึ่งอยู่เสมอ แต่รูปแบบก็อาจจะแตกต่างกันไป<br />
กล่าวคือ ในบางวิชาต้องมีการวัดระดับความรู้ (Pre-Test) ก่อนสมัครเข้าเรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือก<br />
เรียนในบทเรียน หลักสูตรที่เหมาะสมมากที่สุด ซึ่งจะทำให้การเรียนที่จะเกิดขึ้นเป็นการเรียนที่มี<br />
ประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเข้าสู่บทเรียน ในแต่ละหลักสูตรแล้วควรก็จะมีการสอบย่อยท้ายบท และ<br />
การสอบใหญ่ ก่อนที่จะจบหลักสูตรเพื่อเป็นการวัดประสิทธิภาพในการเรียน ซึ่งการสอบใหญ่นี้<br />
ระบบบริหารการเรียนจะใช้ข้อสอบที่มาจากระบบบริหารคลังข้อสอบ (Test Bank System) ซึ่งเป็น<br />
ส่วนย่อยที่รวมอยู่ในระบบบริหารการเรียน (LMS : e-Learning Management System) สำหรับระบบ<br />
บริหารคลังข้อสอบนั้น ควรมีลักษณะดังนี้ เป็นตัวอย่าง<br />
4.1 สามารถทำการสอบออนไลน์ผ่าน Web Browser ได้ เพื่ออำนวยความสะดวก<br />
ในการประเมินผลและสามารถในบริการได้อย่างครบวงจร<br />
4.2 สามารถใช้สื่อมัลติมีเดียมาประกอบในการสร้างข้อสอบ เพื่อให้มีลักษณะเดียวกันกับ<br />
บทเรียนที่ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจลักษณะการใช้งานรวมถึงการตอบโต้ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่าน<br />
ทางหน้าจอ<br />
4.3 การรักษาความปลอดภัยทั้งในด้านการรับ-ส่งข้อสอบ เนื่องจากการดำเนินการต่าง ๆ<br />
รวมถึงขั้นตอนการสอบเป็นข้อมูลส่วนตัวสำหรับบุคคล<br />
30<br />
31<br />
สรุปได้ว่า ส่วนประกอบของ e-Learning นั้นประกอบไปด้วยส่วนสำคัญหลักดังต่อไปนี้ 1) เนื้อหา<br />
ของบทเรียนนับได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะสามารถสื่อไปถึงตัวผู้เรียน 2) ระบบบริหารจัดการ<br />
เรียน หรือ LMS (Learning Management System) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเชื่อมต่อ<br />
ส่วนประกอบอื่น ๆ ให้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ นับตั้งแต่ระบบการลงทะเบียนของผู้เรียน<br />
การวางแผนจัดสร้างรายวิชาของผู้สอน ระบบการติดตามการเรียนและวัดผลของผู้เรียน 3) ระบบ<br />
การติดต่อสื่อสาร เป็นส่วนที่คอยอำนวยความสะดวกในด้านข่าวสาร การติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กัน<br />
ระหว่าง ผู้เรียนกับ ผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน 4) ด้านการทดสอบและวัดผล เป็นส่วนที่คอยอำนวย<br />
ความสะดวกในด้านการออกแบบคลังข้อสอบให้เกิดความหลากหลายเกิดการทุจริตได้ยาก ด้าน<br />
การรายงานผลสามารถทำได้รวดเร็วในเวลาอันสั้น สามารถเก็บเป็นสถิติการเข้าใช้ระบบของผู้เรียนได้<br />
หลายรูปแบบ<br />
2.3.5 ใครเกี่ยวข้องกับ e-Learning<br />
ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ และกรกนก วงศ์พานิช [24] ได้กล่าวไว้ดังนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับ e-Learning<br />
ประกอบด้วยกลุ่มคน 3 กลุ่ม ได้แก่<br />
1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ รวมถึงการใช้สื่อ<br />
เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพผู้เรียน ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านต่าง ๆ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญนี้<br />
จะประกอบด้วย<br />
1.1 ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและเนื้อหา คือผู้ที่มีความรู้ด้านเนื้อหาของบทเรียน หลักสูตร<br />
ที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่รับผิดชอบ ในการกำหนดเป้าหมาย และทิศทางของหลักสูตร<br />
1.2 ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางการสอนในรายวิชานั้น ๆ ควรจะมี<br />
ความสามารถในการจัดลำดับความสัมพันธ์ และความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชา รู้เทคนิค และวิธีการใน<br />
การนำเสนอ การสร้างบทเรียนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร รวมถึง<br />
การวัดผล<br />
1.3 ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ ทำ หน้าที่ให้คำ ปรึกษาการออกแบบบทเรียน จัดรูปแบบ<br />
การแสดงผลการเลือกใช้กราฟิก หรือสื่อต่าง ๆ ที่จะช่วยกระตุ้น และดึงดูดความสนใจของผู้เรียน<br />
1.4 ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้โปรแกรมเกี่ยวกับ<br />
การผลิตสื่อที่เหมาะสมกับ เนื้อหาที่จะนำเสนอ จากผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อที่ออกแบบไว้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านหลักสูตรและเนื้อหา กับผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอาจจะเป็นคนเดียวกันได้ เพราะอาจารย์จะมี<br />
ความเข้าใจในเนื้อหาที่สอนเป็นอย่างดีอีกทั้งยังสอนอยู่เป็นประจำมีเทคนิคการสอนที่ดีอยู่แล้วและ<br />
ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อกับผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจเป็นคนเดียวกันได้ เพราะผู้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านสื่อหรือนักเทคโนโลยีการศึกษาจะมีความรู้ในด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยก็ได้<br />
31<br />
32<br />
2) กลุ่มผู้ออกแบบและสร้างบทเรียน เป็นผู้ที่ออกแบบและสร้างบทเรียนโดยตรง โดยเริ่ม<br />
ตั้งแต่การวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์กิจกรรม ซึ่งกลุ่ม ดังกล่าวนี้ จะวิเคราะห์ถึงความเหมาะสม<br />
และความสัมพันธ์กันระหว่างเนื้อหาที่ออกแบบกับวุฒิภาวะของผู้เรียน กลุ่มดังกล่าวนี้จะเป็น<br />
ผู้เชี่ยวชาญในด้านสื่อ และผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือรวมกันในตัวคนเดียวกัน เป็น<br />
นักเทคโนโลยีการศึกษาก็ได้เช่นกัน<br />
3) ผู้บริหารโครงการ ทำหน้าที่จัดการ และบริหารงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างบทเรียน<br />
จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ตลอดจน ควบคุมงบประมาณและระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละ<br />
ขั้นตอนให้เป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้<br />
สรุปได้ว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ e-Learning นั้นประกอบได้ด้วยบุคคลหลายฝ่ายอีกทั้งบุคคลเหล่านั้นยัง<br />
จะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่ตนเองรับผิดชอบจึงจะสามารถผลิตบทเรียนที่ตรงตาม<br />
ความต้องการและสามารถสื่อสารไปสื่อผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามวัตถุประสงค์ แต่<br />
ปัจจุบัน เรายังประสบปัญหาขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเป็นจำนวนมากอีกทั้งในการผลิต<br />
บทเรียนที่มีคุณภาพนั้นต้องใช้เวลาความละเอียดประณีตทำให้บางครั้งบทเรียนที่ผลิตออกมา<br />
เกิดความล้าสมัยไม่ทันต่อเหตุการณ์ หรือใช้ได้ไม่นานทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง<br />
หลายแห่งพบว่า อาจมีเจ้าหน้าที่หรืออาจารย์อยู่เพียงท่านเดียวแต่ต้องรับหน้าที่ทั้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br />
หลักสูตร เนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ด้านสื่อ ด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในคน ๆ เดียวกัน<br />
ปัญหานี้ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากสถาบันการศึกษา รัฐในการให้ความสนับสนุน ผลิต<br />
บุคลากรที่มีความชำนาญในด้านนี้ออกสู่สังคมให้ทันต่อความต้องการ<br />
2.3.6 ระดับการนำ e-Learning ไปใช้<br />
ดร. ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ [23] การนำ e-Learning ไปใช้ประกอบกับการเรียนการสอน สามารถทำ<br />
ได้ 3 ระดับ ดังนี้<br />
ระดับที่ 1 เป็นส่วนเสริม (Supplementary) ระดับนี้ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอ<br />
ออนไลน์สามารถถูกค้นพบได้ในรูปแบบอื่นๆ หน้าที่ของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ออนไลน์ คือ เป็นทางเลือก<br />
ทางการศึกษาแก่ผู้เรียนอีกทางหนึ่ง หรือเป็นการขยายโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์เพิ่มเติม<br />
ระดับที่ 2 เป็นองค์ประกอบ (Complementary) ระดับนี้เป็นการเพิ่มสื่ออออนไลน์เข้าไปกับวิธี<br />
นำเสนออื่น ๆ เช่น ในชั้นเรียนปกติสื่อที่เป็นออนไลน์จัดว่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้อง<br />
เข้าไปเรียนรู้ หน้าที่ของสื่อชนิดนี้ คือการให้ประสบการณ์การเรียนแก่ผู้เรียนซึ่งประสิทธิภาพ<br />
ขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อที่ใช้<br />
32<br />
33<br />
ระดับที่ 3 เป็นการทดแทนสมบูรณ์แบบ (Comprehensive Replacement) ระดับนี้ การนำเสนอ<br />
แบบออนไลน์จัดว่าเป็นรูปแบบหลักของการนำเสนอ หรือถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นของกระบวนการเรียน<br />
การสอน อย่างไรก็ตาม อาจมีการนำเสนอรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วยได้<br />
เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ หรือปฏิบัติการ เป็นต้น หน้าที่ของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ออนไลน์คือเป็นการให้สิ่งแวดล้อม<br />
การเรียนอย่างสมบูรณ์ของเนื้อหากระบวนวิชานั้น ๆ<br />
ปัทมา นพรัตน์ [27] เนื้อหาของ e-Learning สามารถแบ่งเป็น 3 ลักษณะดังนี้<br />
1) ระดับเน้นข้อความออนไลน์ (Text Online) เนื้อหาจะอยู่ในรูปของข้อความเป็นหลัก ซึ่งมี<br />
ข้อดีคือเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาและการบริหารจัดการรายวิชาโดยผู้สอน<br />
หรือผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาสามารถผลิตได้ด้วยตนเอง<br />
2) ระดับรายวิชาออนไลน์เชิงโต้ตอบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)<br />
เนื้อหาจะอยู่ในรูปตัวอักษร ภาพ เสียง และวีดีทัศน์ ที่ผลิตขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ซึ่งควรมีการพัฒนา LMS<br />
ที่ดี เพื่อช่วยผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาในการสร้างและปรับเนื้อหาให้ทันสมัยได้ด้วยตนเอง<br />
3) ระดับรายวิชาออนไลน์คุณภาพสูง (High Quality Online Course) เนื้อหาจะอยู่ในรูปของ<br />
มัลติมีเดียที่มีลักษณะมืออาชีพ การผลิตต้องใช้ทีมงานในการผลิตที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน<br />
เนื้อหา (Content Experts) ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการสอน (Instructional Designers) และผู้เชี่ยวชาญ<br />
การผลิตมัลติมีเดีย (Multimedia Experts) เนื้อหาในระดับนี้ต้องมีการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรม<br />
เฉพาะสำหรับการผลิตและเรียกดู เช่น Macromedia Flash หรือ Flash Player เป็นต้น<br />
ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง [30] การนำ e-Learning ไปใช้ประกอบการเรียนการสอน สามารถทำ<br />
ได้ 3 ระดับ ดังนี้<br />
1) สื่อเสริม (Supplementary)หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะสื่อเสริม กล่าวคือ<br />
นอกจากเนื้อหาที่ ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผู้เรียนยังสามารถศึกษาเนื้อหาเดียวกันนี้ใน<br />
ลักษณะอื่น ๆ เช่น จากเอกสารประกอบ การสอน จากวีดิทัศน์ ฯลฯ การใช้ e-Learning ในลักษณะนี้<br />
เท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการจัดหาทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่ง สำหรับผู้เรียนในการเข้าถึงเนื้อหา<br />
เพื่อให้ประสบการณ์พิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้เรียนเท่านั้น<br />
2) สื่อเพิ่มเติม (Complementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพิ่มเติมจาก<br />
วิธีการสอนใน ลักษณะอื่นๆ เช่น นอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้ว ผู้สอนยังออกแบบเนื้อหา<br />
ให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมจาก e-Learning ในความคิดของผู้เขียนแล้ว ในประเทศไทย<br />
หากสถาบันใดต้องการที่จะลงทุนในการนำ e-Learning ไปใช้กับการเรียนการสอนตามปกติ (ที่ไม่ใช่<br />
ทางไกล) แล้ว อย่างน้อยควรตั้งวัตถุประสงค์ในลักษณะของสื่อเพิ่มเติมมากกว่า แค่เป็นสื่อเสริม เช่น<br />
ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาจาก e-Learning เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง เป็นต้น<br />
33<br />
34<br />
ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียนในบ้านเรา ซึ่งยังต้องการคำแนะนำจากครูผู้สอน รวมทั้ง<br />
การที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ ยังขาดการปลูกฝังให้มีความใฝ่รู้โดยธรรมชาติ<br />
3) สื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะ<br />
แทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์ ในปัจจุบัน e-Learning<br />
ส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะได้ รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสื่อหลักแทนครู<br />
เพื่อสอนทางไกล ด้วยแนวคิดที่ว่ามัลติมีเดียที่นำเสนอทาง e-Learning สามารถช่วยในการถ่ายทอด<br />
เนื้อหาได้ใกล้เคียงกับการสอนจริงของครูผู้สอน<br />
สรุปได้ว่า ระดับการนำ e-Learning ไปใช้นั้นสามารถแบ่งได้เป็น สามระดับดังต่อไปนี้ 1) ระดับ<br />
สื่อเสริม เป็นการทำสื่อออกมาอย่างง่าย ๆ โดยเน้นข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเป็นหลัก ให้ผู้เรียนไปทำ<br />
การ Download เพื่อมาอ่านเพิ่มเติมจากการเรียนการสอนปกติ ผู้เรียนจะได้ประสบการณ์ใหม่จาก<br />
การเข้าไปศึกษาในส่วนนี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้เรียนมีความสนใจค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเองต่อไปได้<br />
2) ระดับสื่อเพิ่มเติม เป็นการเพิ่มเติมสื่อในส่วนของรูปภาพ ตัวอักษร ภาพเคลื่อนไหว การผลิตจะ<br />
ซับซ้อนมากกว่าวิธีแรกส่วนมากผู้สอนจะมีการตกลงกับผู้เรียนในการให้เข้าไปทำแบบฝึกหัดบ้างเป็น<br />
ครั้งคราว หรือเข้าไปทำการเรียนเนื้อหาในบางส่วนที่ได้จัดเตรียมไว้ 3) ระดับสื่อหลัก หรือแบบ<br />
ทดแทนโดยสมบูรณ์ ระดับนี้ผู้เรียนกับผู้สอนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากัน การเรียนการสอนทั้งหมด<br />
รวมทั้งการสอบจะกระทำออนไลน์ทั้งหมด การใช้งานในระดับนี้ สำหรับประเทศไทยนับได้ว่า<br />
ยังเป็นของใหม่และยังไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติของผู้เรียนเอง<br />
ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองยังต้องมีการชี้แนะจากผู้สอน เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งประเด็นการทุจริต<br />
การสอบนั้นเป็นเรื่องที่แก้ได้ยากในสังคมบ้านเรา แต่ในปัจจุบันได้มีมหาวิทยาลัยเอกชน บางแห่งได้<br />
เปิดหลักสูตร ปริญญาโท และเอก เป็นการเรียนการสอนแบบสื่อหลัก ซึ่งเป็นความพยายามที่ต้องการ<br />
พิสูจน์กันต่อไปว่าจะสำเร็จมากน้อยเพียงใด<br />
2.3.7 ข้อดี และข้อพึงระวังเกี่ยวกับ e-Learning<br />
ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง [30] ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ e-Learning ไว้ว่า e-Learning ถือได้ว่า<br />
เป็นการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm Shift) ทางการศึกษา เพราะ e-Learning สามารถ<br />
นำไปใช้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ประโยชน์ของ<br />
e-Learning มีอยู่ด้วยกันหลายประการ ดังรายละเอียดต่อไปนี้<br />
1) e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น งานวิจัยหลายชิ้น<br />
สนับสนุน เนื้อหาการเรียนซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านทางมัลติมีเดียซึ่งสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้<br />
ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากจะเปรียบ e-Learning กับการสอนที่เน้น<br />
การบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk ซึ่งผู้สอนในปัจจุบันยังคงใช้กันอยู่นั้น e-Learning ที่ได้รับ<br />
34<br />
35<br />
การออกแบบและผลิต อย่างมีระบบจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า<br />
นอกจากในด้านของประสิทธิภาพทางการเรียนอันเกิดจากสื่อแล้ว ในด้านของระบบ e-Learning<br />
ยังมีการจัดหาเครื่องมือ ซึ่งทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าของพฤติกรรมการเรียน ของ<br />
ผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา<br />
2) e-Learning จะมีการใช้เทคโนโลยีสื่อหลายมิติ (Hypermedia) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลไม่<br />
ว่าจะเป็นในรูปของข้อความ ภาพนิ่ง เสียง กราฟฟิก วีดิทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว ที่เกี่ยวเนื่องกันเข้าไว้<br />
ด้วยกันในลักษณะที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลในลักษณะที่เป็นอิสระ (Non-Linear) เพื่อความสะดวก<br />
ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ การประยุกต์ใช้สื่อหลายมิติ นี้ก็เพื่อให้สามารถใช้เป็นวิธี การนำเสนอ<br />
ความรู้สำหรับสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เนื่องจากการใช้สื่อหลายมิติ สามารถ<br />
นำเสนอเนื้อหาในลักษณะของกรอบความคิดแบบใยแมงมุม (Web Framework) ซึ่งเป็น<br />
กรอบ ความคิดที่เชื่อว่าจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิดภายในจิตใจ ดังนั้น<br />
ผู้เรียนที่เรียนจาก e-Learning จะสามารถควบคุมการเรียนของตนได้และย่อมจะได้รับความรู้และมี<br />
การจดจำได้ดีขึ้น<br />
3) e-Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน ผู้เรียนสามารถควบคุม<br />
การเรียนของตนในด้านของลำดับการเรียน ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัดและความสนใจของตน<br />
ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเฉพาะเนื้อหาส่วนที่ต้องการทบทวน โดยไม่ต้องเรียนในส่วนที่เข้าใจแล้ว ซึ่ง<br />
ในลักษณะนี้ ถือเป็นการให้อิสระแก่ผู้เรียนในการควบคุมการเรียนของตน<br />
4) e-Learning เอื้อให้การโต้ตอบ (Interaction) ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบกับ<br />
เนื้อหา การโต้ตอบกับครูผู้สอนและเพื่อน หลักสูตรที่ได้รับการออกแบบมา อย่างดีนั้นจะเอื้อให้เกิด<br />
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การออกแบบเนื้อหา<br />
ในลักษณะเกม หรือ การจำลอง เป็นต้น เราทราบกันดีว่า การเรียน การสอนที่ดีที่สุดคือ การเรียน<br />
การสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้โต้ตอบกับผู้สอน หรือกับ ผู้เรียนอื่น ๆ มากที่สุด เพราะการเรียน<br />
ในลักษณะนี้ผู้สอนจะสามารถตอบปัญหา และคำถามต่าง ๆ ของผู้เรียนได้ทันที นั่นคือ e-Learning<br />
ให้โอกาสผู้เรียนในการโต้ตอบกับครูผู้สอน และ/หรือการได้รับผลป้อนกลับทั้งในเวลาเดียวกัน<br />
(Synchronous) เช่น การสนทนา (Chat) การออกอากาศสด และต่างเวลากัน (Asynchronous) เช่น<br />
การทิ้งข้อความไว้บนกระดานข่าว<br />
5) e-Learning ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมทั้งเนื้อหาที่มีความทันสมัย และ<br />
ตอบสนองต่อเรื่องราวต่าง ๆ ในปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที เพราะการที่เนื้อหาการเรียนอยู่ในรูปของ<br />
ข้อความอิเล็กทรอนิกส์ (e-Text) ซึ่งได้แก่ข้อความที่ได้รับการจัดเก็บ ประมวลผล นำเสนอ และ<br />
เผยแพร่ทางคอมพิวเตอร์ ทำให้มีข้อได้เปรียบสื่ออื่น ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านของ<br />
ความสามารถในการปรับปรุงเนื้อหาสารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา การเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ<br />
ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว และความคงทนของข้อมูล<br />
35<br />
36<br />
6) e-Learning ถือเป็นรูปแบบการเรียนที่สามารถจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนใน<br />
วงกว้างขึ้น เพราะผู้เรียนที่ใช้การเรียนลักษณะ e-Learning จะไม่มีข้อจำกัดในด้านการที่จะต้อง<br />
เดินทางมาศึกษาในเวลาใดเวลาหนึ่งและสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ดังนั้น e-Learning จึงสามารถ<br />
นำไปใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ด้วยและยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถนำ e-Learning ไปใช้<br />
เพื่อเปิดโอกาสสำหรับผู้เรียนที่ขาดโอกาสในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้เป็นอย่างดี ซึ่งจาก<br />
งานวิจัยในประเทศไทย พบว่า ยังมีผู้เรียนที่ขาดโอกาสในการศึกษาขั้นอุดมศึกษา อันเนื่องมาจาก<br />
ข้อจำกัดของสถาบันการศึกษาที่จำกัดจำนวนในการรับผู้เรียนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่<br />
จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอีกทศวรรษข้างหน้า ซึ่งการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนจำนวนที่มากขึ้น<br />
โดยมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ก็เท่ากับเป็นการลดต้นทุนในการจัดการศึกษานั้น ๆ<br />
ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ และกรกนก วงศ์พานิช [24 ] ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับข้อควรระวังในการออกแบบ<br />
บทเรียน e-Learning ไว้ว่าการสร้างสถานการณ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญในการดึงดูดความสนในของผู้เรียน<br />
และส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ 6 ประการ ดังนี้<br />
1) จัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ ให้มีความยาวเหมาะสมกับวุฒิภาวะ ทางการรับรู้ของผู้เรียน<br />
(Gradual Approximation) ด้วย e-Learning ผู้เรียนจะสามารถจัดแบ่งเวลาและเนื้อหา และการเรียกดู<br />
ข้อมูลเนื้อหาวิชาทีละตอนตามความต้องการของ ตนเองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว มีลักษณะ<br />
การนำเสนอเป็นตอน ตอนสั้น ๆ ที่เรียกว่า เฟรม หรือ กรอบ เรียงลำดับไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้เรียน<br />
สามารถรับรู้ และพัฒนาการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ<br />
2) ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง (Self Learning) ในe-Learning ควรจะทำปุ่มควบคุม<br />
หรือรายการควบคุมการทำงานให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้ เช่น มีส่วนที่เป็น<br />
บททบทวน หรือแบบฝึกปฏิบัติ แบบทดสอบ ให้ทำเพื่อ เป็นการประเมินการเรียนรู้ของตนเองได้<br />
3) เนื่องจากผู้สอนและผู้เรียนไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง ผู้เรียนอาจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย<br />
ฉะนั้นในการออกแบบ e-Learning จึงควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็น Interactive เพื่อทำให้ผู้เรียน<br />
ได้มีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา<br />
4) เตรียมระบบที่ผู้เรียนสามารถรับทราบผลการเรียนรู้และกิจกรรมที่ทำโดยทันทีที่งานเสร็จ<br />
จากการเฉลยคำตอบ จากการประเมินผล Online ซึ่งจะมีส่วนกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความตั้งใจมากขึ้น<br />
5) เตรียมการนำเข้าสู่บทเรียนหรือกิจกรรมการเรียนที่ดี และมีการทดสอบก่อนเรียนและหลัง<br />
เรียน เพื่อประเมินความสามารถและทักษะของผู้เรียน เพื่อเลือกระดับของเนื้อหาและกิจกรรมที่<br />
เหมาะสมกับผู้เรียน<br />
6) เตรียมแรงเสริมในทางบวก (Positive Reinforcement) ให้กับผู้เรียนด้วยการแสดงข้อความ<br />
หรือเสียงชมเชย และหลีกเลี่ยงการตำหนิ การลงโทษ อันจะทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย<br />
ท้อแท้ ซึ่งจะทำให้กระบวนการเรียนรู้ล้มเหลว<br />
36<br />
37<br />
ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง [30] ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ควรพึงระวังของ e-Learning ไว้ดังนี้<br />
1) การไม่ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความหมาย วิธีการ รวมไปถึงรูปแบบ ระดับการใช้งาน<br />
และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ e-Learning และนำไปใช้ (Implement) ตามกระแสความนิยม ก็อาจ<br />
ส่งผลทางลบแทนที่จะมีข้อได้เปรียบ<br />
2) ผู้สอนที่นำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะของสื่อเสริม โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเลย<br />
กล่าวคือ ผู้สอนใช้แต่วิธีบรรยายในทุกเนื้อหาและสั่งให้ผู้เรียนไปทบทวนจาก e-Learning<br />
หาก e-Learning ไม่ได้ออกแบบให้จูงใจผู้เรียนแล้ว ผู้เรียนก็คงใช้อยู่พักเดียวก็เลิกไปเพราะไม่มี<br />
แรงจูงใจใด ๆ ในการไปใช้ e-Learning ก็จะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด<br />
3) การลงทุนในด้าน e-Learning จะต้องครอบคลุมถึงการจัดการให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถ<br />
เข้าถึงเนื้อหา หรือการติดต่อสื่อสารออนไลน์ได้สะดวก สำหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนและ<br />
ผู้เรียนที่ใช้รูปแบบการเรียนในลักษณะนี้ต้องมีสิ่ง อำนวยความสะดวก (Facilities) ต่าง ๆ ในการเรียน<br />
ที่พร้อมเพรียงและมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ และ<br />
สามารถเรียกดูเนื้อหาโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในลักษณะมัลติมีเดีย ได้ครบถ้วน ด้วยความเร็วพอสมควร<br />
เพราะหากปราศจากข้อได้เปรียบ ในการติดต่อสื่อสารและการเข้าถึงแหล่งเนื้อหาได้สะดวก รวมทั้ง<br />
ข้อได้เปรียบสื่ออื่น ๆ ในด้านลักษณะของการนำเสนอเนื้อหา เช่น มัลติมีเดียแล้ว ผู้เรียนและผู้สอน<br />
ก็อาจไม่เห็นความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องใช้ e-Learning<br />
4) การออกแบบ e-Learning ที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนระดับ<br />
อุดมศึกษา ในบ้านเรา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น e-Learning จะต้องได้รับการออกแบบตามหลัก<br />
จิตวิทยาการศึกษา กล่าวคือ ต้องเน้นการออกแบบให้มีกิจกรรมการโต้ตอบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่<br />
กับเนื้อหาเอง กับผู้เรียนอื่น ๆ หรือกับผู้สอนก็ตาม นอกจากนั้นแล้ว การออกแบบการนำเสนอเนื้อหา<br />
ทางคอมพิวเตอร์ นอกจะต้องเน้นให้เนื้อหามีความถูกต้อง และชัดเจน ยังคงต้องเน้นให้มีความน่า<br />
สนใจ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้ เช่น การออกแบบการนำเสนอโดยใช้มัลติมีเดีย รวมทั้ง<br />
การนำเสนอเนื้อหาในลักษณะ (Non-Linear) ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกที่จะเรียนเนื้อหาใดก่อนหรือหลัง<br />
ได้ตามความต้องการ<br />
ปัทมา นพรัตน์ [27] ได้กล่าวถึงข้อที่ควรคำนึงของ e-Learning ไว้ว่า<br />
1) ความสำคัญของ e-Learning อยู่ที่การออกแบบ ดังนั้นแม้ว่าเนื้อหา วิธีการ ที่มีอยู่จะส่งผ่าน<br />
ระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างไรก็ตาม แต่ถ้ารูปแบบไม่น่าสนใจ ไม่สามารถดึงความสนใจ<br />
ของผู้เรียนไว้ได้ ก็ทำให้ผู้เรียนไม่อยากเรียน ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้ การนำ<br />
e-Learning ไปใช้ นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายและเสียเวลาอีกด้วย<br />
37<br />
38<br />
2) การใช้ e-Learning ต้องมีการลงทุนในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่อง<br />
คอมพิวเตอร์ที่พร้อมด้วยอุปกรณ์มัลติมีเดีย และประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ต้องเข้ากันได้ดี และต้อง<br />
คำนึงถึงการเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการติดต่อสื่อสารทั้งระหว่างผู้เรียน ผู้สอนอีกด้วย<br />
สรุปได้ว่า ข้อดีของ e-Learning นั้นได้เปรียบการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นอยู่หลายประการและ<br />
นับวันจะส่งผลให้การเรียนการสอนในรูปแบบอื่นๆ ล้าสมัยและหมดความนิยมไปในที่สุด กล่าวคือ<br />
e-Learning นั้นมีโครงสร้างเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งคล้ายกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิด ซึ่งทำให้<br />
ผู้เรียนมีการคิดและจดจำได้ดีกว่า สื่อในการจัดสร้างนั้นประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายมิติ ทำให้ผู้เรียน<br />
เกิดความกระตือรือร้นในการเรียน ก่อเกิดให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากกว่า ผู้เรียนสามารถควบคุม<br />
จังหวะการเรียนตามที่ตัวเองต้องการไม่จำเป็นต้องรอคนอื่นอยากเรียนซ้ำเนื้อหาเดิมได้ตามต้องการ<br />
นอกจากนี้ e-Learning ยังมีจุดเด่นอีกประการหนึ่งคือเป็นสื่อการสอนที่มีความคล่องตัวสูงสามารถ<br />
ทำการ แก้ไขได้ง่ายทำให้เนื้อหานั้นทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ e-Learning ยังนับได้ว่า<br />
เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าใช้ทุนน้อยเมื่อเปรียบเทียบในระยะยาว เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้เรียน<br />
ที่อยู่ห่างไกล หรือมีปัญหาเรื่องเวลา และการเดินทาง อีกทั้งเป็นการรองรับผู้เรียนจำนวนมากขณะที่มี<br />
ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ส่วนในด้านข้อควรระวังในการนำ e-Learning มาใช้นั้น คือผู้จัดสร้างบทเรียนหรือ<br />
ทีมงานควรทำการศึกษาถึงความหมาย วัตถุประสงค์ รูปแบบให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน ไม่ควรทำ<br />
ไปเพื่อตามกระแสเพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองงบประมาณแล้วยังทำให้ผู้เรียนเกิดภาพในแง่ลบ<br />
เกี่ยวกับ e-Learning อีกด้วย การสร้างเนื้อหานั้นควรต้องคำนึงถึงวุฒิภาวะของผู้เรียน ซึ่งจะไปสัมพันธ์<br />
กับระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละตอนของบทเรียน ผู้เรียนสามารถรับรู้ผลของการเรียนได้ทันทีหลังการมี<br />
การประเมินผลจากระบบ ทำให้เกิดความท้าทาย ไม่ควรใช้ข้อความตำหนิ ลงโทษ ควรให้ผู้เรียนมี<br />
ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนตลอดเวลา<br />
2.4 การจัดการบริหารด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS)<br />
2.4.1 ความหมายของระบบบริหารการเรียนการสอน<br />
ความหมายของระบบบริหารการเรียนการสอนนั้น ได้มีนักวิชาการกล่าวไว้ดังนี้ คือ<br />
ประกอบ คุปรัตน์ [31] ได้ให้ความหมายของ LMS ว่าเป็นระบบจัดการการเรียนการสอนออนไลน์<br />
หรือ e-Learning และ/หรือ เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในระบบจัดการห้องเรียนเสมือนจริง ทำให้<br />
สถาบันการศึกษาหรือแหล่งจัดการเรียนการสอนสามารถให้ผู้เรียนได้มี Login และ Password เพื่อมี<br />
38<br />
39<br />
สิทธิเข้าเรียน รวมทั้ง การให้ผู้เรียนจัดการเลือกสรรรายวิชาที่จะเรียน บันทึกเวลาและข้อมูลการเข้า<br />
เรียน และการรายงานผลการเรียนให้กับระบบการศึกษาหรือการฝึกอบรมนั้น ๆ<br />
กิตติพงษ์ พุ่มพวง [32] ได้ให้ความหมายของ LMS ว่าเป็นระบบการจัดการเรียนผ่านเครือข่ายมี<br />
เครื่องมือและส่วนประกอบที่สำ คัญ สำ หรับผู้สอน ผู้เรียน และผู้ดูแลระบบ ได้แก่ ระบบ<br />
การจัดการรายวิชา ระบบการจัดการสร้างเนื้อหา ระบบบริหารจัดการผู้เรียน ระบบการจัดการข้อมูล<br />
และ/หรือ บทเรียน รวมทั้ง ระบบเครื่องมือช่วยจัดการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ และจัดกระบวน<br />
การเรียนรู้ ได้แก่ การสื่อสาร Chat, e-Mail, Web board การเข้าใช้ การเก็บข้อมูลและการรายงานผล<br />
เป็นต้น<br />
ชัยวรัตน์ ไชยพจน์พานิช [1] ได้ให้ความหมายของ LMS ว่าเป็นซอฟท์แวร์สำหรับการบริหารจัดการ<br />
รายวิชาที่รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานในการจัดการเรียน<br />
การสอนออนไลน์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ใช้งาน 4 กลุ่ม คือ ผู้เรียน (Student) ผู้สอน<br />
(Instructor) เจ้าหน้าที่ทะเบียน (Registration) และผู้ดูแลระบบ (Administrator) ซึ่งเครื่องมือและ<br />
ระดับของสิทธิในการเข้าใช้ที่จัดหาไว้ให้จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การใช้งานของแต่ละกลุ่ม<br />
ปัทมาภรณ์ พิมพ์หานาม [33] ได้ให้ความหมายของ LMS ว่า เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นสำหรับ<br />
กิจกรรมในการเรียนการสอน การประเมินผล การทดสอบ การมีบอร์ดแสดงความคิดเห็นในแต่ละ<br />
รายวิชา รวมทั้ง ระบบการติดตามผลการเรียน และอื่น ๆ<br />
ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ และกรกนก วงศ์พานิช [24] ได้ให้ความหมายของ LMS ว่าเป็นคอมพิวเตอร์<br />
โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อบันทึก และจัดข้อมูลการเรียนการสอน โดยโปรแกรมจะทำหน้าที่<br />
ตรวจสอบการเข้ามาใช้บทเรียน และออกจากบทเรียนของผู้เรียน ตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน<br />
ในแต่ละบท รวมทั้งการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์คะแนนสอบของผู้เรียนแต่ละคน<br />
สรุป ระบบบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System) เป็นระบบจัดการการเรียน<br />
การสอนออนไลน์ซึ่งมีซอฟท์แวร์บริหารจัดการรายวิชา และ/หรือ เป็นระบบที่รวบรวมเครื่องมือ<br />
ซึ่งออกแบบไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน 4 กลุ่ม คือ ผู้เรียน (Student) ผู้สอน (Instructor)<br />
เจ้าหน้าที่ทะเบียน (Registration) และผู้ดูแลระบบ (Administrator) ซอฟท์แวร์นี้พัฒนาขึ้นเพื่อ<br />
กิจกรรมในการเรียนการสอน การประเมินผล การทดสอบ การติดตามผลการเรียน และ เว็บบอร์ด<br />
แสดงความคิดเห็นต่อรายวิชาและอื่น ๆ ดังนี้เป็นต้น<br />
39<br />
40<br />
2.4.2 องค์ประกอบของระบบบริหารการเรียนการสอน<br />
องค์ประกอบของ LMS ประกอบดว้ ย 5 สว่ น [34] ดังนี้ คือ<br />
1) ระบบจัดการหลักสูตร (Course Management) ของกลุ่มผู้ใช้งานแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ<br />
ผู้เรียน ผู้สอน และผู้ดูแลระบบ ที่สามารถเข้าสู่ระบบจากที่ไหน เวลาใดก็ได้ โดยผ่านเครือข่าย<br />
อินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ระบบสามารถรองรับจำนวน ผู้ใช้ และจำนวนบทเรียนได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับ<br />
ฮาร์ดแวร์และ /หรือซอฟท์แวร์ที่ใช้ อีกทั้งระบบสามารถรองรับการใช้งานภาษาไทยได้อย่าง<br />
เต็มรูปแบบ<br />
2) ระบบการสร้างบทเรียน (Content Management) ประกอบด้วย เครื่องมือในการช่วยสร้าง<br />
เนื้อหา ระบบนี้สามารถใช้งานได้ดีทั้งกับบทเรียนในรูป Text-Based และบทเรียนใน รูปแบบ<br />
Streaming Media<br />
3) ระบบการทดสอบและประเมินผล (Test and Evaluation System) เป็นระบบคลังข้อสอบ<br />
ที่สามารถสุ่มข้อสอบ จับเวลาการทำข้อสอบ และตรวจข้อสอบได้อย่างอัตโนมัติ พร้อมเฉลย<br />
มีการรายงานสถิติ คะแนน และสถิติการเข้าเรียนของผู้เรียน<br />
4) ระบบส่งเสริมการเรียน (Course Tools) ประกอบด้วย เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้สื่อสารระหว่าง<br />
ผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน ได้แก่ เว็บบอร์ด (Webboard) และ ห้องสนทนา (Chatroom)<br />
ที่สามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้<br />
5) ระบบจัดการข้อมูล (Data Management System) ประกอบด้วย ระบบจัดการไฟล์และ<br />
โฟลเดอร์ ที่มีเนื้อที่เก็บข้อมูลบทเรียนเป็นของผู้สอนด้วยตนเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อที่ตามที่ผู้ดูแลระบบ<br />
กำหนดให้<br />
สุณี รักษาเกียรติศักดิ์ [35] ได้ยกตัวอย่างองค์ประกอบของระบบที่ได้จากระบบ A-Tutor ไว้ดังนี้<br />
องค์ประกอบที่สำคัญของระบบจัดการเรียนแบบออนไลน์ที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำทั่วไปที่จะต้องมี โดย<br />
ยกตัวอย่างของระบบ “ATutor” ประกอบด้วย<br />
1) ระบบจัดการรายวิชา (Course Management)<br />
1.1 การแสดงรายการวิชาทั้งหมดที่อยู่ในระบบ (Browse Courses)<br />
1.2 การลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบ (Register) ซึ่งจะได้สถานะเป็นผู้เรียนเท่านั้น<br />
1.3 การเข้าสู่ระบบ/ออกจากระบบ (Login/Log-out)<br />
1.4 การขอเปลี่ยนสถานะเป็นผู้สอน (Request Instructor Account)<br />
1.5 การสร้างวิชาใหม่ (Create a New Course) และการเปิดสิทธิ์การเข้าดูเนื้อหาวิชาเป็น<br />
Public, Protected, และ Private (วิชาที่เป็น Public ผู้ใดสามารถเข้ามาดูก็ได้ ไม่ต้อง Login, วิชา<br />
Protected ผู้ที่ Login เข้าระบบเท่านั้นจึงจะดูเนื้อหาวิชาได้ วิชา Private ต้องลงทะเบียนเรียนและจะดู<br />
เนื้อหาวิชาได้ก็ต่อเมื่อผู้สอนอนุมัติการลงทะเบียนเรียน)<br />
40<br />
41<br />
1.6 การลงทะเบียนเรียนวิชาต่าง ๆ ของผู้เรียน (Enroll)<br />
1.7 การอนุมัติการลงทะเบียนเรียนแต่ละวิชาของผู้สอน (Approval)<br />
2) ระบบจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management) สำหรับผู้เรียนจะต้องรู้จักการอ่าน<br />
เนื้อหาบทเรียนอย่างเดียว โดยเมื่อเลือกวิชาที่ต้องการแล้ว ก็เข้าไปดูเนื้อหาได้ สำหรับผู้สอนระบบ<br />
จะมีเครื่องมือที่เรียกว่า Content Editor ให้ใช้ ซึ่งผู้สอนจะต้องเรียนรู้การจัดรูปแบบด้วยภาษา HTML<br />
เล็กน้อย และยังมีเครื่องมือ File Manager (ในเมนู Tools) ให้ผู้สอนนำเอกสารประกอบการสอน<br />
ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น PowerPoint, Word Document, PDF, หรือไฟล์รูปภาพต่าง ๆ ขึ้นระบบด้วย<br />
นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบการประกาศข้อมูลข่าวสาร (Announcement) ในหน้า Home ของวิชา<br />
เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแบบออนไลน์ด้วย ระบบการสื่อสาร (Communication หรือ Discussions)<br />
ATutor มีระบบการสื่อสารทั้งแบบ Asynchronous (ผู้ส่งกับผู้รับไม่ต้องสื่อสารในเวลาเดียวกัน) ได้แก่<br />
Forums (ซึ่งก็คือ Webboard นั่นเอง), Inbox (ซึ่งก็คือ e-Mail นั่นเอง) และแบบ Synchronous (ผู้ส่งกับ<br />
ผู้รับต้องอยู่เวลาเดียวกัน) ได้แก่ Chat ซึ่งยังไม่เปิดบริการผู้สอนจะเป็นผู้สร้าง Forums ได้เท่านั้น (Add<br />
Forum) โดยผู้สอนจะเป็นคนกำหนดว่าจะมีโต๊ะสนทนา (Forum) หัวข้ออะไรบ้าง เมื่อเข้าไปในแต่ละ<br />
Forum ทั้งผู้สอนและผู้เรียนสามารถที่สร้างกระทู้ (New Thread) ได้ ถ้าต้องการแสดงความคิดเห็น<br />
เกี่ยวกับกระทู้นั้น ๆ ก็เข้าไปในกระทู้นั้นแล้วแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม (Add Post) ได้<br />
3) ระบบการสื่อสาร (Communication หรือ Discussions) ATutor มีระบบการสื่อสารทั้งแบบ<br />
Asynchronous (ผู้ส่งกับผู้รับไม่ต้องสื่อสารในเวลาเดียวกัน) ได้แก่ Forums (ซึ่งก็คือ Webboard<br />
นั่นเอง), Inbox (ซึ่งก็คือ e-Mail นั่นเอง) และแบบ Synchronous (ผู้ส่งกับผู้รับต้องอยู่เวลาเดียวกัน)<br />
ได้แก่ Chat ซึ่งยังไม่เปิดบริการผู้สอนจะเป็นผู้สร้าง Forums ได้เท่านั้น (Add Forum) โดยผู้สอนจะ<br />
เป็นคนกำหนดว่าจะมีโต๊ะสนทนา (Forum) หัวข้ออะไรบ้าง เมื่อเข้าไปในแต่ละ Forum ทั้งผู้สอนและ<br />
ผู้เรียนสามารถที่สร้างกระทู้ (New Thread) ได้ ถ้าต้องการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระทู้นั้น ๆ ก็เข้า<br />
ไปในกระทู้นั้นแล้วแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม (Add Post) ได้<br />
4) ระบบการทดสอบ (Testing System) ผู้สอนสามารถที่จะสร้างแบบทดสอบออนไลน์ของแต่<br />
ละวิชาได้โดยเลือกเมนู Tools > Test Manager ซึ่งมีรูปแบบข้อคำถามให้เลือก 3 แบบ คือ Multiple<br />
Choice, True or False, Open Ended ระบบจะมีการตั้งค่าว่าจะให้สอบได้ตั้งแต่ วัน-เวลาใด ถึงเวลาใด<br />
เมื่อผู้เรียนทำข้อสอบแล้วผู้สอนสามารถเข้าไปตรวจข้อสอบได้ โดยถ้าเป็นแบบ Multiple Choice หรือ<br />
True or False ระบบจะตรวจให้อัตโนมัติผู้เรียนสามารถเข้ามาทำแบบทดสอบออนไลน์ได้เมื่อถึงเวลา<br />
ที่กำหนด โดยเลือกเมนู Tools > My Test และเมื่อผู้สอนตรวจข้อสอบแล้ว ผู้เรียนก็สามารถเข้ามาดูผล<br />
สอบได้ที่เดียวกัน<br />
5) ระบบสถิติการใช้งานของผู้ใช้ระบบ (Course Tracking) ระบบ ATutor จะมีระบบสถิติ<br />
การใช้งานของผู้ใช้ระบบมากมายโดยมีการนำเสนอทั้งตัวเลขสถิติและนำเสนอด้วยกราฟ โดยเลือก<br />
เมนู Tools > My Tracker สำหรับผู้เรียน และ Tools > Course Tracker สำหรับผู้สอน กล่าวโดยรวม<br />
41<br />
42<br />
ระบบ ATutor มีองค์ประกอบที่ครบถ้วนที่ระบบการจัดการเรียนแบบออนไลน์ทั่วไปควรจะมี และมี<br />
ศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าระบบ LMS ในเชิงพาณิชย์ที่มีราคานับล้านบาท นอกจากนี้แล้วระบบยังได้<br />
พัฒนาให้มีมาตรฐานสากล SCORM ด้วย<br />
สรุป องค์ประกอบของระบบบริหารการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1) ระบบจัดการ<br />
หลักสูตร (Course Management) 2) ระบบการสร้างบทเรียน (Content Management) 3) ระบบ<br />
การทดสอบและประเมินผล 4) ระบบส่งเสริมการเรียน และ 5) ระบบจัดการข้อมูล<br />
2.4.3 ลักษณะทั่วไปของระบบบริหารการเรียนการสอน<br />
ลักษณะทั่วไปของระบบบริหารการเรียนการสอน [36] มีดังนี้ คือ<br />
1) ระบบงานเป็นแบบ Client/Server หรือสูงกว่าสามารถใช้งานได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้<br />
2) ระบบสามารถแสดงผลส่วนเมนูได้หลายภาษา โดยเฉพาะสามารถแสดงผลภาษาไทยได้<br />
3) ผู้สอนสามารถสร้างแหล่งความรู้หรือเนื้อหาวิชาได้ โดยผ่านฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่ระบบกำหนด<br />
ไว้ให้ และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของแหล่งข้อมูลภายนอกได้ด้วยเช่นกัน<br />
4) ระบบรองรับมาตรฐาน SCORM (Sharable Content Object Reference Module)<br />
ขั้นพื้นฐาน (Basic Support for Standard Learning Objects) โดยใช้ SCORM Content Packages ได้<br />
5) ผู้เรียนสามารถเลือกดูส่วนที่สนใจของรายวิชาได้ เช่น ประกาศของรายวิชา ตารางงานและ<br />
งานที่ได้รับมอบหมายจากผู้สอน<br />
6) ผู้ใช้ระดับผู้ดูแลระบบ ผู้สอน และผู้เรียน สามารถล็อกอินเข้าระบบด้วย LDAP, POP3,<br />
และ IMAP4 ได้<br />
7) ส่วนการจัดการกับเนื้อหา ได้แก่ ตารางการสอน (Schedule Plan) การจัดการเว็บไซต์<br />
(Website Management) การบริหารจัดการของผู้ใช้ (User Management) การจัดการโมดูล (Module<br />
Management) และการจัดการกลุ่มผู้เรียน (Class Management)<br />
8) ระบบ ประกอบด้วย<br />
8.1 การจัดการรายวิชา (Course Management)<br />
8.2 ห้องสนทนา (Chat room) เป็นการสนับสนุนการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน<br />
กับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน สามารถเปิดดูเนื้อหาเพื่อเรียนรู้และสื่อสารกันได้ตลอดเวลา<br />
8.3 หัวข้อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (Discussion Forum)<br />
8.4 ระบบเก็บคำศัพท์ (Glossary)<br />
8.5 พื้นที่เก็บสื่อประกอบการเรียนการสอน (Workshop Area) ในรูปแบบของมัลติมีเดีย<br />
ได้แก่ Multimedia Video Clip หรือ Audio Files<br />
8.6 ระบบจัดการตัวเลือก (Choice)<br />
42<br />
43<br />
8.7 ระบบประเมินผล (Assessments) ที่สามารถเข้ามาทดสอบ วัดความรู้ ดูผลอย่าง<br />
ละเอียดได้<br />
8.8 สถิติการเข้ามาใช้งาน (Course Statistics) เพื่อดูความสนใจของผู้เรียนได้<br />
9) การมีคำอธิบายช่วยเหลือการใช้งาน (Help) ของผู้สอนและผู้เรียนเป็นภาษาไทยในระบบ<br />
พร้อมทั้งคู่มือประกอบการใช้งาน<br />
สรุป ลักษณะทั่วไปของระบบบริหารการเรียนการสอน คือ 1) การใช้งานได้โดยไม่จำกัดจำนวน<br />
ผู้ใช้ 2) การแสดงผลภาษาไทย 3) การสร้างแหล่งความรู้หรือเนื้อหาวิชาและสร้างจุดเชื่อมโยงไปยัง<br />
เว็บไซต์ของแหล่งข้อมูลภายนอกได้ 4) ระบบรองรับมาตรฐาน SCORM 5) การเลือกดูส่วนที่สนใจ<br />
ของรายวิชา และ 6) การจัดการกับเนื้อหา การจัดการเว็บไซต์ การบริหารจัดการของผู้ใช้ และ<br />
การประเมินผล<br />
2.4.4 ลักษณะเฉพาะส่วนของโปรแกรมระบบบริหารการเรียนการสอน<br />
ลักษณะเฉพาะส่วนของโปรแกรมระบบบริหารการเรียนการสอน [36] มีดังต่อไปนี้<br />
1) การจัดการรายวิชา (Course Management) สามารถรองรับการอัพโหลดและดาวน์โหลด<br />
โดยไม่จำกัดจำนวนรูปแบบของไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office, Adobe Acrobat PDF,<br />
HTML, Image, Audio, และ Video<br />
2) ระบบการสื่อสาร (Communication System) ประกอบด้วย<br />
2.1 ห้องสนทนา (Chat room) เพื่อให้ผู้เรียนผู้สอนสามารถติดต่อกันได้ในเวลาเดียวกัน<br />
2.2 การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้เรียนผู้สอนสามารถติดต่อกันได้ต่างเวลากัน<br />
2.3 กระดานแสดงความคิดเห็น (Discussion Forum) การรับและส่งงานระหว่างผู้สอน<br />
และผู้เรียน<br />
2.4 การติดต่อสื่อสารหรือทำงานกลุ่มภายในวิชาเรียน<br />
3) ระบบการวัดผลและประเมินผล (Assessments)<br />
3.1 การเปรียบเทียบ ทดสอบและวัดผล พัฒนาการของผู้เรียนได้ โดยสร้างและกำหนด<br />
ระเบียบของแบบทดสอบ<br />
3.2 การสร้างและออกแบบทดสอบได้ง่าย<br />
3.3 การสร้างคำถามโดยผู้สอนได้หลากหลายทั้งปรนัยและอัตนัยภายในข้อสอบ<br />
ชุดเดียวกัน เช่น แบบเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว (Multiple Choice) แบบเลือกคำตอบ<br />
ที่ถูกต้องมากกว่าหนึ่งข้อ (Multiple Response) แบบเลือกถูกผิด (True or False) และแบบเขียน<br />
บรรยาย (Essay) เป็นต้น<br />
3.4 การมีพื้นที่สำหรับเป็นแหล่งเก็บข้อสอบทั้งหมด<br />
43<br />
44<br />
3.5 การมีโปรแกรมที่สามารถระบุช่วงวัน เวลา ที่อนุญาตให้ผู้เรียนเข้าไปทำข้อสอบได้<br />
รวมทั้งสามารถกำหนดผลตอบรับ (Feedback) การทำข้อสอบ<br />
3.6 การสร้างและเก็บรายงานสถิติของคำตอบ ในการทำข้อสอบของผู้เรียน<br />
4) ระบบการควบคุม (Control)<br />
4.1 โปรแกรมสามารถควบคุม และจัดการกับรายวิชาที่เปิดสอนโดยผู้สอน (Lecturer)<br />
และผู้ดูแลระบบ (Administrator) โดยในส่วนของผู้สอนจะมีฟังก์ชันที่ใช้สำหรับควบคุมและจัดการ<br />
ภายในรายวิชานั้น ๆ และในส่วนของผู้ดูแลระบบจะมีฟังก์ชั่นเพื่อควบคุมทั้งระบบของโปรแกรม<br />
สื่อการเรียนการสอนทางไกล<br />
4.2 โปรแกรมสามารถตรวจสอบการใช้งานระบบของผู้ใช้แต่ละคนได้ เช่น การตรวจสอบ<br />
ผลการทำข้อสอบ การเข้าไปสืบค้นข้อมูลผู้ใช้ เช่น ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เข้ามาเยี่ยมชมระบบ<br />
5) การจัดการเว็บไซต์ (Website Management)<br />
5.1 ซอฟต์แวร์สามารถให้ผู้ดูแลระบบกำหนดการติดตั้งเว็บไซต์ ได้<br />
5.2 การปรับปรุงและเพิ่มโมดูลเข้าสู่ระบบได้<br />
5.3 การกำหนดให้ระบบแสดงผลได้หลายภาษา<br />
สรุป ลักษณะเฉพาะส่วนของโปรแกรมระบบบริหารการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ<br />
1) การจัดการรายวิชา 2) ระบบการสื่อสาร 3) ระบบการวัดผลและประเมินผล 4) ระบบการควบคุม<br />
และ 5) การจัดการเว็บไซต์<br />
2.4.5 ลักษณะของโปรแกรมในส่วนของผู้ใช้<br />
ลักษณะของโปรแกรมในส่วนของผู้ใช้ [36] มีดังนี้<br />
1) ผู้เรียน (Student)<br />
1.1 การเข้าไปอ่านประกาศของทุกรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน<br />
1.2 การขอดูข้อมูลผู้สอนที่สอนในรายวิชานั้น ๆ<br />
1.3 การดาวน์โหลดงานที่ผู้สอนมอบหมายแต่ละครั้งได้ ทั้งที่เป็นงานปัจจุบันและ<br />
ย้อนหลัง<br />
1.4 การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังทุกคน ทุกกลุ่ม ทั้งผู้สอน และผู้ช่วยสอนภายใน<br />
รายวิชานั้น ๆ ได้พร้อมกัน<br />
1.5 การแสดงความคิดเห็นหรือตั้งกระทู้ ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน หรือระหว่างผู้เรียนกับ<br />
ผู้สอน ภายในรายวิชานั้น ๆ ซึ่งมีทั้งแบบกระดานแสดงความคิดเห็น (Discussion Forum) และห้อง<br />
สนทนา (Chatroom)<br />
1.6 การเชื่อมโยงออกสู่เว็บไซต์ภายนอก<br />
44<br />
45<br />
1.7 การส่งงานและการบ้าน<br />
1.8 การตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบ เฉพาะรายวิชา<br />
1.9 การทำข้อสอบของแต่ละรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน<br />
2) ผู้สอน (Lecturer) จะมีฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมจากระดับของผู้เรียน ซึ่งใช้สำหรับการจัดการ<br />
การสร้าง และการควบคุมภายในรายวิชานั้น ได้แก่<br />
2.1 การสร้างแบบทดสอบด้วยตนเอง<br />
2.2 การมีแหล่งข้อสอบ เพื่อให้ผู้สอนสามารถสืบค้นข้อสอบมาใช้งานได้<br />
2.3 การตรวจสอบคะแนนของผู้เรียนที่ลงเรียนในรายวิชาที่ผู้สอนสอนได้<br />
2.4 การตรวจสอบสถิติการใช้งานของผู้เรียนแต่ละรายวิชา<br />
2.5 การมีอำนาจในการกำหนดสิทธิในการทำงานภายในวิชาของผู้เรียน<br />
2.6 การเขียนคำประกาศ นัดหมาย หรือ มอบหมายพร้อมคำอธิบายเนื้อหาในแต่ละ<br />
รายวิชา และสามารถแก้ไขข้อมูลต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา<br />
2.7 การบรรจุเนื้อหาของรายวิชาได้ โดยป้อนผ่านแบบฟอร์มของระบบหรืออาจทำ<br />
การดาวน์โหลดไฟล์มาเก็บไว้ได้ และการรองรับสื่อประสมได้<br />
3) ผู้ดูแลระบบ (Administrator) จะมีฟังก์ชั่นการจัดการการใช้งานของผู้ใช้และในส่วนของ<br />
การบริหารจัดการและการควบคุมระบบ ดังนี้<br />
3.1 การกำหนดสถานะของผู้ใช้<br />
3.2 การเพิ่ม ลบ และแก้ไขข้อมูลของผู้ใช้<br />
3.3 การกำหนดขีดความสามารถการใช้งานของผู้ใช้<br />
3.4 การเปลี่ยนแปลงชื่อและสัญลักษณ์บนเว็บไซต์<br />
3.5 การเรียกดูสถิติ และการเข้าใช้งานของผู้ใช้ทั้งระบบ<br />
3.6 การจัดการกับทุกรายวิชาที่อยู่บนระบบ<br />
สรุป ลักษณะของโปรแกรมในส่วนของผู้ใช้ ประกอบด้วย 1) ผู้เรียนที่สามารถเข้าไปอ่านประกาศ<br />
ดาวน์โหลดงานที่ผู้สอนมอบหมาย แสดงความคิดเห็นและ/หรือตั้งกระทู้ ส่งงานและการบ้าน<br />
ทำแบบทดสอบและตรวจสอบผลได้ 2) ผู้สอนสามารถสร้างแบบทดสอบ และตรวจสอบคะแนน<br />
ผู้เรียน ตรวจสอบสถิติการใช้งานของผู้เรียน เขียนคำประกาศ นัดหมายหรือมอบหมายงาน บรรจุ<br />
เนื้อหาของรายวิชาลงระบบได้ โดยป้อนผ่านแบบฟอร์มของระบบหรืออาจทำการดาวน์โหลดไฟล์<br />
มาเก็บไว้ได้ และสามารถรองรับสื่อประสมได้ และ 3) ผู้ดูแลระบบ สามารถกำหนดสถานะ เพิ่ม ลบ<br />
และแก้ไขข้อมูล กำ หนดขีดความสามารถการใช้งาน เรียกดูสถิติ การเข้าใช้งานของผู้ใช้<br />
เปลี่ยนแปลงชื่อและสัญลักษณ์บนเว็บไซต์ และจัดการกับทุกรายวิชาที่อยู่บนระบบได้<br />
45<br />
46<br />
2.5 มาตรฐาน SCROM (Sharable Content Object Reference Model) [43]<br />
2.5.1 ความเป็นมาของมาตรฐาน SCORM<br />
SCORM ย่อมาจาก Shareable Content Object Reference Model เริ่มต้นพัฒนามาจากระทรวงกลาโหม<br />
(The Department of Defense-DoD) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาปัญหาของความไม่เข้ากัน<br />
(Incompatibility) ของระบบ e-Learning และเนื้อหาวิชาที่พัฒนาบนเพลตฟอร์มที่แตกต่างกันทำให้<br />
ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ ดังนั้น DoD จึงรวบรวมข้อกำหนดที่พัฒนาขึ้นมาก่อนแล้วเข้าด้วยกัน<br />
ได้แก่ ระบบ EDUCAUSE Institutional Management System Project-IMS และ Activation Industry<br />
CBT Committee-AICC เพื่อที่จะออกมาเป็นข้อกำหนดกลาง ผลจากความพยายามจึงมีการตั้ง<br />
หน่วยงานความร่วมมือกันระหว่าง DoD รัฐบาล ภาคเอกชาและภาคการศึกษา จัดตั้งสถาบัน<br />
Advanced Distributed Learning-ADL เมื่อปี 1997 และได้ออกข้อกำหนดแรกเวอร์ชั่น 1.0 เมื่อปี 2000<br />
แต่เวอร์ชั่นที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับกันคือ ข้อกำหนด SCORM version 1.2 ซึ่งออกเมื่อ<br />
เดือนตุลาคม ปี 2001 ปัจจุบันมีการพัฒนาถึงเวอร์ชั่น 2004<br />
2.5.2 การกำหนดมาตรฐาน e-Learning<br />
e-Learning มีการกำหนดมาตรฐานด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ ได้โดย<br />
แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ<br />
1) การกำหนดคำอธิบายข้อมูลที่ใช้ในการสร้างเนื้อหา เรียกว่า Meta-data ปัจจุบัน Institute of<br />
Electrical and Electronic Engineers-IEEE ได้ออกประกาศเป็นมาตรฐานแล้วคือมาตรฐาน Learning<br />
Object Metadata-LOM หรือ IEEE 1484.12.1 และข้อกำหนด SCORM ได้นำมาตรฐาน LOM มาใช้<br />
2) การบรรจุหีบห่อเนื้อหา (Content Packaging) เพื่อความสะดวกในการย้ายเนื้อหาจากระบบ<br />
หนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่ง โดยอ้างอิงการทำ Packaging ตามข้อกำหนด IMS และ SCORM ใช้<br />
ข้อกำหนดนี้เช่นกันในการทำ Packaging<br />
3) ข้อกำหนดของวิธีติดต่อสื่อสารกันระหว่างเนื้อหาและระบบการจัดการ (Learning<br />
Management System-LMS) ซึ่ง SCORM ได้ปรับปรุงข้อกำหนดดังกล่าวจากข้อกำหนดของ AICC<br />
2.5.3 ข้อกำหนดมาตรฐาน SCORM<br />
SCORM เป็นมาตรฐานที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเนื้อหา (SCORM Content Aggregation<br />
Model-CAM) และการติดต่อระหว่างระบบการจัดการและเนื้อหาการเรียน (SCORM run-time<br />
Environment) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้<br />
1) การจัดการเนื้อหา จุดประสงค์ของข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการเนื้อหา เพื่อกำหนดวิธี<br />
การรวมเนื้อหาการเรียน และการใช้งานระหว่างสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน โดย SCORM มองทรัพยากร<br />
46<br />
47<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/3_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 3)</a><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-43760744130768203392011-08-19T22:34:00.001-07:002011-08-19T22:37:00.556-07:00การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
การเรียน เช่น เว็บเพจ รูปภาพ ไฟล์เสียง แยกออกเป็นส่วน ๆ แล้วนำทรัพยากรการเรียนนี้มาประกอบ<br />
กันเป็นบทเรียนและหลักสูตร ซึ่งจากการทำงานดังกล่าวทำให้สามารถสร้างบทเรียนขึ้นมาใหม่จาก<br />
ทรัพยากรที่มีอยู่เดิม เช่น มีบทเรียนวิชาสถิติสำหรับงานวิเคราะห์ทดสอบและวิจัยอยู่แล้ว ต้องการ<br />
จะสร้างบทเรียนวิชาการตรวจสอบความใช้ได้ของวิธี ก็สามารถนำทรัพยากรการเรียนที่มีอยู่ใน<br />
บทเรียนของวิชาสถิติสำหรับงานวิเคราะห์ทดสอบและวิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้ได้ ไม่ต้องสร้าง<br />
ขึ้นมาใหม่ เป็นการสนับสนุนความสามารถการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บ<br />
เนื้อหา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ Content Model, Meta-data และ Content packaging<br />
1.1 Content Model คือองค์ประกอบของเนื้อหาการเรียนที่ใช้ในการสร้างทรัพยากร<br />
การเรียน ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ คือ Assets, Sharable Content Object (SCO) และ Content<br />
Aggregations<br />
1.1.1 Assets เป็นทรัพยากรการเรียนที่มีหน่วยเล็กที่สุดประกอบด้วยสื่อ<br />
อิเล็กทรอนิกส์ ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือเว็บเพจ ซึ่งสามารถส่งไปยังผู้เรียนได้<br />
1.1.2 SCO เป็นกลุ่มของ assets เป็นทรัพยากรการเรียนที่สามารถติดตามได้โดย LMS<br />
ดังนั้นในการออกแบบเนื้อหาและกิจกรรมต่าง ๆ ควรจะให้ SCO มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้สามารถใช้<br />
ร่วมกันได้ระหว่างการเรียนที่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน และเพื่อให้สามารถจัดการโดย LMS ได้อย่างไรก็<br />
ตามไม่ได้มีการบังคับเกี่ยวกับขนาดของ SCO แต่การกำหนดขนาดของ SCO ขึ้นอยู่กับ<br />
ผู้พัฒนาเนื้อหาว่าต้องการเนื้อหามากน้อยเพียงใด และขึ้นกับระดับความต้องการนำกลับมาใช้ใหม่<br />
1.1.3 Content Aggregations คือแผนที่หรือโครงสร้างของเนื้อหาที่ประกอบเป็น<br />
เนื้อหาการเรียนการสอน (เช่น หลักสูตร บทเรียน หรือส่วนหนึ่งของบทเรียน) การกำหนดลำดับใน<br />
การแสดงเนื้อหาให้กับผู้เรียน<br />
1.2 Meta-Data คือการอธิบายทรัพยากรการเรียนโดยการอ้างอิงมาตรฐานขององค์กร<br />
IEEE และองค์กร IMS การกำหนดมาตรฐานของ Meta-Data เพื่อให้มีชื่อที่ใช้ในการอธิบายทรัพยากร<br />
การเรียนรูปแบบเดียวกัน ทำให้การสร้างเนื้อหาการเรียนจากระบบหนึ่งสามารถทำงานร่วมกับระบบ<br />
อื่นได้ และนอกจากนี้ยังเป็นการอำนวยความสะดวกในการสืบค้นเนื้อหาบทเรียนที่ต้องการได้อย่าง<br />
รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ<br />
1.3 Content Packaging คือการนำทรัพยากรการเรียนมารวมและจัดโครงสร้างเพื่อให้เกิด<br />
มาตรฐานในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรการเรียนระหว่างระบบการจัดการเรียนการสอน ซึ่ง LMS มี<br />
หน้าที่ในการแปลลำดับของทรัพยากรการเรียน ซึ่งถูกอธิบายอยู่ในโครงสร้างเนื้อหานี้ และควบคุมให้<br />
ลำดับของทรัพยากรเกิดขึ้นจริงในขณะใช้งาน<br />
2) การติดต่อระหว่างระบบการจัดการและเนื้อหาการเรียน การจัดการข้อมูลของผู้เรียน โดย<br />
LMS จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางการเรียนตั้งแต่ผู้เรียนเริ่มลงทะเบียนเรียนและนำส่ง<br />
เนื้อหาบทเรียนไปยังผู้เรียน จากนั้นระบบจะติดตามบันทึก และประเมินความก้าวหน้าพร้อมทั้ง<br />
47<br />
48<br />
รายงานผลการเรียนได้เริ่มลงทะเบียนเรียนจนกระทั่งจบหลักสูตร LMS จะถูกออกแบบโดยอิงกับ<br />
มาตรฐาน SCORM/AICC เพื่อที่จะสามารถนำเข้าเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องมือที่แตกต่างกัน<br />
ได้ ในปัจจุบันยังไม่มีองค์กรใดทำการกำหนดมาตรฐานกลางในการทำงานของ LMS ดังนั้นบริษัท<br />
ผู้ผลิต LMS ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดจุดเด่นและจุดด้อยในการเปรียบเทียบการทำงานของแต่ละ<br />
ผลิตภัณฑ์ ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีฟังก์ชัน การทำงานพื้นฐานที่เหมือนกัน รวมทั้งการสนับสนุน<br />
มาตรฐานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเนื้อหาจากระบบอื่นได้<br />
สรุปได้ว่า มาตรฐาน SCORM เกิดขึ้นจากความร่วมมือจากหน่วยงานหลายฝ่ายดังนี้ ฝ่ายรัฐบาล<br />
ภาคเอกชน และภาคการศึกษาร่วมกันจัดตั้งสถาบันที่ทำหน้าที่รวบรวมวิจัยวิเคราะห์เฉพาะด้าน<br />
Advanced Distributed Learning (ADL) ซึ่งปัจจุบัน ADL ได้ออกเวอร์ชันของ SCORM ล่าสุดที่<br />
SCORM Version 2004 SCORM ได้ออกมาตรฐานโดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1) การกำหนดคำอธิบาย<br />
ข้อมูลที่ใช้ในการสร้างเนื้อหา (Meta-Data) 2) การบรรจุหีบห่อเนื้อหา (Content Packaging)<br />
3) ข้อกำหนดของวิธีติดต่อสื่อสารกันระหว่างเนื้อหาและระบบการจัดการ LMS สถาบันการศึกษาของ<br />
ไทยบางส่วนได้พยายามพัฒนาระบบ LMS ขึ้นใช้เองเนื่องจาก Free ware เช่น Atutor , Moodle นั้นไม่<br />
สามารถตอบสนองความต้องการในบางส่วน ขณะที่บางส่วนได้จัดซื้อ Software จากบริษัทเอกชนมา<br />
ใช้ และบางส่วนได้นำ Free ware ที่เป็น Open Source เช่น Atutor, Moodle, TCU (Thai Cyber Thai<br />
University) หรือ Free LMS จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มาทดลองใช้งาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็น LMS ตัวใด<br />
ต่างมีความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมาตรฐาน SCORM ซึ่งจะทำให้การโอนย้ายข้อมูลระหว่าง<br />
ระบบจะทำได้ง่ายลดเวลาในการทำงานได้มาก<br />
2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปได้ดังนี้<br />
2.6.1 การจัดการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตและสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
บุญเรือง เนียมหอม [37] ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตในระดับ<br />
อุดมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ต<br />
รวมทั้งเพื่อประเมินระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ผลการวิจัยสรุปได้ว่า<br />
สภาพการจัดการเรียนการสอนเน้นกิจกรรมและบริการของอินเทอร์เน็ต ผู้สอนเป็นผู้ควบคุม ติดตาม<br />
ผลการเรียน เตรียมความพร้อมทางด้านทรัพยากร สนับสนุนการเรียน ทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งมีการใช้<br />
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และ WWW ในการเรียนการสอนมากที่สุด นอกจากนี้ จากการประเมิน<br />
รูปแบบกระบวนการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้สอนส่วนใหญ่เห็นว่า ระบบการเรียนการสอน<br />
48<br />
49<br />
มีความเหมาะสม ทุกองค์ประกอบมีความจำเป็น สามารถนำระบบไปใช้ในการออกแบบและพัฒนา<br />
ระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนปัญหาการนำไปใช้งานจริง คือ ความล่าช้าใน<br />
การรับข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรภายนอกและระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต<br />
กนกวรรณ จันทร์สว่าง [38] ได้ศึกษาระดับความคิดเห็น ความพร้อม การยอมรับการเรียนการสอน<br />
ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
ของอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพมหานคร กับตัวแปร<br />
ด้านสถานภาพของอาจารย์ ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับ การเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และ<br />
ด้านความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของ<br />
รัฐ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 275 คน<br />
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) อาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร ส่วนมากมีความคิดเห็นด้านการรับรู้คุณลักษณะและด้านประโยชน์ของ<br />
การเรียนการสอนแบบ e-Learning ในระดับเห็นด้วยมาก 2) อาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัด<br />
ทบวงมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนมากมีความพร้อมด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ<br />
ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ ด้านความรู้ความสามารถของอาจารย์ผู้สอน และด้านเนื้อหา<br />
หลักสูตร อยู่ในระดับปานกลาง 3) อาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร ส่วนมากมีการยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับ<br />
ปานกลาง<br />
ฮาร์ดเลย์ (Hadley) [39] ได้ศึกษาการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนของผู้สอน<br />
โดยศึกษาปฏิสัมพันธ์ในการมีส่วนร่วมในการใช้ e-Mail ห้องสนทนา และเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้อง<br />
ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับแหล่งข้อมูล พบว่า e-Mail ใช้ใน<br />
การสนับสนุนการตอบคำถามและเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น<br />
มีความเข้ากันได้ดีขึ้น ลดความเกรงกลัวของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอน ห้องสนทนา ช่วยขยายขอบเขต<br />
ในการสนทนาโต้ตอบ และขอบเขตของข้อคำถาม ช่วยลดข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ<br />
บทเรียนและความล่าช้าในการสนทนา ส่วนปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับแหล่งข้อมูลจาก WWW<br />
ช่วยเพิ่มความสนใจ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึง<br />
แหล่งข้อมูลได้ทุกเวลา<br />
สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พบว่า<br />
การพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตในระดับ อุดมศึกษาพบว่า รูปแบบกระบวน<br />
การเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้สอนส่วนใหญ่เห็นว่า ระบบการเรียนการสอนมีความเหมาะสม<br />
49<br />
50<br />
ทุกองค์ประกอบมีความจำเป็น สามารถนำระบบไปใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบการเรียน<br />
การสอนทางอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนปัญหาการนำไปใช้งานจริง คือ ความล่าช้าในการรับข้อมูลจาก<br />
แหล่งทรัพยากรภายนอกและระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต ส่วน ระดับความคิดเห็น ความพร้อม<br />
การยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับการเรียน<br />
การสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร พบว่า 1) อาจารย์ส่วนมากมีความคิดเห็นด้านการรับรู้คุณลักษณะและด้านประโยชน์<br />
ของ การเรียนการสอนแบบ e-Learning ในระดับเห็นด้วยมาก 2) อาจารย์ ส่วนมากมีความพร้อมด้าน<br />
บุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ ด้านความรู้ความสามารถของอาจารย์<br />
ผู้สอน และด้านเนื้อหา หลักสูตร อยู่ในระดับปานกลาง 3) ส่วนมากมีการยอมรับการเรียนการสอน<br />
ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับปานกลาง และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียน<br />
การสอนของผู้สอนพบว่าพบว่า e-Mail ใช้ในการสนับสนุนการตอบคำถามและเป็นการเพิ่มโอกาส<br />
ให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น มีความเข้ากันได้ดีขึ้น ลดความเกรงกลัวของผู้เรียนที่มี<br />
ต่อผู้สอน ห้องสนทนา ช่วยขยายขอบเขตในการสนทนาโต้ตอบ และขอบเขตของข้อคำถาม ช่วยลด<br />
ข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนและความล่าช้าในการสนทนา ส่วนปฏิสัมพันธ์<br />
ระหว่างผู้เรียนกับแหล่งข้อมูลจาก WWW ช่วยเพิ่มความสนใจ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยม<br />
มากที่สุด ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ทุกเวลา<br />
2.6.2 การจัดการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนเสมือนจริง<br />
อัญชนา จันทรสุข [40]ได้วิจัยเรื่อง การนำเสนอรูปแบบการจัดการห้องเรียนเสมือนบนเครือข่าย<br />
อินเทอร์เน็ต สำหรับนิสิตนักศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ผลการวิจัยพบว่า<br />
1) การจัดสภาพแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงคุณสมบัติของ<br />
อุปกรณ์และโปรแกรม เครื่องมือพัฒนารายวิชา และระบบบริหารการเรียนการสอน แหล่งทรัพยากร<br />
สนับสนุนการเรียน เว็บเพจห้องเรียนเสมือนรายวิชาที่สอน กลุ่มสนทนา อภิปราย และให้คำปรึกษา<br />
และควรคำนึงถึงการจัดตั้งที่ตั้งเว็บ (Web Server) และสถานที่ที่ติดตั้งชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์<br />
2) นโยบายสถาบัน ควรให้สอดคล้องกันทั้งด้านนโยบาย ทิศทาง เป้าหมาย งบประมาณ<br />
การวางแผนและการจัดบุคลากร<br />
3) ผู้สอนควรคำนึงถึงความรู้ด้านการใช้งานภาษาอังกฤษ วิธีการสอน การใช้งานคอมพิวเตอร์<br />
การใช้งานอินเทอร์เน็ต การใช้งานซอฟท์แวร์พัฒนาบทเรียน และควรมีคุณธรรม จริยธรรม<br />
4) ผู้เรียนควรคำนึงถึงความรู้ด้านการใช้งานภาษาอังกฤษ การใช้งานคอมพิวเตอร์และการใช้<br />
งานอินเทอร์เน็ต ควรมีความพร้อมทางเศรษฐกิจและการสร้างทักษะการเรียนด้วยการอ่าน และ<br />
การวิเคราะห์ด้วยตนเอง<br />
50<br />
51<br />
5) วิธีการเรียน ควรคำนึงถึงประเภทของกิจกรรมให้สอดคล้องกับบริการบนอินเทอร์เน็ต และ<br />
สื่อการสอนที่เหมาะสม ควรเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบได้ และ Slide พร้อมคำบรรยาย<br />
สุวิชัย พรรษา [2] ได้วิจัยเรื่อง การศึกษาปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง<br />
: สภาพปัจจุบัน สภาพที่ยอมรับได้ และความคาดหวัง ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการเรียนรู้ของ<br />
นักศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง จัดอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ได้แก่ ทัศนคติต่อการยอมรับนวัตกรรม<br />
ใหม่ๆ การทำแบบทดสอบออนไลน์ได้ตลอดเวลา การเรียนและทำงานร่วมกัน การรับทราบ<br />
ความก้าวหน้าของตนเอง การขอดูบทเรียนที่เรียนไปแล้ว 2) จากการเปรียบเทียบ<br />
สภาพปัจจุบัน สภาพที่ยอมรับได้ และความคาดหวัง เกี่ยวกับปัญหาของการเรียนรู้ของนักศึกษาจาก<br />
ห้องเรียนเสมือนจริง พบว่า ความแตกต่างระหว่างความคาดหวัง สภาพที่ยอมรับได้ และสภาพปัจจุบัน<br />
ได้แก่ การใฝ่รู้<br />
หทัยชนก ผลาวรรณ์ [3] ได้วิจัยเรื่อง การวิเคราะห์องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียน<br />
การสอนในห้องเรียนเสมือนจริง ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียน<br />
การสอนในห้องเรียนเสมือนจริง มี 7 องค์ประกอบ คือ<br />
1) สภาพทั่วไปของสถานศึกษาและความรู้ ความสามารถของบุคลากร<br />
2) การจัดการรายวิชา<br />
3) ระบบการวัดผลและประเมินผล<br />
4) ระบบการติดต่อสื่อสาร<br />
5) โปรแกรมประยุกต์<br />
6) รูปแบบของสื่อ<br />
7) การบริหารจัดการของผู้ใช้ สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียน<br />
การสอนในห้องเรียนเสมือนจริง สามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 85.830 ของ<br />
ความแปรปรวนทั้งหมด โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัด<br />
การเรียนการสอนในห้องเรียนเสมือนจริง ระหว่าง 7 องค์ประกอบกับ 57 ตัวแปร มีค่าเท่ากับ<br />
0.557-0.942 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง 7 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียน<br />
การสอนในห้องเรียนเสมือนจริง มีค่าเท่ากับ 0.455-0.792 ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง ในขณะที่<br />
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรภายในมีค่าเท่ากับ 0.048-0.133 ซึ่งมีความสัมพันธ์กันใน<br />
ระดับต่ำ<br />
สรุปการจัดการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนเสมือนจริงพบว่า รูปแบบการจัดการห้องเรียนเสมือน<br />
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตควรคำนึงถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) การจัดสภาพแวดล้อม และ<br />
51<br />
52<br />
สิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน 2) นโยบายสถาบัน ควรให้สอดคล้องกันทั้งด้านนโยบาย ทิศทาง<br />
เป้าหมาย งบประมาณ การวางแผนและการจัดบุคลากร 3) ความพร้อมของผู้สอน 4) ความพร้อมของ<br />
ผู้เรียน 5) การจัดวิธีการเรียน ส่วนปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง พบว่า<br />
ปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ได้แก่ ทัศนคติต่อการยอมรับนวัตกรรมใหม่ ๆ<br />
การทำแบบทดสอบออนไลน์ได้ตลอดเวลา การเรียนและทำงานร่วมกัน การรับทราบความก้าวหน้า<br />
ของตนเอง การขอดูบทเรียนที่เรียนไปแล้ว และองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียน<br />
การสอนในห้องเรียนเสมือนจริงมี 7 องค์ประกอบ คือ 1) สภาพทั่วไปของสถานศึกษาและความรู้<br />
ความสามารถของบุคลากร 2) การจัดการรายวิชา 3) ระบบการวัดผลและประเมินผล 4) ระบบ<br />
การติดต่อสื่อสาร 5) โปรแกรมประยุกต์ 6) รูปแบบของสื่อ 7) การบริหารจัดการของผู้ใช้<br />
2.7 บทสรุป<br />
แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 คือ แผนพัฒนาการศึกษาที่ใช้ในระดับอุดมศึกษา<br />
โดยมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนจะต้องนำแผนดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อให้ผลการดำเนินการ<br />
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี<br />
และวัฒนธรรม สอดคล้องกับช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การวางแผนการพัฒนา<br />
ฉบับนี้ จะเน้นให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆได้มีส่วนร่วมในการกำหนด เสนอความคิดเห็น<br />
ทำให้ได้ความคิดเห็นที่หลากหลายครอบคลุม โดยการสรุปความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ จากบุคคล<br />
หลายฝ่ายทั้งจากประชาชน บุคคลที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อมุ่งเน้นให้อุดมศึกษาไทย<br />
เป็นสถานที่ผลิตบุคลากรเพื่อให้ได้คนที่ดีมีคุณภาพ อีกทั้งมุ่งเน้นการกระจายการศึกษาให้ทั่วถึงคน<br />
ทุกระดับในสังคม เริ่มจากพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ มีความรู้ควบคู่คุณธรรม จริยธรรม<br />
สามารถพึ่งตนเองได้ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างประหยัดสุด ประโยชน์สูง ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆอย่าง<br />
รู้เท่าทัน มุ่งสร้างพัฒนา บุคลากรให้มีคุณภาพ ในสาขาอาชีพต่างๆอย่างเพียงพอ ต่อความต้องการ รู้จัก<br />
ใช้ภูมิปัญญา ไทยในการคิดค้น พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ไปพร้อมกับการ ปกป้องสิทธิทรัพย์สิน<br />
ทางปัญญา มีการบริหารจัดการที่ดี พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสภาพการณ์<br />
การเรียนการสอนผ่านเวิลด์ไวด์เว็บนั้นเป็นความพยายาม ในการถ่ายทอดความรู้จากต้นทางสู่<br />
ปลายทางโดยอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร โดยสามารแบ่งประเภท<br />
ของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ได้หลากหลายลักษณะขึ้นอยู่กับ รูปแบบของการนำเสนอ การสื่อสาร<br />
ข้อมูล วัตถุประสงค์การใช้งาน รูปแบบการออกแบบ การเรียนการสอน การเรียนการสอนผ่านเว็บ นั้น<br />
ทำให้การเรียนการสอนเกิดความคล่องตัว โดยมีส่วนประกอบคือ ประมวลรายวิชา เนื้อหาใน<br />
หลักสูตร รายชื่อแหล่งเนื้อหาเสริม กิจกรรมระหว่าง ผู้เรียนผู้สอน คำแนะนำและการให้ผลป้อนกลับ<br />
การนำเสนอในลักษณะมัลติมีเดีย<br />
52<br />
53<br />
e-Learning เป็นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน โดยอาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ<br />
ต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ ดาวเทียม คอมพิวเตอร์ หรือบทเรียนในรูปแผ่นซีดี e-Learning เป็นการผนวก<br />
ความสามารถทางเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เข้ากับระบบการเรียนการสอน ผู้สอนมีความคล่องตัวใน<br />
การ ปรับปรุง เนื้อหาให้ทันสมัย การออกข้อสอบ และวัดผลสามารถทำได้ง่าย ผู้เรียนมีความเป็น<br />
ส่วนตัวมีอิสระทางการเรียน เนื้อหาการเรียนการสอนมีประกอบไปด้วย มัลติมีเดีย มีส่วนกระตุ้นให้<br />
ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความใฝ่รู้อยากเรียนมากขึ้น ส่วนประโยชน์ของ e-Learning นั้นมี<br />
มากมายหลายประการ คือ ความยืดหยุ่นสำหรับ ผู้เรียน กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเลือกวันเวลา สถานที่<br />
เองได้ สามารถเรียนซ้ำๆในเนื้อหาที่ต้องการ ประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ สำหรับผู้สอนจะได้<br />
ประโยชน์ในด้าน ไม่เกิดความซ้ำซากจำเจ ในการสอนเนื้อหาซ้ำ ๆ มีความคล่องตัวสูงทั้งในด้าน<br />
การจัดทำเนื้อหา ข้อสอบ ใช้เวลาในการประมวลผลสอบน้อยลง ทั้งผู้เรียน และผู้สอนมีเครื่องมือที่<br />
หลากหลายในการอำนวยความสะดวกในการติดต่อ สื่อสารทั้งที่เป็นแบบ ประสานเวลา และแบบ<br />
ไม่ประสานเวลานอกจากนี้ e-Learning นั้นประกอบ ไปด้วยส่วนสำคัญหลักดังต่อไปนี้ 1) เนื้อหาของ<br />
บทเรียน 2) ระบบบริหารจัดการเรียน หรือ LMS (Learning Management System) 3) ระบบ<br />
การติดต่อสื่อสาร 4) ด้านการทดสอบและวัดผล นอกจากนี้บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ<br />
e-Learning นั้นประกอบได้ด้วยบุคคลหลายฝ่ายคือ ผู้เชี่ยวชาญหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านการสอนผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันการนำ e-Learning ไปใช้งานนั้น<br />
สามารถแบ่งเป็น สามระดับดังต่อไปนี้ 1) ระดับสื่อเสริม 2) ระดับสื่อเพิ่มเติม 3) ระดับสื่อหลัก หรือ<br />
แบบทดแทนโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ในแต่ละสถานการศึกษา มีระดับการนำไปใช้ที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ<br />
ความพร้อมของแต่ละสถานที่ e-Learning นั้นได้เปรียบการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นอยู่หลาย<br />
ประการและนับวันจะส่งผลให้การเรียนการสอนในรูปแบบอื่น ๆ ล้าสมัยและหมดความนิยมไปใน<br />
ที่สุด กล่าวคือ e-Learning นั้นมีโครงสร้างเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งคล้ายกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบ<br />
ความคิด ซึ่งทำให้ผู้เรียนมีการคิดและจดจำได้ดีกว่า สื่อในการจัดสร้างนั้นประกอบด้วยเทคโนโลยี<br />
หลายมิติ ทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน ก่อเกิดให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากกว่า<br />
ผู้เรียนสามารถควบคุม จังหวะการเรียนตามที่ตัวเองต้องการไม่จำเป็นต้องรอคนอื่นอยากเรียนซ้ำ<br />
เนื้อหาเดิมได้ตามต้องการ<br />
ระบบบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System) เป็นระบบจัดการการเรียนการสอน<br />
ออนไลน์ซึ่งมีซอฟท์แวร์บริหารจัดการรายวิชา และ/หรือ เป็นระบบที่รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบ<br />
ไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน 4 กลุ่ม คือ ผู้เรียน (Student) ผู้สอน (Instructor) เจ้าหน้าที่<br />
ทะเบียน(Registration) และผู้ดูแลระบบ (Administrator) ซอฟท์แวร์นี้พัฒนาขึ้นเพื่อกิจกรรมใน<br />
การเรียนการสอน การประเมินผล การทดสอบ การติดตามผลการเรียน และเว็บบอร์ดแสดง<br />
ความคิดเห็นต่อรายวิชาและอื่น ๆ องค์ประกอบของระบบบริหารการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5<br />
53<br />
54<br />
ส่วน คือ 1) ระบบจัดการหลักสูตร (Course Management) 2) ระบบการสร้างบทเรียน (Content<br />
Management) 3) ระบบการทดสอบและประเมินผล 4) ระบบส่งเสริมการเรียน และ 5) ระบบจัดการ<br />
ข้อมูลลักษณะทั่วไปของระบบบริหารการเรียนการสอน ประกอบด้วย 1) การใช้งานได้โดยไม่จำกัด<br />
จำนวนผู้ใช้ 2) การแสดงผลภาษาไทย 3) การสร้างแหล่งความรู้หรือเนื้อหาวิชาและสร้างจุดเชื่อมโยง<br />
ไปยังเว็บไซต์ของแหล่งข้อมูลภายนอกได้ 4) ระบบรองรับมาตรฐาน SCORM 5) การเลือกดูส่วนที่<br />
สนใจของรายวิชา และ 6) การจัดการกับเนื้อหา การจัดการเว็บไซต์ การบริหารจัดการของผู้ใช้ และ<br />
การประเมินผล ลักษณะเฉพาะส่วนของโปรแกรมระบบบริหารการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5<br />
ส่วนคือ 1) การจัดการรายวิชา 2) ระบบการสื่อสาร 3) ระบบการวัดผลและประเมินผล 4) ระบบ<br />
การควบคุม และ 5) การจัดการเว็บไซต์ ลักษณะของโปรแกรมในส่วนของผู้ใช้ ประกอบด้วย 1)<br />
ผู้เรียนที่สามารถเข้าไปอ่านประกาศดาวน์โหลดงานที่ผู้สอนมอบหมายแสดงความคิดเห็นและ/หรือตั้ง<br />
กระทู้ ส่งงานและการบ้าน ทำแบบทดสอบ และตรวจสอบผลได้ 2) ผู้สอนสามารถสร้างแบบทดสอบ<br />
และตรวจสอบคะแนนผู้เรียน ตรวจสอบสถิติการใช้งานของผู้เรียน เขียนคำประกาศ นัดหมายหรือ<br />
มอบหมายงานบรรจุเนื้อหาของรายวิชาลงระบบได้ โดยป้อนผ่านแบบฟอร์มของระบบหรืออาจทำ<br />
การดาวน์โหลดไฟล์มาเก็บไว้ได้ และสามารถรองรับสื่อประสมได้ และ 3) ผู้ดูแลระบบสามารถ<br />
กำหนดสถานะ เพิ่ม ลบ และแก้ไขข้อมูล กำหนดขีดความสามารถการใช้งาน เรียกดูสถิติ การเข้าใช้<br />
งานของผู้ใช้ เปลี่ยนแปลงชื่อ และสัญลักษณ์บนเว็บไซต์ และจัดการกับทุกรายวิชาที่อยู่บนระบบได้<br />
มาตรฐาน SCORM เกิดขึ้นจากความร่วมมือจากหน่วยงานหลายฝ่ายดังนี้ ฝ่ายรัฐบาล ภาคเอกชน และ<br />
ภาคการศึกษาร่วมกันจัดตั้งสถาบันที่ทำหน้าที่รวบรวมวิจัยวิเคราะห์เฉพาะด้าน Advanced Distributed<br />
Learning (ADL) ซึ่งปัจจุบัน ADL ได้ออกเวอร์ชั่นของ SCORM ล่าสุดที่ SCORM Version 2004<br />
SCORM ได้ออกมาตรฐานโดยแบ่งเป็น 3 ด้านดังนี้ 1) การกำหนดคำอธิบายข้อมูล ที่ใช้<br />
ในการสร้างเนื้อหา (Meta-Data) 2) การบรรจุหีบห่อเนื้อหา (Content Packaging) 3) ข้อกำหนดของ<br />
วิธีติดต่อสื่อสารกันระหว่างเนื้อหาและระบบการจัดการ LMS สถาบันการศึกษาของไทยบางส่วนได้<br />
พยายามพัฒนาระบบ LMS ขึ้นใช้เองเนื่องจาก Free Ware เช่น Atutor, Moodle นั้นไม่สามารถ<br />
ตอบสนองความต้องการในบางส่วน ขณะที่บางส่วนได้จัดซื้อ Software จากบริษัทเอกชนมาใช้ และ<br />
บางส่วนได้นำ Free Ware ที่เป็น Open Source เช่น Atutor, Moodle, TCU (Thai Cyber Thai<br />
University) หรือ Free LMS จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มาทดลองใช้งาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็น LMS ตัวใด<br />
ต่างมีความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมาตรฐาน SCORM ซึ่งจะทำให้การโอนย้ายข้อมูลระหว่าง<br />
ระบบจะทำได้ง่ายลดเวลาในการได้มาก<br />
ด้านงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตในระดับอุดมศึกษา<br />
พบว่า รูปแบบกระบวนการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้สอนส่วนใหญ่เห็นว่า ระบบการเรียน<br />
54<br />
55<br />
การสอนมีความเหมาะสม ทุกองค์ประกอบมีความจำเป็น สามารถนำระบบไปใช้ในการออกแบบและ<br />
พัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนปัญหาการนำไปใช้งานจริง คือ ความล่าช้าใน<br />
การรับข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรภายนอกและระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต ส่วนระดับ<br />
ความคิดเห็น ความพร้อม การยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และความสัมพันธ์<br />
ระหว่างการยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ<br />
สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า 1) อาจารย์ส่วนมากมีความคิดเห็นด้าน<br />
การรับรู้คุณลักษณะและด้านประโยชน์ของ การเรียนการสอนแบบ e-Learning ในระดับเห็นด้วยมาก<br />
2) อาจารย์ ส่วนมากมีความพร้อมด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์<br />
ด้านความรู้ความสามารถของอาจารย์ผู้สอน และด้านเนื้อหา หลักสูตร อยู่ในระดับปานกลาง 3)<br />
ส่วนมากมีการยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับปานกลาง และการนำ<br />
เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนของผู้สอนพบว่าพบว่า e-Mail ใช้ในการสนับสนุน<br />
การตอบคำถามและเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น มีความเข้ากันได้<br />
ดีขึ้น ลดความเกรงกลัวของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอน ห้องสนทนา ช่วยขยายขอบเขตในการสนทนาโต้ตอบ<br />
และขอบเขตของข้อคำถาม ช่วยลดข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนและความล่าช้า<br />
ในการสนทนา ส่วนปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับแหล่งข้อมูลจาก WWW ช่วยเพิ่มความสนใจ ซึ่งเป็น<br />
เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ทุกเวลา ส่วนรูปแบบ<br />
การจัดการห้องเรียนเสมือนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตควรคำนึงถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />
1) การจัดสภาพแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน 2) นโยบายสถาบัน ควรให้สอดคล้อง<br />
กันทั้งด้านนโยบาย ทิศทาง เป้าหมาย งบประมาณ การวางแผนและการจัดบุคลากร 3) ความพร้อมของ<br />
ผู้สอน 4) ความพร้อมของผู้เรียน 5) การจัดวิธีการเรียน ส่วนปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาจาก<br />
ห้องเรียนเสมือนจริง พบว่าปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษา อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ได้แก่ ทัศนคติต่อ<br />
การยอมรับนวัตกรรมใหม่ ๆ การทำแบบทดสอบออนไลน์ได้ตลอดเวลา การเรียนและทำงานร่วมกัน<br />
การรับทราบความก้าวหน้าของตนเอง การขอดูบทเรียนที่เรียนไปแล้ว และองค์ประกอบที่มีอิทธิพล<br />
ต่อการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเสมือนจริงมี 7 องค์ประกอบ คือ 1) สภาพทั่วไปของ<br />
สถานศึกษาและความรู้ ความสามารถของบุคลากร 2) การจัดการรายวิชา 3) ระบบการวัดผลและ<br />
ประเมินผล 4) ระบบการติดต่อสื่อสาร 5) โปรแกรมประยุกต์ 6) รูปแบบของสื่อ 7) การบริหารจัดการ<br />
ของผู้ใช้<br />
55<br />
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย<br />
ในการดำเนินการวิจัยเรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning<br />
Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัย<br />
เชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม<br />
ข้อมูล และได้ดำเนินการวิจัยตามลำดับขั้นตอนการวิจัยดังนี้ คือ<br />
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย<br />
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
3.2.1 การสร้างเครื่องมือ<br />
3.2.2 ลักษณะของเครื่องมือ<br />
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้<br />
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />
การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้กำหนดการเลือกกลุ่มประชากรและกลุ่ม<br />
ตัวอย่างดังนี้<br />
3.1.1 ประชากร ประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันอุดมศึกษา<br />
3.1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจะใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่ง<br />
ประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 23 ท่าน แบ่งออกเป็น<br />
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล จำนวน 15 ท่าน และสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน จำนวน 8 ท่าน<br />
รายละเอียดปรากฏดังตารางที่ 3.1<br />
56<br />
57<br />
ตารางที่ 3.1 แสดงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำแนกตามประเภทสถานศึกษา<br />
ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการดา้ นการเรียนการสอน จำนวน (คน)<br />
จำนวน คิดเป็นร้อยละ<br />
1. สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล 15 63.6<br />
2. สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน 8 36.4<br />
รวมทั้งสิ้น 23 100<br />
จากตารางที่ 3.1 พบว่า จำนวนกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 23 ท่าน ประกอบด้วย<br />
ผู้ดูแลระบบของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาลมากที่สุดจำนวน 15 ท่าน คิดเป็นร้อยละ 63.6<br />
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้เพื่อการวิจัยในครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตาม<br />
กระบวนการวิจัยดังนี้<br />
3.2.1 การสร้างเครื่องมือ<br />
การสร้างเครื่องมือในการวิจัย ได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้<br />
1) ศึกษาข้อมูล และเอกสารเกี่ยวกับรูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
2) นำข้อมูลที่ศึกษามาทำการวิเคราะห์และจัดรูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอน ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อสร้างแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง<br />
3) สร้างแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (A Structure Interview) ภายใต้การแนะนำของอาจารย์<br />
ที่ปรึกษา<br />
4) ผู้วิจัยนำแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา<br />
(Content Validity) ผู้เชี่ยวชาญ คือ ผศ.ดร. ธีรณี อจลากุล อาจารย์ผู้ควบคุมโครงการ KMUTT-LCMS<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
5) ปรับปรุงและแก้ไขเครื่องมือตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ<br />
6) นำแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างไปสัมภาษณ์ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอน (Learning Management System: LMS) ทั้ง 23 ท่าน<br />
57<br />
58<br />
7) วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตอบของผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอน (Learning Management System: LMS)<br />
3.2.2 ลักษณะของเครื่องมือ<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย สัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (A Semi-Structured<br />
Interview) มีลักษณะดังนี้<br />
1) ขั้นระดมสมอง (Brainstorming) เพื่อเก็บรวบรวมความคิดเห็นของผู้ดูแลระบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) เกี่ยวกับรูปแบบของ<br />
ระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มของระบบที่จะมีในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย ระบบการจัดการ<br />
ผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management) ระบบการสื่อสาร (Communication<br />
System) ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking) ระบบการวัดผลประเมินผล<br />
(Assessments) และระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management) ลักษณะเครื่องมือเป็น<br />
แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง<br />
2) ขั้นประเมินความคิดเห็น (Evaluation of Ideas) เพื่อรวบรวมและจัดความคิดเห็นของ<br />
ผู้ดูแลระบบหรือคำตอบที่ได้จากการตอบแบบสัมภาษณ์ ลักษณะการประเมินค่า (Rating Scales)<br />
ของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) 3 ระดับ<br />
ดังนี้ คือ<br />
8-10 หมายถึง ระบบมีความสมบูรณ์มากที่สุด<br />
4-7 หมายถึง ระบบมีความสมบูรณ์ปานกลาง<br />
1-3 หมายถึง ระบบมีความสมบูรณ์น้อยที่สุด<br />
3) ขั้นสรุปและสร้างรูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning<br />
Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ลักษณะการสรุป และ<br />
การสร้างรูปแบบระบบ โดยเขียนแผนภูมิโครงสร้างเนื้อหา (Content Network Chart)<br />
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
การเก็บรวมรวมข้อมูลเพื่อสร้างรูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning<br />
Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครของผู้วิจัยได้ดำเนินการ<br />
ดังต่อไปนี้<br />
3.3.1 ติดต่อเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตอบแบบสอบถาม<br />
58<br />
59<br />
3.3.2 ขอหนังสือเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสัมภาษณ์<br />
กึ่งโครงสร้าง เพื่อการวิจัยจากงานบัณฑิตศึกษาประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
3.3.3 นำแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเพื่อศึกษารูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอน (Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทำการแจกแบบสัมภาษณ์ผู้ดูแลระบบ จำนวน 25 ท่านและรวบรวม<br />
เก็บแบบสัมภาษณ์ด้วยตนเอง<br />
3.3.4 นำคำตอบที่ได้จากแบบสัมภาษณ์ มาจัดกลุ่มและนำมาเรียบเรียง เพื่อประเมินความคิดเห็น<br />
แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 3 ระดับ เพื่อให้ลำดับความสมบูรณ์ของรูปแบบระบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของสถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
3.3.5 นำผลที่ได้จากข้อ 3.3.4 มาวิเคราะห์ สรุปผลสร้างเป็นรูปแบบระบบการบริหารจัดการ ด้าน<br />
การเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร และอภิปรายผลต่อไป<br />
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำข้อมูลซึ่งเก็บรวบรวมมาได้จากกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 23 ฉบับ มา<br />
ประมวลผลตามระเบียบวิธีทางสถิติ มีขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้<br />
3.4.1 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนมาทุกฉบับ เพื่อคัดเลือกฉบับ<br />
ที่สมบูรณ์ถูกต้อง ซึ่งในการนี้ พบว่า จากจำนวนแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 23 ฉบับ ได้กลับคืนมา<br />
จำนวน 23 ฉบับ เมื่อพิจารณาจำนวนแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนมาและมีความสมบูรณ์ ซึ่งนำมาใช้<br />
เป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาจำนวนรวมทั้งสิ้น 23 ฉบับ หรือคิดเป็นร้อยละ 100<br />
3.4.2 วิเคราะห์ข้อมูลคำนวณเพื่อหาค่าสถิติจากการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ (%) ดังนี้<br />
1) ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จะนำมา<br />
วิเคราะห์โดยแจกแจงความถี่ และหาค่าร้อยละของแต่ละข้อ แล้วนำเสนอและแปลผลด้วยตาราง<br />
59<br />
60<br />
2) ข้อมูลที่นำมาสร้างรูปแบบระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning<br />
Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยจะทำการเลือก<br />
คำตอบที่ผู้ดูแลระบบมีสวนร่วมในการให้ความคิดเห็นทั้งหมดมาจัดทำเป็นรูปแบบระบบการบริหาร<br />
จัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
60<br />
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ผลการศึกษาข้อมูลการวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” สามารถนำเสนอผลการศึกษาข้อมูลการวิจัยได้ดังนี้ คือ<br />
4.1 ลักษณะทั่วไปของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
4.2 การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
4.3 การศึกษาการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
4.4 ผลการวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบน<br />
อินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
4.1 ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
จากการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จากกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 23 คน สามารถสรุปได้<br />
ตามตารางที่ 4.1-4.3 ดังนี้<br />
1) เครื่องมือที่ใช้สำ หรับการพัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
ตารางที่ 4.1 แสดงจำนวน และค่าร้อยละของสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยที่ใช้เครื่องมือสำหรับ<br />
การพัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
เครื่องมือที่ใช้สำหรับ<br />
การพัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน จำนวน ร้อยละ<br />
1. เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นเองจะใช้<br />
1.1 ภาษา PHP ร่วมกับฐานข้อมูล MySQL<br />
1.2 ภาษา ASP ร่วมกับฐานข้อมูล Microsoft SQL<br />
6<br />
1<br />
27.3<br />
4.5<br />
61<br />
62<br />
ตารางที่ 4.1 (ต่อ)<br />
เครื่องมือที่ใช้สำหรับ<br />
การพัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน จำนวน ร้อยละ<br />
2. เครื่องมือที่ใช้จะนำมาจากต้นแบบ เช่น<br />
2.1 Moodle<br />
2.2 ATutor<br />
2.3 Blackboard<br />
3. เครื่องมือที่นำต้นแบบมาปรับร่วมกับระบบที่พัฒนาขึ้นเองจะใช้<br />
ภาษา PHP กับฐานข้อมูล MySQL<br />
2<br />
3<br />
2<br />
8<br />
9.1<br />
13.6<br />
9.1<br />
36.4<br />
รวมทั้งสิ้น 23 100.0<br />
จากตารางที่ 4.1 พบว่า เครื่องมือที่ใช้ในระบบ LMS คือ การนำต้นแบบมาปรับร่วมกับการพัฒนา<br />
ระบบขึ้นเองโดยใช้ภาษา PHP กับฐานข้อมูล MySQL รองลงมา คือ การพัฒนาขึ้นเองด้วยภาษา PHP<br />
ร่วมกับฐานข้อมูล MySQL การนำมาจากต้นแบบ เช่น ATutor<br />
2) ระยะเวลาการเปิดให้บริการระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของสถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
ตารางที่ 4.2 แสดงจำนวน และค่าร้อยละของระยะเวลา (ปี) ที่สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยเปิด<br />
ให้บริการระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
ระยะเวลาการเปิดให้บริการ<br />
ระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน จำนวน ร้อยละ<br />
น้อยกว่า 1 ปี<br />
1-2 ปี<br />
3-4 ปี<br />
มากกว่า 4 ปีขึ้นไป<br />
2<br />
8<br />
4<br />
8<br />
9.1<br />
36.4<br />
18.2<br />
36.4<br />
รวมทั้งสิ้น 23 100.0<br />
จากตารางที่ 4.2 พบว่า ระยะเวลาการเปิดให้บริการระบบ LMS คือ 1-2 ปี และมากกว่า 4 ปีขึ้นไป<br />
รองลงมาคือ 3-4 ปี<br />
62<br />
63<br />
3) จำ นวนวิชาที่เปิดให้บริการระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
ตารางที่ 4.3 แสดงจำนวน และค่าร้อยละ ของวิชาที่สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยเปิดให้บริการ<br />
ระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการปัจจุบันใน<br />
ระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน จำนวน ร้อยละ<br />
1-3 วิชา<br />
4-6 วิชา<br />
7-10 วิชา<br />
มากกว่า 10 วิชา<br />
4<br />
2<br />
3<br />
13<br />
18.2<br />
9.1<br />
13.6<br />
59.1<br />
รวมทั้งสิ้น 23 100.0<br />
จากตารางที่ 4.3 พบว่า จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการในปัจจุบันมากกว่า 10 วิชา รองลงมาคือ 1-3 วิชา<br />
ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาใน<br />
เขตกรุงเทพมหานครจำนวน 23 แห่ง มีดังนี้ คือ<br />
1) เครื่องมือที่ใช้ในระบบ LMS คือ การนำต้นแบบมาปรับร่วมกับการพัฒนาระบบขึ้นเอง<br />
โดยใช้ภาษา PHP กับฐานข้อมูล MySQL รองลงมา คือ การพัฒนาขึ้นเองด้วยภาษา PHP ร่วมกับ<br />
ฐานข้อมูล MySQL การนำมาจากต้นแบบ เช่น ATutor<br />
2) ระยะเวลาการเปิดให้บริการระบบ LMS คือ 1-2 ปี และมากกว่า 4 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ<br />
3-4 ปี<br />
3) จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการในปัจจุบันมากกว่า 10 วิชา รองลงมาคือ 1-3 วิชา<br />
4.2 การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
การศึกษาระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
เป็นรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อกับสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยที่มีระบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนใช้อยู่ในปัจจุบัน จำนวน ทั้งสิ้น 23 แห่ง แบ่งเป็นสถาบัน<br />
การศึกษา/มหาวิทยาลัยของรัฐบาล จำนวน 15 แห่ง และสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยของเอกชน<br />
จำนวน 8 แห่ง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
63<br />
64<br />
4.2.1 สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล<br />
จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา/<br />
มหาวิทยาลัยของรัฐบาลทั้งหมดจำนวน 15 แห่ง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
1) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนจะแบ่งลักษณะของ<br />
ผู้ใช้งานออกเป็น 3 สถานะคือ 1) ผู้สอน (Instructor) 2) ผู้เรียน (Student) และ 3) ผู้ดูแลระบบ (Admin)<br />
โดยที่ ผู้สอน และผู้เรียน จะใช้ Username และ Password ที่เป็นของสำนักคอมพิวเตอร์ ดังแสดงใน<br />
รูปที่ 4.1<br />
รูปที่ 4.1 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
จากรูปที่ 4.1 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เมื่อผู้ใช้ระบบป้อน Username และ Password ของตนเอง<br />
ลงไปแล้ว ระบบจะทำการตรวจสอบสิทธิการใช้งานของผู้ใช้ว่าอยู่ในสถานะใด ซึ่งระบบจะแบ่งผู้ใช้<br />
เป็น 2 สถานะ คือ 1) ผู้สอน (Instructor) และ 2) ผู้เรียน (Student) หน้าจอหลักในการทำงานแต่ละ<br />
ส่วนจะแตกต่างกันไปตามสถานะผู้ใช้ ดังแสดงในรูปที่ 4.2-4.3 ดังนี้ คือ<br />
64<br />
65<br />
รูปที่ 4.2 แสดงการหน้าจอหลักของการทำงานระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
จากรูปที่ 4.2 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานในส่วนของผู้สอน (Instructor) ซึ่งจะมี Instructor<br />
Home เป็นส่วนประกอบในหน้าจอหลัก ประกอบด้วย Inbox (แสดงจำนวนของจดหมายที่เข้ามาใหม่<br />
และจำนวนจดหมายทั้งหมดของผู้ใช้) Calendar (เป็นการเตือนผู้ใช้ ถ้าผู้ใช้ได้ทำการเพิ่มเหตุการณ์ไว้<br />
ใน Calendar โดยจะแสดงเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน) Profile (เป็น<br />
การแสดงรายละเอียดของผู้ใช้งาน เช่น User ID, Name, E-mail, Homepage) Announcement (ในส่วน<br />
ของ Announcement จะแสดงประกาศในทุกรายวิชาของผู้สอนท่านนั้น ๆ โดยจะมีรหัสวิชาและวันที่<br />
ประกาศแสดงให้เห็น ผู้สอนสามารถเพิ่มประกาศ (Add new announcement ) ได้ในแต่ละรายวิชา โดย<br />
ประกาศนี้จะไปแสดงผลในหน้าจอของนักศึกษาด้วย) Course (ในส่วนของ Course จะแสดงรายชื่อ<br />
วิชาทั้งหมดของผู้สอนท่านนั้น ๆ โดยเมื่อ Login เข้ามาเป็นครั้งแรกจะยังไม่มีรายชื่อวิชาใด ๆ แสดง<br />
ต้องทำการเพิ่มรายชื่อวิชาก่อน (Add new course) และผู้สอนสามารถ เลือกดูรายวิชาในเทอม<br />
การศึกษาที่ต้องการได้จาก ) Schedule (จะแสดงตารางการสอนของผู้สอนในแต่ละ<br />
สัปดาห์) Edit (แก้ไข) Delete (ลบ) File Manager (แสดงรายละเอียดของไฟล์ต่าง ๆ ที่ผู้สอนได้ทำ<br />
การ Upload ไว้ในระบบ)<br />
1/2547<br />
65<br />
66<br />
รูปที่ 4.3 แสดงการหน้าจอหลักของการทำงานระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนส่วนของผู้เรียน<br />
จากรูปที่ 4.3 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานในส่วนของผู้เรียน (Student) ซึ่งจะมี Student Home<br />
เป็นหน้าจอเริ่มต้นการเข้าสู่ระบบ หลังจากนักศึกษาทำการ Login เข้าสู่ระบบ หน้าจอหลักของระบบ<br />
จะประกอบไปด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับนักศึกษา เช่น Inbox (แสดง<br />
จำนวนของจดหมายที่เข้ามาใหม่ และจำนวนจดหมายทั้งหมดของผู้ใช้) Calendar (เป็นการเตือนผู้ใช้<br />
ถ้าผู้ใช้ได้ทำการเพิ่มเหตุการณ์ไว้ใน Calendar โดยจะแสดงเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นรายวัน รายสัปดาห์<br />
และรายเดือน) Profile (เป็นการแสดงรายละเอียดของผู้ใช้งาน เช่น User ID, Name, e-Mail,<br />
Homepage) Announcement (ในส่วนของ Announcement จะแสดงประกาศในทุกรายวิชาของ<br />
นักศึกษาท่านนั้น ๆ โดยจะมีรหัสวิชาและวันที่ประกาศแสดงให้เห็น โดยนักศึกษาสามารถเข้าไปดู<br />
ประกาศของแต่ละรายวิชาได้ในวิชานั้น ๆ เช่นเดียวกัน) Course (ในส่วนของ Course จะแสดงรายชื่อ<br />
วิชาทั้งหมดของนักศึกษาท่านนั้น ๆ ที่ลงทะเบียนไว้ในปีการศึกษานั้น) Schedule (จะแสดงตาราง<br />
การเรียนของนักศึกษาในแต่ละสัปดาห์) Home, File Manager, Help<br />
2) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
การเข้าใช้ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
สามารถรองรับผู้ใช้ (User) ทั่วประเทศไทยโดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งจะมีลักษณะของการ Login เข้าสู่<br />
ระบบดังแสดงในรูปที่ 4.4<br />
66<br />
67<br />
รูปที่ 4.4 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
จากรูปที่ 4.4 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษาสามารถ Login เข้าสู่ระบบด้วย Username และ Password<br />
ที่ทางมหาวิทยาลัยส่งให้ ส่วนผู้ใช้ทั่วไป สามารถลงทะเบียนใหม่โดยคลิกที่ปุ่ม ลงทะเบียนใหม่<br />
เพื่อขอ Username และ Password ในการ Login เข้าสู่ระบบ เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วจะมีรายละเอียด<br />
ดังแสดงในรูปที่ 4.5<br />
67<br />
68<br />
รูปที่ 4.5 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
จากรูปที่ 4.5 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนที่มีการลงทะเบียน และเข้าสู่ระบบ<br />
ได้สำเร็จ การทำงานประกอบไปด้วย 1) การตรวจสอบเวลาเรียน 2) ข้อมูลการเรียน 3) บทเรียน<br />
4) เปลี่ยน password และ 5) การออกจากระบบ<br />
3) มหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย<br />
รามคำแหงจะรองรับบริการใช้งานของผู้ใช้ 2 กลุ่ม คือ 1) นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ<br />
2) บุคคลทั่วไป โดยที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจะสามารถเข้าเรียนตามรายวิชา<br />
ที่ลงทะเบียนเรียนไว้ ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถลงทะเบียนผ่านทางระบบ e-Learning โดยไปที่ส่วน<br />
ของ New User เมนู Please Register และทำการกรอกรายละเอียดต่าง ๆ จากนั้นจะได้ Username และ<br />
Password เพื่อ Login เข้าสู่ระบบ ดังแสดงในรูปที่ 4.6-4.7<br />
68<br />
69<br />
รูปที่ 4.6 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
จากรูปที่ 4.6 แสดงหน้าจอหลักของการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงสำหรับนักศึกษาและบุคคลที่มี Username และ Password แล้ว สามารถใส่<br />
Username และ Password ลงในช่อง และกดปุ่ม “Enter” เพื่อเข้าสู่ระบบ ส่วนบุคคลที่ยังไม่มี<br />
Username และ Password ให้กดปุ่ม “กรุณาลงทะเบียน” เพื่อทำการลงทะเบียนและขอ Username และ<br />
Password สำหรับ Login เข้าสู่ระบบ รายละเอียดดังแสดงในรูปที่ 4.7<br />
รูปที่ 4.7 แสดงการลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
69<br />
70<br />
จากรูปที่ 4.7 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเข้าสู่ระบบของผู้ใช้งาน เมื่อผู้ใช้คลิกที่ปุ่ม<br />
จากหน้าจอแรกเพื่อเข้าไปทำการลงทะเบียนผู้ใช้ โดยจะปรากฏหน้าจอสำหรับ<br />
การป้อนข้อมูลมาให้ รายละเอียดดังแสดงในรูปที่ 4.8<br />
รูปที่ 4.8 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
จากรูปที่ 4.8 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่ ผู้ใช้งาน<br />
จำเป็นต้องกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยเฉพาะช่องที่มีเครื่องหมาย * เมื่อใส่ข้อมูลครบแล้ว<br />
ให้กดปุ่ม จะปรากฏหน้าจอแสดงข้อมูลที่ลงทะเบียนไป เพื่อเป็นการยืนยันว่าได้ทำ<br />
การลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว<br />
70<br />
71<br />
4) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ<br />
การเข้าใช้ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยศรีนครินทร-<br />
วิโรฒ จะต้องทำการลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบก่อนโดยระบบจะให้กรอก Login Name, Password และ<br />
Email Address ซึ่งจำเป็นต้องกรอก ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ของผู้ใช้ระบบจะกรอกหรือไม่ก็ได้<br />
ส่วนบุคลากรของ มศว. และนิสิตของ มศว. ไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบ สำนักคอมพิวเตอร์<br />
ลงทะเบียนให้อัตโนมัติแล้ว โดยนำข้อมูลจากระบบ SUPREME 2004 เข้าระบบ<br />
รูปที่ 4.9 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ<br />
จากรูปที่ 4.9 แสดงหน้าจอหลักของการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จะมีเมนูกลางให้เลือก 4 เมนู คือ 1) Browse Courses 2) Login<br />
3) Search และ 4) Help อยู่มุมบนขวา โดยผู้ใช้สามารถดำเนินการได้ 4 อย่างคือ 1) Login เพื่อเข้าใช้<br />
ระบบ 2) Register เพื่อลงทะเบียนเป็นสมาชิกของระบบ 3) Browse Courses เพื่อดูรายวิชาที่อยู่ใน<br />
ระบบ และ 4) Password Reminder เพื่อให้ระบบส่ง Login และ Password มาให้ทาง e-Mail สำหรับ<br />
หน้าจอหลักของการทำงานในส่วนของผู้สอน (Instructor) และผู้เรียน (Student) รายละเอียดแสดง<br />
ดังรูปที่ 4.10-4.11<br />
71<br />
72<br />
รูปที่ 4.10 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒในส่วนของผู้สอน<br />
จากรูปที่ 4.10 เป็นการแสดงหน้าจอหลักสำหรับการทำงานในส่วนของผู้สอน เมื่อ Login เข้าสู่ระบบ<br />
สำเร็จจะเข้าสู่หน้าจอ My Start Page ซึ่งจะแสดงรายวิชาทั้งหมดของผู้ Login (My Courses) ได้แก่วิชา<br />
ที่สอน (Instructor) และวิชาที่ลงทะเบียนเรียน (Student) โดยมีเมนูกลางของ ATutor ให้ใช้ ได้แก่<br />
Inbox | Search | Logout อยู่มุมบนขวา โดยให้สังเกตทางซ้ายของเมนูจะเป็น Login Name และถัดมา<br />
ทางซ้ายจะเป็น Jump เมนู My Start Page และมีเมนูให้ดำเนินการ 3 อย่าง ได้แก่ - My Courses แสดง<br />
วิชาของผู้ใช้ โดยมีเมนูย่อยให้ใช้คือ Browse Courses และ Create Course - Profile แสดงรายละเอียด<br />
ข้อมูลของผู้ใช้ (เป็นข้อมูลตอนลงทะเบียน) - Preferences สำหรับปรับแต่งระบบตามความชอบ<br />
รูปที่ 4.11 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMSของมหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒในส่วนของผู้เรียน<br />
72<br />
73<br />
จากรูปที่ 4.11 เป็นการแสดงหน้าจอหลักสำหรับการทำงานในส่วนของผู้เรียน เมื่อ Login เข้าสู่ระบบ<br />
ได้ ผู้เรียนจะสามารถลงทะเบียนเรียนและจะมีเมนูวิชา แล้วเลือกเมนู Manage > Enrollment<br />
> Pending Enrollment สำหรับการทำงานเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาเรียนมีดังต่อไปนี้<br />
1) เมื่อ Login เข้ามาครั้งแรกระบบจะแสดง My Start Page ซึ่งแสดงวิชาทั้งหมดของผู้นั้น<br />
(My Courses) ได้แก่ วิชาที่ลงทะเบียนเรียน (Student) และวิชาที่เป็นเจ้าของ (Instructor) ซึ่งจะ<br />
เหมือนกับรายชื่อวิชาใต้ Courses Below ของ Jump เมนู ให้เลือกวิชาที่ลงทะเบียนเรียนเพื่อดู<br />
เนื้อหาวิชาจาก Jump เมนู (ใต้ Courses Below) เช่น วิชา IT Tools: Information Technology Tools for<br />
Research<br />
2) เมื่อเข้ามาที่วิชา จะเข้ามาที่ Home ของวิชา ซึ่งมีเมนูให้เลือกเพิ่มอีก 2 เมนูคือ Forum และ<br />
Glossary (หากเป็นวิชาที่เป็น Instructor จะมีเมนู Manage เพิ่ม) โดยในทุก ๆ หน้าของวิชาจะมีเมนู<br />
หลัก ได้แก่ เมนูเนื้อหา (Content Navigation) และเมนูอื่น ๆ เช่น Related Topics, User Online,<br />
Glossary, Search, Polls, Forum Posts ให้เลือกใช้ ซึ่งผู้ใช้สามารถที่จะซ่อน/แสดง (Hide/Show) เมนู<br />
หลักนี้ได้<br />
3) ในหน้า Home จะมีเมนูที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ได้ ได้แก่ Forum, Glossary, Chat, TILE<br />
Repository Search, Links, Tests & Surveys, Site-map, Export Content, My Tracker, Polls, Directory<br />
และตามด้วยที่ประกาศข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของวิชา (Announcement)<br />
5) มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
สำหรับการกลุ่มผู้ใช้ที่สามารถเข้าใช้ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของมหาวิทยาลัยศิลปากรได้นั้น มี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้สอน 2) นักศึกษาระดับปริญญาตรี และ 3) ผู้ดูแล<br />
ระบบ ซึ่งส่วนของการ Login เข้าสู่ระบบของผู้สอนและผู้ดูแลระบบจะเป็นหน้าจอเดียวกัน ดัง<br />
รูปที่ 4.10 สำหรับหน้าจอการเข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของนักศึกษาจะ<br />
แสดงรายละเอียดดังรูปที่ 4.12<br />
73<br />
74<br />
รูปที่ 4.12 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ส่วนของผู้สอนและผู้ดูแลระบบของมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
จากรูปที่ 4.12 เป็นแสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร หากผู้ใช้เป็นผู้ดูแลระบบ ให้คลิกเลือก webmaster/course admin หรือหาก<br />
ผู้เข้าใช้ระบบเป็นผู้สอน ให้คลิกเลือก Instructor และทำการป้อน Username และ Password ของ<br />
ตนเองเพื่อเข้าสู่หน้าจอการทำงานหลักได้<br />
รูปที่ 4.13 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ส่วนของผู้สอน<br />
74<br />
75<br />
จากรูปที่ 4.13 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบของผู้เรียน ซึ่ง Username และ Password จะได้มา<br />
จากฝ่ายสารสนเทศการศึกษา เป็นชุดเดียวกับระบบทะเบียน<br />
รูปที่ 4.14 แสดงหน้าจอหลักของการทำงานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ส่วนของผู้เรียน<br />
จากรูปที่ 4.14 แสดงหน้าจอหลักในส่วนของผู้เรียนหลังจากทำการ Login โดยใช้ Username และ<br />
Password ที่มีอยู่ ในหน้าจอหลักจะมีการทำงานเกี่ยวกับ 1) Personal Info (เป็นข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้<br />
ระบบ ประกอบด้วย Change Password (การเปลี่ยนรหัสผ่าน) View My Course (แสดงจำนวนวิชา<br />
ที่เรียน) View Course Online (แสดงวิชาที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน) Logout (ออกจากระบบ)) และ<br />
2) Enrollment (ผลการลงทะเบียน) ซึ่งจะแสดง Enroll New Course ที่เปิดให้ลงทะเบียนใหม่<br />
6) มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
การทำงานของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
บ้านสมเด็จเจ้าพระยา จากรูปที่ 4.15 ระบบรองรับการเข้าใช้งานจากผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้ว หรือ<br />
ยังไม่ได้ทำการลงทะเบียน<br />
75<br />
76<br />
รูปที่ 4.15 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
จากรูปที่ 4.15 แสดงให้เห็นถึงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนสามารถลงทะเบียนได้โดยปุ่ม<br />
ทางด้านขวา เริ่มต้นสมัครเป็นสมาชิกตอนนี้จะได้หน้าจอดังแสดงในรูปที่ 4.16 ส่วนผู้ที่ลืมรหัสผ่าน<br />
ให้ทำการเลือกปุ่ม ส่งรายละเอียดผ่านอีเมล์<br />
76<br />
77<br />
รูปที่ 4.16 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในส่วนของผู้เรียน<br />
จากรูปที่ 4.16 แสดงให้เห็นถึงหน้าจอการสมัครเพื่อเป็นสมาชิกเพื่อเข้าสู่การใช้งานระบบของผู้เรียน<br />
ผู้เรียนต้องทำการกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนทุกช่องหลังจากนั้นให้ทำการเลือกที่ปุ่ม สร้าง account ใหม่<br />
รูปที่ 4.17 แสดงหน้าจอหลักหลังการ Login เข้าใช้งานระบบ LMS ของมหาวิทยาลัย<br />
ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาในส่วนของผู้เรียน<br />
77<br />
78<br />
จากรูปที่ 4.17 แสดงให้เห็นถึงหน้าจอหลักหลังการ Login ของผู้ใช้งาน โดยต้องรอให้ผู้สอนทำ<br />
การให้สิทธิ์ในแต่ละวิชาเพื่ออนุญาตให้เข้าเรียนก่อน รายชื่อวิชานั้นๆจึงจะมาปรากฏภายใต้หัวข้อ<br />
คอร์สทั้งหมด ผู้เรียนสามารถอ่านข่าวที่มีการประกาศไว้ได้โดยเลือกที่หัวข้อข่าวและประกาศ<br />
นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถสมัครเป็นสมาชิกกระดานข่าวได้เพื่อรับรู้ข่าวสารที่มากขึ้น โดยให้ทำ<br />
การเลือกยังส่วนหัวข้อ สมัครเป็นสมาชิกกระดาน ทางด้านขวามือบน<br />
7) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
การทำงานของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนผู้ใช้งานสามารถ Login<br />
เข้าสู่ระบบภายใต้หัวข้อ Login สำหรับผู้ที่ยังไม่มี User id และ Password สามารถที่จะสมัคเข้าใช้งาน<br />
ระบบได้ภายใต้หัวข้อ New User ในกรณีที่ผู้ใช้งานลืม Password ผู้ใช้งานสามารถขอความช่วยเหลือ<br />
ภายใต้หัวข้อ Password Reminder ดังแสดงดังรูปที่ 4.18<br />
รูปที่ 4.18 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
จากรูปที่ 4.18 แสดงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบัน<br />
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ใช้งานสามารถเลือกให้หน้าจอแสดงผลเป็น<br />
ภาษาไทยได้โดยเลือกตัวเลือกด้านล่างหน้าจอภายใต้หัวข้อ Translate to ผู้ใช้งานสามารถทำการขอดู<br />
รายวิชาที่ทำการเปิดสอนออนไลน์อยู่ในขณะนี้ได้โดยเลือกที่หัวข้อ Browse Courses (สำรวจรายวิชา)<br />
ดังรูปที่ 4.19<br />
78<br />
79<br />
รูปที่ 4.19 แสดงรายวิชาที่เปิดสอนแบบออนไลน์ที่มีในระบบ LMS ของสถาบัน<br />
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
จากรูปที่ 4.19 แสดงหน้าจอรายการวิชาที่ทำการเปิดสอนออนไลน์ผู้ใช้สามารถทำการเลือกรายการ<br />
วิชาที่ต้องการเรียนได้กรณีที่ผู้ใช้ยังไม่ได้ลงทะเบียนระบบจะนำผู้ใช้เข้าสู่การลงทะเบียนก่อน ดังรูปที่<br />
4.20 ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วรายวิชาที่ได้เลือกไว้จะเข้าไปสู่รายการที่พร้อมจะเริ่มเรียน<br />
79<br />
80<br />
รูปที่ 4.20 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่ เพื่อใช้ Login เข้าสู่<br />
ระบบ LMS ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
จากรูปที่ 4.20 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบผู้ใช้งานต้อง<br />
ทำการกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนตามที่ระบบต้องการโดยสังเกตได้จากส่วนใดที่มีสัญลักษณ์ * สีแดง<br />
นั่นแสดงว่าผู้ใช้งานต้องทำการกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนผู้ใช้งานสามารถเลือกที่ปุ่ม “ยกเลิก” เมื่อ<br />
ไม่ต้องการทำงานต่อหรือเลือกปุ่ม “บันทึก” เมื่อต้องการทำงานต่อไป<br />
80<br />
81<br />
รูปที่ 4.21 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนของสถาบันเทคโนโลยี<br />
พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง<br />
จากรูปที่ 4.21 แสดงหน้าจอการเข้าใช้งานหลังจากทำการ Login เข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนี้<br />
ผู้เรียนสามารถทำการเลือกวิชาที่ต้องการเรียนได้โดยทำการเลือกที่หัวข้อ วิชาของฉัน (My Courses)<br />
จากนั้นทำการเลือก สำรวจรายวิชา เพื่อเลือกวิชาที่ต้องการเรียนกรณีที่วิชาที่เลือกเปิดโอกาสให้บุคคล<br />
ทั่วไปเรียนฟรี ส่วนกรณีที่วิชานั้นเป็นวิชาสงวนผู้เรียนต้องรอสิทธิ์จากผู้สอนเพื่ออนุญาตให้ผู้เรียน<br />
มีสิทธิ์ที่จะเรียนก่อนถึงจะสามารถเพิ่มรายวิชาได้ นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูล<br />
ส่วนตัวได้โดยเลือกหัวข้อ ข้อมูลส่วนตัว และสามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานหน้าจอในรูปแบบที่<br />
ตนเองต้องการโดยเลือกหัวข้อ ปรับแต่งรูปแบบ ภายในมีตัวเลือกการรับส่งข้อความ แสดงลำดับเลข<br />
ของรายวิชาที่มีอยู่ การเปิดปิดความสามารถ ไปที่ การเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ การโหลดฟอร์มอัตโนมัติ<br />
ภาษาที่เลือกใช้เป็นต้น<br />
81<br />
82<br />
8) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร์สามารถทำได้จากหน้าจอด้านล่าง โดยมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างผู้ใช้งาน<br />
ระบบภายใน (ผู้สอน ผู้เรียน เจ้าหน้าที่) และผู้เข้าอบรมจากภายนอกดังแสดงในรูปที่ 4.22<br />
รูปที่ 4.22 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
จากรูปที่ 4.22 แสดงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร์ จากรูปด้านซ้ายจะเป็นส่วนของการ Login เข้าสู่ระบบ การรายงานสถิติในรูปแบบ<br />
ต่าง ๆ ด้านกลางหน้าจอจะเป็นการประชาสัมพันธ์รายวิชาต่าง ๆ โดยประกอบด้วยรหัสวิชา เนื้อหาที่<br />
ต้องการประชาสัมพันธ์ ชื่อผู้ประกาศ วันที่ประกาศ โดยจะแบ่งเป็นคณะ เพื่อความเป็นระเบียบและ<br />
ง่ายในการค้นหา ด้านบนของหน้าจอเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการรายวิชาต่าง ๆ เช่น Available<br />
Courses (รายวิชาที่เปิดสอน), News Courses (ข่าวประชาสัมพันธ์), statistics (สถิติการใช้งาน<br />
รายวิชา), Contact us และ Help<br />
82<br />
83<br />
รูปที่ 4.23 แสดงหน้าจอหลังจากทำการเลือก Available Courses ในส่วนของผู้เรียน<br />
ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
จากรูปที่ 4.23 แสดงหน้าจอหลังจากทำการเลือก Available Courses ในส่วนของผู้เรียนระบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อผู้ใช้งานทำการเลือกส่วน<br />
Available Courses หน้าจอจะแสดงรายการวิชาที่ทำการเปิดสอนทั้งหมดของมหาวิทยาลัยโดย<br />
จะทำการแสดง 20 วิชาต่อหนึ่งหน้าจอ ซึ่งในเวลานี้วิชาที่เปิดทำการสอนออนไลน์ทั้งสิ้น 1,740 วิชา<br />
ผู้ใช้งานสามารถใส่รหัสวิชาที่ต้องการค้นหาได้ในช่องด้านบน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะทำการค้นหา<br />
วิชาโดย รหัสวิชา, ชื่อวิชา หรือ ชื่อผู้สอน ในแต่ละรายวิชา ผู้ใช้งานสามารถที่จะเลือกที่ชื่อผู้สอน หรือ<br />
View เพื่อทำการดูรายละเอียดที่เตรียมเอาไว้ ในส่วนของ Statistics จะเป็นส่วนที่แสดงรายละเอียด<br />
ทั้งหมดของสถิติการเข้าใช้งานจากผู้ใช้โดยภายในจะทำการสรุปเป็นรายวิชาว่า มีการเข้าใช้งานแล้ว<br />
กี่ครั้ง ชื่อผู้สอน ชื่อวิชา รหัสวิชา ซึ่งการแสดงผลจะคล้ายกับในส่วนของ การแสดงรายการวิชาที่มี<br />
การเปิดสอน<br />
83<br />
84<br />
9) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
สวนสุนันทาผู้ใช้งานสามารถทำการ Login เข้าใช้งาน ดูประกาศรายวิชาต่าง ๆ หรือประกาศจากทาง<br />
คณะ ดังแสดงในรูปที่ 4.24<br />
รูปที่ 4.24 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา<br />
จากรูปที่ 4.24 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาจากรูปจะเป็นส่วนสำหรับให้ผู้ใช้งานได้ทำการ Login เข้าสู่ระบบ<br />
โดยทำการใส่ User id และ Password ถัดลงมาด้านล่างจะเป็นปฏิทินสำหรับผู้ใช้งานได้ทำ<br />
การตรวจเช็ควัน เมื่อทำการอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ต่างได้โดยสะดวก ส่วนด้านกลางของหน้าจอจะ<br />
เป็นเนื้อที่ใช้สำหรับประชาสัมพันธ์ข่าวสารทั้งจากทางคณะถึงผู้สอน และผู้เรียนหรือจะเป็น<br />
การประกาศจากผู้สอนถึงผู้เรียน ส่วนด้านขวาสุดจะเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงรายวิชาที่เพิ่งจะเปิดทำ<br />
การเรียนการสอนออนไลน์รายการชื่อวิชาจะถูกใส่ไว้ในกล่อง New Courses ส่วนวิชาไหนที่เป็นที่<br />
สนใจของบุคคลทั่วไปรายชื่อวิชาจะถูกใส่ไว้ในกล่อง Courses Promotion<br />
84<br />
85<br />
10) มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
ธนบุรี จะใช้หน้าจอเดียวกันทั้งของผู้สอนและผู้เรียน จากรูปที่ 4.25 การ Login เข้าสู่ระบบของ<br />
ผู้ใช้งานสามารถทำได้ที่หน้าจอนี้โดย Login และ Password ผู้ใช้งานจะได้จากทางเจ้าหน้าที่ดูแล<br />
ระบบ<br />
รูปที่ 4.25 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
จากรูปที่ 4.25 แสดงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนหรือที่ทาง<br />
มหาวิทยาลัยเรียกว่า ilms (Internet Learning Menagement System) ภายในประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ<br />
3 ส่วนคือ 1) Main Menu เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ภายในระบบ เช่น เกี่ยวกับ<br />
สถาบัน หลักสูตรที่เปิดสอน กระดานสนทนา และ บริการฟรีอีเมล์ 2) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับ<br />
ประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆตามต้องการ 3) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ สำหรับ<br />
ผู้ใช้งานที่ยังไม่ได้ทำการลงทะเบียนสามารถทำการลงทะเบียนได้ที่ด้านล่างของการ Login นอกจากนี้<br />
ยังมีส่วนย่อย ๆ เช่น ปฏิทิน รายงานสถานะว่าตอนนี้ผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบด้วยสถานะใด<br />
85<br />
86<br />
รูปที่ 4.26 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
จากรูปที่ 4.26 แสดงหน้าจอการทำงานของผู้ใช้งานหลังจากที่ได้ผ่านการ Login เข้าสู่ระบบเป็นที่<br />
เรียบร้อยจากรูปแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานยังไม่ได้ทำการลงทะเบียนเรียนวิชาใดไว้ ผู้เรียนสามารถ<br />
ทำการสมัครเรียนวิชาได้สองประเภทคือ 1) ประเภท Course Opening ซึ่งจะเป็นวิชาที่เปิดให้ผู้สนใจ<br />
ทั่วไปทำการเรียนฟรี 2) เป็นการเรียนวิชาที่มีผลต่อการเรียนผู้สอนต้องทำการอนุญาตให้ผู้เรียนมีสิทธิ์<br />
เข้าเรียนก่อนจากนั้นรายชื่อวิชาดังกล่าวจึงจะมาปรากฏในรายการวิชาเพื่อทำการเลือกที่จะเรียนต่อไป<br />
จอกจากนี้ทางด้านซ้ายมือของหน้าจอจะเป็นส่วนที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียนจะเป็น<br />
ศูนย์รวม Link ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน เช่น การแก้ไขข้อมูลส่วนตัว เข้าสู่บทเรียน ตรวจสอบ<br />
การเข้าเรียน แลกเปลี่ยนซอสโค้ด บริการฟรีอีเมล์ และ แบบทดสอบ ส่วนล่างสุดของหน้าจอจะเป็น<br />
ส่วนรายงานสถิติต่าง ๆ เช่น รายงานจำนวนผู้เข้าใช้งานระบบ ณ เวลานั้นมีจำนวนกี่คน<br />
11) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
การเข้าใช้งานระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันเทคโนโลยี<br />
พระจอมเกล้าพระนครเหนือนั้น ผู้สอนและผู้เรียนจะใช้หน้าจอการ Login เดียวกัน ดังแสดงดัง<br />
รูปที่ 4.27<br />
86<br />
87<br />
รูปที่ 4.27 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียน<br />
การสอนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
จากรูปที่ 4.27 แสดงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนหลังจากที่ทำ<br />
การใส่ User ID และ Password ที่ได้จากทางผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทำการเปลี่ยน<br />
รหัสผ่านทันทีเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล จากรูปด้านซ้ายระบบจะแสดง สถิติการเข้าเรียนของ<br />
ผู้เรียนโดยเรียงลำดับจากจำนวนครั้งที่มากที่สุดเป็นรายวิชา ถัดลงมาด้านล่างเป็นการแสดงรายวิชาที่<br />
เปิดสอนอยู่ซึ่งเมื่อผู้ใช้งานทำการเลือกตรงส่วน more… ข้อมูลรายวิชาทั้งหมดจะไปปรากฏ<br />
ตรงส่วนกลางหน้าจอโดยจะแสดง รหัสวิชา ชื่อวิชา ชื่อผู้สอน ผู้ใช้งานสามารถทำการเลือกตรงรหัส<br />
วิชาเพื่อเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามต้องการ ถัดไปทางด้านขวาของหน้าจอจะเป็นรายงานสถิติ<br />
จำนวนผู้เข้าใช้งานระบบ โดยแบ่งเป็นนักเรียน และอาจารย์<br />
87<br />
88<br />
รูปที่ 4.28 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้สอนระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
รูปที่ 4.29 แสดงหน้าจอการจัดการรายวิชาในส่วนของผู้สอนระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ<br />
จากรูปที่ 4.28 และ 4.29 แสดงหน้าจอหลังจากผู้สอนทำการ Login เข้าสู่ระบบแล้ว ภายในหน้าจอจะ<br />
มีข่าวประกาศประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ทางด้านซ้ายจะแสดงรายการวิชาที่มีการเปิดสอนซึ่งรายชื่อวิชาจะ<br />
ปรากฏได้ผู้สอนต้องทำการแจ้งผู้ดูแลระบบก่อน จากนั้นผู้สอนทำการเลือกรหัสวิชาเพื่อทำ<br />
การกำหนดค่าต่าง ๆ เพื่อสร้างรายวิชาใหม่ หลังจากนั้นผู้สอนจะได้หน้าจอ ภายในจะประกอบด้วย<br />
88<br />
89<br />
เครื่องมือทางด้านซ้ายมือเป็นเครื่องมือในการสร้าง วิชาที่ต้องการขึ้นใหม่ ส่วนตรงกลางหน้าจอ<br />
จะประกอบไปด้วย icon ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำการแก้ไขส่วนประกอบต่าง ๆ ของวิชานั้น เช่น<br />
การสร้างแบบฝึกหัด หรือข้อสอบเพื่อสร้างคำถามคำตอบการกำหนดคะแนน การกำหนดวันเวลาใน<br />
การส่งงาน นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเพื่อสร้างประกาศต่างๆสำหรับรายวิชา การกำหนดรายชื่อผู้เรียน<br />
ที่มีสิทธิ์เข้าเรียน การกำหนดกิจกรรมที่ต้องการในรายวิชา การใช้ทรัพยากรที่ระบบเตรียมไว้ให้<br />
12) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขตพระนครใต้<br />
การเข้าใช้งานระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี<br />
ราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขตพระนครใต้ ผู้สอน และผู้เรียนจะใช้หน้าจอเดียวกันเพื่อทำการ Login<br />
เข้าสู่ระบบ ดังรูปที่ 4.30<br />
รูปที่ 4.30 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ<br />
วิทยาเขตพระนครใต้<br />
89<br />
90<br />
จากรูปที่ 4.30 แสดงหน้าจอหลักของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนทางด้านขวาบน<br />
ของหน้าจอเป็นส่วนสำหรับผู้ใช้งานทำการ Login เข้าสู่ระบบ กรณีที่ไม่เคยเป็นสมาชิกมาก่อน<br />
ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่ส่วน สมัครสมาชิก หรือกรณีที่ลืมรหัสผ่านสามารถเลือกส่วน Lost Password<br />
ถัดมาทางด้านล่างจะเป็นส่วนของข่าว Link ที่เกี่ยวข้อง ปฏิทิน และ รายงานสถิติรายงานจำนวน<br />
ผู้ใช้งานระบบแบบ real time ทางด้านซ้ายของหน้าจอเป็นส่วนของเครื่องมือต่างๆที่ผู้ใช้งานสามารถ<br />
เลือกได้ตามความต้องการเช่น การดูประกาศข่าวต่าง ๆ การดูหลักสูตร การเข้าห้องสนทนา<br />
Web board และ คำศัพท์ ถัดไปทางด้านล่างผู้ใช้งานสามารถเลือกดูรายวิชาที่เปิดทำการสอนแบบ<br />
ออนไลน์ได้ทั้งหมด หรือดูเป็นตามประเภทของวิชา ส่วนทางด้านกลางของหน้าจอเป็นการประกาศ<br />
ข่าวต่าง ๆ แบบคร่าว ๆ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกในส่วนของหัวข้อเพื่อทำการโต้ตอบ หรือดู<br />
รายละเอียดที่มากกว่าได้<br />
13) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
การเข้าใช้งานระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
พระนคร ผู้สอนและผู้เรียนสามารถทำการ Login เข้าสู่ระบบจากหน้าจอหลักของระบบดังแสดงดัง<br />
รูปที่ 4.31<br />
รูปที่ 4.31 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
90<br />
91<br />
จากรูปที่ 4.31 แสดงหน้าจอหลักของระบบทางด้านบนของหน้าจอเป็นชุดของเครื่องมือใช้เพื่ออำนวย<br />
ความสะดวกแก่ผู้ใช้งานโดยเป็นการรวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ประกาศต่าง ๆ จากผู้สอนถึงผู้เรียน<br />
Knowledge Bank เป็นการรวบรวมแหล่งความรู้จากแหล่งต่าง ๆ Edutainment เป็นส่วนที่รวบรวม<br />
แหล่งของหนัง เพลง เกมส์ News เป็นการรวบรวมข่าวที่ต้องการประกาศให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ<br />
เป็นต้น ทางด้านซ้ายมือเป็นการรวบรวมเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน เช่น คู่มือการใช้งาน<br />
การแจ้งปัญหาในการใช้งาน การเข้าใช้งานระบบนั้นผู้เรียนต้องทำการชำระค่าลงทะเบียนที่จำนวน<br />
170 บาท ผู้เรียนจะได้รับ User ID และหนังสือรายวิชาที่ขึ้นทะเบียน<br />
รูปที่ 4.32 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบการบริหารจัดการ<br />
ด้านการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
จากรูปที่ 4.32 แสดงหน้าจอหลังจากที่ผู้เรียน Login เข้าสู่ระบบแล้วทางด้านซ้ายของหน้าจอเป็นส่วน<br />
ของเมนูสารบัญ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสดงส่วนการทำงานต่าง ๆ ที่สำคัญของผู้เรียนซึ่ง<br />
ประกอบด้วยปุ่มต่าง ๆ คือ ปุ่มลงทะเบียนวิชาเรียน ปุ่มรายงานใช้สำหรับตรวจสอบรายงานคะแนน<br />
แบบฝึกหัดและแบบทดสอบของแต่ละรายวิชา ปุ่มข้อมูลส่วนตัวใช้สำหรับแก้ไข เพิ่มเติมประวัติ<br />
ส่วนตัว ปุ่มเปลี่ยนรหัสผ่านใช้สำหรับเปลี่ยนรหัสผ่าน ปุ่มบันทึกใช้สำหรับบันทึกช่วยจำ ปุ่มข้อความ<br />
ใช้สำหรับเปิดข้อความที่ผู้สอนส่งมาให้ ปุ่ม Portfolio ใช้สำหรับเปิดแฟ้มสะสมผลงาน<br />
4.2.2 สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน<br />
จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา/<br />
มหาวิทยาลัยของเอกชนทั้งหมดจำนวน 8 แห่ง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
91<br />
92<br />
1) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ<br />
จะใช้หน้าจอเดียวกันทั้งของผู้สอนและของผู้เรียนโดย Username และ Password จะได้มาจาก<br />
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบ ดังรูปที่ 4.33<br />
รูปที่ 4.33 แสดงการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของผู้สอนและผู้เรียน<br />
ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ<br />
จากรูปที่ 4.33 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนโดยเมื่อ<br />
หลังจากผู้สอนหรือผู้เรียนทำการ Login เข้าสู่ระบบแล้วผู้สอนและผู้เรียนจะได้หน้าจอการใช้งาน<br />
ที่ต่างกัน<br />
92<br />
93<br />
รูปที่ 4.34 แสดงหน้าจอหลักการทำงานระบบ LCMS ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ<br />
จากรูปที่ 4.34 แสดงหน้าจอ Knowledge Center หรือที่เรียกว่า Bangkok University Knowledge<br />
Center “BUKC” เป็นหน้าจอที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชาที่เปิดสอน โดยที่ผู้สอนและ<br />
ผู้เรียนสามารถทำการเช็ครายการวิชาที่ได้มีการออนไลน์ไว้แล้ว ผู้สอนสามารถดูรายการวิชาที่ตนเอง<br />
ได้ทำการสร้างหรือผู้สอนบางท่านอาจจะเข้ามาตรวจสอบดูว่าวิชาที่ตนกำลังจะเปิดสอนนั้นซ้ำกับ<br />
ผู้สอนท่านอื่นหรือไม่ ด้านผู้เรียนสามารถเข้ามาทำการตรวจเช็ครายละเอียดรายการวิชาที่ต้องการ<br />
เข้าเรียนได้<br />
2) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนจะแบ่งลักษณะของ<br />
ผู้ใช้งานออกเป็น 2 สถานะคือ 1) ผู้สอน (Instructor) และ 2) ผู้เรียน (Student) โดยที่ผู้สอนและผู้เรียน<br />
สามารถ Login เข้าสู่ระบบด้วย URL (Universal Resource Locator) ที่ต่างกัน ผู้สอนและผู้เรียนต้องใช้<br />
Username และ Password ที่ได้รับจากผู้ดูแลระบบเพื่อเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้อง รายละเอียดดังแสดง<br />
ในรูปที่ 4.35-4.398<br />
93<br />
94<br />
รูปที่ 4.35 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของผู้สอน<br />
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
จากรูปที่ 4.35 แสดงให้เห็นถึงหน้าจอหลังจากที่ผู้สอนเข้าสู้หน้าจอ Web Browser ด้วย URL ดังนี้<br />
http://elearning2.dpu.ac.th/instructor/ ระบบจะนำเข้าสู่การ Login ของผู้สอนโดยให้ผู้สอนใส่<br />
Username และ Password ที่ได้รับลงในช่อง “ชื่อล็อกอิน” (Username) และ “รหัสผ่าน” (Password)<br />
และคลิกที่ปุ่ม “Login” เพื่อเข้าสู่ระบบ<br />
รูปที่ 4.36 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้สอนระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
จากรูปที่ 4.36 แสดงให้เห็นหลังจากผู้สอนทำการล็อกอินเข้าสู่ระบบแล้ว ผู้สอนจะเข้าสู่หน้า<br />
"Instructor's Home" ซึ่งเป็นหน้าที่แสดงจำนวน และรายชื่อวิชาที่อาจารย์แต่ละท่านได้ทำการสอน<br />
โดยในหน้า "Instructor's Home" จะแสดงรายการวิชาต่าง ๆ ที่อาจารย์ได้ทำการสอนไว้ อาจารย์<br />
สามารถเลือกรายวิชาที่จะทำการสอนโดยคลิกที่ “รหัส” ของวิชานั้น ๆ เพื่อเข้าสู่บทเรียน<br />
94<br />
95<br />
รูปที่ 4.37 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของผู้เรียน<br />
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
จากรูปที่ 4.37 แสดงให้เห็นถึงหน้าจอหลังจากที่ผู้เรียนเข้าสู้หน้าจอ Web Browser ด้วย URL ดังนี้<br />
http://elearning2.dpu.ac.th ระบบจะนำเข้าสู่การ Login ของผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนใส่ Username และ<br />
Password ที่ได้รับลงในช่อง "ชื่อล็อกอิน" (Username) และ "รหัสผ่าน" (Password) และคลิกที่ปุ่ม<br />
"Login" เพื่อเข้าสู่ระบบ<br />
รูปที่ 4.38 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์<br />
จากรูปที่ 4.38 หลังจากผู้เรียนทำการล็อกอินเข้าสู่ระบบแล้ว ผู้เรียนจะเข้าสู่หน้า "Student's Home" ซึ่ง<br />
เป็นหน้าที่แสดงจำนวน และรายชื่อวิชาที่ผู้เรียนแต่ละท่านได้ลงทะเบียนเรียนไว้ (ถ้าหากผู้ที่ยังไม่ได้<br />
ลงทะเบียนเรียน หน้า Student's Home นี้ จะแสดงรายการเป็นรายการว่าง) * และจะมีหน้าต่าง<br />
(Window) ที่แสดงรายละเอียดของการเข้าเรียนครั้งล่าสุด "Sum Last Learning" ปรากฏขึ้นทับบนหน้า<br />
Student's Home ผู้เรียนสามารถปิดหน้าต่างนี้ หลังจากที่ดูรายละเอียดต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ในหน้า<br />
"Student's Home" จะแสดงรายการวิชาต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้ลงทะเบียนเรียนไว้ ผู้เรียนสามารถเลือก<br />
รายวิชาที่จะเข้าเรียนโดยคลิกที่ "รหัส" ของวิชานั้น ๆ เพื่อเข้าสู่บทเรียนเมื่อเข้ามาครั้งแรกต้องเลือก<br />
Confirm เพื่อยืนยันการใช้ระบบ<br />
95<br />
96<br />
3) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน หรือที่ทางมหาวิทยาลัย<br />
หอการค้าไทยเรียกว่า ระบบ “LCMS” นั้น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถใช้หน้าจอเดียวกันในการเข้าใช้<br />
งานดังแสดงในรูปที่ 4.39<br />
รูปที่ 4.39 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.39 แสดงให้เห็นถึง หน้าจอการรับการ Login เข้าสู่ระบบ ในกรณีที่เป็นผู้ที่ไม่เคยใช้ระบบ<br />
มาก่อน สามารถสมัครเข้าใช้ระบบด้วยการเลือกส่วน “สมัครสร้างบทเรียน” (สำหรับผู้สอน) และ<br />
“สมัครเรียน” (สำหรับผู้เรียน) โดยระบบจะนำเข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียนเข้าใช้งาน นอกจากนี้ในรูป<br />
ยังแสดงถึงระบบการให้ความช่วยเหลือในกรณีผู้ใช้งานต้องการรายละเอียดที่มากขึ้น หรือ การแสดง<br />
รายวิชาที่มีการเปิดการเรียนการสอนแล้ว “Course Online” อีกทั้งยังมีส่วนที่ให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ<br />
ระบบ e-Learning ระบบ LMS และความรู้ด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจ<br />
96<br />
97<br />
รูปที่ 4.40 แสดงการลงทะเบียนผู้สอนสำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.40 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งานของผู้สอน สำหรับผู้สอนที่มีความประสงค์<br />
จะใช้งานระบบ LCMS เพื่อสร้าง Course ware และแบบทดสอบ หลังจากที่ได้ทำการลงทะเบียนแล้ว<br />
ผู้สอนจะได้สิทธิ์ในการเข้าใช้ระบบภายใน 2 วัน จากรูปผู้ลงทะเบียนต้องทำการใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน<br />
ตามที่ระบบต้องการจะสังเกตได้จากช่องที่มีสัญลักษณ์ ** หลังจากใส่ข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ทำ<br />
การกดปุ่ม “ส่งข้อมูล” เพื่อระบบจะทำการประมวลผลต่อไป<br />
97<br />
98<br />
รูปที่ 4.41 แสดงการลงทะเบียนผู้เรียนสำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.41 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งานของผู้เรียน สำหรับผู้เรียนที่มีความประสงค์<br />
จะใช้งานระบบ LCMS ผู้เรียนต้องทำการลงทะเบียนก่อน โดยใช้ User ID เป็นรหัสนักศึกษาเอง<br />
จากรูปผู้ลงทะเบียนต้องทำการใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนตามที่ระบบต้องการจะสังเกตได้จากช่องที่มี<br />
สัญลักษณ์ ** หลังจากใส่ข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ทำการกดปุ่ม “ส่งข้อมูล” เพื่อระบบจะทำ<br />
การประมวลผลต่อไป<br />
รูปที่ 4.42 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
98<br />
99<br />
จากรูปที่ 4.42 แสดงหน้าจอการหลังการที่ผู้สอนหรือผู้เรียนทำการ Login เข้าสู่ระบบสำเร็จแล้วซึ่ง<br />
ทางมหาวิทยาลัยเรียกว่าหน้า “สารบัญ” โดยที่หน้าจอนี้จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญสองส่วน คือ<br />
1) Courses Management 2) Account Management ในส่วนของ Courses Management นั้นจะประกอบ<br />
ไปด้วยส่วนย่อยอีกสองส่วนคือ 1) Courses for Study และ 2) Web Board (All Your Questions)<br />
ส่วนของ Account Management นั้นจะประกอบไปด้วยสามส่วนย่อยคือ 1) Modify User Information<br />
2) Change Password 3) Check Login Date ดังรูปที่ 4.43-4.47<br />
รูปที่ 4.43 แสดงหน้าจอ Courses for Study ในส่วนของผู้สอนระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.43 แสดงหน้าจอ Courses for Study ซึ่งเป็นการทำงานในการค้นหาวิชาที่ต้องการภายในมี<br />
เครื่องมือที่คอยอำนวยความสะดวกในการค้นหาวิชามากมาย เช่น สามารถค้นหาโดยใช้ วันที่สร้าง ชื่อ<br />
Course, รหัส Course, ประเภทวิชา, คณะ, ผู้สอน, Keywords ของ Course ถ้าตัวเลือกที่ระบบเตรียมให้<br />
ยังไม่สามารถค้นหาได้ เราสามารถใส่ข้อความที่คิดว่าเกี่ยวข้องเข้าไปช่อง “ค้นหา” นอกจากนี้ยัง<br />
สามารถตั้งค่าให้เรียงผลที่ได้จากการค้นหาให้เรียงตาม วันที่สร้าง Course (มากไปน้อย), ชื่อ Course,<br />
รหัส Course, ประเภทวิชา, คณะ, ผู้สอน ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้เรียงจากมากไปน้อย<br />
หรือน้อยไปมากตามต้องการ<br />
99<br />
100<br />
รูปที่ 4.44 แสดงหน้าจอ Web Board (All your Question) ในส่วนของผู้สอนระบบ<br />
LMS ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.44 แสดงหน้าจอ Web Board (All Your Questions) ในส่วนนี้จะเป็นการแสดงคำถามที่<br />
ผู้ใช้งานคนนั้นได้มีการส่งคำถามไปยังผู้ดูแลระบบ ภายในมีเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล เช่น<br />
ค้นหาโดยเลือกหมวดหมู่เป็นการค้นหาคำในประโยคคำถาม, ค้นหาตามวันเดือนปีที่ถามเป็นต้น ผลที่<br />
ได้จากการค้นหายังสามารถตั้งตัวกรองในการเรียงลำดับผลที่ได้โดยเลือกที่ช่องเรียงตาม ได้ตาม<br />
ความต้องการ<br />
รูปที่ 4.45 แสดงหน้าจอ Modify User Information ในส่วนของผู้สอนระบบ<br />
LMS ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
100<br />
101<br />
จากรูปที่ 4.45 แสดงหน้าจอ Modify User Information ในส่วนนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งาน<br />
สามารถทำการแก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ โดยสามารถทำได้ตลอดเวลาหลังจากที่ผู้ใช้งานทำการแก้ไข<br />
ข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทำการ Click ที่ปุ่ม “ส่งข้อมูล” เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูลที่ได้มีการแก้ไข<br />
เข้าสู่ระบบต่อไป<br />
รูปที่ 4.46 แสดงหน้าจอ Change Password ในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
จากรูปที่ 4.46 แสดงหน้าจอ Change Password ในส่วนนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถ<br />
ทำการเปลี่ยน Password ได้เองตามความต้องการและบ่อยได้เท่าที่ต้องการ<br />
รูปที่ 4.47 แสดงหน้าจอ Check Login Date ในส่วนของผู้สอนระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย<br />
101<br />
102<br />
จากรูปที่ 4.47 แสดงหน้าจอ Check Login Date ในส่วนนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถ<br />
ทำการเช็คประวัติการเข้ามาใช้งานระบบได้ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดวันที่แบบเฉพาะเจาะจง เพียง<br />
ทำการใส่วันที่ที่ต้องการลงในช่อง ค้นหาวันที่ Logo นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตัวกรองโดยเลือกเป็น<br />
เรียงตามลำดับจากวันที่ Login ล่าสุด ไปจนกระทั้งวัน Login นานที่สุด<br />
4) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน หรือที่ทางมหาวิทยาลัย<br />
เทคโนโลยีมหานคร เรียกว่า ระบบ “e-Classroom” นั้น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถใช้หน้าจอเดียวกัน<br />
ในการเข้าใช้งานดังแสดงในรูปที่ 4.48<br />
รูปที่ 4.48 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
จากรูปที่ 4.48 แสดงหน้าจอการทำงานหลักของระบบ LMS ภายในประกอบด้วยส่วนใหญ่ ๆ<br />
4 หัวข้อหลักดังต่อไปนี้ 1) สถิติการใช้งานรายวิชา จะเป็นส่วนที่แสดงลำดับรายวิชาที่เปิดสอน<br />
ออนไลน์อยู่โดยจัดเรียงลำดับจากอัตราการเข้าใช้งานจากมากไปหาน้อย ผู้ใช้งานสามารถที่จะเข้าไปดู<br />
รายละเอียดภายในแต่ละรายวิชาได้ 2) แสดงรายวิชาที่เปิดสอนออนไลน์ทั้งหมดทั้งมหาวิทยาลัย<br />
102<br />
103<br />
3) News : ประชาสัมพันธ์ เป็นส่วนที่คอยประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารจากผู้สอนถึงผู้เรียน เช่น<br />
ประกาศการเปลี่ยนห้องเรียน หรือเวลาเรียน ประกาศนัดสอนชดเชย ประกาศรับสมัครการอบรม<br />
หัวข้อต่าง ๆ 4) การ Login เข้าสู่ระบบผู้ใช้งาน ทั้งผู้สอนและผู้เรียนสามารถ Login เข้าสู่ระบบ จาก<br />
หน้าจอเดียวกันนี้ นอกจากนี้ยังมีส่วนข้อมูลเสริมคือ ประกาศข่าวต่าง ๆ และ รายงานจำนวนผู้เข้า<br />
มาใช้งานระบบแบบ real time โดยแบ่งเป็นส่วนของผู้สอน และผู้เรียน<br />
รูปที่ 4.49 แสดงหน้าจอรายละเอียดแต่ละรายวิชาระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
103<br />
104<br />
จากรูปที่ 4.49 แสดงหน้าจอการแสดงรายละเอียดเป็นรายวิชา หลังจากที่ผู้ใช้งานทำการเลือกรายวิชา<br />
จากหัวข้อ “สถิติการใช้งานรายวิชา” ระบบจะแสดงรายละเอียดทั้งหมดของรายวิชา เช่น ชื่อผู้สอน<br />
คณะ ภาควิชา รหัสวิชา เนื้อหารายวิชา เป็นต้น<br />
5) มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้<br />
ให้นั้นจะอยู่ในหน้าจอเดียวกันกับหน้าจอส่วนกลางของระบบ e-Learning ซึ่งจะมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ<br />
แสดงรวมอยู่ด้วยกันดังรูปที่ 4.50<br />
รูปที่ 4.50 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
จากรูปที่ 4.50 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบในหน้าจอเดียวนี้กันยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ ที่<br />
น่าสนใจให้ผู้สอน และผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่โดยถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมข้อมูลกิจกรรม<br />
ต่าง ๆ ของระบบ e-Learning ของมหาวิทยาลัย ด้านบนจะเป็นเมนูให้ผู้ใช้งานได้เลือก เช่น การเข้าสู่<br />
ห้องสมุดดิจิตอล การเข้าสู่ความบันเทิง (Edutainment) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนของปฏิทิน<br />
104<br />
105<br />
การสำรวจความคิดเห็นความพึงพอใจในการใช้งานระบบ ข่าวประชาสัมพันธ์ การแจ้งปัญหา<br />
การใช้งาน การเช็ค Homepage รายวิชา โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปดูได้เป็นรายคณะ จากนั้นสามารถดู<br />
รายชื่อวิชาที่มีการเปิดสอนได้ตามความต้องการ<br />
รูปที่ 4.51 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
105<br />
106<br />
จากรูปที่ 4.51 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนสำหรับเข้าใช้งานระบบ ก่อนที่จะได้<br />
หน้าจอดังรูปผู้ใช้งานต้องทำการเลือกไปที่ปุ่ม “NEWUSER” ในส่วนของ Member Login จากนั้นให้<br />
ผู้ใช้งานทำการกรอกข้อมูลผู้ใช้งานต้องทำการกรอกข้อมูลที่จำเป็นตามที่ระบบต้องการโดยสังเกตได้<br />
จากในช่องใดที่มีสัญลักษณ์เป็นอักษร * นั่นแสดงว่าผู้ใช้งานต้องใส่ข้อมูลลงในช่องนั้นไม่สามารถ<br />
ละเลยได้หลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ทำการเลือกที่ปุ่ม “ตกลง” หลังจากนั้นระบบจะส่ง<br />
UserID กลับมายังผู้ใช้งานผ่านทาง e-mail address<br />
รูปที่ 4.52 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
จากรูปที่ 4.52 แสดงหน้าจอเมื่อผู้ใช้งานทำการ Login เข้าสู่ระบบแล้วภายในจะประกอบด้วยปฏิทิน<br />
กิจกรรม ผู้ใช้งานสามารถเลือกวันที่ต้องการได้หลังจากนั้นระบบจะแสดงรายละเอียดกำหนดการของ<br />
กิจกรรมต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกสามส่วนที่น่าสนใจ คือ ข้อมูล<br />
ผู้ใช้งานระบบ จะเป็นข้อมูลสั้นเกี่ยวกับตัวผู้ใช้งาน เช่น ชื่อ นามสกุล ถัดมาเป็นส่วนของข้อมูลการเข้า<br />
ใช้งานระบบ จะมีการรายงานสถิติการเข้าใช้งานระบบโดยจะแสดงจำนวนครั้งที่เข้าระบบ วันและ<br />
เวลาที่เข้าใช้งาน แต้มการใช้งาน ส่วนสุดท้ายเป็นการเข้าสู่ห้องเรียน<br />
106<br />
107<br />
รูปที่ 4.53 แสดงหน้าจอการเข้าสู่บทเรียนในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
จากรูปที่ 4.53 แสดงหน้าจอเมื่อผู้ใช้งานทำการเลือกที่ปุ่ม “เข้าสู่บทเรียน” ภายในหน้าจอ<br />
จะประกอบด้วยสองส่วนหลักคือด้านบนจะเป็น เมนูที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน เช่น<br />
ห้องเรียน ลงทะเบียนรายวิชา รายงาน ข้อมูลส่วนตัว เปลี่ยนรหัสผ่าน บันทึก ข้อความ Portfolio ส่วน<br />
ด้านล่างจะเป็นรายการแสดงรายวิชาที่ผู้ใช้งานได้ทำการลงทะเบียนเรียนไว้ หรือได้ทำการเลือก<br />
รายวิชาว่าต้องการจะเรียนโดยผู้เรียนสามารถทำการเพิ่มหรือลดรายวิชาได้ตามความต้องการโดย<br />
การเลือกที่ปุ่ม “เลือกวิชาออกจากหน้าหลัก” เพื่อทำการลบวิชาออกจากหน้าหลัก ส่วนปุ่ม<br />
“ลงทะเบียนรายวิชา” ใช้เพื่อเพิ่มรายวิชาที่ต้องการเข้าสู่หน้าจอหลัก<br />
รูปที่ 4.54 แสดงหน้าจอการเข้าเรียนรายวิชาในส่วนของผู้ใช้งานระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />
107<br />
108<br />
จากรูปที่ 4.54 แสดงหน้าจอเมื่อผู้ใช้งานทำการเลือกเพื่อที่จะทำการเริ่มเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง (จากรูป<br />
เป็นการเข้าเรียนวิชา คอมพิวเตอร์เบื้องต้น) จากรูปวิชานี้จะมีแปดหน่วยการเรียนใหญ่ (ดูจากสารบัญ<br />
ด้านบน) ภายในแต่ละหน่วยการเรียนจะมีบทเรียนย่อย ๆ แตกต่างกันไปผู้เรียนสามารถเลือกเรียน<br />
หน่วยการเรียนใดก่อนหลังได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ไอคอน ทางด้านซ้ายมือจะคอย<br />
อำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น เมนู กิจกรรมการเรียนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ บทเรียน<br />
แบบฝึกหัด เกมส์ กระดานข่าว แบบสำรวจรายวิชา อภิธานศัพท์ หน้าต่างสนทนา และ เกี่ยวกับผู้สอน<br />
6) มหาวิทยาลัยสยาม<br />
การ Login เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้<br />
ให้นั้นจะอยู่ในหน้าจอเดียวกันกับหน้าจอส่วนกลางของระบบ Siam e-Learning ซึ่งจะมีข้อมูลในส่วน<br />
อื่น ๆ แสดงรวมอยู่ด้วยกันดังรูปที่ 4.55<br />
รูปที่ 4.55 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
จากรูปที่ 4.55 แสดงหน้าจอการ Login เข้าสู่ระบบโดยผู้ใช้งานต้องใส่ User Password ที่ทาง<br />
มหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้ภายใต้หัวข้อ Member Zone กรณีที่ยังไม่เคยเป็นสมาชิกมาก่อนให้ผู้ใช้งาน<br />
ทำการเลือกที่ “สมัครสมาชิก” นอกจากนี้ทางเมนูด้านบนของหน้าจอยังมีเครื่องมือที่คอย<br />
108<br />
109<br />
อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานถัดลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ<br />
รายวิชาที่เปิดสอน ถัดลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนของ Webboard ถามตอบทั้งจากผู้เรียน ผู้สอน ผู้ดูแล<br />
ระบบ ด้านซ้ายมือของหน้าจอจะเป็นรายการวิชาที่มีการเปิดสอนอยู่ในขณะนี้ ส่วนสุดท้ายด้านล่าง<br />
จะเป็นรายงานสถิติต่าง ๆ ของทาง เว็บไซต์<br />
รูปที่ 4.56 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้เรียน<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
109<br />
110<br />
รูปที่ 4.57 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลรายละเอียดการลงทะเบียนผู้สอน<br />
สำหรับการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
จากรูปที่ 4.56 และ 4.57 แสดงหน้าจอการลงทะเบียนเรียนของผู้เรียนและผู้สอนสำหรับผู้เรียน<br />
ที่ต้องการลงทะเบียนเรียนให้ทำการเลือกที่ “สมัคสมาชิก” ส่วนผู้สอนให้ทำการเลือกที่ “สำหรับ<br />
อาจารย์เลือกที่นี่” ผู้สอนจะได้หน้าจอการทำงานเพื่อทำการ Login หรือลงทะเบียนดังรูปที่ 4.57<br />
ให้ทำการใส่ข้อมูลที่จำเป็นโดยสังเกตได้จากหลังช่องจะมีสัญลักษณ์ * ซึ่งแสดงถึงผู้ใช้งานต้องทำ<br />
การกรอกข้อมูลนั้น ๆ ไม่สามารถละเลยได้เมื่อทำการกรอกข้อมูลเรียบร้อยให้เลือกที่ปุ่ม “ยืนยัน<br />
ข้อมูล”<br />
110<br />
111<br />
รูปที่ 4.58 แสดงหน้าจอหลักการทำงานในส่วนของผู้เรียนระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยสยาม<br />
จากรูปที่ 4.58 แสดงหน้าจอหลังจากที่ผู้เรียนผ่านการ Login เข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วภายใน<br />
หน้าจอจะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ สี่ส่วนคือ 1) ส่วน Main Menu จะประกอบไปด้วยเมนูคอย<br />
อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนเช่น e-Learning Download About us Contact us Teacher<br />
และ Link ถัดลงมาด้านล่างซ้ายจะเป็นส่วนที่ให้สำหรับจัดการเพิ่มลดวิชาเรียน แก้ไขข้อมูลส่วนตัว<br />
แก้ไขรหัสผ่าน ถัดไปทางด้านขวาจะเป็นส่วนที่แสดงรายวิชาที่ได้ผ่านการลงทะเบียนแล้วโดยผู้เรียน<br />
สามารถเลือกวิชาเพื่อทำการเข้าเรียนหรือเข้าสอบได้ทันที<br />
7) มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ<br />
การเข้าใช้งานระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนนั้นผู้เรียนสามารถเข้าใช้งาน<br />
ได้โดยไม่ต้องใส่ UserID และ Password หลังจากเข้าสู่หน้าจอหลักของทางมหาวิทยาลัยให้ทำ<br />
การเลือกที่ e-Learning จากนั้นจะได้หน้าจอดังรูปที่ 4.59<br />
111<br />
112<br />
รูปที่ 4.59 แสดงการเข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ<br />
รูปที่ 4.60 แสดงหน้าจอรายการวิชาที่เปิดสอนของระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ<br />
จากรูปที่ 4.59 และ 4.60 แสดงหน้าจอหลังจากที่ผู้เรียนเข้าสู่หน้าจอ e-Learning ภายในประกอบด้วย 3<br />
ส่วนหลักคือ 1) “เข้าสู่บทเรียน” เป็นส่วนที่เข้าสู่การเลือกวิชาที่ต้องการเรียนหลังจากผู้เรียนเลือกส่วน<br />
เข้าสู่บทเรียนภายในจะมีรายการวิชาให้เลือกเรียนโดยแบ่งตามคณะซึ่งแต่ละคณะจะมีวิชาที่เปิดเรียน<br />
ออนไลน์ ไม่เท่ากันซึ่งปัจจุบันมีคณะที่ทำการเปิดการเรียนการสอนแบบออนไลน์อยู่ 6 คณะ ผู้เรียน<br />
สามารถเลือกวิชาที่ต้องการเรียนได้ทันทีโดยแต่ละวิชาจะมีรหัสวิชา และชื่ออธิบายไว้อย่างคร่าว ๆ<br />
112<br />
113<br />
8) มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
การเข้าใช้งานระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนนั้นหลังจากเข้าสู่หน้าจอ<br />
หลักของทางมหาวิทยาลัยแล้วให้ผู้ใช้งานทำการเลือก “โฮมเพจรายวิชา” ผู้ใช้งานจะเข้าสู่หน้าจอหลัก<br />
ของระบบดังรูปที่ 4.61<br />
รูปที่ 4.61 แสดงหน้าจอหลักการ Login เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
จากรูปที่ 4.61 เป็นหน้าจอหลักหลังจากผู้เรียนเลือก โฮมเพจรายวิชา แล้ว ภายในผู้เรียนต้องทำการใส่<br />
UserID และ Password เพื่อทำการ Login เข้าสู่ระบบ กรณีที่ยังไม่มี UserID ผู้ใช้งานสามารถทำ<br />
การเลือกในส่วน สร้างบัญชีผู้ใช้ได้ที่นี่ จากนั้นผู้ใช้งานจะเข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียนดังรูปที่ 4.62<br />
113<br />
114<br />
รูปที่ 4.62 แสดงหน้าจอการกรอกข้อมูลลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่สำหรับการ Login<br />
เข้าสู่ระบบ LMS ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
จากรูปที่ 4.62 เป็นหน้าจอเพื่อทำการลงทะเบียนโดยการกรอกข้อมูลจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ<br />
ส่วนที่จำเป็น หมายถึงผู้ใช้เรียนต้องทำการกรอกข้อมูลทุกช่องให้ครบถ้วน ส่วนที่สองคือส่วน ควรจะ<br />
กรอก หมายถึงผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้ว่าจะกรอกหรือไม่กรอกข้อมูลโดยระบบไม่บังคับแต่<br />
ควรที่จะกรอกหลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วให้ผู้เรียนเลือกที่ปุ่ม “ตกลง” ระบบจะทำการเก็บ<br />
ข้อมูลทั้งหมดไว้ที่ฐานข้อมูลหลังจากนั้นผู้เรียนจะเข้าสู่หน้าจอการทำงานส่วนบุคคลดังรูปที่ 4.63<br />
114<br />
115<br />
รูปที่ 4.63 แสดงหน้าจอวิชาที่ผู้เรียนได้ลงทะเบียนเรียนแล้วของระบบ LMS<br />
ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์<br />
จากรูปที่ 4.63 เป็นหน้าจอหลังจากที่ผู้ใช้งานทำการสมัครเข้าใช้งานเข้าสู่ระบบและได้ทำการเลือก<br />
รายวิชาที่มีการเปิดสอนออนไลน์อยู่จากรูปผู้เรียนทำการสมัครเรียนทั้งหมด 3 วิชา โดยบางวิชายังไม่<br />
สามารถเข้าไปเรียนได้ในทันทีต้องรอการอนุมัติจากผู้สอนซึ่งผู้เรียนสามารถติดต่อกับผู้สอนได้<br />
โดยตรงหรือทำการส่งข้อความเพื่อขออนุมัติเข้าเรียนได้โดยผ่านตัวระบบเอง นอกจากนี้ระบบยังได้<br />
เตรียมเครื่องมือซึ่งเป็น Tools bar ด้านบนเอาไว้ให้เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เช่น วิชาของ<br />
ฉัน จะเป็นดังรูปที่ได้อธิบายไว้แล้วด้านบน ปรับแต่งรูปแบบ เป็นการเลือกการวางตำแหน่งต่าง ๆ<br />
ของหน้าจอโดยสามารถปรับแต่งตามตัวเลือกที่ระบบจัดไว้ให้ ข้อมูลส่วนตัว ผู้ใช้สามารถเปลี่ยน<br />
รหัสผ่าน ชื่อ นามสกุล หรือข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ได้ สำรวจรายวิชา เป็นส่วนที่แสดงรายการวิชาที่มี<br />
การเปิดสอนออนไลน์ของมหาวิทยาลัย ค้นหา เป็นการค้นหาวิชาที่เปิดสอนออนไลน์ โดยสามารถใส่<br />
ชื่อวิชา รหัสวิชา ชื่อผู้สอน เพื่อทำการค้นหา กล่องจดหมายเข้า ผู้ใช้สามารถส่งข้อความถึงผู้เรียน<br />
คนอื่น ๆได้ และระบบช่วยเหลือ<br />
115<br />
116<br />
4.3 การศึกษาการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
การศึกษาระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามของ<br />
ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยที่ใช้ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
เกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน และสภาพที่คาดหวังใน<br />
อนาคต ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
4.3.1 สภาพปัจจุบันของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
สำหรับการศึกษาถึงสภาพปัจจุบันของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัย โดยจำแนกตามส่วนของผู้ใช้ระบบซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่<br />
1) ส่วนของผู้สอน และ 2) ส่วนของผู้เรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
1) ส่วนของผู้สอน<br />
ระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัยใน<br />
ส่วนของผู้สอน (Teacher or Instructor) ซึ่งประกอบด้วยการทำงานของระบบย่อย 5 ระบบ ได้แก่<br />
1) ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) 2) ระบบการจัดการผู้ใช้ และ<br />
การจัดการรายวิชา (User and Course Management System) 3) ระบบติดตามการเรียนการสอน<br />
(Course Tracking System) 4) ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessments System) และ 5) ระบบ<br />
การสื่อสาร (Communication System) โดยทำงานสัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน ซึ่งมีรายละเอียด<br />
ดังต่อไปนี้ คือ<br />
1.1 ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) เป็นระบบการ<br />
สร้าง การจัดทำเนื้อหาของผู้สอนเอง และ/หรือมีการเชื่อมโยงเนื้อหารายวิชาจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้<br />
งานในระบบได้ รายละเอียดดังแสดงในรูปที่ 4.64<br />
1. Content<br />
Management<br />
System<br />
1.3 การเชื่อมต่อกับ Courseware จากห้องสมุดของสถาบัน<br />
1.2 การนำเนื้อหาบทเรียนผู้อื่นสร้างมาใช้งานภายในระบบ<br />
1.1 การสร้างและแทรกเนื้อหาบทเรียนภายในระบบได้เอง<br />
รูปที่ 4.64 แสดงองค์ประกอบการทำงานภายในระบบย่อยที่ 1 ระบบการจัดการ<br />
เนื้อหารายวิชา (Content Management System) ของระบบการจัดการ<br />
บริหารการเรียนการสอนส่วนของผู้สอน<br />
116<br />
117<br />
158<br />
ย่อยนี้ติดต่อกับฐานข้อมูลสี่ตัวคือ ฐานข้อมูลเนื้อหารายละเอียดรายวิชา ฐานข้อมูลปฏิทิน ฐานข้อมูล<br />
ผู้ใช้ระบบ ฐานข้อมูลแหล่งเนื้อหาวิชาภายนอกระบบ ระบบย่อยที่ 3 คือระบบติดตามการเรียน<br />
การสอน (Course Tracking System) ระบบนี้จะทำการเชื่อมต่อกับอีกสองระบบย่อยคือ ระบบ<br />
การจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา และระบบติดตามการเรียนการสอน ตัวระบบย่อยที่สามนี้ติดต่อ<br />
กับฐานข้อมูลสองตัวคือ ฐานข้อมูลการเข้าใช้งานระบบ และฐานข้อมูลผู้ใช้ระบบ ระบบย่อยที่ 4 คือ<br />
ระบบการวัดผลประเมินผล เป็นระบบที่ติดต่อกับระบบย่อย ระบบติดตามการเรียนการสอน และ<br />
ระบบการสื่อสาร ระบบย่อยที่สี่นี้ติดต่อกับฐานข้อมูลสามตัวคือ ฐานข้อมูลผู้ใช้ระบบ ฐานข้อมูล<br />
การเข้าใช้งานระบบ และฐานข้อมูลแบบฝึกหัด คลังข้อสอบ คะแนน ระบบย่อยที่ 5 คือระบบ<br />
การสื่อสาร เป็นระบบที่ติดต่อกับระบบย่อย การวัดผลประเมินผล ระบบย่อยที่ห้านี้ติดต่อกับ<br />
ฐานข้อมูลสองตัวคือ ฐานข้อมูลการติดต่อสื่อสาร และ ฐานข้อมูลผู้ใช้ระบบ<br />
158<br />
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />
การวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร” สามารถสรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะได้ดังต่อไปนี้<br />
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
5.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย<br />
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน<br />
บนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 23 ท่าน แบ่งออกเป็น<br />
ผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ของรัฐบาล จำนวน 15 ท่าน และผู้ดูแลระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน จำนวน 8 ท่าน<br />
5.3 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีลักษณะเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้าน<br />
การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย<br />
5.3.1 ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management<br />
System: LMS) ภายในสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
5.3.2 องค์ประกอบของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบไปด้วย<br />
1) ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
2) ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
3) ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
4) ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System)<br />
5) ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
159<br />
160<br />
5.4 สรุปผลการวิจัย<br />
สำหรับการศึกษาค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูล สามารถสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้าน<br />
การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครได้ดังต่อไปนี้ คือ<br />
5.4.1 ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนภายในสถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 23 แห่ง มีดังนี้ คือ<br />
1) เครื่องมือที่ใช้ในระบบ LMS คือ การนำต้นแบบมาปรับร่วมกับการพัฒนาระบบขึ้นเอง<br />
โดยใช้ภาษา PHP กับฐานข้อมูล MySQL รองลงมา คือ การพัฒนาขึ้นเองด้วยภาษา PHP ร่วมกับ<br />
ฐานข้อมูล MySQL การนำมาจากต้นแบบ เช่น ATutor<br />
2) ระยะเวลาการเปิดให้บริการระบบ LMS คือ 1-2 ปี และมากกว่า 4 ปีขึ้นไป รองลงมา<br />
คือ 3-4 ปี<br />
3) จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการในปัจจุบันมากกว่า 10 วิชา รองลงมาคือ 1-3 วิชา<br />
5.4.2 การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
การศึกษาระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาถึงสภาพปัจจุบันและความคาดหวังในอนาคตซึ่งมีจำนวน<br />
ระบบย่อยทั้งสิ้นจำนวน 5 ระบบ แต่ละระบบประกอบด้วยองค์ประกอบ ต่าง ๆ ดังนี้ คือ<br />
ก. สภาพปัจจุบันของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษาใน<br />
เขตกรุงเทพมหานคร<br />
สำหรับการศึกษาถึงสภาพปัจจุบันของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัย โดยจำแนกตามส่วนของผู้ใช้ระบบซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่<br />
1) ส่วนของผู้สอน และ 2) ส่วนของผู้เรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
1) ส่วนของผู้สอน<br />
1. ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
1.1 การสร้างและแทรกเนื้อหาบทเรียนภายในระบบได้เอง<br />
1.2 การนำเนื้อหาบทเรียนที่ผู้อื่นสร้างขึ้นแล้วนำมาใช้งานภายในระบบ<br />
1.3 การเชื่อมต่อเข้ากับ Courseware จากห้องสมุดของสถาบัน<br />
160<br />
161<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
2.1 การใช้ระบบ Login/Logout<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์โหลดไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office,<br />
Adobe Acrobat PDF, HTML, Image<br />
2.3 การเพิ่ม/ลดรายวิชา (Course)<br />
2.4 การเพิ่ม/ลดรายละเอียดรายวิชา (Course)<br />
2.5 การควบคุมสิทธิ์การใส่เกรดแต่ละวิชา<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการทำงานรายสัปดาห์<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียดของผู้สอน/ผู้ช่วยสอน<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบออนไลน์<br />
2.9 การแทรกวิดีโอในเนื้อหาบทเรียน<br />
2.10 การป้อนข้อมูลประกาศผลคะแนน<br />
2.11 การสร้างตารางสอน<br />
2.12 การเพิ่ม/ลบรายชื่อผู้เรียน<br />
3. ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
3.1 การตรวจสอบการเข้าเรียนของผู้เรียน<br />
4. ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System)<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและความคืบหน้าด้านการเรียนของผู้เรียน<br />
4.2 การสร้างแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.3 การสร้างคลังข้อสอบออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำข้อสอบออนไลน์<br />
5. ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
5.1 การรับ-ส่งเมลล์ถึงผู้เรียน<br />
5.2 การป้อนข้อมูลโต้ตอบในกระดานข่าว<br />
5.3 การป้อนข้อมูลประกาศข่าวสารแต่ละรายวิชา<br />
2) ส่วนของผู้เรียน<br />
1. ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
161<br />
162<br />
1.1 การเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนที่ผู้สอนสร้างขึ้นเองภายในระบบ<br />
1.2 การเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนที่ผู้สอนนำมาจากผู้อื่น<br />
1.3 การใช้ Courseware จากห้องสมุดของสถาบัน<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
2.1 การใช้ระบบ Login/Logout<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์ โหลดไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office,<br />
Adobe Acrobat PDF, HTML, Image<br />
2.3 การเลือกลงทะเบียนรายวิชา (Course)<br />
2.4 การแสดงรายละเอียดของแต่ละรายวิชา<br />
2.5 การตรวจสอบเกรดแต่ละรายวิชา<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการทำงานรายสัปดาห์<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียดของผู้เรียน<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบออนไลน์<br />
2.9 การรับชมวิดีโอประกอบบทเรียน<br />
2.10 การตรวจสอบผลคะแนนแบบฝึกหัด/ผลสอบ<br />
2.11 การตรวจสอบตารางเรียน<br />
3. ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
3.1 การตรวจสอบการเข้าเรียนของตนเอง<br />
4. ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System)<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและความคืบหน้าด้านการเรียนของตนเอง<br />
4.2 การทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.3 การทำข้อสอบออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำข้อสอบออนไลน์<br />
5. ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
5.1 การรับ-ส่งเมล์ถึงผู้สอน<br />
5.2 การป้อนข้อมูลโต้ตอบในกระดานข่าว<br />
5.3 การตรวจสอบข่าวสารแต่ละรายวิชา<br />
162<br />
163<br />
สรุปผลการวิจัย พบว่าสภาพปัจจุบันของ สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครที่มีรูปแบบ<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนส่วนของผู้สอนที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุด ได้แก่<br />
1) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร มีระดับคะแนน 25 คะแนน 2) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
เจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีระดับคะแนน 24 3) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีระดับคะแนน 23<br />
4) มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี มีระดับคะแนน 23 5) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีระดับคะแนน 23<br />
ข. ความคาดหวังในอนาคตของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอนของ สถาบัน<br />
อุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
สำหรับการศึกษาถึงความคาดหวังในอนาคตของระบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนของ<br />
สถาบันการศึกษา/มหาวิทยาลัย โดยจำแนกตามส่วนของผู้ใช้ระบบซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่<br />
1) ส่วนของผู้สอน และ 2) ส่วนของผู้เรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ<br />
1) ส่วนของผู้สอน<br />
1. ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management)<br />
1.1 การสร้างและแทรกเนื้อหาบทเรียนภายในระบบได้เอง<br />
1.2 การนำเนื้อหาบทเรียนที่ผู้อื่นสร้างแล้วนำมาใช้ในระบบ<br />
1.3 การเชื่อมต่อกับ Courseware จากห้องสมุดของสถาบัน<br />
1.4 การเชื่อมต่อกับ Courseware จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br />
1.5 ผู้สอนสามารถโอนย้ายเนื้อหาบทเรียนที่ทำไว้แล้วได้เอง เช่น ย้ายจาก LMS<br />
ตัวหนึ่งไปยัง LMS อีกตัวหนึ่ง<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
2.1 การใช้ระบบ Login/Logout<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์โหลดไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office,<br />
Adobe Acrobat PDF, HTML, Image<br />
2.3 การเพิ่ม/ลดรายวิชา (Course)<br />
2.4 การเพิ่ม/ลดรายละเอียดรายวิชา (Course)<br />
2.5 การควบคุมสิทธิ์การใส่เกรดแต่ละวิชา<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการทำงานรายสัปดาห์<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียดของผู้สอน/ผู้ช่วยสอน<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบออนไลน์<br />
2.9 การแทรกวิดีโอในเนื้อหาบทเรียน<br />
163<br />
164<br />
2.10 การป้อนข้อมูลประกาศคะแนน<br />
2.11 การสร้างตารางสอน<br />
2.12 การเพิ่ม/ลบรายชื่อผู้เรียน<br />
2.13 การเชื่อมต่อระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนเข้ากับระบบทะเบียน/<br />
ประเมินผลของสถาบัน<br />
2.14 ระบบ Web Service สำหรับให้บริการ Download/Upload Software ได้ไม่จำกัด<br />
3. ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
3.1 การตรวจสอบการเข้าเรียนของผู้เรียน<br />
3.2 ตรวจสอบเวลาเข้าเรียนตามหัวข้อการเรียนหรือบทเรียน<br />
3.3 สรุปการตรวจสอบการเข้าเรียน<br />
4. ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessments System)<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและความคืบหน้าด้านการเรียนของผู้เรียน<br />
4.2 การสร้างแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.3 การสร้างคลังข้อสอบออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำข้อสอบออนไลน์<br />
5. ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
5.1 การรับ-ส่งเมลล์ถึงผู้เรียน<br />
5.2 การป้อนข้อมูลโต้ตอบในกระดานข่าว<br />
5.3 การป้อนข้อมูลประกาศข่าวสารแต่ละรายวิชา<br />
5.4 การสร้าง Post Board ต่าง ๆ<br />
5.5 การเปิดห้อง Chat ภายในรายวิชา<br />
สรุปผลการวิจัย พบว่าในอนาคตสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ต้องการพัฒนา<br />
ระบบจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตในส่วนของผู้สอนให้มีความสมบูรณ์ และ<br />
เปิดให้บริการเต็มรูปแบบทุกระบบ สถาบันอุดมศึกษาที่คาดว่าจะพัฒนาระบบให้เต็มรูปแบบมากที่สุด<br />
ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร<br />
3) มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี<br />
164<br />
165<br />
2) ส่วนของผู้เรียน<br />
1. ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
1.1 การเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนที่ผู้สอนสร้างขึ้นเองภายในระบบ<br />
1.2 การเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนที่ผู้สอนนำมาจากผู้อื่น<br />
1.3 การเข้าสู่ Courseware จากห้องสมุดของสถาบัน<br />
1.4 การเข้าสู่ Courseware จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
2.1 การใช้ระบบ Login/Logout<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์ โหลดไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office,<br />
Adobe Acrobat PDF, HTML, Image<br />
2.3 การเลือกลงทะเบียนรายวิชา (Course)<br />
2.4 การแสดงรายละเอียดของแต่ละรายวิชา<br />
2.5 การตรวจสอบเกรดแต่ละรายวิชา<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการทำงานรายสัปดาห์<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียดของผู้เรียน<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบออนไลน์<br />
2.9 การรับชมวิดีโอประกอบบทเรียน<br />
2.10 การตรวจสอบผลคะแนนแบบฝึกหัด/ผลสอบ<br />
2.11 การตรวจสอบตารางเรียน<br />
3. ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
3.1 การตรวจสอบการเข้าเรียนของผู้เรียน<br />
3.2 ตรวจสอบเวลาเข้าเรียนตามหัวข้อการเรียนหรือบทเรียน<br />
3.3 สรุปการตรวจสอบการเข้าเรียน<br />
4. ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System)<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและความคืบหน้าด้านการเรียนของตนเอง<br />
4.2 การทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.3 การทำข้อสอบออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำแบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำข้อสอบออนไลน์<br />
165<br />
166<br />
<br />
170<br />
1) ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) จากผลการศึกษาพบว่า<br />
ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชาประกอบไปด้วย 1) การจัดการเชื่อมต่อกับ Courseware ที่สร้างผ่าน<br />
เครือข่ายของห้องสมุดได้ 2) การนำเนื้อหาที่สร้างมาจากโปรแกรมตัวอื่นมาใช้งานได้ และ<br />
3) การเชื่อมต่อกับ Courseware ที่สร้างผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยกันได้ ซึ่งผู้เรียนจะเป็นผู้ที่<br />
สามารถเข้ามาใช้งานได้ ทั้งการค้นหา และดาวน์โหลดข้อมูลจากระบบได้<br />
จากผลการวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้สถานศึกษามีระบบการเข้าถึงข้อมูลเนื้อหารายวิชาได้<br />
จากหลายแหล่ง ทั้งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเอง และในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตลอดจนมีสิทธิ์<br />
ในการเข้าถึงข้อมูลเหล่า ได้จากการค้นหา และดาวน์โหลดมาเก็บไว้อ่านทบทวนได้ทุกเวลา<br />
2) ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
จากผลการศึกษาพบว่าระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชาประกอบไปด้วย 1) การใช้ระบบ<br />
Login/Logout 2) การอัพโหลดและดาวน์โหลดไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office, Adobe<br />
Acrobat PDF, HTML, Image 3) การเลือกลงทะเบียนรายวิชา (Course) 4) การแสดงรายละเอียด<br />
ของแต่ละรายวิชา 5) การตรวจสอบเกรดแต่ละรายวิชา 6) การสร้างปฏิทินการทำงานรายสัปดาห์<br />
7) การบันทึกรายละเอียดของผู้เรียน 8) คู่มือการใช้ระบบออนไลน์ 9) การรับชมวิดีโอประกอบ<br />
บทเรียน 10) การตรวจสอบผลคะแนนแบบฝึกหัด/สอบ และ 11) การตรวจสอบตารางเรียน ซึ่ง<br />
ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของ หทัยชนก ผลาวรรณ์ [3] ที่กล่าวว่า องค์ประกอบที่มี<br />
อิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเสมือนจริงจะเกี่ยวข้องกับการจัดการรายวิชา เช่น<br />
การมีแผนการสอน การมีชื่อผู้เรียน (Students’ Names) การมีคำอธิบายรายวิชา การ Download ข้อมูล<br />
การมีเค้าโครงรายวิชา (Course Outline) การสร้างวิชาใหม่ (Create a New Course) การมีรายชื่อ<br />
ผู้สอนและผู้ช่วยสอน (Instructor and Teacher’s Assistant) การมีชื่อวิชา (Course Title) การ Upload<br />
ข้อมูล และการ Link ข้อมูล ผลการศึกษาดังกล่าวนี้แสดงว่า การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน<br />
เสมือนจริงนั้น ควรจะมีดาวน์โหลดการจัดการรายวิชา การแสดงภาพรวมโครงสร้างของรายวิชา<br />
การมีคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับหน่วยการเรียน วิธีการเรียน วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของวิชา<br />
รวมทั้ง การมีแหล่งอ้างอิง ข้อมูลที่ใช้ศึกษาเพิ่มเติม รวมทั้ง เอกสารประกอบการสอน เหมือนกับ<br />
การเรียนการสอนแบบปกติ เพียงแต่ข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบสื่อออนไลน์<br />
จากผลการวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้สถานศึกษามีช่องทางเลือกระบบจัดการหลักสูตร<br />
(Course Management) อาทิเช่น ห้องสนทนา (Chat room) หัวข้อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (Discussion<br />
Forum) พื้นที่เก็บสื่อประกอบการเรียน การสอน (Workshop Area) การชี้แนะเว็บไซต์ที่ผู้เรียน<br />
สามารถเข้าไปค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ได้ทันเหตุการณ์ และทันเวลา<br />
170<br />
171<br />
3) ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System) จากผลการศึกษาพบว่า ระบบ<br />
ติดตามการเรียนการสอนประกอบไปด้วย 1) การตรวจสอบการเข้าเรียนของผู้เรียน และ<br />
2) การตรวจสอบเวลาได้เป็นหัวข้อการเรียน หรือบทเรียน<br />
จากผลการวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้สถานศึกษามีระบบสถิติการใช้งานของผู้ใช้ระบบ<br />
มากมายโดยมีการนำเสนอทั้งตัวเลขสถิติและนำเสนอด้วยกราฟ<br />
4) ระบบการวัดและประเมินผล (Assessments System) จากผลการศึกษาพบว่า ระบบ<br />
การวัดและประเมินผล ประกอบไปด้วย 1) การตรวจสอบสถิติและความคืบหน้าด้านการเรียนของ<br />
ตนเอง 2) การทำแบบฝึกหัดออนไลน์ 3) การทำข้อสอบออนไลน์ 4) ข้อกำหนดการทำแบบฝึกหัด<br />
ออนไลน์ และ 5) ข้อกำหนดการทำข้อสอบออนไลน์<br />
จากผลการวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้สถานศึกษามีระบบการสร้างแบบทดสอบออนไลน์<br />
ของแต่ละวิชาได้โดยเลือกเมนู ซึ่งมีรูปแบบข้อคำถามให้เลือก 3 แบบ คือ Multiple Choice, True or<br />
False, Open Ended ระบบจะมีการตั้งค่าว่าจะให้สอบได้ตั้งแต่ วัน-เวลาใด ถึงเวลาใด เมื่อผู้เรียนทำ<br />
ข้อสอบแล้วผู้สอนสามารถเข้าไปตรวจข้อสอบได้ โดยถ้าเป็นแบบ Multiple Choice หรือ True or<br />
False ระบบจะตรวจให้อัตโนมัติ<br />
5) ระบบการสื่อสาร (Communication System) จากผลการศึกษาพบว่า ระบบการสื่อ<br />
สารประกอบไปด้วย 1) การรับ-ส่งเมลล์ถึงผู้สอน 2) การป้อนข้อมูลโต้ตอบในกระดานข่าว<br />
3) การตรวจสอบข่าวสารแต่ละรายวิชา และ 4) การ สร้าง Post Board ต่าง ๆ และการเปิดห้อง Chat<br />
ภายในรายวิชา หรือสามารถแทรกภาพและภาพเคลื่อนไหว สอดคล้องกับ สุณี รักษาเกียรติศักดิ์ [35]<br />
ที่กล่าวว่า ระบบการสื่อสารทั้งแบบ asynchronous (ผู้ส่งกับผู้รับไม่ต้องสื่อสารในเวลาเดียวกัน) ได้แก่<br />
Forums (ซึ่งก็คือ Web board นั่นเอง) Inbox (ซึ่งก็คือ e-mail นั่นเอง) และแบบ synchronous<br />
(ผู้ส่งกับผู้รับต้องอยู่เวลาเดียวกัน) ได้แก่ Chat<br />
จากผลการวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้สถานศึกษามีระบบการสื่อสารทั้งแบบ asynchronous<br />
(ผู้ส่งกับผู้รับไม่ต้องสื่อสารในเวลาเดียวกัน) ได้แก่ Forums (ซึ่งก็คือ Web board นั่นเอง), Inbox<br />
(ซึ่งก็คือ e-mail นั่นเอง) และแบบ synchronous (ผู้ส่งกับผู้รับต้องอยู่เวลาเดียวกัน) ได้แก่ Chat<br />
171<br />
172<br />
5.6 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป<br />
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป มีดังนี้<br />
5.6.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามรูปแบบการจัดการบริหาร<br />
การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
5.6.2 การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักศึกษาจากการเรียนรู้ในรูปแบบการจัดการบริหาร<br />
การเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตกับการเรียนแบบปกติ<br />
5.6.3 การศึกษาปัญหาและอุปสรรค์ของเรียนรู้ในรูปแบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
บนอินเทอร์เน็ต<br />
5.6.4 การพัฒนาระบบจัดการบริหารการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
172<br />
173<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
1. ชัยวรัตน์ ไชยพจน์พานิช และ ปัทมา จันทวิมล, 2546, ระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย<br />
VClass, เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการการดำเนินกิจกรรมบนเครือข่ายสารสนเทศ<br />
เพื่อพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 10, [Online], Available: http://www.ait.ac.th, [2006, Feb 15].<br />
2. สุวิชัย พรรษา, 2547, การศึกษาปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง:<br />
สภาพปัจจุบัน สภาพที่ยอมรับได้ และ ความคาดหวัง, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชา<br />
คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี, หน้า บทคัดย่อ.<br />
3. หทัยชนก ผลาวรรณ์, 2547, การวิเคราะห์องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนใน<br />
ห้องเรียนเสมือนจริง, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา บัณฑิต<br />
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, หน้า บทคัดย่อ.<br />
4. กัลยา วานิชย์บัญชา, 2546, การใช้ SPSS for Windows ในการวิเคราะห์ข้อมูล เวอร์ชัน 7-10.<br />
กรุงเทพฯ : ซี เค แอนด์ เอส โฟโต้สตูดิโอ.<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/3_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 3)</a><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-79819261785896825862011-08-19T22:34:00.000-07:002011-08-19T22:38:01.361-07:00การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 3)<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
5. สำนักงานเลขาคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ, (2545), กรอบนโยบายเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศระยะ พ.ศ. 2544-2553 ของประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ 1: บริษัทธนาเพลส แอนด์<br />
กราฟฟิก จำกัด.<br />
6. ถนอมพร เลาหจรัสแสง, ความหมายของ e-Learning, [Online] Available: http://www.tsu.ac.th,<br />
[2005, Oct 30].<br />
7. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, แผนพัฒนาการศึกษา<br />
ระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549), [Online] Available: http://www.mua.go.th/plan9/<br />
plan9.pdf , [2004, June 19].<br />
8. กิดานันท์ มลิทอง, 2548, เทคโนโลยี และ การสื่อสาร เพื่อ การศึกษา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อรุณ<br />
การพิมพ์.<br />
173<br />
174<br />
9. ณัฏสิตา ศิริรัตน์, 2548, แนวทางการสร้างและพัฒนาบทเรียน E-LEARNING, สถาบันพัฒนา<br />
ผู้บริหารการศึกษา.<br />
10. รศ. ยืน ภู่วรวรรณ และ ผศ. สมชาย นำประเสริฐชัย, 2546, ไอซีที เพื่อการศึกษาไทย, ซีเอ็ดยูเคชั่น.<br />
11. สรรรัชต์ ห่อไพศาล, (2545), นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในสหัสวรรษ<br />
ใหม่กรณี การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction : WBI), [On Line]<br />
Available: http://ftp.spu.ac.th/hum111/main1_files/body_files/wbi.htm, [2006, Mar 15].<br />
12. กิดานันท์ มลิทอง, 2543, เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ<br />
อรุณการพิมพ์ .<br />
13. ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2544., การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) นวัตกรรมเพื่อ<br />
คุณภาพการเรียนการสอน, วารสารศึกษาศาสตร์สาร ปีที่ 28 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2544<br />
หน้า 87-94.<br />
14. ใจทิพย์ ณ สงขลา, 2542, การสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ, วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 27 ฉบับที่ 3<br />
(มีนาคม 2542): 18-28.<br />
15. วิชุดา รัตนเพียร. (2542).การเรียนการสอนผ่านเว็บ: ทางเลือกใหม่ของเทคโนโลยีการศึกษาไทย,<br />
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 (มีนาคม 2542): 29-35.<br />
16. Carlson, R.D., et al, 1998, So You Want to Develop Web-based Instruction - Points to<br />
Ponder, [Online] Available: http://www.coe.uh.edu/insite/elec_pub/HTML1998/de_carl.htm,<br />
[2006, Feb 14].<br />
17. Camplese, C. and Camplese, K, 1998, Web-Based Education, [Online] Available:<br />
http://www.higherweb.com/497/, [2006, Jan 31].<br />
18. Laanpere, M. 1997, Defining Web-Based Instruction, [Online] Available: http://viru.tpu.ee<br />
/WBCD/defin.htm, [2006, Jan 31].<br />
174<br />
175<br />
19. ปรัชญนันท์ นิลสุข,2546, นิยามเว็บช่วยสอน Definition of Web-Based Instruction, วารสาร<br />
พัฒนาเทคนิคศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปีที่ 12 ฉบับที่ 34 เม.ย.-มิ.ย<br />
2543 หน้า 53-56 (2546), การประเมินเว็บช่วยสอน,[Online] Available:<br />
http://campus.fortunecity.com/purdue/219/index.html, [2006, Jan 1].<br />
20. ภาสกร เรืองรอง, WBI กับการสื่อสาร, [on-line] Available: http://www.thaiwbi.com<br />
/topic/com_ed/, [2006, Jan 21].<br />
21. ดร. สุรสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ , e-Learning Solution, [on-line] Available:<br />
http://www.thai2learn.com, [2006, Jan 2].<br />
22. อุทัยรัตน์, การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, [On-line] Available:<br />
http://www.phoowit.ac.th/education.htm, [2006, Feb 13].<br />
23. ดร. ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์, eLearning, [On-line] Available:<br />
http://thaicai.com/articles/elearning5.html, [2006, Mar 5].<br />
24. ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ และกรกนก วงศ์พานิช, e-Learning, [On-line] Available:<br />
http://elearning.utcc.ac.th/main/Page1.htm - http://elearning.utcc.ac.th/main/Page7.htm, [2005,<br />
Dec 31].<br />
25. ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง , ระบบ e-Learning , [On-line] Available:<br />
http://www.northbkk.ac.th/Content/Student/ELearning.html, [2005, Dec 31].<br />
26. ชฎิล เกษมสันต์, มารู้จักกับ LMS กันดีกว่า, [On-line] Available:<br />
http://elearning1.dpu.ac.th/info3/technology/index.php?option=com_content&task=view&id=1<br />
8&Itemid=43, [2005, Nov 17].<br />
27. ปัทมา นพรัตน์, e-Learning ทางเลือกใหม่ของการศึกษา, สำนักพัฒนาศักยภาพนักวิทยาศาสตร์<br />
ห้องปฏิบัติการ, [On-line] Available: http://www.e-learning.dss.go.th/ppt/e-learning.htm, [2006,<br />
Mar 31].<br />
175<br />
176<br />
28. ศุภชัย สุขะนินทร์, เปิดโลก e –Learning การเรียนการสอนบนอินเตอร์เน็ต, กรุงเทพ ฯ ซีเอ็ด<br />
ยูเคชั่น, 2545.<br />
29. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), What is E-Learning, [Online]<br />
Available:http://www.thai2learn.com/home.php?page=whate-learning&hi=900, [2006, Mar 14].<br />
30. ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง, ระบบ e-Learning, [Online] Available : http://www.<br />
northbkk.ac.th/Content/Student/ELearning.html, [2006, Feb 22].<br />
31. ประกอบ คุปรัตน์, 2546, LMS กับการพัฒนา e –Learning, [Online] Available:<br />
http://www.itie.org, [2005, Apr 4].<br />
32. กิตติพงษ์ พุ่มพวง และ อรรคเดช โสสองชั้น, 2547, คู่มือการใช้งาน Moodle (เวอร์ชั่น 1.4.2)<br />
สำหรับผู้สอน, เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ SEQIP Workshop 2, โครงการการศึกษา<br />
ไร้พรมแดน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, [Online] Available: http://www.sut.ac.th, [2005<br />
Apr 4].<br />
33. ปัทมาภรณ์ พิมพ์หานาม, 2546, What is LMS, [Online] Available: http://www.bu.ac.th, [2005<br />
Apr 4].<br />
34. กองบรรณาธิการ สาร NECTEC, 2545, Learning Management System, [Online] Available:<br />
http://www.nectec.or.th, [2005 Apr 4].<br />
35. สุณี รักษาเกียรติศักดิ์, องค์ประกอบของระบบการจัดการเรียนแบบออนไลน์, [Online] Available:<br />
http://cc.swu.ac.th/ccnews/content/e1624/e1628/e2829/e2851/index_th.html, [2005 Nov 18].<br />
36. มหาวิทยาลัยแม่โจ้, อบรมเชิงปฏิบัติการโครงการความร่วมมือพัฒนาระบบเครือข่ายเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศอุดมศึกษา ภาคเหนือ, [Online] Available: http://www.mju.ac.th/jobs_news/trainlms/<br />
spec-lms.htm, [2005 Apr 30].<br />
176<br />
177<br />
37. บุญเรือง เนียมหอม, 2540, การพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตใน<br />
ระดับอุดมศึกษา, วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาโสตทัศนศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บทคัดย่อ.<br />
38. กนกวรรณ จันทร์สว่าง, 2545, ความคิดเห็น ความพร้อมและการยอมรับการเรียนการสอนผ่านสื่อ<br />
อิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning), วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, บทคัดย่อ.<br />
39. Hadley, Nancy jane, 1998, The effects of technology support system on achievement And<br />
attitudes of preservice teacher (Computer mediated instruction), Abstract from:<br />
Dissertation Abstracts Internation: 9803569.<br />
40. อัญชนา จันทรสุข , 2545, การนำเสนอรูปแบบการจัดการห้องเรียนเสมือนบนเครือข่าย<br />
อินเทอร์เน็ตสำหรับนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย, วิทยานิพนธ์ปริญญา<br />
ครุศาสตรมหาบัณฑิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บทคัดย่อ.<br />
41. สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2005, เจาะลึกมาตรฐานอีเลิร์นนิ่ง<br />
SCORM V.1.2 ตอนที่ 1, [Online] Available:<br />
http://www.thai2learn.com/whatsnew/scorm1.html, [2005 Apr 4].<br />
42. สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2005, เจาะลึกมาตรฐานอีเลิร์นนิ่ง<br />
SCORM V.1.2 ตอนที่ 2, [Online] Available: http://www.thai2learn.com/whatsnew/<br />
scorm2.html, [2005 Apr 4].<br />
43. ปัทมา นพรัตน์ และ นวพร เลิศธาราทัต, 2548, วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ปีที่ 53 ฉบับที่<br />
169 กันยายน 2548.<br />
44. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, Learning Management System (LMS) ,<br />
[Online] Available: http://www.thai2learn.com/home.php?page=lms&hi=1850, [2006, Feb 4].<br />
177<br />
178<br />
45. เสริมศักดิ์ วิศาลภรณ์, 2541, ปัญหาของครูนวัตกรรมการศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด<br />
ต่ออาชีพครูกับแบบของพฤติกรรม, วารสารการวิจัยทางการศึกษา, หน้า 4 – 11.<br />
46. Advanced Distributed Learning, 2006, SCORM® 2004 Documentation, [Online] Available:<br />
http://www.adlnet.gov/scorm/history/2004/documents.cfm, [2005 Apr 4].<br />
178<br />
ภาคผนวก ก.<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
179<br />
180<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
เรื่อง<br />
การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
โดย<br />
นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี<br />
การศึกษาวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต<br />
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
180<br />
181<br />
คำชี้แจง<br />
1. ผู้ตอบแบบสอบถามฉบับนี้ คือ ผู้ดูแลระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management<br />
System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management<br />
System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
3. นิยามศัพท์เฉพาะ มีดังนี้<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System : LMS) หมายถึง ระบบการจัดการ<br />
เรียนรู้ เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ จะประกอบด้วยเครื่องมืออำนวย<br />
ความสะดวกให้แก่ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ดูแลระบบ โดยที่ผู้สอนนำเนื้อหาและสื่อการสอนขึ้นเว็บไซต์รายวิชา<br />
ตามที่ได้ขอให้ระบบ จัดไว้ให้ได้อย่างสะดวก ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหา กิจกรรมต่าง ๆ ได้ผ่านเว็บ ผู้สอนและ<br />
ผู้เรียนติดต่อ สื่อสารได้ผ่านทางเครื่องมือการสื่อสารที่ระบบจัดไว้ให้ เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ห้อง<br />
สนทนา กระดานถาม-ตอบ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วยังมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ การเก็บบันทึกข้อมูล<br />
กิจกรรมการเรียนของผู้เรียนไว้บนระบบเพื่อผู้สอนสามารถนำไปวิเคราะห์ ติดตามและประเมินผล<br />
การเรียนการสอนในรายวิชานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System) หมายถึง ระบบการสร้าง การจัดทำ<br />
เนื้อหาของผู้สอนเอง และ/หรือมีการเชื่อมโยงเนื้อหารายวิชาจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้งานในระบบได้<br />
ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System) หมายถึง ระบบ<br />
การจัดการกลุ่มผู้ใช้งานแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารระบบ โดยสามารถเข้าสู่ระบบจาก<br />
ที่ไหน เวลาใดก็ได้ โดยผ่าน เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบสามารถรองรับจำนวนผู้ใช้และจำนวนบทเรียนได้<br />
ไม่จำกัด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ hardware/software ที่ใช้ และระบบสามารถรองรับการใช้งานภาษาไทยอย่างเต็ม<br />
รูปแบบ<br />
ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System) หมายถึง ระบบที่มีความสามารถใน<br />
การติดตามความคืบหน้าในการเรียน เช่น การบันทึกเวลาการเข้าใช้งานระบบอย่างละเอียด<br />
ระบบการวัดผลประเมินผล (Assessment System) หมายถึง ระบบคลังข้อสอบ ซึ่งเป็นระบบการสุ่ม<br />
ข้อสอบที่สามารถจำกัดเวลาในการทำข้อสอบและการสามารถตรวจข้อสอบได้โดยอัตโนมัติ มีการรายงาน<br />
ผลคะแนน และเกรด รวมทั้งมีระบบการรายงานสถิติการเข้าเรียนและเข้าทำข้อสอบของผู้เรียนด้วย<br />
ระบบการสื่อสาร (Communication System) หมายถึง ระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้สื่อสารระหว่าง<br />
ผู้เรียน- ผู้สอน และ ผู้เรียน-ผู้เรียน ได้แก่ กระดานข่าว (Webboard) และ ห้องสนทนา (Chatroom) โดย<br />
สามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นประวัติการเข้าใช้ของผู้ใช้แต่ละคนได้<br />
ผู้ดูแลระบบ/ผู้บริหารระบบ หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน<br />
(Learning Management System: LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร<br />
181<br />
182<br />
ตัวอย่างวิธีการตอบ<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
2.1 การใช้ระบบ<br />
Login/Logout<br />
√ 2.1 การใช้ระบบ<br />
Login/Logout<br />
√<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์<br />
โหลด ไฟล์ (Multimedia<br />
File) เช่น Microsoft<br />
Office, Adobe Acrobat<br />
PDF, HTML, Image<br />
√ 2.2 การอัพโหลดและดาวน์<br />
โหลด ไฟล์ (Multimedia<br />
File) เช่น Microsoft<br />
Office, Adobe Acrobat<br />
PDF, HTML, Image<br />
√ √<br />
จากตัวอย่าง หมายความว่า<br />
ข้อ 2.1 ปัจจุบันสถานศึกษาของท่านผู้สอนและผู้เรียนจะใช้ระบบ Login/Logout เพื่อเข้าใช้งานในระบบ<br />
การจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System : LMS)<br />
ข้อ 2.2 ผู้เรียนในปัจจุบันระบบท่านไม่มีการอัพโหลดและดาวน์โหลด ไฟล์ (Multimedia File) เช่น<br />
Microsoft Office, Adobe Acrobat PDF, HTML, Image ซึ่งในอนาคตจะมี ส่วนผู้สอนในปัจจุบันระบบท่ามีการอัพ<br />
โหลดและดาวน์โหลด ไฟล์ (Multimedia File) เช่น Microsoft Office, Adobe Acrobat PDF, HTML, Image<br />
182<br />
183<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
เรื่อง “การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษา<br />
ในเขตกรุงเทพมหานคร”<br />
คำชี้แจง กรุณาขีดเครื่องหมาย √ ลงในช่องว่างตามความคิดเห็นของท่าน<br />
ลักษณะทั่วไปของระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
ภายในมหาวิทยาลัยของท่าน<br />
1. มหาวิทยาลัยของท่านได้พัฒนาระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ด้วยเครื่องมือต่อไปนี้<br />
�� 1. พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ภาษา PHP ร่วมกับฐานข้อมูล MySQL<br />
�� 2. พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ภาษา PHP ร่วมกับฐานข้อมูล Microsoft SQL<br />
�� 3. พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ภาษา ASP ร่วมกับฐานข้อมูล Microsoft SQL<br />
�� 4. นำต้นแบบมาจาก MOODLE<br />
�� 5. นำต้นแบบมาจาก ATUTOR<br />
�� 6. นำต้นแบบมาจาก BLACK BOARD<br />
�� 7. อื่น ๆ โปรดระบุ ……………………………………………………………………………………<br />
2. ระยะเวลาที่เปิดให้ผู้สอนและผู้เรียนเข้ามาใช้ระบบได้<br />
�� 1. น้อยกว่า 1 ปี<br />
�� 2. 1-2 ปี<br />
�� 3. 3-4 ปี<br />
�� 4. มากกว่า 4 ปี โปรดระบุ จำนวน ……………… ปี<br />
3. จำนวนวิชาที่เปิดให้บริการ<br />
�� 1. 1-3 วิชา<br />
�� 2. 4-6 วิชา<br />
�� 3. 7-10 วิชา<br />
�� 4. มากกว่า 10 วิชาโปรดระบุ จำนวน ……………… วิชา<br />
4. Website หรือ ลิงค์ (URL) ที่ท่านเปิดให้บริการระบบ LMS<br />
โปรดระบุ ………………………………………………………………………………………………………<br />
183<br />
184<br />
��…..ท่านคิดว่าระบบการจัดการบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
ของมหาวิทยาลัยท่านมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ทั้งในปัจจุบันและอาจจะมีในอนาคตหรือไม่<br />
1. ระบบการจัดการเนื้อหารายวิชา (Content Management System)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
1.1 การสร้างและแทรก<br />
เนื้อหาบทเรียนภายใน<br />
ระบบได้เอง<br />
1.1 การเข้าสู่เนื้อหาของ<br />
บทเรียนภายในระบบ<br />
1.2 การนำเนื้อหาบทเรียน<br />
ผู้อื่นสร้างมาใช้งาน<br />
ภายในระบบ<br />
1.2 การเข้าสู่เนื้อหา<br />
บทเรียนผู้อื่นสร้างมาใช้<br />
งานภายในระบบ<br />
1.3 การเชื่อมต่อกับ<br />
Courseware จาก<br />
ห้องสมุดของสถาบัน<br />
1.3 การใช้ Courseware จาก<br />
ห้องสมุดของสถาบัน<br />
1.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
.....................................<br />
.....................................<br />
.....................................<br />
1.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
.....................................<br />
.....................................<br />
.....................................<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
2.1 การใช้ระบบ<br />
Login/Logout<br />
2.1 การใช้ระบบ<br />
Login/Logout<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์<br />
โหลดไฟล์ (Multimedia<br />
File) เช่น Microsoft<br />
Office, Adobe Acrobat<br />
PDF, HTML, Image<br />
2.2 การอัพโหลดและดาวน์<br />
โหลดไฟล์ (Multimedia<br />
File) เช่น Microsoft<br />
Office, Adobe Acrobat<br />
PDF, HTML, Image<br />
184<br />
185<br />
2. ระบบการจัดการผู้ใช้และการจัดการรายวิชา (User and Course Management System) (ต่อ)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
2.3 การเพิ่ม/ลดรายวิชา<br />
(Course)<br />
2.3 การเลือกลงทะเบียน<br />
รายวิชา (Course)<br />
2.4 การเพิ่ม/ลดรายละเอียด<br />
รายวิชา (Course)<br />
2.4 การแสดงรายละเอียด<br />
ของแต่ละรายวิชา<br />
2.5 การควบคุมสิทธิ์การใส่<br />
เกรดแต่ละวิชา<br />
2.5 การตรวจสอบเกรดแต่<br />
ละรายวิชา<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการ<br />
ทำงานรายสัปดาห์<br />
2.6 การสร้างปฏิทินการ<br />
ทำงานรายสัปดาห์<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียด<br />
ของผู้สอน/ผู้ช่วยสอน<br />
2.7 การบันทึกรายละเอียด<br />
ของผู้เรียน<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบ<br />
ออนไลน์<br />
2.8 คู่มือการใช้ระบบ<br />
ออนไลน์<br />
2.9 การแทรกวิดีโอใน<br />
เนื้อหาบทเรียน<br />
2.9 การรับชมวิดีโอ<br />
ประกอบบทเรียน<br />
2.10 การป้อนข้อมูลประกาศ<br />
คะแนน<br />
2.10 การตรวจสอบผลคะแนน<br />
แบบฝึกหัด/สอบ<br />
2.11 การสร้างตารางสอน 2.11 การตรวจสอบตาราง<br />
เรียน<br />
2.12 การเพิ่ม/ลบรายชื่อ<br />
ผู้เรียน<br />
2.12 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
2.13 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
.....................................<br />
.....................................<br />
3. ระบบติดตามการเรียนการสอน (Course Tracking System)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
3.1 การตรวจสอบการ<br />
เข้าเรียนของผู้เรียน<br />
3.1 การตรวจสอบการ<br />
เข้าเรียนของผู้เรียน<br />
3.2 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
3.2 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
185<br />
186<br />
4. ระบบการวัดผลประเมินผล (Assesments System)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและ<br />
ความคืบหน้าด้านการ<br />
เรียนของผู้เรียน<br />
4.1 การตรวจสอบสถิติและ<br />
ความคืบหน้าด้านการ<br />
เรียนของตนเอง<br />
4.2 การสร้างแบบฝึกหัด<br />
ออนไลน์<br />
4.2 การทำแบบฝึกหัด<br />
ออนไลน์<br />
4.3 การสร้างคลังข้อสอบ<br />
ออนไลน์<br />
4.3 การทำข้อสอบออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำ<br />
แบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.4 ข้อกำหนดการทำ<br />
แบบฝึกหัดออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำ<br />
ข้อสอบออนไลน์<br />
4.5 ข้อกำหนดการทำ<br />
ข้อสอบออนไลน์<br />
4.6 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
......................................<br />
......................................<br />
4.6 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
......................................<br />
......................................<br />
5. ระบบการสื่อสาร (Communication System)<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ผู้เรียน ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
5.1 การรับ-ส่งเมล์ถึงผู้เรียน 5.1 การรับ-ส่งเมล์ถึงผู้สอน<br />
5.2 การป้อนข้อมูลโต้ตอบ<br />
ในกระดานข่าว<br />
5.2 การป้อนข้อมูลโต้ตอบ<br />
ในกระดานข่าว<br />
5.3 การป้อนข้อมูลประกาศ<br />
ข่าวสารแต่ละรายวิชา<br />
5.3 การตรวจสอบข่าวสาร<br />
แต่ละรายวิชา<br />
5.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
......................................<br />
5.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)<br />
.....................................<br />
186<br />
187<br />
6. ระบบอื่น ๆ โปรดระบุ ……………………………………………………………….<br />
ผู้สอน ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบัน อนาคต<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
ผู้เรียน<br />
มี ไม่มี มี ไม่มี<br />
6.1 .........................................<br />
................................................<br />
.........................................<br />
6.1 ......................................<br />
.............................................<br />
.................................<br />
6.2 .........................................<br />
................................................<br />
..........................................<br />
6.2 ......................................<br />
.............................................<br />
.............................................<br />
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………………………<br />
�� ขอขอบพระคุณในความร่วมมือตอบแบบสอบถาม ��<br />
187<br />
ภาคผนวก ข.<br />
ตารางการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
188<br />
สภาพปัจจุบัน_ส่วนของผู้สอน<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 11 มากที่สุด 2 ปานกลาง 1 ปานกลาง 0 ไม่มี 0 ไม่มี<br />
2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 3 ปานกลาง 3 มากที่สุด<br />
4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
5 มหาวิทยาลัยศิลปากร 9 มากที่สุด 2 ปานกลาง 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
6 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 0 ไม่มี<br />
7 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
8 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 3 ปานกลาง 1 น้อยที่สุด<br />
9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
10 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 3 ปานกลาง 1 น้อยที่สุด<br />
11 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
12 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 12 มากที่สุด 4 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
13 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 10 มากที่สุด 4 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
189<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
14 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขต<br />
พระนครใต้<br />
11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
15 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขต<br />
พาณิชยการพระนคร<br />
7 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 3 ปานกลาง 3 มากที่สุด<br />
16 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 6 ปานกลาง 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 0 ไม่มี 0 ไม่มี<br />
17 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 11 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
18 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 5 ปานกลาง 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
19 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 0 ไม่มี<br />
20 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 10 มากที่สุด 2 ปานกลาง 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
21 มหาวิทยาลัยสยาม 6 ปานกลาง 2 ปานกลาง 1 ปานกลาง 2 น้อยที่สุด 0 ไม่มี<br />
22 มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
23 มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
190<br />
ความคาดหวังในอนาคต_ส่วนของผู้สอน<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 13 มากที่สุด 3 มากที่สุด 2 มากที่สุด 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
5 มหาวิทยาลัยศิลปากร 10 มากที่สุด 2 ปานกลาง 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
6 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
7 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
8 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 0 ไม่มี<br />
9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
10 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
11 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
12 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 12 มากที่สุด 4 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
13 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 12 มากที่สุด 4 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
191<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
14 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขต<br />
พระนครใต้<br />
11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
15 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขต<br />
พาณิชยการพระนคร<br />
9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 ปานกลาง 3 มากที่สุด<br />
16 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 4 มากที่สุด 0 ไม่มี<br />
17 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 11 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
18 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 11 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
19 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
20 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
21 มหาวิทยาลัยสยาม 7 ปานกลาง 0 ไม่มี 1 ปานกลาง 4 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
22 มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 12 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
23 มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
192<br />
สภาพปัจจุบัน_ส่วนของผู้เรียน<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 3 ปานกลาง 3 มากที่สุด<br />
4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 7 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
5 มหาวิทยาลัยศิลปากร 6 ปานกลาง 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 3 ปานกลาง 1 น้อยที่สุด<br />
6 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 3 ปานกลาง 0 ไม่มี<br />
7 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
8 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
10 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
11 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
12 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 10 มากที่สุด 4 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
13 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
193<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
14 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขต<br />
พระนครใต้<br />
11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
15 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขต<br />
พาณิชยการพระนคร<br />
7 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 3 ปานกลาง 3 มากที่สุด<br />
16 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 5 ปานกลาง 1 น้อยที่สุด 0 ไม่มี 0 ไม่มี 0 ไม่มี<br />
17 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 10 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
18 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 4 น้อยที่สุด 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
19 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 9 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 0 ไม่มี<br />
20 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 10 มากที่สุด 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
21 มหาวิทยาลัยสยาม 4 น้อยที่สุด 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 1 น้อยที่สุด 0 ไม่มี<br />
22 มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 8 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
23 มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 5 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 0 ไม่มี<br />
194<br />
ความคาดหวังในอนาคต_ส่วนของผู้เรียน<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 2 มากที่สุด 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 7 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
5 มหาวิทยาลัยศิลปากร 9 มากที่สุด 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 3 ปานกลาง 1 น้อยที่สุด<br />
6 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
7 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
8 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
10 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 4 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
11 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 6 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
12 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 10 มากที่สุด 4 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
13 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 11 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
195<br />
ผลการประเมินแต่ละระบบของ LMS<br />
User and Course<br />
Management System<br />
Communication<br />
System<br />
Course Tracking<br />
System<br />
Test and<br />
Evaluation System<br />
Content<br />
Management System<br />
สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน<br />
คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย คะแนน ความหมาย<br />
14 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขต<br />
พระนครใต้<br />
11 มากที่สุด 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
15 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขต<br />
พาณิชยการพระนคร<br />
8 ปานกลาง 3 มากที่สุด 1 ปานกลาง 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
16 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 4 มากที่สุด 0 ไม่มี<br />
17 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 10 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 มากที่สุด 4 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
18 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 10 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
19 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
20 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
21 มหาวิทยาลัยสยาม 6 ปานกลาง 2 ปานกลาง 0 ไม่มี 2 น้อยที่สุด 1 น้อยที่สุด<br />
22 มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 10 มากที่สุด 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 3 มากที่สุด<br />
23 มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 8 ปานกลาง 3 มากที่สุด 0 ไม่มี 5 มากที่สุด 2 ปานกลาง<br />
196<br />
197<br />
<br />
ภาคผนวก ค.<br />
หนังสือราชการ<br />
205<br />
206<br />
บันทึกข้อความ<br />
หน่วยงาน งานบัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี โทร. 8510<br />
ที่ ศธ วันที่ 27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขอเรียนเชิญเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย<br />
เรียน ผศ.ดร.ธีรณี อจลากุล (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี)<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่อง<br />
“การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS)<br />
ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร.กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่<br />
ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
ในการนี้ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ได้พิจารณาแล้วว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถและ<br />
มีประสบการณ์ในด้านนี้เป็นอย่างดียิ่ง จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์จากท่านในการเป็น<br />
ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นในการสร้างเครื่องมือวิจัยดังกล่าว<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัย<br />
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
207<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิมพ์รำไพ เปรมสมิทธ์ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
208<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ สุรารักษ์ ศรีรังษ์ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
209<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ สมชาติ เลิกบางพลัด (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
210<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน ผู้อำนวยการสำนักคอมพิวเตอร์, คุณสุวรรณา (มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
211<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ฐัศแก้ว ศรีสด (มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
212<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณเอกวัฒน์ สุวันทโรจน์ (มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
213<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ สุธี แซ่เจีย (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
214<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณณัฐพนธ์ (เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ LMS มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
215<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณปริวรรต น้อยเล็ก (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
216<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณกมลชนก อยู่วัฒนา (มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
217<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ สัญญา ธีระเดชอุปถัมภ์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
218<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ ธวัชชัย สารวงษ์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขตพระนครใต้)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
219<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน อาจารย์ ณรงค์ฤทธิ์ ธีระเวช (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
220<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณปัทมา เหมียนคิด (มหาวิทยาลัยศรีปทุม)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
221<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ วาทินี นุ้ยเพียร (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
222<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน อาจารย์สิริโรจน์ โรจน์วัฒนกุล (มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
223<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน อาจารย์ พีระ แพทย์ประเสริฐ์ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
224<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณทรงวุฒิ แพรสมหวัง (เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ LMS มหาวิทยาลัยกรุงเทพ)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
225<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน อาจารย์ ไสว ศิริทองถาวร (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
226<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณ พิศาล สุขขี (มหาวิทยาลัยศิลปากร)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
227<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน อาจารย์ เกียรติพงษ์ ยอดเยี่ยมแกร (มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์<br />
อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ<br />
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System:<br />
LMS) ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
228<br />
ที่ ศธ 5804/269 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี<br />
126 ประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140<br />
27 มกราคม 2549<br />
เรื่อง ขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย<br />
เรียน คุณจินตนา อิ่มรักษา (มหาวิทยาลัยสยาม)<br />
สิ่งที่แนบมาด้วย แบบสอบถามเพื่องานวิจัย จำนวน 1 ชุด<br />
ด้วย นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม<br />
มหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความประสงค์จะขออนุญาตเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
เรื่อง “การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร” โดยมี รศ.ดร. กัลยาณี จิตต์การุณย์ เป็นประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา<br />
ในการนี้นักศึกษามีความประสงค์ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย จากเจ้าหน้าที่ซึ่ง<br />
ดูแลระบบบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (Learning Management System: LMS) ของมหาวิทยาลัยท่าน<br />
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาตให้ นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี ได้ทำการเก็บข้อมูลเพื่อ<br />
การศึกษาวิจัยดังกล่าวด้วย ซึ่งทางคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
ธนบุรี ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์เป็นอย่างสูง<br />
ขอแสดงความนับถือ<br />
(รศ.ดร.ไพบูลย์ เกียรติโกมล)<br />
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและบัณฑิตศึกษา<br />
ปฏิบัติราชการแทน<br />
คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี<br />
งานบัณฑิตศึกษา<br />
โทร. 0-24708510, โทร.01-6354136 (นศ.)<br />
โทรสาร 0-24278886<br />
229<br />
ประวัติผู้วิจัย<br />
ชื่อ – สกุล นายสมพงษ์ บุษราคัมมณี<br />
วัน เดือน ปีเกิด 31 สิงหาคม 2514<br />
ประวัติการศึกษา<br />
ระดับอนุปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์<br />
มหาวิทยาลัยสยาม พ.ศ. 2535<br />
ระดับปริญญาตรี ครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต<br />
สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์<br />
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พ.ศ. 2538<br />
ระดับปริญญาโท ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต<br />
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พ.ศ. 2548<br />
ประวัติการทำงาน Sr. Senior Network Administrator<br />
บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด<br />
พ.ศ. 2539 - ปัจจุบัน<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/3_19.html">การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนบนอินเทอร์เน็ต ของสถาบันอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 3)</a><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16112636/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-16523728708394722522011-08-19T10:42:00.000-07:002011-08-19T10:42:41.376-07:00การใช้เว็บไซต์ห้องสมุดกรมบัญชีกลางของบุคลากรกรมบัญชีกลางการใช้เว็บไซต์ห้องสมุดกรมบัญชีกลางของบุคลากรกรมบัญชีกลาง<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16107303/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-10124899661732250312011-08-19T10:41:00.000-07:002011-08-19T10:41:35.142-07:00การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแนะแนวทางการยึดส่วนปลายของตะปูยึดกระดูกภายใน โดยวิเคราะห์จากภาพเอกซเรย์การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแนะแนวทางการยึดส่วนปลายของตะปูยึดกระดูกภายใน โดยวิเคราะห์จากภาพเอกซเรย์<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16107310/_.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-80574479521299283812011-08-16T11:13:00.000-07:002011-08-16T11:15:56.795-07:00การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บทเรียนคอม สุข-ป-6การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บทเรียนคอม สุข-ป-6<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16072861/Tec_6.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-35718728112425056972011-08-16T11:12:00.000-07:002011-08-16T11:12:35.143-07:00การพัฒนาแผนจัดการเรียนรู้และบทเรียนสำเร็จรูป วิทย์-ความร้อนและสะสาร ป5การพัฒนาแผนจัดการเรียนรู้และบทเรียนสำเร็จรูป วิทย์-ความร้อนและสะสาร ป5<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16072848/IS_5.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-11172824883877368052011-08-16T11:05:00.000-07:002011-08-16T11:05:31.335-07:00การพัฒนาแผนจักการเรียนรู้และบทเรียนช่วยสอน คณิต -การบวก ป1การพัฒนาแผนจักการเรียนรู้และบทเรียนช่วยสอน คณิต -การบวก ป1<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16072763/IS_1.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-20189039085666600042011-08-16T11:03:00.000-07:002011-08-16T11:03:34.404-07:00การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปประกอบภาพการ์ตูน สปช-ประวัติสุโขทัย ป3การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปประกอบภาพการ์ตูน สปช-ประวัติสุโขทัย ป3<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16072757/IS_3.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-16173519441705920932011-08-14T09:22:00.000-07:002011-08-14T09:22:37.834-07:00การพัฒนาบทเรียนคอม-สังคม การผิตและบริโภค ม.2การพัฒนาบทเรียนคอม-สังคม การผิตและบริโภค ม.2<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16050896/IS_.2.rar.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-91352476421711187342011-08-14T03:27:00.000-07:002011-08-14T03:27:15.211-07:00สภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสอนภาษาจีนสภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสอนภาษาจีน<br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16047094/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-59674932232021964492011-08-14T03:18:00.002-07:002011-08-14T03:20:35.708-07:00สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)<a href="http://www.ziddu.com/download/16047024/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน สรุปได้ว่า โรงเรียนส่วน<br />
ใหญ่ขาดแคลนครูที่มีวุฒิทางการพยาบาลและสุขศึกษา ครูอนามัยโรงเรียนมีชั่วโมงสอนมากจนไม่มี<br />
เวลาปฏิบัติงานในบทบาทหน้าที่ของตน การตรวจสุขภาพนักเรียนโดยครูเวลาเช้ามีการตรวจเป็นบาง<br />
วัน การวัดสายตามีการวัดเป็นส่วนน้อย การทดสอบการได้ยินมิได้ปฏิบัติ โครงการอาหารกลางวันยัง<br />
ไม่ถูกหลักโภชนาการ นอกจากนี้ยังขาดเงินกองทุน การประสานงานกับบุคลากรภายนอกยังต้องปรับ<br />
ปรุง อุปกรณ์ในการปฐมพาบาล ขาดเฝือกไม้ เมื่อนักเรียนได้รับอุบัติเหตุจะนำส่งโรงพยาบาลทันที<br />
โดยมิได้เข้าเฝือกชั่วคราว ผู้บริหารโรงเรียน ครูบางส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เห็นด้วยที่<br />
ตอ้ งใหค้ รรู บั หนา้ ทตี่ รวจสขุ ภาพนกั เรยี น การแสดงความต้องการเรียนรู้ของคร ู มิใช่จะคาดหวังได้ว่า<br />
จะแก้ปัญหาสุขภาพนักเรียนได้ เพราะบางครั้งมิได้นำไปสู่การปฏิบัติ สำหรับความต้องการให้พยาบาล<br />
มารับหน้าที่ครูอนามัยโรงเรียนนั้นมีความเห็นสอดคล้องกันทั้งงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ<br />
3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
อารมณ์ อิทธิธรรมวินิจ (2528 : บทคัดย่อ อ้างใน สมศักดิ์ อัมพรต. 2538 : 54) วิจัยเรื่อง<br />
ศึกษาการบริหารงานสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดชลบุรี<br />
ฉะเชิงเทราและระยอง ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่โรงเรียนประถมศึกษาระบุไว้มากที่สุด ได้แก่<br />
38<br />
การขาดบุคลากรทางสุขศึกษา เช่น ครูสุขศึกษา ครูพยาบาล หรือครูอนามัยโรงเรียน รองลงมาได้แก่<br />
การขาดอุปกรณ์หรือสื่อประกอบการสอน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในห้องพยาบาล<br />
สมศักดิ์ อัมพรต (2538:195) วิจัยเรื่อง การบริหารงานสุขภาพอนามัยในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดนนทบุรี ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีสภาพการ<br />
บริหารงานสุขภาพอนามัยในโรงเรียนถึงเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของงานสุขศึกษาในสถานศึกษา แต่มี<br />
ปัญหาและอุปสรรคด้านการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษา พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนส่วนใหญ่มีความ<br />
คิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาด้านนี้อยู่ในระดับปานกลางที่ตรงกัน คือ การขาดแคลนบุคลากรทางสุขศึกษา<br />
การขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน และขาดการนิเทศให้ครูเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสอนจากที่มุ่ง<br />
ให้เด็กท่องจำมาให้เด็กปฏิบัติจริง<br />
นงรัตน์ สุขสม (2540 : บทคัดย่อ) วิจัยเรื่อง การประเมินผลหลักสูตรประถมศึกษาพุทธ-<br />
ศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สุขศึกษา) ชั้น<br />
ประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่า ควรปรับปรุงในด้านเนื้อหาวิชาสุขศึกษา<br />
ให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันในเรื่องการปฐมพยาบาล ตลอดทั้งนำเนื้อหาวิชาสุขศึกษาไปประยุกต์<br />
ใช้ในชีวิตประจำวัน<br />
ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 27, 120) วิจัยเรื่อง การรับรู้บทบาทครูอนามัยโรงเรียนใน<br />
โครงการสุขภาพของผู้บริหาร ครูประจำชั้นและครูอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลพบุรี มีข้อเสนอแนะว่า การให้สุขศึกษาในโรงเรียนควรเน้นที่<br />
การเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยให้นักเรียนฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะ ครูควรเตรียมการสอนและชักจูงให้<br />
เกิดการปฏิบัติ<br />
ศิริมา แสงอรุณ (2544 : 98) วิจัยเรื่อง สุขภาพส่วนบุคคลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2<br />
โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตราษฏร์บูรณะ ผลการวิจัยพบว่า ครูสอนสุขศึกษานอกจากสอน<br />
ให้นักเรียนได้รับความรู้ถูกต้องแล้วยังต้องปลูกฝังเจตนคติที่ดี ก่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนพฤติกรรม<br />
สุขภาพ<br />
สมพงษ์ เรืองศรี (2530 : บทคัดย่อ) วิจัยเรื่อง ปัญหาการวัดผลประเมินผลวิชาสุขศึกษา ใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา เขตการศึกษา 3 ผลการวิจัยพบว่า ครูสุขศึกษามีปัญหาขาดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้<br />
ด้านการวัดผลประเมินผลกับครูในโรงเรียนและกลุ่มโรงเรียน ซึ่งถ้าขาดการประสานงานภายนอก<br />
หน่วยงานจะทำให้การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนไม่ราบรื่น<br />
ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 111) วิจัยเรื่อง บทบาทของผู้บริหารและครูในการพัฒนาพฤติกรรม<br />
สุขภาพของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จากการศึกษาพบว่า ผู้บริหารยัง<br />
มิได้เปิดโอกาสให้ครูร่วมศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขศึกษาก่อนนำไปใช้ในการสอน การ<br />
จัดกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตร เพื่อส่งเสริมอนามัยที่ดี ส่วนทางด้านครูก็ปรากฏชัดว่า ยังมิได้มีส่วนร่วม<br />
39<br />
ในการจัดทำแผนการสอนในเนื้อหาวิชานี้ จากผลการวิจัยนี้กล่าวได้ว่า ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา<br />
ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการบริหารจัดการการเรียนการสอนสุขศึกษา<br />
ฟาลแมน ซิงเกลอตัน และคลิบเบอร์ (Fahlman, Singleton and Kliber 2002 : 19) ได้ทำการ<br />
วิจัยเรื่อง ผลการสอนสุขศึกษาในชั้นเรียนต่าง ๆ โดยครูมีการเตรียมการสอนอย่างดี ผลการวิจัย พบว่า<br />
วิชาโทสุขศึกษาได้มีการเตรียมการสอนมากกว่าวิชาเอกหรือโทอื่น ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามวิชาเอกและ<br />
โทในโรงเรียนประถมศึกษาทำคะแนนได้น้อยกว่าชั้นมัธยมศึกษาในด้านความสามารถทางการสอน<br />
ซึ่งทั้งนี้เนื่องจากครูที่สอนสุขศึกษาในระดับประถมศึกษามีเพียงแต่ครูประจำชั้นเท่านั้น นอกจากนี้<br />
หัวข้อการสอนที่ได้รับความสนใจลงชื่อเป็นสมาชิกจำนวนน้อย คือ การที่นักเรียนต้องยืมเครื่องมือจาก<br />
ห้องเรียนอื่น<br />
เมอเรย์, โรเนลด์ โทมัส (Murray, Ronald Thomas 1997 : 173) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การรับฟัง<br />
ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นต่อสุขศึกษาในโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า วัยรุ่นมีการ<br />
เปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย สังคมและการเรียนรู้ดีขึ้น การให้สุขศึกษาแก่พวกเขาเกิดความล้มเหลว<br />
หลายปัจจัย เช่น ความสามารถของครู เวลาที่ใช้สอน สภาพครอบครัว ความเข้าใจในงานอนามัย<br />
โรงเรียนและการสนับสนุนจากชุมชน พวกเขาเน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและเสนอแนะว่าผู้<br />
ทำหลักสูตรควรมีความรู้ความเข้าใจเรื่องงานอนามัยโรงเรียนเป็นพื้นฐานมาก่อน<br />
คิงและเคิท (King, Keith. 1998 : 248) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การรับรู้ของครูอนามัยโรงเรียนและ<br />
ครูแนะแนว เรื่องการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น ศึกษาโดยการสุ่มตัวอย่างจากครูอนามัยโรงเรียนและครูแนะ<br />
แนวในโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามแนวคิดที่ว่า หากวัยรุ่นเข้าใจว่าการฆ่าตัวตายเป็นอันตรายและน่าอด<br />
สูใจ การฆ่าตัวตายคงลดลงและเชื่อว่าครูอนามัยโรงเรียนและครูแนะแนวเป็นบุคลากรที่สำคัญยิ่งที่จะ<br />
ป้องกันปัญหานี้ได้ ผลการวิจัยพบว่า ครูอนามัยโรงเรียนร้อยละ 9 เห็นด้วย ครูแนะแนวในโรงเรียน<br />
ร้อยละ 39 เห็นด้วย จากการวิเคราะห์ที่หลากหลายในปัญหานี้ สรุปว่า มีการสอนถึงเรื่องดังกล่าวให้<br />
กับนักเรียนแล้ว โดยสอดแทรกอยู่ในหลักสูตรเรื่องการป้องกันการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น มีการเฝ้า<br />
ระวังและ เอาอกเอาใจกันมากอยู่แล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และมีข้อเสนอแนะว่า การศึกษาอย่างเดียว<br />
ไม่สามารถลดจำนวนการฆ่าตัวตายของนักเรียนวัยรุ่นได ้ อาจเกดิ ประโยชนห์ ากจดั หลกั สตู รเพอื่ ให้<br />
ความรู้แก่ครูอนามัยโรงเรียนและครูแนะแนวให้เวลาในการพัฒนาความรู้เพื่อความสันทัดกรณีในการ<br />
แก้ปัญหาเรื่องนี้ นอกจากนี้เพื่อเห็นแก่สาธารณประโยชน์ โครงการนี้ควรชักชวนให้โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษาทุกโรงเรียนให้การสนับสนุน<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องทางด้านสุขศึกษาในโรงเรียนสรุปได้ว่า โรงเรียนต่าง ๆ ขาด<br />
ครูพยาบาล ครูสุขศึกษา และครูวิทยาศาสตร์สุขภาพ บรรดาครูไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งใน<br />
โรงเรียนและกลุ่มโรงเรียน ขาดการนิเทศติดตาม ครูมิได้ร่วมกันทำแผนการสอน การสอนมิได้เน้นให้<br />
นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ ผู้บริหารไม่เปิดโอกาสให้ครูร่วมวิเคราะห์เนื้อหาเกี่ยวกับ<br />
40<br />
สุขศึกษาก่อนนำไปใช้ ผู้บริหารขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการสอนสุขศึกษา จากการวิจัยในสหรัฐ-<br />
อเมริกา ในปี พ.ศ. 2545 พบว่า โรงเรียนประถมศึกษา ครูมีการเตรียมการสอนอย่างดี แต่เมื่อเปรียบ<br />
เทียบการสอนกับครูมัธยมศึกษาความสามารถทางการสอนของครูประถมศึกษาด้อยกว่ามัธยมศึกษา<br />
ทั้งนี้เพราะโรงเรียนประถมศึกษาทุกโรงเรียนผู้สอนสุขศึกษา คือ ครูประจำชั้น ส่วนโรงเรียนมัธยม-<br />
ศึกษา ประสบปัญหานักเรียนฆ่าตัวตายทั้งที่มีการให้สุขศึกษา แนะแนวและติดตามผลอย่างดีแล้ว มี<br />
ข้อเสนอแนะจากกลุ่มตัวอย่างให้เปิดการอบรมครูผู้มีหน้าที่ รับผิดชอบเรื่องนี้เพื่อเพิ่มความสามารถ<br />
ในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ปัญหาการสอนสุขศึกษาเกิดจากความสามารถของครูเวลาที่ใช้สอน สภาพ<br />
ครอบครัว การสนับสนุนของชุมชน มีการขอร้องให้เปลี่ยนหลักสูตร เสนอแนะให้ผู้ทำหลักสูตรเรื่อง<br />
งานอนามัยโรงเรียนควรมีความรู้และประสบการณ์งานด้านนี้<br />
3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 113) วิจัยเรื่อง บทบาทของผู้บริหารและครูในการพัฒนาพฤติกรรม<br />
สุขภาพของนักเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า การประชาสัมพันธ์<br />
กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอนามัยของทางราชการและของโรงเรียน การแนะนำให้ผู้ปกครองรู้จักวิธีการ<br />
ดูแลนักเรียนที่เจ็บป่วยยังทำได้ไม่มากนัก และในบางเรื่องทำได้ค่อนข้างน้อย เมื่อพิจารณาปัญหา<br />
การดำเนินงานในด้านนี้ควบคู่ไปด้วย ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าอุปสรรคในการพัฒนาสุขภาพอนามัยโดย<br />
การให้ข่าวสารแก่ชุมชนอยู่ที่ผู้ปกครองไม่สนใจข่าวสารจากทางโรงเรียน เพราะข่าวสารไม่ทันสมัย<br />
และไม่ค่อยเพียงพอ ประกอบกับมีความเชื่อไม่ถูกต้อง หรือยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากเกินไป<br />
จึงทำให้ความพยายามด้านนี้ของผู้บริหารและครูไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร<br />
ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 120) วิจัยเรื่อง การรับรู้บทบาทของครูอนามัยโรงเรียน<br />
ในโครงการสุขภาพของผู้บริหาร ครูประจำชั้นและครูอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลพบุรี ผลการวิจัยพบว่า ครูอนามัยโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้รับ<br />
ผิดชอบการดำเนินงานโครงการสุขภาพเพียงคนเดียว ดังนั้น หน่วยการศึกษาจึงควรกำหนดนโยบายใน<br />
การจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการสุขภาพโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยครูฝ่ายต่าง ๆ ในโรงเรียนร่วมกับ<br />
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รับผิดชอบโรงเรียนและผู้นำชุมชน โดยมีคำสั่งแต่งตั้งและกำหนดบทบาทหน้าที่<br />
ให้ชัดเจน<br />
สุวรรณา รุทธนานุรักษ์ (2540 : 88) วิจัยเรื่อง การบริหารเวลาของผู้บริหารโรงเรียนประถม<br />
ศึกษาดีเด่น สังกัดกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มีสัดส่วนการใช้เวลาด้านต่าง ๆ ในลำดับ<br />
แตกต่างกัน แต่งานที่ปฏิบัติน้อยที่สุด พบว่าสอดคล้องกันคือ งานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับ<br />
ชุมชน<br />
41<br />
ณรงค์ เจริญผล (2543 : 84) วิจัยเรื่อง แนวทางการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันใน<br />
โรงเรียน สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า แนวทาง<br />
การดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันในด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน มีระดับ<br />
คะแนนที่ต่ำสุด นอกจากนี้ยังพบในงานวิจัยของ นวลสมร ธนสุนทร (2531) ศึกษาพบว่า ความ<br />
ร่วมมือของชุมชนที่มีต่อโครงการอาหารกลางวันอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น<br />
ประเวศ สิทธิกูล (2539 : 121) วิจัยเรื่องปัญหาการปฏิบัติงานกิจการนักเรียนโรงเรียนประถม<br />
ศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดสระบุรี ผลการวิจัยพบว่า ตามทัศนะของผู้บริหารใน 4<br />
ด้าน คือ ด้านนักเรียน ด้านกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีขึ้นในโรงเรียน ด้านกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนกับศิษย์เก่า มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายกิจกรรม ปรากฏว่ามี<br />
ปัญหาอยู่ในระดับปานกลางทุกกิจกรรม และมีข้อเสนอแนะสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน<br />
กิจการนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาว่า ผู้บริหารสถานศึกษาหาสาเหตุของปัญหาการปฏิบัติงานกิจการ<br />
นักเรียนด้านกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับศิษย์เก่า เพื่อหาทางป้องกันและแก้ไข<br />
ปัญหาซึ่งเกิดขึ้นให้ลดน้อยลง โดยการนิเทศ กำกับ และติดตามการปฏิบัติงานของครูผู้สอนที่รับผิด<br />
ชอบงานกิจการนักเรียนอยู่ตลอดเวลา<br />
ลอเรนส์ คาร์เมนลีน (Lawrence Carmen Leanne. 1998 : 512) วิจัยเรื่อง เพื่อนบ้านดูแลรักษา<br />
เพื่อนบ้าน การส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนขั้นพื้นฐานเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์แคธอริค ภาพรวมของ<br />
โรงเรียนแห่งสุขภาพ แสดงให้เห็นปรัชญาการสนับสนุนงานอนามัยโดยใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่ง<br />
สนับสนุนการรวมตัวกันของชุมชนให้เป็นหนึ่งเหมือนหน่วยหนึ่งของการปกครองในอังกฤษ มีการ<br />
สนับสนุนอนามัยชุมชน การวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ จากสมาชิกของโบสถ์ในชุมชนและโรงเรียน<br />
ที่ทำงานร่วมกันมา พวกเขาได้เป็นผู้ตอบคำถามการวิจัย “ชุมชนคริสเตียนในท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วม<br />
สนับสนุนด้านสุขภาพอนามัยและทำให้เด็ก ๆ มีสุขภาพดี และชุมชนต้องการโรงเรียนประถมศึกษา<br />
มากใช่หรือไม่” มีการใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพมาวิเคราะห์คำตอบ คือ ชุมชนคริสเตียนในท้องถิ่น<br />
เข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการสนับสนุนการปฏิบัติการด้านสุขภาพอนามัย เปรียบเสมือนเพื่อนบ้าน<br />
ดูแลรักษาเพื่อนบ้านกันเอง สิ่งที่ค้นพบในการวิจัยครั้งนี้มีนัยว่าชุมชนเป็นพื้นฐานในการให้การ<br />
พยาบาล<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนสรุปได้ว่า<br />
ผู้บริหารโรงเรียนใช้เวลาบริหารงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนเป็นอันดับสุดท้าย<br />
การประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพอนามัยยังทำได้ไม่ดี เอกสารเผยแพร่ไม่น่าสนใจ ล้าสมัย ผู้ปกครอง<br />
นักเรียนไม่สนใจเรื่องสุขภาพอนามัย ไม่สนับสนุนโครงการอาหารกลางวันเท่าที่ควร มีข้อเสนอแนะ<br />
จากงานวิจัยว่า ให้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและมีการประชุมร่วมกัน นอกจากนี้<br />
ควรสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบรรดาศิษย์เก่าและศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สำหรับในต่างประเทศ<br />
42<br />
พบว่า ได้ใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางแห่งสุขภาพ ชุมชนดูแลเพื่อนบ้านกันเองและเข้ามาช่วยเหลือ<br />
สนับสนุนงานอนามัยโรงเรียน<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนทั้งในประเทศและ<br />
ต่างประเทศ สรุปได้ว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนยังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตาม<br />
มาตรฐานที่ดีได้ บางโรงเรียนผู้บริหารโรงเรียนและครูไม่เห็นความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน<br />
ทางด้านบุคลากร ขาดครูพยาบาล ครูสอนสุขศึกษา และผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ<br />
สถานที่ก่อสร้างอาคารไม่เหมาะสมคับแคบ อาคารเรียนไม่เพียงพอ บางครั้งชำรุดและไม่ถูกสุขลักษณะ<br />
ทางด้านการบริการสุขภาพ ครูอนามัยมีชั่วโมงสอนมากจนไม่มีเวลาทำงานอนามัยโรงเรียนตามบทบาท<br />
หน้าที่ของตน นอกจากนี้อุปกรณ์ด้านปฐมพยาบาลยังไม่ครบถ้วน การบริการด้านโภชนาการ<br />
ต้องปรับปรุงด้านคุณภาพ การสอนสุขศึกษาไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูในโรงเรียนกลุ่ม<br />
โรงเรียน และขาดการนิเทศติดตามการสอน มิได้เน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ นอกจากนี้<br />
นักเรียนยังมีความกังวลเรื่องรูปแบบพฤติกรรมสุขภาพของครูและมีความต้องการให้พยาบาลมาทำ<br />
หน้าที่ครูอนามัยโรงเรียน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียนนั้น ผู้ปกครองไม่ให้ความ<br />
สนใจเรื่องข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเท่าที่ควร อีกประการหนึ่งผู้บริหารโรงเรียนให้เวลากับ<br />
การบริหารงานความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียนอยู่ในระดับสุดท้าย ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็น<br />
อุปสรรคต่อการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนและยากในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียน<br />
ดังนั้นหากมีการศึกษาวิจัยและค้นพบสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จะได้มีข้อมูลและเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา<br />
อุปสรรคต่าง ๆ เพื่อพัฒนางานอนามัยโรงเรียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ต่อไป<br />
บทที่ 3<br />
วิธีดำเนินการวิจัย<br />
การวิจัยเรื่อง สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีวัตถุประสงค์ใน<br />
การวิจัย คือ เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอนดังนี้<br />
1. ประชากร<br />
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
4. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ประชากร<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร จำนวน 38 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหาร และ<br />
ครูอนามัยโรงเรียน โรงเรียนละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 114 คน<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
1. ลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสอบถามเกี่ยวกับ<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร ซึ่งแบ่งคำถามเป็น 3 ตอน คือ<br />
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบเลือกตอบ<br />
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน เป็นแบบ<br />
มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ได้แก่ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาใน<br />
โรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
44<br />
โดยใช้เกณฑ์ในการให้คะแนนและความหมายกำหนดน้ำหนักของตัวเลือก 1 – 5 ดังนี้<br />
- 5 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานมากที่สุด<br />
- 4 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานมาก<br />
- 3 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานปานกลาง<br />
- 2 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานน้อย<br />
- 1 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานน้อยที่สุด<br />
ตอนที่ 3 สอบถามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เป็นคำถามปลายเปิด จำนวน 4 ข้อ จาก<br />
งานอนามัยโรงเรียน 4 ด้าน คือ<br />
- การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
- การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
- สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
- ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
2. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมาจากการศึกษาขอบเขต<br />
เนื้อหาของงานอนามัยโรงเรียนและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือวิจัย<br />
ดังนี้<br />
1. ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบสอบถามจากเอกสารต่าง ๆ<br />
2. ศึกษาขอบเขตเนื้อหาของงานอนามัยโรงเรียน จากหนังสือคู่มือครูอนามัยโรงเรียน ตำรา<br />
และศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และเกณฑ์การปฏิบัติงานด้านส่งเสริมสุขาภาพ แล้วนำมาสรุปเป็นคำถาม<br />
ในการสร้างเครื่องมือ<br />
3. ร่างแบบสอบถามตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมขอบเขตเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ของ<br />
การวิจัย นำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมและปรับปรุงแก้ไข<br />
4. หาคุณภาพของเครื่องมือ<br />
4.1 หาความเที่ยงตรง (Validity) โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความ<br />
เที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) แล้วนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบเพื่อปรับปรุงให้<br />
สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง<br />
4.2 หาความเชื่อมั่น (Reliability) นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้<br />
(Try Out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มิใช่กลุ่มประชากรในการวิจัย โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริหาร ผู้ช่วย<br />
ผู้บริหารโรงเรียน และครูอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน<br />
45<br />
30 คน จาก 10 โรงเรียน แล้วนำมาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นโดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha<br />
Coefficient) ของ ครอนบาค (Cronbach, 1970 : 161) ได้ค่าความเชื่อมั่นเป็น 0.97<br />
5. คัดเลือกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นสูงและจัดพิมพ์แบบสอบถาม เพื่อนำไปใช้ในการ<br />
เก็บรวบรวมข้อมูล<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
วิธีดำเนินการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้<br />
1. ติดต่อขอหนังสือแนะนำจากบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อขอ<br />
ความช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูลไปยังผู้อำนวยการสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
และผู้อำนวยการโรงเรียน หรืออาจารย์ใหญ่และผู้เกี่ยวข้องทุกโรงเรียน เพื่อขอความร่วมมือในการ<br />
ตอบแบบสอบถาม<br />
2. ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูล โดยการส่งแบบสอบถามและรับแบบสอบถามด้วยตนเองและจัดส่ง<br />
ทางไปรษณีย์ โดยส่งแบบสอบถามไปทั้งสิ้น 114 ฉบับ ได้รับคืนที่เป็นฉบับสมบูรณ์ 114 ฉบับ คิด<br />
เป็นร้อยละ 100<br />
3. ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามที่ได้รับคืน<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้<br />
1. นำแบบสอบถามไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรม<br />
SPSS FOR WINDOWS เพื่อคำนวณหาค่าสถิติ<br />
2. แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล<br />
โดยใช้การหาค่าร้อยละ นำเสนอในรูปตารางและแปลผลโดยการบรรยาย<br />
3. แบบสอบถามตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูล<br />
โดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) นำเสนอในรูปตาราง<br />
และแปลผลโดยการบรรยาย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลใช้เกณฑ์การกำหนดคะแนนเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ของ<br />
วิเชียร เกตุสิงห์ (2538 : 9) ดังนี้<br />
4.50 – 5.00 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานมากที่สุด<br />
3.50 – 4.49 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานมาก<br />
2.50 – 3.49 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานปานกลาง<br />
46<br />
1.50 – 2.49 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานน้อย<br />
1.00 – 1.49 หมายถึง มีสภาพการดำเนินงานน้อยที่สุด<br />
4. แบบสอบถามตอนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการ<br />
ดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา เป็นแบบคำถามปลายเปิด วิเคราะห์โดยการ<br />
จัดกลุ่มคำตอบ แจกแจงความถี่และหาค่าร้อยละ นำเสนอในรูปของตารางและแปลผลโดยการบรรยาย<br />
บทที่ 4<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
จากการวิจัยเรื่อง “สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร” ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัย ดังกล่าวไว้ใน<br />
บทที่ 3 โดยเริ่มจากการวิเคราะห์สาระจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบแนวความคิด<br />
ในการวิจัย และเป็นฐานในการสร้างเครื่องมือสอบถามความคิดเห็นต่อสภาพการดำเนินงานอนามัย<br />
โรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิจัยในลักษณะความเรียงประกอบตารางโดยนำเสนอเป็น 4 ตอน<br />
ดังนี้<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ตอนที่ 2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ตอนที่ 3 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ผู้วิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบน<br />
มาตรฐาน แล้วนำเสนอข้อมูลในตารางประกอบความเรียงดังแสดงในตารางต่อไปนี้<br />
48<br />
ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเพศ ตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงานใน<br />
ตำแหน่งปัจจุบัน และวุฒิทางการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ และ<br />
นำเสนอข้อมูลในตารางประกอบความเรียง ดังนี้<br />
ตารางที่ 1 สถานภาพของประชากร<br />
ตัวแปรที่ศึกษา จำนวน ร้อยละ<br />
1. เพศ<br />
1.1 หญิง<br />
1.2 ชาย<br />
2. ตำแหน่ง<br />
2.1 ผู้บริหาร<br />
2.2 ผู้ช่วยผู้บริหาร<br />
2.3 ครูอนามัยโรงเรียน<br />
3. ประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน<br />
3.1 มากกว่า 10 ปี<br />
3.2 น้อยกว่า 5 ปี<br />
3.3 5 – 10 ปี<br />
4. วุฒิทางการศึกษา<br />
4.1 ปริญญาตรี<br />
4.2 ปริญญาโท<br />
4.3 สูงกว่าปริญญาโท<br />
66<br />
48<br />
38<br />
38<br />
38<br />
61<br />
32<br />
21<br />
68<br />
45<br />
1<br />
57.89<br />
42.11<br />
33.33<br />
33.33<br />
33.33<br />
53.51<br />
28.07<br />
18.42<br />
59.65<br />
39.47<br />
0.88<br />
จากตารางที่ 1 พบว่า ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น<br />
ร้อยละ 57.89 ประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 53.51 และ<br />
มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 59.65<br />
49<br />
ตอนที่ 2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกเป็นรายด้านและรวมทุกด้าน<br />
ตารางที่ 2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกเป็นรายด้านและรวมทุกด้าน<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
↑ ≥ การแปลผล<br />
1. ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
2. ด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
3. ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
4. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
3.90<br />
4.03<br />
3.76<br />
3.93<br />
0.89<br />
0.89<br />
0.81<br />
0.84<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.91 0.87 มาก<br />
จากตารางที่ 2 พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( ↑ = 3.91,<br />
≥ = 0.87) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมาก<br />
ทุกด้าน โดยมีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียนอยู่ใน<br />
ระดับสูงสุด ( ↑ = 4.03, ≥ = 0.89) รองลงมา คือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
( ↑ = 3.93, ≥ = 0.84) ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ ( ↑ = 3.90, ≥<br />
= 0.89) และด้านสุขศึกษาในโรงเรียน ( ↑ = 3.76, ≥ = 0.81) ตามลำดับ<br />
50<br />
ตารางที่ 3 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ ↑ ≥ การแปลผล<br />
1. มีการวางแผนอาคารสถานที่อย่างถูกสุขลักษณะ 3.98 0.73 มาก<br />
2. สถานที่ตั้งโรงเรียนห่างไกลแหล่งอบายมุขเสียงรบกวน สิ่งปฏิกูล<br />
รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ<br />
3.36 0.95 ปานกลาง<br />
3.มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับและตกแต่งสถานที่ เพื่อสร้าง<br />
บรรยากาศการเรียนรู้<br />
4.18 0.70 มาก<br />
4. มีที่นั่งพักสำหรับนักเรียนได้พักผ่อนหรืออ่านหนังสืออย่างพอเพียง 3.83 0.88 มาก<br />
5. มีสนามที่เล่นอย่างเพียงพอและปลอดภัย 3.47 1.01 ปานกลาง<br />
6. มีเครื่องดับเพลิงตามจุดต่าง ๆ ของโรงเรียนอย่างเหมาะสม 3.73 0.93 มาก<br />
7. ห้องเรียนมีสีสันเย็นตา มีแสงสว่างเพียงพอ มีโต๊ะเก้าอี้พอเพียง<br />
และเหมาะสมกับนักเรียน<br />
4.00 0.69 มาก<br />
8. มีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดเพียงพอ 4.10 0.80 มาก<br />
9. มีห้องส้วมและที่ปัสสาวะตามเกณฑ์มาตรฐานและถูกสุขลักษณะ 3.92 0.88 มาก<br />
10. มีโรงอาหารที่เหมาะสมและพอเพียงกับจำนวนนักเรียน 3.78 0.94 มาก<br />
11. โรงเรียนมีรั้วกั้นและอยู่ในสภาพดี 4.53 0.64 มากที่สุด<br />
12. นำกิจกรรม “5 ส ” มาใช้อย่างต่อเนื่อง 3.75 0.95 มาก<br />
13. มีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและสัตว์นำโรค 4.06 0.83 มาก<br />
14. มีการประเมินผลการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน 3.80 0.92 มาก<br />
15.ผู้บริหารและครูสามารถเป็นตัวอย่างด้านสุขภาพอนามัยที่ดีแก่<br />
นักเรียนและชุมชน<br />
4.08 0.73 มาก<br />
รวม 3.90 0.89 มาก<br />
จากตารางที่ 3 พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้าน<br />
การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( ↑ = 3.90, ≥<br />
= 0.89) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านการจัดสิ่ง<br />
แวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะอยู่ในระดับสูงสุด คือ โรงเรียนมีรั้วกั้นและอยู่ในสภาพดีและ<br />
ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ สถานที่ตั้งโรงเรียนห่างไกล<br />
51<br />
แหล่งอบายมุข เสียงรบกวน สิ่งปฏิกูล รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ และมีสนามที่เล่นอย่างเพียงพอและ<br />
ปลอดภัย ส่วนข้ออื่นๆ มีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมาก<br />
ตารางที่ 4 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
ด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน ↑ ≥ การแปลผล<br />
1. ส่งเสริมครูให้มีความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน 3.95 0.75 มาก<br />
2.ดำเนินการให้ครูได้เข้ารับการอบรมทางด้านสุขภาพอนามัยและ<br />
การปฐมพยาบาล รวมทั้งการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ<br />
3.83 0.90 มาก<br />
3.สนับสนุนให้ครูในโรงเรียนมีบทบาทร่วมวางแผนเกี่ยวกับการจัด<br />
บริการสุขภาพ<br />
3.91 0.79 มาก<br />
4.มีการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกับโรงเรียนเป็นอย่างดี 4.27 0.64 มาก<br />
5. ครูในโรงเรียนให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการบริการสุขภาพเป็นอย่างดี 4.18 0.74 มาก<br />
6.โรงเรียนมีครูอนามัยโรงเรียนหรือพยาบาลโรงเรียนอยู่ประจำตลอด<br />
เวลา<br />
3.75 1.10 มาก<br />
7.มีการจัดห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาลเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของ<br />
กระทรวงสาธารณสุข<br />
3.89 1.01 มาก<br />
8.โรงเรียนมีอุปกรณ์ เวชภัณฑ์และยาตามที่กำหนดของทางราชการอย่าง<br />
เพียงพอ<br />
3.96 0.90 มาก<br />
9. มีการจัดบัตรบันทึกสุขภาพให้เป็นระเบียบและสะดวกแก่การค้นหา 4.13 0.79 มาก<br />
10.โรงเรียนมีการติดตามผลการให้การพยาบาลรักษานักเรียนที่เจ็บป่วย<br />
จากผู้ปกครองเด็กอยู่เสมอ<br />
4.08 0.72 มาก<br />
11.โรงเรียนมีโครงการอาหารกลางวัน จัดตามหลักโภชนาการอย่าง<br />
เหมาะสม<br />
4.24 0.67 มาก<br />
12. โรงเรียนจัดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับภูมิคุ้มกัน<br />
โรคตามกำหนด<br />
4.56 0.56 มากที่สุด<br />
13. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับการ<br />
ตรวจสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข<br />
4.58 0.58 มากที่สุด<br />
14. มีการตรวจตาและวัดสายตานักเรียนทุกปี 3.89 0.99 มาก<br />
15. มีการตรวจหูเพื่อทดสอบความผิดปกติของการได้ยินทุกปี 3.47 1.10 ปานกลาง<br />
52<br />
ตารางที่ 4 (ต่อ)<br />
ด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน ↑ ≥ การแปลผล<br />
16.มีการตรวจฟันนักเรียนทุกคนและบันทึกในแบบบันทึกปีละ<br />
2 ครั้ง<br />
4.00 0.94 มาก<br />
17.มีสถานที่สำหรับให้นักเรียนแปรงฟันอย่างเพียงพอและถูก<br />
สุขลักษณะ<br />
4.00 0.91 มาก<br />
18.มีการตรวจความสะอาดและสุขภาพร่างกายก่อนการเรียนการ<br />
สอนเป็นประจำ<br />
3.83 0.76 มาก<br />
19. มีการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงนักเรียนทุกคนภาคเรียนละ 2 ครั้ง 4.58 0.58 มากที่สุด<br />
20. มีการแก้ไขนักเรียนที่มีน้ำหนักและส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ 4.02 0.85 มาก<br />
21. มีการแก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน (โรคอ้วน) 3.47 1.10 ปานกลาง<br />
รวม 4.03 0.89 มาก<br />
จากตารางที่ 4 พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้าน<br />
การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( ↑ = 4.03 , ≥ = 0.89) เมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับสูงสุด ตามลำดับ<br />
คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับการตรวจสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุข มีการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงนักเรียนทุกคนภาคเรียนละ 2 ครั้ง และโรงเรียนจัดให้<br />
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับภูมิคุ้มกันโรคตามกำหนด และข้อที่สภาพการดำเนิน<br />
งานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ มีการตรวจหูเพื่อทดสอบความผิดปกติของการได้<br />
ยินทุกปี และมีการแก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน (โรคอ้วน) ส่วนข้ออื่น ๆ มีสภาพ<br />
การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมาก<br />
53<br />
ตารางที่ 5 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน ↑ ≥ การแปลผล<br />
1. โรงเรียนมีการฝึกทักษะและสร้างเจตคติด้านสุขภาพอนามัยให้<br />
นักเรียน<br />
4.02 0. 72 มาก<br />
2. มีสื่อการเรียนการสอนและเอกสารทางด้านสุขศึกษาที่จะให้ครู<br />
และนักเรียนอ่านอย่างเพียงพอ<br />
3.84 0.75 มาก<br />
3. นักเรียนสามารถนำความรู้ด้านสุขศึกษาไปใช้ในชีวิตประจำวัน 3.96 0.70 มาก<br />
4. นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพภายหลังการให้ความรู้<br />
ทางด้านสุขศึกษา<br />
3.80 0.75 มาก<br />
5. มีการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรทางด้านสุขศึกษา 3.75 0.77 มาก<br />
6. มีการเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพในรูปแบบใหม่ ๆ แก่นักเรียน<br />
และผู้ปกครอง<br />
3.69 0.74 มาก<br />
7. โรงเรียนจัดโอกาสให้นักเรียนหรือผู้นำนักเรียนผลิตสื่อสุขภาพ<br />
ด้วยความคิดของตนเองและมีการเผยแพร่ความรู้แก่นักเรียนด้วยกัน<br />
3.43 0.87 ปานกลาง<br />
8. ครูสอนสุขศึกษามีบุคลิกภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่ดี 3.88 0.67 มาก<br />
9. ปัจจุบันมีผู้นำนักเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพโดยเฉพาะ 3.57 1.10 มาก<br />
10. ครูสอนสุขศึกษามีแผนการสอนและแบบประเมินผล 3.62 0.81 มาก<br />
รวม 3.76 0.81 มาก<br />
จากตารางที่ 5 พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้าน<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( ↑ = 3.76, ≥ = 0.81) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ<br />
พบว่า ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ โรงเรียนจัดโอกาสให้<br />
นักเรียนหรือผู้นำนักเรียนผลิตสื่อสุขภาพด้วยความคิดของตนเองและมีการเผยแพร่ความรู้แก่นัก<br />
เรียนด้วยกัน ส่วนข้ออื่น ๆ มีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมาก โดยมีสภาพ<br />
การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนเกี่ยวกับโรงเรียนมีการฝึกทักษะและสร้างเจตคติด้านสุขภาพอนามัย<br />
ให้นักเรียนอยู่ในระดับสูงสุด ( ↑ = 4.02, ≥ = 0.72)<br />
54<br />
ตารางที่ 6 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน ↑ ≥ การแปลผล<br />
1.โรงเรียนมีการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริการสุขภาพในโรงเรียนเป็น<br />
ลายลักษณ์อักษร<br />
3.74 0.91 มาก<br />
2. ผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการประเมินผลการรักษานักเรียนเจ็บป่วย 3.65 0.92 มาก<br />
3. ผู้ปกครองสนใจเรื่องสุขภาพอนามัยนักเรียน 3.71 0.88 มาก<br />
4.โรงเรียนทำหนังสือขออนุญาตและให้ผู้ปกครองตอบรับก่อนการที่เจ้า<br />
หน้าที่สาธารณสุขมาบริการฉีดวัคซีน<br />
4.39 0.78 มาก<br />
5. ผู้ปกครองสนับสนุนเรื่องสุขภาพอนามัยของนักเรียน 3.94 0.82 มาก<br />
6.โรงเรียนมีการประชุมชี้แจงนโยบายการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนให้<br />
ผู้ปกครองทราบทุกปีการศึกษา<br />
3.79 0.81 มาก<br />
7.เมื่อมีโรคระบาดหรือโรคที่มีผลกระทบต่อนักเรียนโรงเรียนได้ทำ<br />
เอกสารแจ้งผู้ปกครอง<br />
3.84 0.84 มาก<br />
8.โรงเรียนได้ติดตามผลการรักษานักเรียนที่เจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพ<br />
อย่างต่อเนื่อง<br />
4.04 0.68 มาก<br />
9.โรงเรียนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกันพัฒนาสุขภาพอนามัย<br />
นักเรียนและชุมชน<br />
4.23 0.69 มาก<br />
10. โรงเรียนและชุมชนร่วมกันแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยนักเรียน 4.00 0.75 มาก<br />
รวม 3.93 0.84 มาก<br />
จากตารางที่ 6 พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้าน<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( ↑ = 3.93, ≥ = 0.84) เมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรง<br />
เรียนและชุมชนอยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยมีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนเกี่ยวกับ<br />
โรงเรียนทำหนังสือขออนุญาตและให้ผู้ปกครองตอบรับก่อนการที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาบริการ<br />
ฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงสุด ( ↑ = 4.39, ≥ = 0.78) ส่วนข้ออื่นมีสภาพการดำเนินงานอนามัย<br />
โรงเรียนอยู่ในระดับมาก<br />
55<br />
ตอนที่ 3 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ตารางที่ 7 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดสิ่งแวดล้อม<br />
ในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
รายการ จำนวน ร้อยละ<br />
1. ควรดูแลความสะอาดบริเวณมุมอับ ห้องน้ำ ห้องส้วม และท่อระบายน้ำ<br />
ในโรงเรียน<br />
34 29.82<br />
2. ควรจัดมุมสงบ จัดสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อความสวยงาม<br />
เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้<br />
11 9.65<br />
3. ควรจัดแนวทางป้องกันมลภาวะเป็นพิษทางอากาศและเสียง 9 7.89<br />
4. ควรจัดกิจกรรมรณรงค์การทิ้งขยะและทำลายแหล่งพาหนะนำโรคต่าง ๆ 7 6.14<br />
5. ควรขยายพื้นที่บริเวณสนามในโรงเรียน 4 3.51<br />
6. ควรนำกิจกรรม 5 ส มาใช้ในการพัฒนาโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง 3 2.63<br />
7. ควรใช้อาคารสถานที่ต่าง ๆ อย่างคุ้มค่าและพัฒนาอยู่เสมอ 2 1.75<br />
8. ควรจัดศูนย์การออกกำลังกายในโรงเรียนและบริการชุมชน 2 1.75<br />
9. พันธุ์ไม้ที่นำมาปลูก ควรปลูกในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม<br />
เพื่อการเจริญเติบโตให้ได้ดอกผลเต็มศักยภาพ<br />
2 1.75<br />
จากตารางที่ 7 พบว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ มากที่สุด คือ ควรดูแล<br />
ความสะอาดบริเวณมุมอับ ห้องน้ำ ห้องส้วม และท่อระบายน้ำในโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 29.82<br />
รองลงมา คือ ควรจัดมุมสงบ จัดสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อความสวยงามเสริมสร้าง<br />
บรรยากาศการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 9.65 และควรจัดแนวทางป้องกันมลภาวะเป็นพิษทางอากาศ<br />
และเสียง คิดเป็นร้อยละ 7.89<br />
56<br />
ตารางที่ 8 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
ด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน จำนวน ร้อยละ<br />
1. ควรมีพยาบาลรับผิดชอบหน้าที่ครูอนามัยโรงเรียน 23 20.17<br />
2. ครูอนามัยโรงเรียนควรมีชั่วโมงสอนน้อยกว่าปัจจุบัน เพื่อให้มีเวลาทำหน้า<br />
ที่ครูอนามัยโรงเรียน<br />
9 7.89<br />
3. เวชภัณฑ์และยาที่ทางราชการจัดสรรให้บางอย่างไม่เพียงพอ แต่บางอย่างได้<br />
รับมากเกินความจำเป็น<br />
6 5.26<br />
4. ควรมีแพทย์ตรวจสุขภาพครูและบุคลากรในโรงเรียนปีละ 1 ครั้ง 5 4.39<br />
5. ควรตรวจสอบอาหารและเครื่องดื่มให้ถูกสุขลักษณะ 5 4.39<br />
6. ควรจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญและรักษาสุขภาพ 4 3.51<br />
7. ควรตรวจผม เล็บ และฟันของนักเรียนก่อนเข้าเรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง 1 0.88<br />
จากตารางที่ 8 พบว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน มากที่สุด คือ ควรมีพยาบาลรับผิดชอบ<br />
หน้าที่ครูอนามัยโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 20.17 รองลงมา คือ ครูอนามัยโรงเรียนควรมีชั่วโมงสอน<br />
น้อยกว่าปัจจุบัน เพื่อให้มีเวลาทำหน้าที่ครูอนามัยโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 7.89 และเวชภัณฑ์และ<br />
ยาที่ทางราชการจัดสรรให้บางอย่างไม่เพียงพอ แต่บางอย่างได้รับมากเกินความจำเป็น คิดเป็น<br />
ร้อยละ 5.26<br />
57<br />
ตารางที่ 9 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน จำนวน ร้อยละ<br />
1. การสอนสุขศึกษาควรเน้นให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ 12 9.24<br />
2. ควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สื่อ ตลอดทั้งอุปกรณ์การกระจาย<br />
เสียง และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในวิชาสุขศึกษา<br />
10 8.77<br />
3. ควรจัดประชุมสัมมนาแก่คร ู ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องสุขภาพ โภชนาการ และ<br />
พฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง<br />
9 7.89<br />
4. ครูสอนสุขศึกษาควรจบการศึกษาทางด้านสุขศึกษาโดยตรง 6 5.26<br />
5. โรงเรียนและผู้ปกครอง ควรคำนึงถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจของนักเรียน 5 4.39<br />
6.ควรขอความร่วมมือจากศูนย์บริการสาธารณสุขมาตรวจสุขภาพนักเรียน<br />
ทุกคนและเป็นวิทยากร<br />
4 3.51<br />
7. ควรส่งเสริมกิจกรรมการออกกำลังกาย 2 1.75<br />
8. ควรส่งเสริมให้ความรู้แก่นักเรียนเรื่องโทษและประโยชน์ของการใช้ยา 1 0.88<br />
จากตารางที่ 9 พบว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน มากที่สุด คือ การสอนสุขศึกษาควรเน้นให้<br />
นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 9.24 รองลงมา คือ ควรพัฒนาหลักสูตร<br />
การเรียนการสอน สื่อ ตลอดทั้งอุปกรณ์การกระจายเสียงและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในวิชาสุขศึกษา<br />
คิดเป็นร้อยละ 8.77 และควรจัดประชุมสัมมนาแก่ครู ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องสุขภาพโภชนาการและ<br />
พฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 7.89<br />
58<br />
ตารางที่ 10 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน จำนวน ร้อยละ<br />
1. ควรให้โรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดูแล<br />
เรื่องสุขภาพอนามัยของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ<br />
25 21.93<br />
2. ควรมีการประชาสัมพันธ์ จัดทำสารสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลด้านสุขภาพ<br />
อนามัยแก่นักเรียน บุคลากร และชุมชน<br />
10 8.77<br />
3. ควรให้ผู้ปกครองดูแลเรื่องพฤติกรรมการบริโภค เพื่อแก้ปัญหาเด็กเป็น<br />
โรคอ้วน<br />
5 4.39<br />
4. ควรตรวจสอบร้านค้าในชุมชนที่จำหน่ายอาหาร และของเล่นที่ไม่มี<br />
ประโยชน์แก่นักเรียน<br />
3 2.63<br />
5. ชุมชนควรพัฒนาสิ่งแวดล้อมโดยกำจัดขยะ ที่น้ำขัง และกำจัดสัตว์<br />
นำโรค รวมทั้งควบคุมสัตว์เลี้ยงไม่ได้เข้ามาในโรงเรียน<br />
2 1.75<br />
6. ควรจัดให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ในเรื่องสุขภาพอนามัยของชุมชน 1 0.88<br />
จากตารางที่ 10 พบว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนมากที่สุด คือ ควรให้<br />
โรงเรียนครู ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยของนักเรียน<br />
อย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นร้อยละ 21.93 รองลงมา คือ ควรมีการประชาสัมพันธ์ จัดทำสารสัมพันธ์<br />
เพื่อให้ข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยแก่นักเรียน บุคลากร และชุมชน คิดเป็นร้อยละ 8.77 และควรให้<br />
ผู้ปกครองดูแลเรื่องพฤติกรรมการบริโภค เพื่อแก้ปัญหาเด็กเป็นโรคอ้วน คิดเป็นร้อยละ 4.39<br />
บทที่ 5<br />
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ<br />
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณด้วยการสำรวจความคิดเห็นเพื่อศึกษาสภาพการดำเนิน<br />
งานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดย<br />
มีวัตถุประสงค์ ขอบเขต วิธีดำเนินการวิจัย สรุปอภิปรายผลและข้อเสนอแนะตามลำดับดังนี้<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ขอบเขตของการวิจัย<br />
1. การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2545 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่<br />
ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน และครูอนามัยโรงเรียน<br />
2. ศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ซึ่งมีขอบข่ายของงาน<br />
4 ด้านดังนี้<br />
2.1 การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
2.2 การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
2.3 สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
วิธีดำเนินการวิจัย<br />
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร จำนวน 38 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหาร และ<br />
ครูอนามัยโรงเรียน โรงเรียนละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 114 คน<br />
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพ<br />
การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้น ลักษณะของแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ<br />
60<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เป็นแบบสอบถามให้เลือกตอบโดยจะถามเกี่ยวกับสถานภาพ<br />
ของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถม-<br />
ศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale)<br />
ตอนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานอนามัย<br />
โรงเรียน โดยใช้ข้อคำถามปลายเปิด<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามด้วยตนเองและมีบางส่วนที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่ง<br />
คืนทางไปรษณีย์ โดยส่งแบบสอบถามไปทั้งสิ้น 114 ฉบับ ได้รับคืนที่เป็นฉบับสมบูรณ์ 114 ฉบับ<br />
คิดเป็นร้อยละ 100<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยการใช้โปรแกรม<br />
SPSS FOR WINDOW ในการวิเคราะห์ข้อมูล แล้วนำเสนอข้อมูลในตารางประกอบความเรียง<br />
สรุปผลการวิจัย<br />
จากการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนัก<br />
งานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ในขอบข่ายงาน 4 ด้าน คือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้<br />
ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาในโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
โรงเรียนและชุมชน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถม<br />
ศึกษากรุงเทพมหานคร พบว่า<br />
1. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีสภาพการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียนด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียนอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาคือ ด้านความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ และด้านสุขศึกษา<br />
ในโรงเรียนตามลำดับ<br />
61<br />
2. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการ<br />
ประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ โดยรวมอยู่ใน<br />
ระดับมากและข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูก<br />
สุขลักษณะอยู่ในระดับมากที่สุด คือ โรงเรียนมีรั้วกั้นและอยู่ในสภาพดี แต่ข้อที่สภาพการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ ข้อที่สถานที่ตั้งโรงเรียนห่างไกลแหล่งอบายมุข เสียงรบกวน<br />
สิ่งปฏิกูล รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ และมีสนามที่เล่นอย่างเพียงพอและปลอดภัย ส่วนข้ออื่น ๆ มีสภาพ<br />
การดำเนินงานอยู่ในระดับมาก<br />
3. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการ<br />
ประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับสูงสุด คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ประถมศึกษาปีที่<br />
1 และ 6 ได้รับการตรวจสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง นักเรียน<br />
ทุกคนภาคเรียนละ 2 ครั้ง และโรงเรียนจัดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับภูมิคุ้มกัน<br />
โรคตามกำหนด และข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ มีการตรวจ<br />
หูเพื่อดูความผิดปกติและทดสอบการได้ยินทุกปีการศึกษา และมีการแก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการ<br />
เกิน (โรคอ้วน) ส่วนข้ออื่น ๆ มีสภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก<br />
4. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน พบว่า สภาพการดำเนินงานด้าน<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนข้อที่<br />
โรงเรียนมีการฝึกทักษะและสร้างเจตคติด้านสุขภาพอนามัยให้นักเรียนอยู่ในระดับสูงสุด ข้อที่สภาพ<br />
การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง คือ โรงเรียนจัดโอกาสให้นักเรียนหรือผู้นำ<br />
นักเรียนผลิตสื่อสุขภาพด้วยความคิดของตนเองและมีการเผยแพร่ความรู้แก่นักเรียนด้วยกัน ส่วนข้อ<br />
อื่น ๆ มีสภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก<br />
5. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน พบว่า สภาพการ<br />
ดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนโดยรวมทุกข้ออยู่ในระดับ<br />
มากโดยมีสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนเกี่ยวกับโรงเรียนทำหนังสือขออนุญาตและให้ผู้ปกครอง<br />
ตอบรับก่อนการที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาบริการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมา คือ โรงเรียน<br />
และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกันพัฒนาสุขภาพอนามัยนักเรียนและชุมชน และโรงเรียนได้ติดตามผล<br />
การรักษานักเรียนที่เจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง<br />
62<br />
อภิปรายผล<br />
จากการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปผลและอภิปรายข้อค้นพบต่าง ๆ ที่ได้จากงานวิจัย โดย<br />
แยกอภิปรายเป็น 5 ส่วน คือ สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนโดยรวม ด้านการจัดสิ่งแวดล้อม<br />
ในโรงเรียนได้ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาในโรงเรียน และความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน ดังมีรายละเอียดดังนี้<br />
1. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถม<br />
ศึกษากรุงเทพมหานคร สภาพการดำเนินงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน<br />
พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีสภาพการดำเนินงานอนามัย<br />
โรงเรียน ด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียนอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมา คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
โรงเรียนและชุมชน ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ และด้านสุขศึกษาใน<br />
โรงเรียน แต่งานวิจัยนี้ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 117) พบว่า<br />
มีการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง และการปฏิบัติตามบทบาทในแต่ละด้านอยู่ใน<br />
ระดับปานกลางทุกด้าน และการวิจัยครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ประสิทธิ์ สาระสันต์ (2536<br />
: 70) ผลการวิจัย พบว่า ภาพรวมของการดำเนินการโครงการสุขภาพในโรงเรียนดำเนินการได้ใน<br />
ระดับปานกลางเท่านั้น เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน การดำเนินการอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน จาก<br />
การศึกษาผลการวิจัยที่ไม่สอดคล้องกัน ทั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากมีบริบทแวดล้อมที่แตกต่างกัน และ<br />
หรือสถานภาพทางด้านงบประมาณอยู่ในวงเงินจำกัดหรือบุคลากรไม่เหมาะสมกับงาน ส่วนโรงเรียน<br />
ในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานครนั้นคงมีความพร้อมด้านปัจจัยสนับสนุนมากกว่า<br />
และมีครูอนามัยโรงเรียนรับผิดชอบงานโดยเฉพาะ จึงมีการดำเนินงานในระดับมากทุกด้าน<br />
2. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมใน<br />
โรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
2.1 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูก<br />
สุขลักษณะภาพรวมอยู่ในระดับมาก และข้อที่การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านการจัดสิ่งแวดล้อม<br />
ในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะมีการดำเนินการในระดับสูงสุด คือ โรงเรียนมีรั้วกั้นและอยู่ในสภาพดี ซึ่ง<br />
งานวิจัยนี้ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 177) ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนร้อย<br />
ละ 50 ยังไม่มีรั้ว ที่เป็นดังนี้อาจเนื่องจาก โรงเรียนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตวัด เมื่อต้องการก่อสร้างสิ่ง<br />
ใดคงต้องได้รับอนุญาตก่อน และการสร้างรั้วโรงเรียนต้องใช้งบประมาณมาก<br />
2.2 ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้<br />
ถูกสุขลักษณะดำเนินการได้ในระดับปานกลาง ซึ่งควรปรับปรุง คือ ข้อที่สถานที่ตั้งโรงเรียนห่างไกล<br />
แหล่งอบายมุข เสียงรบกวน สิ่งปฏิกูล รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ และข้อที่มีสนามที่เล่นอย่างเพียงพอและ<br />
63<br />
ปลอดภัย ซึ่งในข้อดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 177) การดำเนินการ<br />
จัดสิ่งแวดล้อมในข้อนี้ไม่ดีพอ อาจเนื่องจากโรงเรียนบางส่วนตั้งอยู่ในที่ลุ่ม ในฤดูน้ำหลากหรือช่วง<br />
ฤดูฝนน้ำจะท่วม ทำให้สภาพสนามชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อและไม่ปลอดภัย อีกประการหนึ่งเป็นการ<br />
ยากที่จะดำเนินการให้โรงเรียนห่างไกลแหล่งอบายมุข มลพิษจากเสียงและสิ่งปฏิกูล แต่ถึงอย่างไร<br />
ก็ตามโรงเรียนควรแก้ไขเพราะสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนมีนัยสำคัญและสัมพันธ์กับการตัดสินของ<br />
ผู้ปกครองและนักเรียนว่าโรงเรียนดีหรือไม่ (กริฟฟิท. 2000 : 114)<br />
จากการศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านการจัด<br />
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ พบว่า ควรดูแลความสะอาดบริเวณมุมอับ ห้องน้ำ ห้องส้วม<br />
และท่อระบายน้ำในโรงเรียน ซึ่งสอดคล้องกับสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข (2542 :<br />
28) สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของสมศกั ด ์ิ อมั พรต (2538 : 80 – 81) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ<br />
พรณี พันมา (2540 : 104)<br />
3. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาด้านการบริการสุขภาพใน<br />
โรงเรียน<br />
3.1 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนภาพรวมอยู่ในระดับมาก และข้อที่การดำเนิน<br />
งานอนามัยโรงเรียนดำเนินงานอยู่ในระดับสูงสุด คือ โรงเรียนจัดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1<br />
และ 6 ได้รับภูมิคุ้มกันโรคตามกำหนด ข้อนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริพร พุทธรังษี (2530 : 101<br />
และสอดคล้องกับ ฮิลส์ (Hills. 1982 : 242)<br />
การที่โรงเรียนจัดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับภูมิคุ้มกันโรคตามกำหนด<br />
จากผลการวิจัยพบว่าคงเป็นการดำเนินการตามนโยบายของกรมควบคุมโรคติดต่อกระทรวงสาธารณสุข<br />
ซึ่งกระทรวงคงมีนโยบายสอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ ในเรื่องนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข<br />
(มปป : 108) กำหนดว่าเด็กทุกคนในประเทศไทยควรได้รับวัคซีนขั้นพื้นฐานครบทุกชนิดตามกำหนด<br />
ของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งได้รับวัคซีนกระตุ้นตามกำหนดที่เหมาะสมสำหรับวัคซีนแต่ละชนิด<br />
ตามกลุ่มเป้าหมายดังต่อไปนี้<br />
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (อายุ 6 ปี) วัคซีนที่ได้รับ คือ บีซีจี (ป้องกันโรควัณโรค)<br />
คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ หัด คางทูม<br />
หัดเยอรมัน<br />
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (อายุ 12 ปี) วัคซีนที่ได้รับ คือ วัคซีนคอตีบและบาดทะยัก<br />
นอกจากนี้ในข้อที่นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ประถมศึกษาปีที่ 1 และ 6 ได้รับการตรวจสุขภาพ<br />
โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริพร พุทธรังษี (2530 :<br />
93) ซึ่งการจัดบริการได้มากนี้คงเนื่องจากเป็นแนวคิดในการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนของสำนักงาน<br />
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 3) ที่ว่า “เด็กนักเรียนทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการบริการ<br />
64<br />
อนามัยโดยเท่าเทียมกัน การให้บริการทางด้านอนามัยโรงเรียนจึงควรคำนึงถึงความครอบคลุมและทั่ว<br />
ถึง” และยังเป็นกลวิธีในการดำเนินงานโดยการขยายและปรับปรุง คุณภาพในการจัดกิจกรรมส่งเสริม<br />
สุขภาพป้องกันโรคและรักษาพยาบาล ตลอดจนบริการสุขภาพ เพื่อให้เด็กวัยเรียนได้รับประโยชน์จาก<br />
การบริการสุขภาพของรัฐโดยเท่าเทียมกัน (กระทรวงสาธารณสุข : ม.ป.ป. 13) และสอดคล้องกับ<br />
แนวความคิดของ บาวทรี (Bowntree. 1981 : 267) ได้กล่าวว่า การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการบรกิ ารระดบั ชาต ิ โดยการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่อนามัยสาธารณสุข<br />
และเจ้าหน้าที่การศึกษาในท้องถิ่น โดยปกตินักเรียนจะได้รับการตรวจ สุขภาพที่โรงเรียนและ<br />
นอกเวลาเรียนหากมีความประสงค์ นอกจากนี้คงเป็นเพราะความตระหนักในความสำคัญของงานและ<br />
ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบของพยาบาลสาธารณสุข<br />
3.2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านบริการสุขภาพในโรงเรียนในข้อที่มีการดำเนิน<br />
งานมากที่สุดอีกข้อหนึ่ง คือ มีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงนักเรียนทุกคนภาคเรียนละ 2 ครั้ง ซึ่งผลการ<br />
วิจัยนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 184)<br />
การชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงมีการดำเนินการมากที่สุดคงด้วยเหตุผลที่ครูประจำชั้นต้องบันทึก<br />
น้ำหนักส่วนสูงลงในสมุด ป 01 ซึ่งเป็นสมุดประจำตัวนักเรียน ภาคเรียนละ 2 ครั้ง นอกจากนี้<br />
การบริโภคอาหารเสริมนม ซึ่งต้องมีการบันทึกเก็บข้อมูลการจ่ายนมโรงเรียน พร้อมน้ำหนักและ<br />
ส่วนสูงของนักเรียนผู้ดื่มนม ภาคเรียนละ 2 ครั้ง<br />
3.3 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้านบริการสุขภาพใน<br />
โรงเรียนซึ่งมีการดำเนินการได้ในระดับปานกลางควรปรับปรุง คือ ข้อที่มีการตรวจหูเพื่อทดสอบ<br />
ความ ผิดปกติของการได้ยิน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริพร พุทธรังษี (2530 : 93) และฮิลส<br />
(Hills. 1982 : 242) แต่ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 145) ผลการวิจัยพบว่า<br />
โรงเรียนส่วนใหญ่มีการทดสอบการได้ยินอยู่ในเกณฑ์ดี<br />
จากผลการศึกษาเรื่องการทดสอบการได้ยิน ในแนวทางปฏิบัติโรงเรียนไม่มีเครื่องมือและ<br />
เวลาในการทดสอบนักเรียนให้ครอบคลุม แต่ก็มีโรงเรียนอีกส่วนหนึ่งมีการดำเนินการในเกณฑ์ดี<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านบริการสุขภาพในโรงเรียน มีการปฏิบัติได้ในระดับปานกลาง<br />
อกี ขอ้ หนงึ่ คือ มีการแก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน (โรคอว้ น) ซึ่งในเรื่องนี้ กองสุขาภิบาล<br />
อาหาร กระทรวงสาธารณสุข (2544 : บทนำ) แนะนำว่า “โรคอ้วนเกิดขึ้นรวดเร็วในทุกกลุ่มอายุ<br />
อันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด ทั้งเบาหวาน หัวใจ ซึ่งในรอบ 13 ปี มีอัตราความชุกเพิ่มขึ้น”<br />
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของกองโภชนาการ กรมอนามัย (2533 ; อ้างใน โสภณ รอดชู 2536 :<br />
118) พบว่านักเรียนในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่บริโภคอาหารมื้อเย็นมากกว่ามื้ออื่น ๆ และนิสัย<br />
การบริโภคอาหารนี้มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการเกิน (โรคอ้วน) ของนักเรียน นอกจากนี้<br />
กูบิค มาธา วายและคณะ (Kubik Martha Y. and others 2002 : 339) ได้วิจัยเรื่องความเชื่อต่าง ๆ<br />
65<br />
เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการบริโภคและการให้นักเรียนฝึกทำอาหารในชั้นเรียน ของครู<br />
มัธยมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า<br />
1. ครูร้อยละ 52 อนุญาตให้นักเรียนรับประทานอาหารในชั่วโมงฝึกทำอาหาร<br />
2. รางวัลที่ครูมอบให้แก่นักเรียนที่ทำงานดี คือ ท็อฟฟี่ ร้อยละ 73 รองลงมา ได้แก่ โดนัท<br />
และคุ๊กกี่ ร้อยละ 37<br />
3. ครูมีพฤติกรรมการบริโภคไม่ถูกต้อง คือ รับประทานอาหารไขมันสูง ร้อยละ 69<br />
4. สิ่งแวดล้อมด้านอาหาร รอบตัวนักเรียนไม่ถูกต้อง<br />
จากการศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านการบริการ<br />
สุขภาพในโรงเรียน พบว่า มีข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ควรมีพยาบาลรับผิดชอบหน้าที่ครูอนามัย<br />
โรงเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ยานี ทิพย์ประภา (2527 : 166) สุกิจ ไชยนวล (2528 : 48)<br />
เพียงเพ็ญ ธัญญตุลย์ (2533 : 87) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ คราเมอร์และไอเวอร์สัน (Cramer,<br />
Iverson 1999 : 170)<br />
4. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
4.1 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านสุขศึกษาในโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับมากและข้อที่โรงเรียนมีการฝึกทักษะและสร้างเจตนคติด้านสุขภาพอนามัยให้นักเรียนมี<br />
การดำเนินการในระดับมากที่สุด ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวความคิดของ สุชาติ โสมประยูร และ<br />
เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์ (2542 : 7) สอดคล้องกับแนวความคิดของ จินตนา สรายุทธพิทักษ์ (2541 :<br />
7) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 27)<br />
4.2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนด้านสุขศึกษาในโรงเรียนมีการดำเนินการ<br />
อยู่ในระดับปานกลางซึ่งควรปรับปรุงแก้ไข คือ โรงเรียนจัดโอกาสให้นักเรียนหรือผู้นำนักเรียนผลิตสื่อ<br />
สุขภาพด้วยความคิดของตนเองและมีการเผยแพร่ความรู้แก่นักเรียนด้วยกัน ซึ่งผลการวิจัยนี้สอดคล้อง<br />
กับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 195) และสอดคล้องกับแนวคิดของ สุชาติ โสมประยูร<br />
และเอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์ (2542 : 17 แต่ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ นงรัตน์ สุขสม (2542 :<br />
บทคัดย่อ)<br />
จากผลการศึกษาพบว่า การที่โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานครมีการดำเนินการในข้อที่โรงเรียนจัดโอกาสให้นักเรียนหรือผู้นำนักเรียนผลิตสื่อ<br />
สุขภาพด้วยตนเองและมีการเผยแพร่ความรู้แก่นักเรียนด้วยกันอยู่ในระดับปานกลางคงเป็นเพราะความ<br />
เคยชินที่ครูจะต้องเตรียมสื่อการสอนด้วยตนเองให้ตรงตามแผนการสอนและมีข้อจำกัดเรื่องเวลา<br />
ต่อไปครูคงต้องปรับวิธีการสอนมาเป็นที่ปรึกษาชี้แนะและกระตุ้นนักเรียน ให้นักเรียนมีส่วนร่วมมาก<br />
ขึ้น มีการฝึกปฏิบัติจนเกิดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้นักเรียนผลิตสื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนและ<br />
คัดกรองสื่อที่ดีมาเผยแพร่ คงต้องเน้นให้นักเรียนมีความรับผิดชอบแบบขบวนการกลุ่ม<br />
66<br />
จากการศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านสุขศึกษาใน<br />
โรงเรียน พบว่า มีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ การสอนสุขศึกษาควรเน้นให้นักเรียน<br />
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 201) ฉัตรสุดา<br />
ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 27) เย็นจิตร ไชยฤกษ์ (2542 : 94) ศิริมา แสงอรุณ (2544 : 98) และสอด<br />
คล้องกับแนวคิดของ สุชาติ โสมประยูร และเอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์ (2542 : 8)<br />
5. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้านความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
โรงเรียนและชุมชน<br />
5.1 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ด้านความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน ภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมากและข้อที่การดำเนินงานอนามัย<br />
โรงเรียนมีการดำเนินการในระดับสูงสุดคือ โรงเรียนทำหนังสือขออนุญาตและขอให้ผู้ปกครองตอนรับ<br />
ก่อนการที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาบริการฉีดวัคซีน ซึ่งผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวความคิดของ<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 163-164) ที่กำหนดบทบาทของครูอนามัย<br />
โรงเรียนหรือครูพยาบาลต้องปฏิบัติตามภารกิจ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค ครูอนามัยโรงเรียนหรือครู<br />
พยาบาล ต้องแจ้งผู้ปกครองเพื่อขออนุญาตก่อนการให้ภูมิคุ้มกันโรค ทั้งนี้พิจารณาตามความเหมาะสม<br />
และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 107)<br />
การที่โรงเรียนทำหนังสือและขอให้ผู้ปกครองตอบรับก่อนการที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมา<br />
บริการฉีดวัคซีน ประการสำคัญเป็นการให้ผู้ปกครองรับรู้และพิจารณาว่าเด็กพร้อมในการรับวัคซีน<br />
หรือไม่ บางรายอาจมีโรคประจำตัว แพ้ยา หรือขณะนั้นเจ็บป่วยอยู่ ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้ต้องได้รับการ<br />
ดูแลเป็นพิเศษ<br />
5.2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและ<br />
ชุมชน ข้อที่สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน มีการดำเนินการในระดับมาก รองลงมา คือ ข้อที่<br />
โรงเรียนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกันพัฒนาสุขภาพอนามัยนักเรียนและชุมชน ผลการวิจัยนี้สอด<br />
คล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 183) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริพร พุทธรังษี<br />
(2530 : 93) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 107) แต่ไม่สอดคล้องกับงาน<br />
วิจัยของ ประสิทธิ์ สาระสันต์ (2536 : 70) และวิลาวัลย์ วรรณศรี (2528 : 76)<br />
จากผลการศึกษาพบว่า การที่โรงเรียนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกันพัฒนาอนามัยนักเรียน<br />
และชุมชนอย่างมากนั้น เพราะบุคลากรทางการแพทย์และครูอนามัยโรงเรียนมีความรับผิดชอบงานใน<br />
หน้าที่สูง เช่น มีการตรวจสุขภาพนักเรียนทุกชั้น มีการแยกนักเรียนป่วยเป็นโรคติดต่อออกจาก<br />
ชั้นเรียน ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านร่างกายของนักเรียนให้เจริญเติบโตสมวัย มีพฤติกรรมการ<br />
บริโภคที่เหมาะสม มีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีการปฏิบัติ<br />
สืบทอดมานาน แต่ยังมีบางโรงเรียนดำเนินการได้ในระดับปานกลางเท่านั้น<br />
67<br />
จากการศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ด้านความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน พบว่า มีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ควรให้โรงเรียน ครู<br />
ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ<br />
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 201) ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 115)<br />
สอดคล้องกับกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข (2540 : 1) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ลอเรน์และ<br />
คาร์เมนลีน (Lawrence Carmen Leanne. 1998 : 512)<br />
68<br />
ข้อเสนอแนะ<br />
1. คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ควรมีมาตรการควบคุมหรือกำจัดต้นเหตุของมลภาวะต่าง ๆ<br />
และขอความร่วมมือจากองค์กรของรัฐและเอกชนให้จัดสภาพแวดล้อมในหน่วยงานให้ถูกสุขลักษณะ<br />
2. ผู้บริหารโรงเรียน ควรดำเนินการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้ร่มรื่นสวยงาม เพื่อ<br />
เสริมสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ เน้นด้านประโยชน์ใช้สอยและความสะอาดเป็นสำคัญ<br />
3. ครูอนามัยโรงเรียน ควรบูรณาการวิชาสุขศึกษากับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ส่งเสริม<br />
ให้นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้มีการพัฒนาเต็มศักยภาพ และควรหาแนวทาง<br />
แก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน (โรคอ้วน) โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
4. ควรมีการพิจารณารับบรรจุผู้ที่มีความรู้ทางด้านสุขศึกษา หรือการพยาบาลมาทำหน้าที่ครู<br />
อนามัยโรงเรียน<br />
ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป<br />
1. ควรศึกษาการรับรู้บทบาทครูอนามัยโรงเรียน ในโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ของ<br />
ผู้บริหารโรงเรียน ครูอนามัยโรงเรียน และครูประจำชั้นในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขต<br />
พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
2. ควรศึกษาสภาพการดำเนินงานโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
3. ควรศึกษาสภาพเด็กวัยเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกินและแนวทางการแก้ปัญหาในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
4. ควรศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดำเนินงานโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
5. ควรศึกษาการรับรู้ของผู้ปกครองนักเรียนเกี่ยวกับโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
บรรณานุกรม<br />
กรุงเทพมหานคร. แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2540 – 2544). กรุงเทพมหานคร :<br />
โรงพิมพ์คุรุสภา, 2540.<br />
กองทุนสนับสนุนการวิจัย, สำนักงาน. บทบาทการวิจัย : การท้าทายของทศวรรษใหม่.<br />
เอกสารประกอบการประชุม ครั้งที่ 1, 18 – 20 พฤศจิกายน 2537, ม.ป.ท., 2537.<br />
กันยา กาญจนบุรานนท์. “อนามัยโรงเรียน” ในเอกสารการสอนวิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสาธารณสุข<br />
หน้า 8 – 15. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2537.<br />
การจัดการทรัพยากรบุคคลเพื่อการเพิ่มผลผลิต, สถาบัน. “5 ส มุ่งบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ.”<br />
นนทบุรี : สถาบันการจัดการทรัพยากรบุคคลเพื่อการเพิ่มผลผลิต, 2542.<br />
กิตติศักดิ์ กลับดี และคณะ. การศึกษาเปรียบเทียบภาวะสุขภาพและพฤติกรรมของนักเรียนในโรง<br />
เรียนที่มีระดับบริการอนามัยโรงเรียนแตกต่างกัน. กรุงเทพฯ : กองอนามัยโรงเรียน กรม<br />
อนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2536.<br />
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน. การใช้เวลาของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. กรุงเทพฯ : คุรุสภา, 2535.<br />
_______ . คู่มือการจัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมทันตสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์สามเจริญพานิช, 2527.<br />
_______ . คู่มือครูอนามัยโรงเรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2540.<br />
ควบคุมโรค, กอง. รายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2543. สำนักอนามัย กรุงเทพฯ : บริษัท<br />
ธรรมดาการพิมพ์, มปป..<br />
จรินทร์ ธานีรัตน์. อนามัยส่วนบุคคล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเอสพรินติ้ง, 2529.<br />
จินตนา สรายุทธพิทักษ์. การบริการสุขภาพในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541.<br />
ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์. การรับรู้บทบาทครูอนามัยโรงเรียนในโครงการสุขภาพของผู้บริหาร<br />
ครูประจำชั้น และครูอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถม<br />
ศึกษา จังหวัดลพบุรี. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540<br />
ชาญชัย ศรีชัยเพชร. โครงการสุขภาพในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร, 2522.<br />
ณรงค์ เจริญผล. แนวทางการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต :<br />
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2543.<br />
71<br />
ตวงพร โต๊ะนาค. บทบาทของผู้บริหารและครูในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2533.<br />
ทวีสิทธิ์ สิทธิกร. หลักและการจัดโครงการสุขภาพในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : อักษรบัณฑิต, 2531.<br />
ธรี วฒุ ิ ประทุมนพรัตน. การบรหิ ารกจิ การนกั เรยี น. กรุงเทพฯ : โอเอสพรนิ้ ตงิ้ เฮา้ ส, 2534.<br />
นโยบายและแผนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม, สำนัก. แผนพัฒนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม<br />
ระยะที่ 8 (2540 – 2544). กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ, ม.ป.ป.<br />
นโยบายและแผนสาธารณสุข, สำนัก. การประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์เพื่อสุขภาพดี<br />
ถ้วนหน้าในปี 2543. กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหาร<br />
ผ่านศึก, 2541.<br />
นโยบายและแผนสาธารณสุข, วารสารนโยบายและแผนสาธารณสุข 4, 3 – 4 (กรกฎาคม – ธันวาคม<br />
2544)<br />
นงรัตน์ สุขสม. การประเมินผลหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533)<br />
กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สุขศึกษา) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครศรีธรรมราช.<br />
ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2540.<br />
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์. หลักการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์, 2534.<br />
ประยุทธ์ ตรีชัย. การศึกษาการมีส่วนร่วมของครูในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2544.<br />
ประเวศ สิทธิกุล. ปัญหาการปฏิบัติงานกิจการนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการ<br />
ประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2539.<br />
ประสิทธิ์ สาระสันต์. การบริหารโครงการสุขภาพในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต :<br />
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2536.<br />
พรณี พันมา. การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณ์-<br />
มหาวิทยาลัย, 2540.<br />
พลศึกษา, กรม. โครงการสุขภาพในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2538.<br />
พนจิ ดา วรี ะชาติ. การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งโรงเรยี นกบั ชุมชน. กรุงเทพฯ : พิมพ์โอเดียนสโตร,<br />
2542.<br />
72<br />
พัชรา กาญจนรัณย์. สวัสดิศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บรรณกิจ, 2522.<br />
เพียงเพ็ญ ธัญญะตุลย์. การดูแลสุขภาพตนเองของอาสาสมัครสาธารณสุขในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,<br />
2533.<br />
มยุเรศ พูลศิริ, ม.ล.. วิวัฒนาการของงานอนามัยโรงเรียน. จุลสารอนามัยโรงเรียน 1.1 (ตุลาคม 2534-<br />
มกราคม 2535) : 1.<br />
ยานี ทิพย์ประภา. สภาพทั่วไปและปัญหาในการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดพิษณุโลก. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต :<br />
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพิษณุโลก, 2527.<br />
เย็นจิตร ไชยฤกษ์. พฤติกรรมทันตสุขภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดปทุมธานี. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัย<br />
ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2542.<br />
รวีวรรณ ชินะตระกูล. คู่มือการทำการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์,<br />
2533.<br />
เริงชัย หมื่นชนะ. มนุษยสัมพันธ์สำหรับครู. กรุงเทพฯ : โอเอสพริ้นติ่งเฮาส์, 2535.<br />
วราภรณ์ ศิริลักษณ์. “โครงการพัฒนาและเสริมสร้างสุขภาพอนามัยนักเรียน.” ในแผนปฏิบัติงาน<br />
ประจำปีการศึกษา 2544 โรงเรียนวัดหนัง สำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร. หน้า<br />
62. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท., 2544.<br />
วิมลศรี อุปรมัย และคณะ. การศึกษากับการพัฒนาชุมชน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เจริญผล, 2528.<br />
วิเชียร เกตุสิงห์. “ค่าเฉลี่ยกับการแปลความหมาย : เรื่องง่าย ๆ ที่บางครั้งก็พลาดได้.” ข่าวสารวิจัย<br />
การศึกษา 18, 3. (กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2538) : 8 – 11<br />
วิลาวัลย์ วรรณศรี. การบริการสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา ในเขตการศึกษา 8. ปริญญานิพนธ์<br />
การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2528.<br />
วิลาส จันทรัตน์. การบริหารงานสุขภาพอนามัยในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถม<br />
ศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ จังหวัดสงขลา. ปริญญานิพนธ์<br />
การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2524.<br />
ศิริมา แสงอรุณ. สุขภาพส่วนบุคคลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
เขตราษฎร์บูรณะ. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ-<br />
ประสานมิตร, 2544.<br />
73<br />
ศิริพร พุทธรังษี. สภาพและปัญหาการบริการสุขภาพในห้องพยาบาลโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ-<br />
ประสานมิตร, 2530.<br />
ศึกษาธิการ, กระทรวง. แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระยะที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544).<br />
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2541.<br />
สถิติแห่งชาติ, สำนักงาน. ประมวลข้อมูลสถิติสำคัญของประเทศไทย พ.ศ. 2538. กรุงเทพฯ :<br />
อรุณการพิมพ์, 2538.<br />
สนั่น พรหมสุวรรณ. ปัจจัยที่ส่งเสริมโรงเรียนประถมศึกษาให้ได้เข้ารับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนดีเด่น<br />
ในจังหวัดฉะเชิงเทรา. ปริญญนิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ-<br />
ประสานมิตร, 2536.<br />
สมเดช สีแสง. คู่มือบริหารโรงเรียนประถมศึกษา. นครสวรรค์ : ริมปิงการพิมพ์, 2539.<br />
สมพงษ์ เรืองศรี. ปัญหาการวัดผลและประเมินผลวิชาสุขศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา เขตการศึกษา 3.<br />
วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530.<br />
สมศักดิ์ อัมพรต. การบริหารงานสุขภาพอนามัยในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถม<br />
ศกึ ษา จังหวัดนนทบุร.ี ปริญญานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทร-<br />
วิโรฒประสานมิตร, 2538.<br />
สาธารณสุข, กระทรวง. คู่มือปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียนสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข. นนทบุรี :<br />
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2539.<br />
สุวรรณา รุทธานุรักษ์. การบริหารเวลาของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่น<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครทรวิโรฒ<br />
ประสานมิตร, 2540.<br />
สุกิจ ไชยนวล. ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีต่อบทบาทของครูอนามัยโรงเรียน.<br />
ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2528.<br />
สุขศึกษาแห่งชาติ, คณะกรรมการ. คู่มือการปฏิบัติงานสุขศึกษาในสถานศึกษา : โครงการสุขศึกษา<br />
สายการศึกษา ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529).<br />
กรุงเทพฯ : กองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข, 2525.<br />
สุขาภิบาลอาหาร, กอง. คู่มือการดำเนินงานเฝ้าระวังทางสุขาภิบาลอาหารในโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ.<br />
กระทรวงสาธารณสุข :โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์, 2544.<br />
สุชาติ โสมประยูร. การสอนสุขศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2525.<br />
_______ . การบริหารสุขศีกษาในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2526.<br />
สุชาติ โสมประยูร และเอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์. การสอนสุขศึกษา. กรุงเทพฯ : เอมี่เทรดดิ้ง, 2542.<br />
74<br />
สุนันท์ เจียรกุล. สภาพและปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานสุขศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2535.<br />
สุวรรณา รุทธานุรักษ์. การบริหารเวลาของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่น สังกัด<br />
กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ<br />
ประสานมิตร, 2540.<br />
อนามัย, กรม. คู่มือการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ. กระทรวงสาธารณสุข. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์, 2544.<br />
_______ . แนวทางการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร<br />
แห่งประเทศไทย จำกัด, 2545.<br />
_______ . เอกสารการอบรมงานอนามัยโรงเรียนสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคร.ู กรุงเทพฯ :<br />
กระทรวงสาธารสุข, 2523.<br />
_______ , สำนัก. คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกใน<br />
โรงเรียน. กรุงเทพฯ : สำนักอนามัย, ม.ป.ป.<br />
อนามัยโรงเรียน, กอง. การศึกษาภาวะสุขภาพของนักเรียนในประเทศไทย ปีการศึกษา 2533 – 2534.<br />
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2534.<br />
อนามัยโรงเรียน, กอง. คู่มือวิทยากรอบรมงานอนามัยโรงเรียนเด็กวัยเรียน. กรมอนามัย<br />
กระทรวงสาธารณสุข : ม.ป.ป.<br />
อนามัยสิ่งแวดล้อม, สำนัก. คู่มืออนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์<br />
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก : 2542<br />
อารยา พงษ์หาญยุทธ และคณะ. “สถานภาพของโรคฟันผุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของเด็กวัย 18–72เดือน<br />
ที่เข้ารับการรักษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล,” วิทยาสารทันตแพทย์ศาสตร์. เล่มที่ 1 : 17, 2545.<br />
อุลิต สียะวณิช และคนอื่น ๆ. “การบริหารงานอนามัยโรงเรียน” ในเอกสารประกอบการเรียน<br />
การสอนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสาธารณสุข หน่วยที่ 8 – 15 กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย<br />
สุโขทัยธรรมาธิราช.<br />
Bowntree Derek.. A Dictionary of Education. London : Harper & Row Ltd Publishers, 1981.<br />
Cramer, Mary W., Iveson Caral. “Parent expectation of the School Health Program in Nebraska,”<br />
Journal of School Health. 69, 3 (March 1999) : 107.<br />
Fahlman Mariane M, Steven P.Singleton and Amy Kliber. The Effects of Health Education Classes<br />
on Teaching Self-Efficacy in Preservice Teachers. American Journal of Health Education.<br />
33, 2 (March / April 2002) 101.<br />
75<br />
Good, Carter V. Dictionary of Education. Newyork. McGraw-Hill Book Co., 1973.<br />
Griffith, Betty B and Pansy H. Whicker. “Teacher observer of Student Health Problem,”<br />
Journal of School Health. (August, 1981).<br />
Griffith, James. “School Climate as Group Evaluation and Group Consensus : Student and<br />
Parent Perception of the Elementary School Environment,” The Elementary School<br />
Journal 101, (2000) :<br />
Gurtis. John D. and Papenfuss. Richard L. Health Instruction a Task Approach. Miniapolis<br />
Minesota. Burgess Publishing Company, 1980.<br />
Hill, P.J. A Dictionary of Education. London : Routge and Paul Ltd Publishers, 1982.<br />
King, Keith Allen, Hight School Health Teachers’ and Hight School Counselor’s perception of<br />
Adolescent Suicide. The University of Toledo, 1998 : 248.<br />
Kirchofer, Gregg M., James H. Price and Susan K. Telljhann “Primary Grade Teachers’ knowledge<br />
and Perception of Head Lice” Journal of School Health. 71, 9 (November 2001) : 448.<br />
Kubik Martha Y. and other. “Food-Related Beliefs, Eating Behavior and Classroom Food<br />
Practices of Middle School Teachers” Journal of School Health. 72, 8 (October, 2002) :<br />
339.<br />
McCormack, Brown Kelli, Panla Permutter, McDermot Robert., “Youth and Tattoos, What School<br />
Health Personnel Should Know.” Journal of School Health. 70, 9 (November, 2000) : 355.<br />
McGuirc James G. “What is the world ?” Journal of School Health. 66, 5 (May 1996) : 191-192.<br />
Murray, Ranald Thomas. Listening to their Voice Middle School Students’ views on<br />
School Health Education. University of Virginia. 1997 : 173.<br />
Nemir Alma. The School Health Program. 13rd ed. Philadenphia : WB Souders Company, 1970.<br />
O’Dea Jennifer, Danielle Maloney. “Preventing Eating and body Image Problems in Children<br />
and Adolescents Using. The Health Promoting School Fram work,” Journal of School<br />
Health. 70, 1 (January 2000) : 18.<br />
Perry, Chery L. and others “Evaluation of a theater Production About Eating Behavior of<br />
Children.” Journal of School Health. 72, 6 (August, 2002) : 256.<br />
Pinckney, Carole Arnold. Analysis of the Role Perception of School Health Nurse in Maryland<br />
between School Nurses and School Administrators. Gearge Mason University. 1996 :<br />
181.<br />
76<br />
Synovitz Linda Baily. “Using Puppetry in a Coordinated School Health Program,” Journal of<br />
School Health. 69, 4 (April 1999) : 145.<br />
Veugelers Wiel E Would De Kat. “Student voice in School leadership Promoting Dialogue about<br />
Student’s View on Teaching.” Journal of School Leadership. 12 (January 2002) : 97-103.<br />
WHO. The status of school health : The WHO Expert committee on comprehensive school<br />
health education and promotion. Geneva, 1996.<br />
ภาคผนวก<br />
ภาคผนวก ก<br />
เกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
ภาคผนวก ข<br />
รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือในการวิจัย<br />
รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือสำหรับการวิจัย<br />
รศ.เกริก วยัคฆานนท์<br />
ตำแหน่ง คณบดีคณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
รศ.สมชาย พรหมสุวรรณ<br />
ตาํ แหนง่ ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบด ี สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
ผศ.เครือวัลย์ โพธิพันธ์<br />
ตำแหน่ง หัวหน้าโปรแกรมวิชาวิทยาศาสตร์ความปลอดภัย<br />
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
อาจารย์ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ<br />
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียนมัธยมสาธิตบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
อาจารย์ธวัช พงษ์ศิริ<br />
ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยโรงเรียนฝ่ายบริการ โรงเรียนวัดหนัง จอมทอง กรุงเทพฯ<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
(ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3)<br />
ประวัติย่อผู้วิจัย<br />
ชื่อ นางสาววราภรณ์ นามสกุล ศิริลักษณ์<br />
วัน เดือน ปีเกิด 1 มิถุนายน 2487<br />
สถานที่เกิด แขวงบางมด เขตบางขุนเทียน ธนบุรี<br />
สถานที่อยู่ปัจจุบัน เลขที่ 62 หมู่ 3 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด<br />
เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140<br />
ตำแหน่งหน้าที่การงานปัจจุบัน อาจารย์ 2 ระดับ 7<br />
สถานที่ทำงานปัจจุบัน โรงเรียนวัดหนัง เลขที่ 200 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง<br />
กรุงเทพมหานคร 10150 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร เขต 3<br />
ประวัติการศึกษา<br />
2498 ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนตันเปาว์วิทยาคาร บางมด ธนบุรี<br />
2508 มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดสิงห์ บางขุนเทียน ธนบุรี<br />
2511 ประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย<br />
ศิริราชพยาบาล<br />
2514 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา วิทยาลัยครูธนบุรี ธนบุรี<br />
2517 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
กรุงเทพฯ<br />
2527 ศึกษาศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ<br />
2546 ครุศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ<br />
ประวัติการทำงาน<br />
16 ธันวาคม 2511 – 28 กุมภาพันธ์ 2529 ผู้ช่วยพยาบาล แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลศิริราช<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักนายกรัฐมนตรี<br />
1 มีนาคม 2529 - ปัจจุบัน ครูอนามัยโรงเรียน โรงเรียนวัดหนัง จอมทอง<br />
กรุงเทพฯ 10150 สำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่<br />
การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3)<br />
ภาคผนวก ค<br />
แบบสอบถาม<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
เรื่อง สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
คำชี้แจง<br />
1. แบบสอบถามชุดนี้ จัดทำขึ้นเพื่อสอบถามสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ขอให้ท่านตอบคำถามทุกข้อตามความ<br />
เป็นจริง คำตอบของท่านเมื่อวิเคราะห์ทางสถิติแล้วจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและเป็น<br />
แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ<br />
2. ข้อมูลที่ท่านตอบแบบสอบถามครั้งนี้ จะรักษาไว้เป็นความลับไม่มีผลกระทบต่อท่านแต่<br />
ประการใด ผู้วิจัยจะนำเสนอในภาพรวมและกรุณาตอบแบบสอบถามทุกข้อ เพราะคำตอบทุกคำตอบของ<br />
ท่านมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยครั้งนี้<br />
3. แบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้<br />
ตอนที่ 1 สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบเลือกตอบ<br />
จำนวน 4 ข้อ คือ เพศ ประสบการณ์ ตำแหน่งหน้าที่ และวุฒิทางการศึกษา<br />
ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน เป็นแบบมาตรประมาณ<br />
ค่า (Rating Scale) ตามหลักการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน 4 ด้าน คือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน<br />
ให้ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาในโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างโรง<br />
เรียนและชุมชน จำนวน 56 ข้อ<br />
ตอนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียน โดยใช้ข้อคำถามปลายเปิด ตามหลักการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน 4 ด้าน คือ การ<br />
จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาในโรงเรียน และ<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน จำนวน 4 ข้อ<br />
107<br />
ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย ใน หน้าข้อความที่ตรงกับความเป็นจริง<br />
1. เพศ 1. ชาย<br />
2. หญิง<br />
2. ตำแหน่ง 1. ผู้บริหาร<br />
2. ผู้ช่วยผู้บริหาร<br />
3. ครูอนามัยโรงเรียน<br />
3. ประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน<br />
1. น้อยกว่า 5 ปี<br />
2. 5 – 10 ปี<br />
3. มากกว่า 10 ปี<br />
4. วุฒิทางการศึกษา 1. ปริญญาตรี<br />
2. ปริญญาโท<br />
3. สูงกว่าปริญญาโท<br />
4. อื่น ๆ โปรดระบุ …………………….<br />
108<br />
ตอนที่ 2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย ในช่องที่ตรงกับสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนของท่าน<br />
ระดับของสภาพการดำเนินงาน<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
1. มีการวางแผนอาคารสถานที่อย่างถูกสุขลักษณะ<br />
2. สถานที่ตั้งโรงเรียนห่างไกลแหล่งอบายมุข เสียง<br />
รบกวน สิ่งปฏิกูล รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ<br />
3. มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับและตกแต่งสถานที่<br />
เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้<br />
4. มีที่นั่งพักสำหรับให้นักเรียนได้พักผ่อนหรืออ่าน<br />
หนังสืออย่างพอเพียง<br />
5. มีสนามที่เล่นอย่างเพียงพอและปลอดภัย<br />
6. มีเครื่องดับเพลิงตามจุดต่าง ๆ ของโรงเรียนอย่าง<br />
เหมาะสม<br />
7. ห้องเรียนมีสีสันเย็นตา มีแสงสว่างเพียงพอ มีโต๊ะ<br />
เก้าอี้พอเพียงและเหมาะสมกับนักเรียน<br />
8. มีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดและเพียงพอ<br />
9. มีห้องส้วมและที่ปัสสาวะตามเกณฑ์มาตรฐานและ<br />
ถูกสุขลักษณะ<br />
10. มีโรงอาหารที่เหมาะสมและพอเพียงกับจำนวน<br />
นักเรียน<br />
109<br />
ระดับสภาพการดำเนินงาน<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ (ต่อ)<br />
11. โรงเรียนมีรั้วกั้นและอยู่ในสภาพดี<br />
12. นำกิจกรรม “5 ส” มาใช้อย่างต่อเนื่อง<br />
13. มีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและสัตว์นำโรค<br />
14. มีการประเมินผลการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน<br />
อย่างจริงจังทุกปี<br />
15. ผู้บริหารและครูสามารถเป็นตัวอย่างด้านสุขภาพ<br />
อนามัยที่ดีแก่นักเรียนและชุมชน<br />
การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
16. ส่งเสริมครูให้มีความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดบริการ<br />
สุขภาพในโรงเรียน<br />
17. ดำเนินการให้ครูได้เข้ารับการอบรมทางด้าน<br />
สุขภาพอนามัยและการปฐมพยาบาล รวมทั้งเรียนรู้<br />
เทคนิคใหม่ ๆ<br />
18. สนับสนุนให้ครูในโรงเรียนมีบทบาทร่วมวางแผน<br />
เกี่ยวกับการจัดบริการสุขภาพ<br />
19. มีการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุข<br />
กับโรงเรียนเป็นอย่างดี<br />
20. ครูในโรงเรียนให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการบริการ<br />
สุขภาพเป็นอย่างดี<br />
110<br />
ระดับสภาพการดำเนินการ<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน (ต่อ)<br />
21. โรงเรียนมีครูอนามัยโรงเรียนหรือพยาบาล<br />
โรงเรียนอยู่ประจำตลอดเวลา<br />
22. มีการจัดห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาลเป็นไปตาม<br />
เกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข<br />
23. โรงเรียนมีอุปกรณ์ เวชภัณฑ์และยา ตามที่กำหนด<br />
ของทางราชการอย่างเพียงพอ<br />
24. มีการจัดบัตรบันทึกสุขภาพให้เป็นระเบียบและ<br />
สะดวกแก่การค้นหา<br />
25. โรงเรียนมีการติดตามผลการให้การพยาบาลรักษา<br />
นักเรียนที่เจ็บป่วยกับผู้ปกครองเด็กอยู่เสมอ<br />
26. โรงเรียนมีโครงการอาหารกลางวันจัดตามหลัก<br />
โภชนาการอย่างเหมาะสม<br />
27. โรงเรียนจัดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ<br />
6 ได้รับภูมิคุ้มกันโรคตามกำหนด<br />
28. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1<br />
และ 6 ได้รับการตรวจสุขภาพจากเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุข<br />
29. มีการตรวจตาและวัดสายตานักเรียนทุกปี<br />
30. มีการตรวจหูเพื่อดูความผิดปกติและทดสอบการ<br />
ได้ยินทุกปี<br />
111<br />
ระดับสภาพการดำเนินงาน<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน (ต่อ)<br />
31. มีการตรวจฟันนักเรียนทุกคนและบันทึกในแบบ<br />
บันทึกปีละ 2 ครั้ง<br />
32. มีสถานที่สำหรับให้นักเรียนแปรงฟันอย่าง<br />
เพียงพอและถูกสุขลักษณะ<br />
33. มีการตรวจความสะอาดและสุขภาพร่างกายก่อน<br />
การเรียนการสอนเป็นประจำ<br />
34. มีการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงนักเรียนทุกคนภาค<br />
เรียนละ 2 ครั้ง<br />
35. มีการแก้ไขนักเรียนที่มีส่วนสูงและน้ำหนักต่ำกว่า<br />
เกณฑ์<br />
36. มีการแก้ไขนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน<br />
(โรคอ้วน)<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
37. โรงเรียนมีการฝึกทักษะและสร้างเจตคติด้าน<br />
สุขภาพอนามัยให้นักเรียน<br />
38. มีสื่อการเรียนการสอนและเอกสารทางด้าน<br />
สุขศึกษาที่จะให้ครูและนักเรียนอ่านอย่างเพียงพอ<br />
39. นักเรียนสามารถนำความรู้ด้านสุขศึกษาไปใช้ใน<br />
ชีวิตประจำวัน<br />
40. นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพภายหลัง<br />
การให้ความรู้ทางด้านสุขศึกษา<br />
112<br />
ระดับสภาพการดำเนินงาน<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน (ต่อ)<br />
41. มีการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรทางด้านสุขศึกษา<br />
42. มีการเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพในรูปแบบใหม่ ๆ<br />
แก่นักเรียนและผู้ปกครอง<br />
43. โรงเรียนจัดโอกาสให้นักเรียนหรือผู้นำนักเรียน<br />
ผลิตสื่อสุขภาพด้วยความคิดของตนเองและมีการ<br />
เผยแพร่ความรู้แก่นักเรียนด้วยกัน<br />
44. ครูสอนสุขศึกษามีบุคลิกภาพและพฤติกรรม<br />
สุขภาพที่ดี<br />
45. ปัจจุบันมีผู้นำนักเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพโดย<br />
เฉพาะ<br />
46. ครูสอนสุขศึกษามีแผนการสอนและแบบประเมินผล<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
47. โรงเรียนมีการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริการ<br />
สุขภาพในโรงเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร<br />
48. ผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการประเมินผลการ<br />
รักษานักเรียนเจ็บป่วย<br />
49. ผู้ปกครองสนใจเรื่องสุขภาพอนามัยนักเรียน<br />
50. โรงเรียนทำหนังสือขออนุญาตและให้ผู้ปกครอง<br />
ตอบรับก่อนการที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาบริการ<br />
ฉีดวัคซีน<br />
113<br />
ระดับสภาพการดำเนินงาน<br />
สภาพการดำเนินงาน มากที่สุด<br />
(5)<br />
มาก<br />
(4)<br />
ปานกลาง<br />
(3)<br />
น้อย<br />
(2)<br />
น้อยที่สุด<br />
(1)<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน (ต่อ)<br />
51. ผู้ปกครองสนับสนุนเรื่องสุขภาพอนามัยของ<br />
นักเรียน<br />
52. โรงเรียนมีการประชุมชี้แจงนโยบายการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียนให้ผู้ปกครองทราบทุกปีการศึกษา<br />
53. เมื่อมีโรคระบาดหรือโรคที่มีผลกระทบต่อนักเรียน<br />
โรงเรียนได้ทำเอกสารแจ้งผู้ปกครอง<br />
54. โรงเรียนได้ติดตามผลการรักษานักเรียนที่เจ็บป่วย<br />
หรือมีปัญหาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง<br />
55. โรงเรียนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกันพัฒนา<br />
สุขภาพอนามัยนักเรียนและชุมชน<br />
56. โรงเรียนและชุมชนร่วมกันแก้ปัญหาสุขภาพ<br />
อนามัยนักเรียน<br />
114<br />
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
คำชี้แจง โปรดแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของท่านต่อการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
ที่ท่านต้องการให้มีการปรับปรุงหรือพัฒนา<br />
1. การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ เห็นควรปรับปรุงด้านใดบ้าง<br />
………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………………………………………………<br />
2. การจัดบริการสุขภาพในโรงเรียน เห็นควรปรับปรุงด้านใดบ้าง<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
3. สุขศึกษาในโรงเรียน เห็นควรปรับปรุงด้านใดบ้าง<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
4. ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน เห็นควรปรับปรุงด้านใดบ้าง<br />
……………………………………………………………………………………………………..<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
…………………………………………………………………………………………………….<br />
ขอขอบพระคุณที่ท่านให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามนี้เป็นอย่างดี<br />
////////////////////////////<br />
รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือสำหรับการวิจัย<br />
รศ.เกริก วยัคฆานนท์<br />
ตำแหน่ง คณบดีคณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
รศ.สมชาย พรหมสุวรรณ<br />
ตาํ แหนง่ ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบด ี สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
ผศ.เครือวัลย์ โพธิพันธ์<br />
ตำแหน่ง หัวหน้าโปรแกรมวิชาวิทยาศาสตร์ความปลอดภัย<br />
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
อาจารย์ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ<br />
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียนมัธยมสาธิตบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
อาจารย์ธวัช พงษ์ศิริ<br />
ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยโรงเรียนฝ่ายบริการ โรงเรียนวัดหนัง จอมทอง กรุงเทพฯ<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
(ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3)<br />
ภาคผนวก จ<br />
ประวัติย่อผู้วิจัย<br />
ประวัติย่อผู้วิจัย<br />
ชื่อ นางสาววราภรณ์ นามสกุล ศิริลักษณ์<br />
วัน เดือน ปีเกิด 1 มิถุนายน 2487<br />
สถานที่เกิด แขวงบางมด เขตบางขุนเทียน ธนบุรี<br />
สถานที่อยู่ปัจจุบัน เลขที่ 62 หมู่ 3 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด<br />
เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140<br />
ตำแหน่งหน้าที่การงานปัจจุบัน อาจารย์ 2 ระดับ 7<br />
สถานที่ทำงานปัจจุบัน โรงเรียนวัดหนัง เลขที่ 200 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง<br />
กรุงเทพมหานคร 10150 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร เขต 3<br />
ประวัติการศึกษา<br />
2498 ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนตันเปาว์วิทยาคาร บางมด ธนบุรี<br />
2508 มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดสิงห์ บางขุนเทียน ธนบุรี<br />
2511 ประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย<br />
ศิริราชพยาบาล<br />
2514 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา วิทยาลัยครูธนบุรี ธนบุรี<br />
2517 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
กรุงเทพฯ<br />
2527 ศึกษาศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ<br />
2546 ครุศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ<br />
ประวัติการทำงาน<br />
16 ธันวาคม 2511 – 28 กุมภาพันธ์ 2529 ผู้ช่วยพยาบาล แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลศิริราช<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักนายกรัฐมนตรี<br />
1 มีนาคม 2529 - ปัจจุบัน ครูอนามัยโรงเรียน โรงเรียนวัดหนัง จอมทอง<br />
กรุงเทพฯ 10150 สำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่<br />
การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3)<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_4055.html">สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_5651.html">สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16047024/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-91548939430587045612011-08-14T03:18:00.001-07:002011-08-14T03:21:04.747-07:00สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)<a href="http://www.ziddu.com/download/16047024/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
นางสาววราภรณ์ ศิริลักษณ์<br />
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาการบริหารการศึกษา<br />
ปีการศึกษา 2546<br />
ISBN : 974-373-280-2<br />
ลิขสิทธิ์ของสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
วิทยานิพนธ์ สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
โดย นางสาววราภรณ์ ศิริลักษณ์<br />
หลักสูตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา<br />
ประธานควบคุมวิทยานิพนธ์ ดร.บัณฑิต แท่นพิทักษ์<br />
กรรมการ รศ.ดร.นันทา วิทวุฒิศักดิ์<br />
กรรมการ ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร<br />
บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วน<br />
หนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
……….………..……….………….…คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย<br />
(ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร)<br />
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
………….………………………………. ประธานกรรมการ<br />
(ศาสตราจารย์ ดร.สายหยุด จำปาทอง)<br />
……………….…………………………. กรรมการ<br />
(ดร.บัณฑิต แท่นพิทักษ์)<br />
……... ….………………………………..กรรมการ<br />
(รองศาสตราจารย์ ดร.นันทา วิทวุฒิศักดิ์)<br />
…….….….……………………………….กรรมการ<br />
(ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร)<br />
..…....….…………………………………. กรรมการ<br />
(อาจารย์ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ์)<br />
……..…….……………………..…………. กรรมการและเลขานุการ<br />
(รองศาสตราจารย์สมชาย พรหมสุวรรณ)<br />
ลิขสิทธิ์ของสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
จ<br />
วราภรณ์ ศิริลักษณ์. (2546) สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ :<br />
บัณฑิตวิทยาลัยสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. คณะกรรมการควบคุม<br />
ดร.บัณฑิต แท่นพิทักษ์ รศ.ดร.นันทา วิทวุฒิศักดิ์ ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร.<br />
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2545 ซึ่งมีขอบข่าย<br />
งาน 4 ด้าน คือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 38 คน ผู้ช่วยผู้บริหาร 38 คน และครูอนามัยโรงเรียน<br />
38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบเลือกตอบ แบบมาตรประมาณค่า และคำถามปลายเปิด<br />
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด<br />
สำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน<br />
พบว่า สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีสภาพการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียนด้านการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียนอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมา คือ ความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ และ<br />
ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
THE PRESENT OPERATING STATUS OF THE<br />
SCHOOL HEALTH PROGRAM IN PRIMARY<br />
SCHOOLS UNDER THE JURISDICTION<br />
OF THE OFFICE OF BANGKOK<br />
METROPOLITAN PRIMARY<br />
EDUCATION<br />
MISS.WARAPHORN SIRILUKSANA<br />
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements<br />
for the Master of Education (Educational Administration)<br />
at Rajabhat Institute Bansomdejchaopraya<br />
Academic Year 2003<br />
ISBN : 974-373-280-2<br />
ฉ<br />
Waraphorn Siriluksana, 2003. The Present Operating Status of the School Health<br />
Program in Primary Schools under the Jurisdiction of the Office of Bangkok<br />
Metropolitan Primary Education. Master’s Degree Thesis. Bangkok. Graduate<br />
School, Rajabhat Institute Bansomdejchaopraya. Advisory Committee : Dr.Bundit<br />
Tanpithak,. Ass. Prof. Dr.Nanta Witwutisak, Dr.Sarayuth Sethakhajorn.<br />
The purpose of this research was to study the present operating status of the school<br />
health program with in primary schools under the jurisdiction of the office of Bangkok<br />
Metropolitan primary Education in the academic year, 2002.<br />
The study consisted of 4 phases were Healthful School Leaving, School Health<br />
Service, School Health Education and School and Community Relationship.<br />
The population consisted of 38 School administrators, 38 assistant school<br />
administrators and 38 school health teachers of primary schools under the jurisdiction of the<br />
office of Bangkok Metropolitan Primary Education.<br />
The data were collected by using questionnaires which consisted of multiple choices,<br />
rating scales and open forms. They were analyzed by basic statistic, Percentage, Average<br />
and Standard Deviation. One hundred and fourteen, completed questionnaires counted 100<br />
percent.<br />
Research findings indicated as follows :<br />
Most Primary Schools under the Jurisdiction of the office of Bangkok Metropolitan<br />
Primary Education have the present operating status to the high level. The highest level is<br />
the operating status of school health service phase and follow by school and community<br />
relationship phase, healthful school living phase and school heath education phase.<br />
ประกาศคุณูปการ<br />
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยดีเพราะได้รับความอนุเคราะห์จาก<br />
คณาจารณ์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ คือ ดร.บัณฑิต แท่นพิทักษ์ รศ.ดร.นันทา วิทวุฒิศักดิ์ และ<br />
ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร ซึ่งได้ให้คำแนะนำ ตรวจแก้ไข และให้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยดีตลอดมา<br />
อีกทั้งคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ โดยมี ศ.ดร.สายหยุด จำปาทอง เป็นประธานกรรมการ<br />
คณะกรรมการ ได้แก่ รศ.สมชาย พรหมสุวรรณ อ.ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ และคณะอาจารย์<br />
ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ ท่านต่างก็ให้ความเอื้ออาทรและอนุเคราะห์ด้วยความเมตตา ผู้วิจัยมีความ<br />
ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้<br />
ผู้วิจัยขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 ท่าน ที่ได้กรุณาตรวจแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
รวมทั้งได้กรุณาให้คำปรึกษาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยครั้งนี้ อีกทั้งพยาบาลกองสุขศึกษา<br />
กระทรวงสาธารณสุขได้บริการจัดหาเอกสารที่ใช้ศึกษาค้นคว้า ตลอดทั้งเจ้าของงานวิจัยและ<br />
เอกสารที่ผู้วิจัยได้นำมาอ้างอิง และขอขอบพระคุณผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหารและครูอนามัย<br />
โรงเรียนที่ได้กรุณาให้ข้อมูลด้วยการตอบแบบสอบถาม ขอขอบพระคุณ ผช.ดวงดาว ทองผ่อง<br />
ผช.มาลี ควรคนึง อ.ฐิติพร สงวนสิงห์ และคุณจำนงค์ ตรีนุมิตร ที่ได้กระตุ้นเตือนให้คำแนะนำ<br />
ด้วยความปรารถนาดี เพื่อน ๆ P.N.รุ่นที่ 9 โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยศิริราชพยาบาล<br />
ทุกคน อีกทั้งคุณแม่สุวรรณ ศิริลักษณ์ และเครือญาติที่ส่งเสริมสนับสนุนให้กำลังใจในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์เสมอมา<br />
คุณค่าที่พึงมีจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ขอมอบเพื่อระลึกถึงพระคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์<br />
ที่ได้ปลูกฝังให้ผู้วิจัยเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และมีความรู้คู่คุณธรรมเสมอมา จนสำเร็จการศึกษาครั้งนี้<br />
วราภรณ์ ศิริลักษณ์<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
บทคัดย่อภาษาไทย ………………………………………………………….…………. ง<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ……………………………………………………….…………. จ<br />
ประกาศคุณูปการ …………………………………………………………….………... ฉ<br />
สารบัญ …………………………………………………………………….…………... ช<br />
สารบัญตาราง ………………………………………………………………….……… ฌ<br />
สารบัญแผนภาพ ……………………………………………………………………… ญ<br />
บทที่ 1 บทนำ<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………….………. 1<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………… 3<br />
ประโยชน์ที่ได้รับ………………..………………………………………….. 4<br />
ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………….….. 4<br />
คำนิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………….… 4<br />
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
แนวคิดเกี่ยวกับงานอนามัยโรงเรียน………….……………………………... 7<br />
ประวัติการบริการสุขภาพในโรงเรียน………………………………………. 7<br />
ความจำเป็นและความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน………………………. 9<br />
ความหมายของงานอนามัยโรงเรียน……………….………………………... 10<br />
การบริหารงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา….………………. 12<br />
ภาระหน้าที่และงานของผู้บริหารโรงเรียน………………………………….. 12<br />
ลักษณะของงานอนามัยโรงเรียน…………………………………………… 14<br />
เกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา ……………………………………………………….…. 33<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………. 33<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ... 33<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน………………...……. 35<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านสุขศึกษาในโรงเรียน………………………………… 37<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน………..… 40<br />
ซ<br />
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย<br />
ประชากร……….………………………………………………………….. 43<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………… 43<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………….. 45<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล……………….…………………………………..…….. 45<br />
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ……………………………………………….…….. 47<br />
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ<br />
สรุปผลการวิจัย …………………………………………………….……… 59<br />
อภิปรายผล ………………………………………………….…….………. 61<br />
ข้อเสนอแนะ …….……………………………………………….………… 68<br />
บรรณานุกรม …….……….………………………………………………………… 69<br />
ภาคผนวก<br />
ภาคผนวก ก เกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียน …….….…….. 77<br />
ด้านส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
ภาคผนวก ข รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือในการวิจัย……….…….. 98<br />
ภาคผนวก ค แบบสอบถาม …….……………………………………….. 105<br />
ภาคผนวก ง หนังสือขอความร่วมมือในการวิจัย….…….……………….. 115<br />
ภาคผนวก จ ประวัติย่อผู้วิจัย…...…………………….………………….. 119<br />
สารบัญตาราง<br />
ตารางที่ หน้า<br />
1 สถานภาพของประชากร …………………………………………………..… 48<br />
2 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ……….…… 49<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกเป็นรายด้านและ<br />
รวมทุกด้าน<br />
3 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ………….… 50<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการจัดสิ่งแวดล้อม<br />
ในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
4 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ………...….. 52<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านการบริการสุขภาพ<br />
ในโรงเรียน<br />
5 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ………..….. 54<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
6 สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ……….…... 55<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ด้านความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
7 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน……. 56<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
8 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน…..… 57<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
9 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน.……. 58<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
10 การศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน……. 59<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
สารบัญแผนภาพ<br />
หน้า<br />
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัยเรื่อง สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ….. 6<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
บทที่ 1<br />
บทนำ<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา<br />
สุขภาพกับการศึกษานั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นักการศึกษาต่างเล็งเห็นความสำคัญ<br />
ของการศึกษาและสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง เยาวชนที่มีสุขภาพกายและจิตที่สมบูรณ์จะนำไปสู่การพัฒนา<br />
เต็มศักยภาพ<br />
สุชาติ โสมประยูร (2542 : 1) กล่าวว่า “อริสโตเติล และเพลโต มีแนวคิดสอดคล้องกันว่า<br />
การที่จะให้การศึกษาทางด้านอื่น ๆ นั้น สมควรที่จะให้เด็กมีสุขภาพดีเสียก่อน” ทั้งนี้หมายความว่า<br />
หากเด็กมีสุขภาพไม่ดีเสียแล้ว แม้จะให้การศึกษาอบรมดีวิเศษอย่างไร การเล่าเรียนย่อมจะไม่ได้<br />
รับผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรืออาจจะไร้ผลก็เป็นได้ สุขภาพอนามัยของประชากรจึงมีความสำคัญต่อ<br />
การพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ<br />
ของประเทศ พลเมืองของประเทศจะมีคุณภาพดีจำเป็นต้องมีสุขภาพอนามัยดี (พัชรา กาญจนรัณย์.<br />
2522 : 2) สำหรับประชากรวัยเรียนนั้นความบกพร่องทางด้านสุขภาพกาย จะนำไปสู่ความบกพร่อง<br />
ทางด้านการเรียนรวมทั้งความบกพร่องด้านอารมณ์และสังคมซึ่งเป็นเหตุให้เข้ากับคนอื่นในสังคม<br />
ได้ยาก (ธรี วฒุ ิ ประทุมนพรัตน. 2534 : 115) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกองอนามัยโรงเรียน<br />
กระทรวงสาธารณสุข (มปป. : 17) ที่ว่า “การดูแลสุขภาพอนามัยของเด็กวัยเรียนให้แข็งแรง ทั้งด้าน<br />
ร่างกาย จิตใจ และปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ จัดเป็นงานสาธารณสุขขั้นพื้นฐานประการหนึ่ง ซึ่งต้องให้<br />
การบริการอนามัยนักเรียนอย่างทั่วถึง” และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542<br />
มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง<br />
ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถ<br />
อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข<br />
สุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจของเยาวชน นำไปสู่การพัฒนาเต็มศักยภาพ<br />
ส่งเสริมสติปัญญาและความกระตือรือร้น ก่อให้เกิดคุณธรรมและจริยธรรมซึ่งเป็นบุคคลที่พึงประสงค์<br />
ที่เอื้ออาทรต่อสังคม พัฒนาตนเองและสังคมอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานที่มั่นคง จากเหตุผลดังกล่าว<br />
ผู้บริหารโรงเรียนควรมีแนวทางในการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน งานอนามัยโรงเรียนนี้ นอกจาก<br />
ผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้กำกับดูแลให้บุคลากรปฏิบัติงานตามแผนแล้วยังต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุข เพื่อมาให้บริการด้านสุขภาพแก่นักเรียนทุกภาคเรียนของแต่ละปีการศึกษา<br />
ดังนั้น สถานศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมศึกษาซึ่งเป็นตัวจักรที่สำคัญใน<br />
การปลูกฝังค่านิยมและวางพื้นฐานด้านสุขภาพอนามัยที่ถูกต้องให้นักเรียน ผู้รับผิดชอบงานอนามัย<br />
โรงเรียน ควรได้รับการสนับสนุนให้มีความชำนาญด้านการปฐมพยาบาล มีความรู้ทั้งเรื่องร่างกาย<br />
และจิตใจ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง พัฒนางาน พัฒนาเยาวชน และบุคลากรในสถานศึกษา<br />
2<br />
ปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย คือ การขาดแคลนแพทย์ โดยมีอัตรา<br />
แพทย์ต่อประชากร 1 : 3,394 คน ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ มีแพทย์ 1 : 465 และ 1.731<br />
ตามลำดับ (นโยบายและแผนสาธารณสุข 2544 : 143) จากปัญหานี้การดูแลสุขภาพอนามัยตนเอง<br />
เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในเยาวชนและโรงเรียนควรมีบทบาททางด้านการส่งเสริมสุขภาพมากขึ้น<br />
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2545 : 5) ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ป่วยและตายด้วยโรค<br />
ไร้เชื้อ หรือโรคไม่ติดต่อ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอุบัติเหตุ<br />
ซึ่งมีสาเหตุจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษา อบรม ชี้แนะ ตลอดทั้งการถ่าย<br />
ทอดวิถีชีวิต ค่านิยม และวัฒนธรรมไม่เหมาะสม<br />
สำนักนโยบายและแผนสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (2541 : 13) พฤติกรรม<br />
การบริโภคอาหารของคนไทยนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูป (Fast Food) ซึ่งนำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ<br />
ทั้งขาดและเกิน ทารกและเด็กมีปัญหาการขาดอาหารร้อยละ 10.62 เด็กอายุ 6 – 19 ปี เป็นโรคอ้วน<br />
ร้อยละ 9-19 วัยรุ่นอายุ 15 ปี ขึ้นไป บริโภคอาหารเร่งด่วนร้อยละ 42 พฤติกรรมการบริโภคดังกล่าว<br />
มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยอย่างชัดเจนและมีแนวโน้มทวีความ รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ<br />
โรคหัวใจและหลอดเลือด<br />
กระทรวงสาธารณสุขและแผนพัฒนาสุขภาพในประเทศไทย (ม.ป.ป. : 25) (Ministry of<br />
public Health and Health Development Plan in Thailand) ในปี พ.ศ.2537 ได้มีการสำรวจด้าน<br />
ทันตสุขภาพ ครั้งที่ 4 มีรายงานว่า เด็กอายุ 3 – 5 ปี มีฟันน้ำนมผุ ร้อยละ 97 เฉลี่ย 3 – 7 ซี่ต่อคน<br />
ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการรักษา เด็กอายุ 6 ปี ร้อยละ 11 ฟันกรามแท้ผุ เด็กอายุ 6 –12 ปี ร้อยละ 53.9 มี<br />
ฟันผุ ฟันหัก หรืออุดฟัน เฉลี่ย 1.6 ซี่ต่อคน และจากผลการวิจัยของ อารยา พงษ์หาญยุทธ และ<br />
คณะ (2545 : 17) พบว่า เด็กอายุ 18 – 72 เดือน ในคลีนิคทันตสุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล<br />
จากการตอบแบบสอบถามของผู้ปกครอง 104 ราย ตรวจฟันเด็ก พบว่า ร้อยละ 26 มีค่าเฉลี่ย ฟันผุ<br />
ถอน อุด ประมาณ 6 – 10 ซี่ต่อคน<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2527 : 66) ปัญหาจากการสูญเสียฟัน<br />
คือ ทำให้ระบบการย่อยอาหารขั้นต้นถูกทำลาย ส่วนฟันและเหงือกที่เป็นโรค เชื้อโรคจะแพร่<br />
กระจายไปสู่อวัยวะอื่นทางเส้นเลือดและเส้นน้ำเหลืองที่ไหลเวียนไปสู่ปอดและหัวใจ อาจนำไปสู่<br />
การเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ฝีในปอด เกิดการอักเสบที่เยื่อบุหัวใจ เยื่อหุ้มสมอง ตา โพรงจมูก ตับ<br />
ฯลฯ เมื่อเป็นรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้<br />
กองส่งเสริมสุขภาพ กรุงเทพมหานคร (ม.ป.ป : 5) สรุปผลการตรวจสุขภาพนักเรียนประจำ<br />
ปีการศึกษา 2545 อัตราการตรวจพบโรคและความผิดปกติ 5 อันดับ คือ ฟันผุ ร้อยละ 66.95 โรค<br />
ระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ 14.55 โรคเหา ร้อยละ 10.46 โรคอ้วน ร้อยละ 10.29 และผอม<br />
ร้อยละ 8.29<br />
กองควบคุมโรค (2543 : 5) มีรายงานว่ามีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในกรุงเทพมหานคร จำนวน<br />
5,241 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 92.25 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน เสียชีวิต 6 ราย โรคไข้เลือดออกเป็น<br />
3<br />
โรคติดต่อรุนแรงที่มักเกิดกับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในระดับอนุบาลและประถมศึกษา (สำนัก<br />
อนามัยกรุงเทพมหานคร. ม.ป.ป. : 25)<br />
ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียนมีมากมายซึ่งโรคบางโรคเกิดจากการไม่รักษาอนามัย<br />
ส่วนบุคคล วัฒนธรรมความเป็นอยู่ไม่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมไม่ดี รวมทั้งมีการบริโภคอาหารที่ไม่มี<br />
คุณค่าทางโภชนาการ เครื่องปรุงที่ไม่ปลอดภัยและไม่สะอาด (กระทรวงสาธารณสุขและแผนพัฒนา<br />
สุขภาพในประเทศไทย. ม.ป.ป : 26 , กิติศักดิ์ กลับดี และคณะ. 2536 : บทคัดย่อ) นอกจากนี้มี<br />
นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่เจ็บป่วยจากบ้านแต่ผู้ปกครองให้มาโรงเรียนด้วยเหตุผลสองประการคือ<br />
ประการแรกเกรงว่าบุตรหลานจะเรียนไม่ทันเพื่อน ประการที่สอง ด้วยสาเหตุที่ตนต้องไปประกอบ<br />
อาชีพนอกบ้านไม่มีใครดูแลนักเรียน (จินตนา สรายุทธพิทักษ์. 2541:14) การปล่อยให้บุตรหลานอยู่<br />
ตามลำพังที่บ้าน นอกจากจะเกรงอันตรายจากอาการของโรคแล้ว สภาพสังคมปัจจุบันสร้างความ<br />
ห่วงใย วิตกกังวลให้ผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง การนำบุตรหลานมาฝากที่โรงเรียนอย่างน้อยจะมีครูและ<br />
ครูอนามัยโรงเรียนให้การปฐมพยาบาล มีอาหารและยาสามัญประจำบ้านรับประทาน ตลอดทั้งมีห้อง<br />
พยาบาลที่สะอาดเหมาะสมไว้ให้นอนพักผ่อน นอกจากการเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ แล้ว การเกิดอุบัติ<br />
เหตุในโรงเรียนนั้นมีเกิดขึ้นเสมอ อุบัติเหตุบางประเภท หากปฐมพยาบาลไม่ถูกต้อง ล่าช้า<br />
ขาดประสิทธิภาพ อาจเพิ่มปัญหาให้กับผู้ป่วย ดังนั้นผู้บริหารต้องกำกับดูแล แนะนำให้ครูอนามัย<br />
โรงเรียนพึงตระหนักและดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกับผู้ปกครองนักเรียน<br />
จากความสำคัญและปัญหาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่างานอนามัยโรงเรียนเป็นกลจักรที่สำคัญ<br />
ในการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นปัจจัยในการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม<br />
และสติปัญญา จึงเป็นสาเหตุให้ผู้วิจัยมีความสนใจจะศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ประโยชน์ที่ได้รับ<br />
ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ดังนี้<br />
1. ครูและอาจารย์ผู้รับผิดชอบงานอนามัยโรงเรียนได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง<br />
และพัฒนาการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน<br />
2. ผู้บริหารโรงเรียนจะได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงาน<br />
อนามัยโรงเรียน<br />
3. ผู้อำนวยการการประถมศึกษากรุงเทพมหานครได้นำไปใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศในการ<br />
4<br />
กำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนางานอนามัยโรงเรียนของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน<br />
การประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
ขอบเขตของการวิจัย<br />
1. การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2545 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา<br />
ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหาร และครูอนามัยโรงเรียน จำนวน 114 คน จาก 38 โรงเรียน<br />
2. ศึกษาสภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนซึ่งมีขอบข่ายของงาน 4 ด้าน คือ<br />
2.1 การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ (Healthful School Living)<br />
2.2 การบริการสุขภาพในโรงเรียน (School Health Service)<br />
2.3 สุขศึกษาในโรงเรียน (School Health Education)<br />
2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน (School and Community<br />
Relationship)<br />
นิยามศัพท์เฉพาะ<br />
1. โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (ปัจจุบันสังกัดสำนักงานเขต<br />
พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร)<br />
2. ผู้บริหารโรงเรียน หมายถึง อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือผู้รักษาการใน<br />
ตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
3. ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน หมายถึง ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน<br />
ฝ่ายบริการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกำกับติดตามการปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียน<br />
4. ครูอนามัยโรงเรียน หมายถึง ครูหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับมอบหมายจาก<br />
ผู้บริหารโรงเรียนให้มีหน้าที่รับผิดชอบงานอนามัยโรงเรียน<br />
5. งานอนามัยโรงเรียนหรือโครงการอนามัยโรงเรียน หมายถึง กิจกรรมหรือ<br />
การดำเนินงาน เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจ ดำรงรักษาและปรับปรุง ส่งเสริมสุขภาพนักเรียนและ<br />
บุคลากรในโรงเรียนรวมทั้งการจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองรับรู้<br />
6. สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน หมายถึง ลักษณะที่รับรู้ได้ถึงการจัดการ<br />
5<br />
ให้มีการปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียนบนพื้นฐานของทรัพยากรที่มีอยู่ ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียน<br />
หรือผู้เกี่ยวข้อง งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ เวชภัณฑ์และยา โดยงานอนามัยโรงเรียนแบ่งเป็น 4<br />
ด้านคือ<br />
6.1 การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ หมายถึง การจัดหรือ<br />
ดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้าง อาคารสถานที่ การควบคุมดูแลรักษา และการพัฒนาอาคารสถานที่<br />
การตกแต่งบริเวณโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ ในการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ รวมทั้งการที่<br />
ผู้บริหารและครูสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีด้านสุขภาพอนามัยแก่นักเรียนและชุมชน<br />
6.2 การบริการสุขภาพในโรงเรียน หมายถึง การบริการด้านสุขภาพอนามัยแก่<br />
นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนเมื่อเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุโดยการปฐมพยาบาล การส่งต่อ<br />
ศูนย์บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลตามความเหมาะสม ตลอดทั้งมีการตรวจสุขภาพและให้<br />
ภูมิคุ้มกันโรคแก่นักเรียน โดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่งเสริมโภชนาการในโรงเรียน<br />
และการออกกำลังกาย รวมทั้งการติดตามผลการให้การพยาบาลรักษานักเรียน<br />
6.3 สุขศึกษาในโรงเรียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ การจัดการเรียน<br />
การสอน อำนวยความสะดวก ส่งเสริม กระตุ้นให้ครูและนักเรียนเกิดการเรียนรู้เรื่องสุขภาพอนามัย<br />
การฝึกทักษะและสร้างเจตคติด้านสุขภาพอนามัยที่จะทำให้นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม<br />
สุขภาพและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน<br />
6.4 ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน หมายถึง การประชาสัมพันธ์<br />
ให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองนักเรียนและชุมชน โดยให้รับรู้นโยบายด้านการบริการสุขภาพ เพื่อให้<br />
ผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนให้ความร่วมมือสนับสนุน ช่วยเหลือกิจการอนามัยโรงเรียน การ<br />
ประสานงานติดตามผลการรักษา นักเรียนที่เจ็บป่วยหรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพ ตลอดจนการร่วม<br />
มือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและชุมชนในการแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยนักเรียน<br />
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย เรื่อง สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
6<br />
งานอนามัยโรงเรียนตามแนวคิดของ นีเมอร์ (Nemir 1970<br />
: 268)<br />
1. การจัดสิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ<br />
1.1 การก่อสร้างอาคารถูกสุขลักษณะ<br />
- การปลูกต้นไม้<br />
- สถานที่เหมาะสมเป็นสถานศึกษา สามารถ<br />
ประยุกต์ใช้ มีความสะดวกสบาย<br />
- การระบายอากาศและแสงสว่างเพียงพอ<br />
- ความปลอดภัย<br />
- สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม<br />
1.2 บรรยากาศในโรงเรียน<br />
- กิจกรรมพิเศษ<br />
- สวัสดิศึกษา<br />
- โครงการอาหารกลางวัน<br />
1.3 อนามัยส่วนบุคคล<br />
- สถานที่ออกกำลังกาย<br />
2. การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
2.1 ประเมินสุขภาพกายและจิต<br />
- การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และบันทึก<br />
- การทดสอบสมรรถภาพ<br />
2.2 การติดตามประเมินผล<br />
- การส่งไปรักษา<br />
- การจัดห้องเรียน<br />
- โครงการพิเศษ สุขภาพจิต<br />
- การให้การพยาบาล<br />
- การให้คำปรึกษา<br />
2.3 อนามัยส่วนบุคคล<br />
- การตรวจสุขภาพครูและบุคลากร<br />
3. สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
3.1 การสอนตามความสนใจและความต้องการของ<br />
นักเรียน<br />
- การใช้สื่อ<br />
- การสอนในห้องวิทยาศาสตร์สุขภาพ<br />
3.2 การบูรณาการ<br />
- การสร้างทัศนคติที่ดี<br />
- การฝึกปฏิบัติและนำไปใช้<br />
3.3 ข้อเสนอแนะ<br />
- ให้คำปรึกษารายกลุ่ม / รายบุคคล<br />
งานอนามัยโรงเรียนตามแนวคิดของ : สำนักงานคณะกรรมการ<br />
การประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 4)<br />
1. อนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน<br />
- การปรับปรุงสภาพแวดล้อม<br />
- ความปลอดภัยจากโรคและอุบัติเหตุ<br />
- การส่งเสริมสุขภาพกายและจิต<br />
- การเป็นตัวอย่างที่ดีต่อนักเรียนและชุมชน<br />
2. การบริการอนามัยโรงเรียน<br />
- การมีบัตรสุขภาพ<br />
- การตรวจสุขภาพ / ให้การพยาบาลผู้ป่วย<br />
- การสร้างภูมิคุ้มกันโรค<br />
- การติดตามผลการรักษา<br />
- โภชนาการในโรงเรียน<br />
- การออกกำลังกาย<br />
3. สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
- การถ่ายทอดความรู้<br />
- การฝึกทักษะ และสร้างเจตนคติ<br />
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ<br />
4. ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียน<br />
- การสร้างความเข้าใจ ให้ชุมชนมีส่วนร่วม<br />
- การรับรู้ปัญหาและร่วมแก้ปัญหา<br />
- การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนและเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุข<br />
สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนของโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
ประกอบด้วย การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
การบริการสุขภาพในโรงเรียน สุขศึกษาในโรงเรียน และความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
การศึกษาเรื่อง สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนัก<br />
งานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยจะนำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่อไปนี้<br />
1. แนวคิดเกี่ยวกับงานอนามัยโรงเรียน<br />
1.1 ประวัติงานอนามัยโรงเรียน<br />
1.2 ความจำเป็นและความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน<br />
1.3 ความหมายของงานอนามัยโรงเรียน<br />
2. การบริหารงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
2.1 ภาระหน้าที่และงานของผู้บริหารโรงเรียน<br />
2.2 ลักษณะของงานอนามัยโรงเรียน<br />
2.3 เกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพ<br />
3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านสุขศึกษาในโรงเรียน<br />
3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
1. แนวคิดเกี่ยวกับงานอนามัยโรงเรียน<br />
1.1 ประวัติงานอนามัยโรงเรียน<br />
ความเป็นมาของงานอนามัยโรงเรียนเริ่มในทวีปยุโรป ที่ประเทศบาวาเรีย (Bavaria)<br />
เมื่อ พ.ศ. 2333 โดยมีการให้อาหารกลางวันแก่นักเรียนยากจนและขณะนั้นมีนักจิตศาสตร์ชื่อ แฟรงค์<br />
(Frank) เขียนหนังสือเกี่ยวกับอนามัยโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก<br />
ในปี พ.ศ. 2376 ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกกฎหมายคุ้มครองสุขภาพนักเรียนขึ้น<br />
โรงเรียนทุกแห่งต้องควบคุมดูแลสุขาภิบาลในโรงเรียน จัดให้มีแพทย์ประจำโรงเรียนทุกแห่งใน<br />
กรุงปารีส<br />
ในปี พ.ศ.2411 ประเทศสวีเดน เริ่มให้มีแพทย์ประจำโรงเรียน<br />
8<br />
ในปี พ.ศ.2417 ประเทศเบลเยี่ยมที่กรุงปรัสเซลมีการจัดให้แพทย์ตรวจสุขภาพนักเรียน<br />
มีการตรวจฟันและตา เนื่องจากเป็นโรคที่พบมากในโรงเรียน<br />
ในปี พ.ศ.2438 เริ่มที่รัฐชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
ในปี พ.ศ.2444 สมาคมส่งเสริมสุขภาพนักเรียนได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงนิวยอร์ค<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นมีการตั้งองค์การต่าง ๆ ขึ้นมีทั้งของรัฐและเอกชน ซึ่งมีความเจริญ<br />
ก้าวหน้ามาก<br />
ในปี พ.ศ.2461 องค์การสงเคราะห์อนามัยเด็กแห่งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้มีการ<br />
เผยแพร่โฆษณาความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน<br />
ในประเทศไทย งานอนามัยโรงเรียนได้เริ่มจัดตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2468 โดยพระราชดำริ<br />
ของสมเด็จพระบรมราชชนก เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ คือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดุลยเดช<br />
วิกรมบรมราชชนก พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการบริการสุขภาพในโรงเรียนว่าเป็น<br />
งานสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน ให้จัดตั้งแผนกสุขาภิบาลโรงเรียนในกระทรวงธรรมการ ทรงวางแนวทาง<br />
ปฏิบัติด้านการสุขศึกษา การสุขาภิบาลและควบคุมดูแลสุขภาพของนักเรียน<br />
ในปี พ.ศ. 2476 ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาปรับปรุงยกฐานะ แผนกสุขาภิบาล<br />
โรงเรียนขึ้นเป็นกองสุขาภิบาลโรงเรียน สังกัดกรมพลศึกษา กระทรวงธรรมการ<br />
ในปี พ.ศ. 2485 ได้มีการโอนกองสุขาภิบาลโรงเรียน จากกรมพลศึกษาไปอยู่กับ<br />
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกองอนามัยโรงเรียน มีหน้าที่ดำเนินงาน<br />
ควบคุมและจัดการงานอนามัยโรงเรียนทั่วราชอาณาจักร<br />
ในปี พ.ศ. 2495-2497 กรมอนามัยได้รับการช่วยเหลือจากองค์การบริหารวิเทศกิจแห่ง<br />
สหรัฐอเมริกาในด้านเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์และยานพาหนะ มีการขยายงานบริการจากส่วนกลาง<br />
ไปสู่ส่วนภูมิภาค โดยตั้งหน่วยอนามัยโรงเรียนขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นอันดับแรก ต่อมาขยายไป<br />
ที่จังหวัดเชียงใหม่ อุบลราชธานี สงขลาและราชบุรี ต่อมาขยายงานขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค<br />
ในปี พ.ศ.2504 ได้มีการปรับปรุงงานอนามัยโรงเรียนอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่ง<br />
ชาติ ฉบับที่ 1 โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการอนามัยโรงเรียนขึ้น เรียกว่า<br />
“คณะกรรมการอนามัยโรงเรียนระดับชาติ”<br />
ในปี พ.ศ. 2511 – 2514 ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การทุนสงเคราะห์เด็ก<br />
ยามฉุกเฉินสหประชาชาติ(UNICEF)ในการฝึกอบรมสนับสนุนทางด้านวิชาการได้มีการอบรมเจ้าหน้าที่<br />
และครู จำนวน 20 จังหวัด การดำเนินงานดังกล่าวได้จัดทำเป็นโครงการขึ้นเรียกว่า “โครงการอนามัย<br />
โรงเรียน ร่วมกับองค์การกองทุนสงเคราะห์เด็กยามฉุกเฉินแห่งสหประชาชาติ”<br />
ในปี พ.ศ. 2517 กองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งฝ่ายสุขศึกษา<br />
ในโรงเรียน ในกองสุขศึกษา<br />
9<br />
กระทรวงศึกษาธิการ มีการเปิดรับครูอนามัยโรงเรียน เรียกว่า ครูพยาบาลโรงเรียน<br />
ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสุขภาพนักเรียน บุคลากรกลุ่มนี้อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ฉัตรสุดา<br />
ชินประสาทศักดิ์ 2540 : 18)<br />
ในปี พ.ศ. 2520 ได้มีการจัดตั้งอนุกรรมการสุขศึกษา สายการศึกษาขึ้น เพื่อทำหน้าที่<br />
กำหนดนโยบายควบคุม และให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการสุขภาพในโรงเรียน<br />
ในปี พ.ศ.2525 กองอนามัยโรงเรียน กระทรวงสาธารณสุขมีโครงการอบรมงาน<br />
อนามัยโรงเรียนแก่ครูประถมศึกษาและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข<br />
ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งที่มีส่วนรับผิดชอบงานอนามัยโรงเรียน ได้แก่ ฝ่าย<br />
สุขศึกษาในโรงเรียน กองสุขศึกษา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กองส่งเสริมสุขภาพ กรม<br />
พลศึกษา (ม.ล. มยุเรศ พูลศิริ. 2535 : 1, จินตนา สรายุทธพิทักษ์. 2541 : 10-11, ทวีสิทธิ์ สิทธิกร.<br />
2531 : 25-31)<br />
1.2 ความจำเป็นและความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน<br />
องค์การอนามัยโลก (1996 : 31) ได้จัดประชุมเรื่องสภาพงานอนามัยโรงเรียน (The<br />
Status of School Health) ชี้แจงถึงเหตุผลการลงทุนในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับงานอนามัยโรงเรียน<br />
ว่าผู้ดำเนินนโยบายในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นต้องนำโครงการอนามัยโรงเรียนไปปฏิบัติให้<br />
คุ้มค่าต่อการลงทุนให้มากที่สุด โดยการทำให้สุขภาพของนักเรียนดีขึ้น ดังนั้นโรงเรียนจึงควรดำเนิน<br />
งานโครงการอนามัยโรงเรียน เพราะเป็นการให้การศึกษาที่มีคุณค่า ครูเป็นบุคลากรที่ทำให้เกิดผล<br />
กระทบต่อสุขภาพนักเรียนเป็นอย่างมาก การดำเนินโครงการอนามัยโรงเรียนต้องมีการประสานงาน<br />
ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อตระเตรียมปัจจัยหลายปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพ<br />
สำนักงานคณะกรรมการ การประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (2540 : 3)<br />
มีแนวความคิดเกี่ยวกับงานอนามัยโรงเรียนว่า เด็กนักเรียนทุกคนมีสิทธิได้รับการบริการอนามัยเท่า<br />
เทียมกัน การให้บริการด้านนี้จึงควรคำนึงถึงความครอบคลุมและทั่วถึง<br />
สุขภาพที่ดีย่อมเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะสำหรับเด็ก<br />
ในวัยกำลังเจริญเติบโต ดังนั้น การมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กในวัยนี้จึงต้องให้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ<br />
ประสบการณ์ การฝึกปฏิบัติในด้านสุขภาพอนามัยที่ถูกต้อง และการให้บริการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิด<br />
เป็นสุขนิสัย สามารถลดปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน จนมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีความ<br />
สามารถที่จะพัฒนาด้านอื่น ๆ ดังนั้น การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนให้ได้ผลอย่างจริงจัง จึงต้องให้<br />
ความรู้ความเข้าใจและจัดประสบการณ์ตรงให้แก่นักเรียน รวมทั้งการจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้<br />
ฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นนิจจนเกิดเป็นสุขนิสัย<br />
10<br />
สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 15) ได้กล่าวว่า การจัดโครงการสุขภาพในโรงเรียนหรือ<br />
งานอนามัยโรงเรียนนั้นมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง<br />
เพื่อให้นักเรียนและบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมีสุขภาพและพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมที่จะ<br />
ศึกษาเล่าเรียนได้จนจบหลักสูตรหรือปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพรวมทั้งเพื่อให้มี<br />
สุขนิสัยที่ดีในการที่จะสร้างเสริมสุขภาพอนามัยของตนเอง ของครอบครัวและของชุมชน และเป็น<br />
ประชากรที่มีคุณภาพในอันที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น<br />
ทวีสิทธิ์ สิทธิกร (2531 : 15) ได้กล่าวถึง ความสำคัญและความจำเป็นของโครงการ<br />
สุขภาพในโรงเรียนไว้ว่า โรงเรียนเป็นสถานที่รวมของเด็กในชุมชนจำนวนมาก ซึ่งเด็กเหล่านี้กำลังอยู่<br />
ในวัยกำลังเจริญเติบโตและจะเป็นพลเมืองอันเป็นกำลังของชาติ สมควรที่โรงเรียนจะต้องให้ความคุ้ม<br />
ครองต่อเด็กเพื่อให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุต่าง ๆ พร้อมทั้งช่วยให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย<br />
และจิตใจ และความเจริญงอกงามในด้านอื่น ๆ ให้สมบูรณ์ตามความมุ่งหมายของการศึกษาด้วย ดังนั้น<br />
การดำเนินงานโครงการสุขภาพในโรงเรียนจึงมีความสำคัญมาก<br />
ธรี วฒุ ิ ประทุมนพรัตน (2534 :116) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของงานอนามัยโรงเรียน<br />
ว่า การจัดบริการสุขภาพอนามัยช่วยให้บิดามารดามีความสบายใจขึ้น เพราะเกิดมั่นใจว่า นอกจากส่ง<br />
นักเรียนมาไว้ในโรงเรียนอยู่ร่วมกับนักเรียนอื่นๆ ภายในสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ ยังเชื่อมั่นว่า นักเรียน<br />
ได้รับการดูแลด้านสุขภาพด้วย บิดามารดาสามารถประกอบอาชีพได้อย่างสุขใจ เมื่อบุตรหลานของตน<br />
ไม่เจ็บป่วย และเรียนรู้เรื่องการป้องกันรักษาตนเองอย่างถูกต้อง กรณีที่เกิดเจ็บป่วย พลัดตกหกล้ม<br />
ฉุกเฉิน งานบริการสุขภาพในโรงเรียนสามารถช่วยได้เป็นอย่างดี<br />
สรุปว่า งานอนามัยโรงเรียนเป็นงานที่จำเป็นและสำคัญ เป็นงานที่องค์การอนามัยโลก<br />
ได้เข้ามาสนับสนุนและประสานความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น<br />
โรงเรียนเป็นที่รวมของเด็กจากชุมชนต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย เด็กเหล่านี้กำลังเจริญเติบโต กำลัง<br />
ศึกษาเล่าเรียน และอยู่ในวัยที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้ สมควรได้รับการดูแลคุ้มครอง<br />
ให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกทักษะด้านสุขภาพ<br />
อนามัย ให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง ครอบครัว<br />
และชุมชน ให้มีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและปรับตัวสู่สังคมได้ดี เป็นประชากร<br />
ที่มีคุณภาพในอันที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติต่อไป<br />
1.3 ความหมายของงานอนามัยโรงเรียน<br />
งานอนามัยโรงเรียน (School Health Program) มีชื่อเรียกต่างกัน เช่น โครงการ<br />
อนามัยโรงเรียน หรือโครงการสุขภาพในโรงเรียน (ทวีสิทธิ์ สิทธิกร. 2531 : 12) มีผู้ให้ความหมาย<br />
ของงานอนามัยโรงเรียนไว้ดังนี้<br />
11<br />
กระทรวงสาธารณสุข (2539 : 30) ให้ความหมายว่า โครงการสุขภาพในโรงเรียน<br />
(งานอนามัยโรงเรียน) หมายถึง การจัดดำเนินการที่มุ่งสร้างเสริมป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพเด็ก<br />
วัยเรียนให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ตลอดทั้งมีการพัฒนาตามวัยอย่างเหมาะสม<br />
โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและครูช่วยกันดำเนินงาน อันจะส่งผลต่อการศึกษาเล่าเรียนและเพื่อให้<br />
นักเรียนได้รับความรู้ เกิดทัศนคติ มีประสบการณ์ด้านอนามัยที่ถูกต้องเป็นตัวอย่างแก่ครอบครัวของ<br />
ตนเองและชุมชน<br />
ทวีสิทธิ์ สิทธิกร (2531: 2) ให้ความหมายของโครงการสุขภาพในโรงเรียนว่าเป็น<br />
โครงการที่จะปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพเป็นเป้าหมายซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่สาํ คัญอย่างหนึ่งของการจัด<br />
การศึกษา ฉะนั้นการที่โรงเรียนจะช่วยส่งเสริมความเป็นผู้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจและสังคมให้กับ<br />
นักเรียนจึงเป็นสิ่งดีงาม สอดคล้องกับหลักการศึกษาที่ถูกต้องอย่างยิ่ง<br />
พรณี พันมา (2540 : 8) ให้ความหมายว่า โครงการสุขภาพในโรงเรียน หมายถึง<br />
งานที่กระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า งานอนามัยโรงเรียน เป็นงานที่ครอบคลุมงานด้านการจัดสิ่งแวดล้อม<br />
ในโรงเรียน การบริการสุขภาพในโรงเรียน การให้สุขศึกษาในโรงเรียน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้นักเรียน<br />
เกิดความสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจและอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข<br />
Good (1973 : 277) ให้ความหมายว่า งานอนามัยโรงเรียนหมายถึง การวางโครงการ<br />
ใช้แหล่งทรัพยากรของโรงเรียน บ้านและชุมชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยการให้ความรู้ สร้างเจตคติ<br />
และการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่นักเรียน จัดสภาวะสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน รวมทั้งการดำเนินการให้มี<br />
การตรวจสุขภาพ การจัดการเรียนการสอนเรื่องสุขภาพ โภชนาการและการวางหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับ<br />
การส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียน<br />
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความหมายของงานอนามัยโรงเรียนหรือ โครงการสุขภาพ<br />
ในโรงเรียน ตามแนวคิดของหลายท่านที่กล่าวมามีลักษณะคล้ายคลึงและสอดคล้องกัน กล่าวคือ<br />
งานอนามัยโรงเรียน หมายถึง การดำเนินงานด้านสุขภาพอนามัยโดยหน่วยงานสาธารณสุขและ<br />
โรงเรียน เพื่อส่งเสริม ป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพนักเรียน เพื่อให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ<br />
และสติปัญญา ปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข มีทัศนคติที่ดีและมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง เป็น<br />
ตัวอย่างที่ดีต่อครอบครัวและชุมชน<br />
12<br />
2. การบริหารงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
2.1 ภาระหน้าที่และงานของผู้บริหารโรงเรียน<br />
สมเดช สีแสง (2539 : 123) กล่าวว่า งานบริหารโรงเรียนประถมศึกษาประกอบด้วย<br />
งาน 6 งาน คือ งานวิชาการ งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน งานธุรการและการเงิน งานอาคาร<br />
สถานที่และงานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน งานทั้ง 6 งานนี้มีเป้าหมายหลักร่วมกัน คือ<br />
ให้นักเรียนมีความรู้ ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามจุดหมายของหลักสูตร โดยมีงาน<br />
วิชาการเป็นหลัก ส่วนงานอื่นๆ เป็นงานสนับสนุนส่งเสริมงานวิชาการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น<br />
อุลิต ลียะวณิช และคณะ (2527 : 28 – 29) กล่าวว่า การบริหารงานในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษาตามหลักวิชาการศึกษาส่วนใหญ่แบ่งเป็น 6 งาน คือ<br />
1. งานด้านวิชาการ ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้น<br />
ในเรื่องหลักสูตร การจัดโปรแกรมการเรียนการสอน การจัดโครงการสอน การเตรียมการสอน<br />
สื่อการเรียน วิธีสอน การนิเทศ ตลอดจนการประเมินผลการเรียนของนักเรียน<br />
2. งานบุคลากร ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการให้บุคลากรในโรงเรียนซึ่งได้แก่<br />
ข้าราชการครูและคนงานภารโรงได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้มี<br />
ความรู้ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างขวัญกำลังใจ ช่วยเหลือแนะนำ ให้ความ<br />
เป็นธรรมในการพิจารณาความดีความชอบ ฯลฯ<br />
3. งานกิจการนักเรียน ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ<br />
ประถมศึกษา เช่น การสำรวจจำนวนนักเรียนที่เข้าเรียน การเกณฑ์นักเรียนเข้าเรียน ยกเว้นการ<br />
เข้าเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานอื่น ๆ อีกมาก เช่น การปฐมนิเทศ การบริการด้านสุขภาพอนามัย<br />
โครงการอาหารกลางวัน การแนะแนว เป็นต้น<br />
4. งานธุรการ ได้แก่ งานสารบรรณ งานสถิติและข้อมูล งานทะเบียน การจัดตั้ง<br />
งบประมาณการจัดซื้อและจัดซื้อจัดจ้าง<br />
5. งานอาคารสถานที่ ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการวางแผนความต้องการอาคารเรียน<br />
และอาคารประกอบ การตกแต่งสถานที่ การดูแลรักษาอาคารบริเวณโรงเรียน ตลอดจนการดูแลรักษา<br />
ซ่อมแซมครุภัณฑ์ของโรงเรียน<br />
6. งานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ได้แก่ กิจกรรมการศึกษาของ<br />
โรงเรียนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สมาคมศิษย์เก่า สมาคมครูผู้ปกครอง การประชาสัมพันธ์ให้ชุมชน<br />
ได้ทราบกิจกรรมของโรงเรียน รวมถึงกิจกรรมที่โรงเรียนสามารถช่วยเหลือชุมชนได้<br />
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ต้องรับผิดชอบปฏิบัติภารกิจ<br />
หน้าที่งานบริหาร 6 งาน ได้แก่ งานวิชาการ งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน งานธุรการ งานอาคาร<br />
สถานที่และงานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน<br />
13<br />
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ (2534 : 37) ได้กำหนดขอบเขตของกิจการนักเรียนไว้ดังนี้<br />
1. การสำรวจนักเรียนที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์บังคับ ที่เรียกว่าทำสำมะโนนักเรียน<br />
2. การรับเด็กเข้าเรียน<br />
3. การลงทะเบียนเรียน<br />
4. การแบ่งกลุ่มแบ่งชั้นเรียน<br />
5. การปฐมนิเทศ<br />
6. การจัดให้ทุนการศึกษา<br />
7. การจัดกิจกรรมนักเรียนหรือกิจกรรมเสริมหลักสูตร<br />
8. การจัดบริการและสวัสดิการต่าง ๆ<br />
8.1 บริการเรื่องอาหารกลางวัน<br />
8.2 บริการสุขภาพอนามัย<br />
8.3 บริการหอพัก<br />
8.4 บริการให้คำปรึกษาหารือหรือแนะแนว<br />
8.5 บริการให้ทำงานเพื่อหารายได้พิเศษ<br />
8.6 บริการสอนซ่อมเสริม<br />
9. การรักษาวินัยและความประพฤติของนักเรียน<br />
10. การทำระเบียนสะสม เก็บหลักฐานและประวัตินักเรียน<br />
11. การวิจัยประเมินผลและติดตามผลเมื่อนักเรียนสำเร็จไปแล้ว<br />
สรุปว่า การบริหารกิจการนักเรียนเป็นการเตรียมการเพื่อให้เยาวชนได้เข้ารับการศึกษา<br />
เมื่อเข้าสู่ระบบโรงเรียนแล้วได้รับการดูแลโดยการอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ สนับสนุน มีการ<br />
จัดบริการด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านสุขภาพอนามัย เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและมีการพัฒนาเต็มศักยภาพ มี<br />
การติดตามประเมินผลเมื่อนักเรียนเรียนจบหลักสูตรแล้ว ซึ่งกิจกรรมที่มีค่าเหล่านี้หากได้รับการบริหาร<br />
จัดการอย่างถูกต้องครบถ้วนและต่อเนื่องจะเกิดการพัฒนางาน ผลดีย่อมเกิดแก่เยาวชนอย่างแท้จริง<br />
สำหรับงานโครงการสุขภาพในโรงเรียนหรืองานอนามัยโรงเรียนนั้น อาจจัดอยู่ใน<br />
งานกิจการนักเรียนหรืองานบริการด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารโรงเรียนจะต้องดำเนินการด้วย<br />
นอกจากนี้งานอนามัยโรงเรียนยังมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับงานทุกงานอีกด้วยโดยเฉพาะงาน<br />
วิชาการ งานอาคารสถานที่และงานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน (สมศักดิ์ อัมพรต. 2538<br />
: 10)<br />
14<br />
2.2 ลักษณะของงานอนามัยโรงเรียน<br />
ลักษณะของงานอนามัยโรงเรียนหรือโครงการสุขภาพในโรงเรียน จำเป็นต้องอาศัย<br />
เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายดำเนินการ เช่น ฝ่ายครูผู้สอน ฝ่ายผู้บริหารโรงเรียน ฝ่ายนิเทศทางวิชาการ<br />
ฝ่ายเจ้าหน้าที่อนามัย เป็นต้น และกระบวนการดำเนินงานจะได้ผลนั้นจำเป็นต้องดำเนินการพร้อมกัน<br />
หลาย ๆ ด้าน เช่น การบริการสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียน (ทวีสิทธิ์ สิทธิกร.<br />
2531 : 2)<br />
การดำเนินงานอนามัยโรงเรียน หรือโครงการสุขภาพในโรงเรียน ประกอบด้วย<br />
ลักษณะงานสำคัญ 4 ประการคือ การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่ถูกสุขลักษณะ การจัดบริการสุขภาพ<br />
การจัดการเรียนการสอนสุขศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน โรงเรียนและชุมชน<br />
(สมศักดิ์ อัมพรต. 2538 : 15)<br />
สรุปว่า ลักษณะงานอนามัยโรงเรียน เป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากร<br />
ทางการศึกษา บุคลากรทางการแพทย์และการมีส่วนร่วมของชุมชน กระบวนการปฏิบัติงานต้องมีการ<br />
ประสานงานให้สอดคล้องกัน มีลักษณะงานที่สำคัญ 4 ประการคือ<br />
1. การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
2. การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
3. สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
4. ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
ลักษณะงานอนามัยโรงเรียน มีรายละเอียดดังนี้<br />
1. การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ หมายถึง การจัดการควบคุมดูแลการ<br />
ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโรงเรียนให้อยู่ในสภาพที่ดีและถูกสุขลักษณะ เพื่อช่วยให้สามารถป้อง<br />
กันโรคติดต่อ และช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีสุขภาพดี ตลอดจน<br />
เกิดสุขนิสัยที่ดี (จรินทร์ ธานีรัตน์. 2529 : 6)<br />
จินตนา สรายุทธพิทักษ์ (2541 : 28) การจัดโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ หมายถึง การ<br />
จัดการควบคุมดูแลปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้อยู่ในสภาพที่สามารถป้องกันโรคภัย<br />
ไข้เจ็บและช่วยลดอุบัติเหตุ เพื่อช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีสุขภาพอนามัยด ี ตลอดจนเกิดสุขนิสัยที่ดี<br />
ประสิทธิ์ สาระสันต์ (2536 : 11) การจัดสิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ เป็นการจัด<br />
ให้โรงเรียนมีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ ได้แก่ สถานที่ตั้งโรงเรียน อาคารเรียน<br />
แสงสว่างและการทาสี การจัดระบบเสียง การระบายอากาศ โต๊ะเรียนและม้านั่ง อุปกรณ์และครุภัณฑ์<br />
การศึกษา อาคารประกอบ น้ำดื่มน้ำใช้ การกำจัดขยะและน้ำโสโครก สนามและรั้วโรงเรียน การปลูก<br />
ต้นไม้ โครงการสวัสดิการในโรงเรียน และกิจกรรมการพัฒนาโรงเรียน<br />
15<br />
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2523 : 3) ได้เสนอแนะเกี่ยวกับหลักการจัดสิ่ง<br />
แวดล้อมในโรงเรียนไว้ดังนี้<br />
(1) ต้องจัดให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและภัยอันตราย<br />
(2) ต้องจัดให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อ<br />
(3) ต้องจัดให้เป็นที่น่าสบายใจ เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและอารมณ์ในวัยที่เด็กได้รับ<br />
การศึกษาอย่างเต็มที่<br />
(4) ต้องจัดให้เหมาะสมกับสภาพทางสรีระวิทยาของร่างกายเด็กที่กำลังเจริญเติบโต<br />
การจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน คณะกรรมการสุขศึกษาแห่งชาติ (2525 : 9<br />
- 11) กำหนดไว้ว่า โรงเรียนควรมีแผนงานการก่อสร้างปรับปรุงและการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยว<br />
ข้องกับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนรอบ ๆ ตัวนักเรียน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นักเรียนอันก่อให้เกิด<br />
ความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ที่ดี ช่วยให้ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ<br />
โดยการจัดการ ปรับปรุงและส่งเสริมในเรื่องต่อไปนี้<br />
1. การรักษาความสะอาด ควรมีคณะกรรมการควบคุมความสะอาดซึ่งประกอบด้วย<br />
ครู ภารโรงและนักเรียน กำหนดหน้าที่และเวรในการทำความสะอาดแก่ภารโรง กำหนดให้ครูรับผิด<br />
ชอบควบคุมดูแล แบ่งตามอาคารเรียนและห้องเรียน<br />
2. สนาม ควรมีพื้นที่อย่างน้อยขนาดสนามฟุตบอล เป็นสนามที่นักเรียนใช้เล่นได้<br />
อย่างปลอดภัยจากอุบัติเหต ุ พื้นสนามเรียบ สะอาด ปราศจากก้อนหิน อฐิ หรอื ตอไม รอบสนามปลูก<br />
ไม้ยืนต้น จัดให้มีอุปกรณ์การเล่น ที่นั่งพักและมีถังขยะ มีทางระบายน้ำกันน้ำท่วม นอกจากนี้ควรมี<br />
ครูควบคุมดูแลการเล่นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ<br />
3. ห้องเรียน ควรจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ โดยสังเกตว่าถ้าสามารถอ่านหนังสือ<br />
พิมพ์ขนาดตัวเล็กได้โดยที่ไม่ต้องเพ่งสายตาก็ใช้ได้ หากแสงสว่างไม่พอ ควรหาทางแก้ไขเท่าที่<br />
สามารถทำได เชน่ ติดตั้งไฟฟ้า ตัดกิ่งไม้ที่บังแสงออก เปดิ ประตหู นา้ ตา่ ง เปน็ ตน้<br />
4. โต๊ะ ม้านั่ง ต้องมีขนาดพอเหมาะกับส่วนสูงของนักเรียน โต๊ะ ม้านั่ง จัดวางให้<br />
เป็นระเบียบ โต๊ะเรียนแถวหน้าสุดควรห่างกระดานดำอย่างน้อย 2 เมตร เพราะถ้านั่งชิดกระดานดำเกิน<br />
ไปสายตาของเด็กอาจเกิดความผิดปกติได้<br />
5. กระดานชอล์ค ควรใช้สีดำหรือสีเขียวไม่สะท้อนแสงอยู่ในสภาพที่ใช้ได้ดีอยู่เสมอ<br />
6. น้ำดื่ม ควรจัดหาน้ำดื่มที่สะอาดให้แก่นักเรียนอย่างเพียงพอ ตลอดทั้งมีการจัดหา<br />
ภาชนะสำหรับรองรับน้ำดื่ม เช่น แทงค์น้ำ คูลเลอร์ เป็นต้น ให้นักเรียนจัดหาภาชนะที่รองน้ำดื่ม<br />
ประจำตัวทุกคน<br />
7. ส้วม จัดส้วมให้นักเรียนใช้ในอัตราส่วนดังต่อไปนี้<br />
ส้วมหญิง 1 ที่ ต่อนักเรียนหญิง 35 คน<br />
16<br />
ส้วมชาย 1 ที่ ต่อนักเรียนชาย 40 คน<br />
ที่ปัสสาวะ 1 ที่ ต่อนักเรียนชาย 50 คน<br />
ภายในส้วมต้องจัดให้มีภาชนะใส่น้ำ ภาชนะตักน้ำและควรมีที่สำหรับล้างมือ เช่น<br />
ก๊อกน้ำ นอกจากนี้ครูต้องให้ความรู้ในการใช้ส้วม รวมทั้งการดูแลรักษาความสะอาดภายหลังการใช้<br />
8. การกำจัดขยะมูลฝอย จัดให้มีที่รองรับขยะมูลฝอยไว้ในห้องเรียนและในบริเวณ<br />
โรงเรียนเป็นระยะ ๆ มีการกำจัดขยะทุกวัน ต้องเก็บกวาดทันทีเมื่อมีเศษขยะบนพื้น<br />
9. สุขาภิบาลอาหารในโรงเรียน จัดให้มีการควบคุมความสะอาดของอาหาร ภาชนะ<br />
อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ผู้ขาย การเสริฟ การล้างภาชนะ ภาชนะปกปิด เป็นต้น ไม่มีสารที่อาจเป็นพิษ<br />
และไม่ปลอดภัยจำหน่วยในโรงเรียน เช่น อาหารที่ผสมสีฉูดฉาด น้ำส้มสายชูที่ไม่มีทะเบียนอาหาร<br />
หรือน้ำส้มสายชูบรรจุในภาชนะพลาสติก ชามพลาสติก ใส่อาหารร้อน ๆ เป็นต้น จัดให้มีสถานที่<br />
สำหรับจำหน่วยอาหาร เช่น ในโรงอาหาร ควรจัดที่จำหน่วยให้เป็นสัดส่วนและจัดที่สำหรับนักเรียน<br />
รับประทานอาหาร เช่น ในโรงอาหาร บริเวณระเบียง หรือในห้องเรียน เป็นต้น<br />
10. การป้องกันอุบัติเหตุในโรงเรียน สนามต้องสะอาดและปลอดภัยจากอุบัติเหตุ<br />
อุปกรณ์การเล่นควรตรวจให้อยู่ในสภาพดี แข็งแรงและมั่นคงเสมอ เพื่อป้องกันอันตรายแก่นักเรียน<br />
หน้าต่างและประตูมีขอสับมั่นคง พื้นห้องควรเรียบ ไม่ชำรุด หรือลื่น บริเวณระเบียงอาคารเรียนชั้น<br />
บนหรือตามบันไดห้ามนักเรียนเล่น บริเวณที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ควรมีเครื่องหมายเตือนไว้อย่าง<br />
เด่นชัดหรือปิดประกาศไว้ในที่ที่เหมาะสม<br />
สถาบันการจัดทรัพยากรบุคคลเพื่อการเพิ่มผลผลิต (2542 : 1 - 23) ได้เสนอแนะแนวทางเบื้อง<br />
ต้นในการนำกิจกรรม 5 ส ไปใช้ในหน่วยงาน ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานอนามัยโรงเรียนได้<br />
เป็นอย่างดี กิจกรรม 5 ส ประกอบด้วย<br />
1. สะสาง คือ การแยกให้ชัดเจนระหว่างของที่จำเป็นกับของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ของที่ไม่<br />
จำเป็นให้ขจัดออกไป แต่การสะสางต้องแน่ใจก่อนว่าไม่ขัดต่อกฎระเบียบ ข้อบังคับของหน่วยงานนั้น<br />
2. สะดวก คือ การจัดวางของที่จำเป็นให้ง่ายต่อการนำไปใช้ การเก็บของต้องคำนึงถึงความ<br />
ปลอดภัย คุณภาพและประสิทธิภาพ กำหนดจำนวนของใช้ในสำนักงานซึ่งควรมีประจำโต๊ะทำงาน<br />
ของแต่ละคน<br />
3. สะอาด คือ การทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ให้น่าดูอยู่เป็นนิจทุกซอกมุม<br />
4. สุขลักษณะ คือ สภาพหมดจดสะอาดตา โดยรักษา “3 ส” แรก ให้คงสภาพหรือทำให้ดีขึ้น<br />
อยู่เสมอ ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อสุขภาพกายและจิต<br />
5. สร้างนิสัย คือ การปฏิบัติถูกต้องและติดเป็นนิสัย ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดของกิจกรรม 5 ส<br />
เพราะกิจกรรมนี้จะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคนนำกิจกรรมไปใช้อย่างต่อเนื่อง<br />
17<br />
สรุปว่า การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะเป็นวิธีการควบคุมดูแลและ<br />
ปรับปรุงสภาพแวดล้อม ตลอดทั้งสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ให้สะอาดเรียบร้อยอยู่ในสภาพดี ไม่มีส่วนใดก่อ<br />
ให้เกิดอันตรายหรือเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ อาคารสถานที่ควรทาสีอ่อนเย็นตา มีแสงสว่างและทางระบาย<br />
อากาศที่ดี บรรยากาศส่งเสริมจิตวิทยาการเรียนรู้ ไม่มีมลภาวะจากสิ่งปฏิกูลหรือเสียงรบกวน พื้นที่<br />
สนามควรจัดให้กว้างขวางเพียงพอสำหรับให้นักเรียนออกกำลังกาย น้ำดื่มน้ำใช้ตลอดทั้งห้องส้วมมี<br />
เพียงพอ นอกจากนี้ควรจัดให้มีที่นั่งพักผ่อนตามใต้ต้นไม้บริเวณขอบสนามเป็นระยะและมีรั้วล้อมรอบ<br />
โรงเรียน<br />
2. การบริการสุขภาพในโรงเรียน<br />
การบริการสุขภาพในโรงเรียนเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อนักเรียนโดยตรงเพื่อให้<br />
นักเรียนมีสุขภาพอนามัยแข็งแรง สมบูรณ์ เรียนรู้การป้องกันโรค รับการพยาบาลรักษาเบื้องต้น เมื่อ<br />
เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุ มีการส่งต่อแพทย์และฟื้นฟูสภาพตามความเหมาะสม มีการติดตามผล<br />
การรักษา ซึ่งเป็นการกระตุ้นผู้ป่วยตลอดทั้งผู้ปกครองให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ นอกจากนี้<br />
ต้องมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่พยาบาลสาธารณสุขร่วมดำเนินการให้นักเรียนได้รับการตรวจ<br />
สุขภาพและรับการฉีดวัคซีนตามกำหนดช่วงอายุ การบริการสุขภาพในโรงเรียนต้องให้บริการครอบ<br />
คลุมถึงบุคลากรอื่น ๆ ในโรงเรียนด้วย เมื่อการปฏิบัติงานสิ้นสุดลงควรสรุปและบันทึกไว้ เพื่อเก็บเป็น<br />
ข้อมูลในการพัฒนางานต่อไป<br />
สำหรับการบริการสุขภาพในโรงเรียนได้มีผู้รู้ได้กล่าวให้ความหมาย หลักการ แนวคิด<br />
และข้อเสนอแนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดบริการสุขภาพในโรงเรียนไว้ ดังต่อไปนี้<br />
ทวีสิทธิ์ สิทธิกร (2531 : 33) ได้กล่าวว่า การบริการสุขภาพในโรงเรียน หมายถึง<br />
วิธีการต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุข ได้แก่ แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์และเจ้าหน้าที่<br />
ฝ่ายโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ครูและบุคลากรอื่น ๆ ดำเนินการเพื่อประเมินสถานการณ์ด้าน<br />
สุขภาพ เพื่อป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพของนักเรียนและบุคลากรต่าง ๆ ในโรงเรียน โดยจัด<br />
บริการในรูปกิจกรรม<br />
พรณี พันมา (2540 : 8) กล่าวว่า การบริการสุขภาพในโรงเรียน หมายถึง กิจกรรมที่<br />
มีความมุ่งหมายเพื่อดำรงรักษาไว้และปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพของนักเรียนและทุกคนในโรงเรียนให้อยู่<br />
ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540:4) ได้ให้หลักการการบริการ<br />
อนามัยโรงเรียน (School Health Program) ไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อนักเรียนโดยตรง<br />
ในอันที่จะช่วยให้นักเรียนได้รับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ โดยมี<br />
จุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนได้รับบริการตามกิจกรรมอนามัยโรงเรียน ได้แก่ การจัดให้นักเรียนทุกคนมี<br />
18<br />
บัตรบันทึกสุขภาพ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค การตรวจสุขภาพ การรักษานักเรียนที่เจ็บป่วย การติดตาม<br />
ผลการรักษา การส่งเสริมโภชนาการในโรงเรียน และการส่งเสริมการออกกำลังกาย เป็นต้น<br />
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตามแผนพัฒนาสาธารณสุข ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540<br />
– 2544) ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการบริการสุขภาพในโรงเรียน สรุปได้ดังนี้<br />
นักเรียนระดับก่อนประถม และชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการตรวจสุขภาพโดย<br />
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาดำเนินการที่โรงเรียน มีการเจาะเลือดในรายที่มีภาวะโลหิตจางและได้รับการ<br />
บำบัดโรคหนอนพยาธิลำไส้ ตามแผนดำเนินงานของกรมควบคุมโรคติดต่อ มีการบริการฉีดวัคซีนขั้น<br />
พื้นฐานครบตามเกณฑ์ของกองควบคุมโรคติดต่อ โดยโรงเรียนต้องทำหนังสือแจ้งผู้ปกครองเพื่อชี้แจง<br />
และขออนุญาต นอกจากนี้นักเรียนทุกคนต้องได้รับการตรวจตาปีละ 1 ครั้ง โดยโรงเรียนและเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุขร่วมดำเนินการ ส่วนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ได้รับการตรวจและทดสอบ<br />
การได้ยินปีละ 1 ครั้ง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ขึ้นไป โรงเรียนจัดให้มีบริการให้คำปรึกษา<br />
ปัญหาสุขภาพวัยรุ่นแก่นักเรียนและผู้ปกครอง<br />
ทางด้านทันตสุขภาพ มีการเฝ้าระวังและส่งเสริมทันตสุขภาพ โดยครูดำเนินการตรวจ<br />
สุขภาพในช่องปากนักเรียน และบันทึกในแบบบันทึก ทส001 และ ทส002 รวมทั้งวิเคราะห์ปัญหา<br />
ทุกระดับ ในกรณีที่มีปัญหาโรงเรียนต้องแจ้งผู้ปกครองและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง<br />
เพื่อให้ได้รับการรักษาและติดตามผลต่อไป<br />
สำหรับนักเรียนที่เจ็บป่วย ได้รับอุบัติเหตุหรือมีปัญหาด้านสุขภาพต้องได้รับการปฐม<br />
พยาบาล และส่งต่อศูนย์บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลตามความจำเป็น นอกจากนี้ต้องจัดบริการ<br />
อาหารกลางวันและอาหารเสริม นม แก่นักเรียนทุกคน ส่งเสริมให้นักเรียนออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ<br />
อย่างน้อยวันละ 20 นาที นักเรียนทุกคนได้รับการวัดน้ำหนัก ส่วนสูง ภาคเรียนละ 1 ครั้ง และเทียบ<br />
ตามเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อพบว่านักเรียนมีน้ำหนักส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์หรือเกินเกณฑ์ มีแนวโน้มจะเป็น<br />
โรคอ้วนหรืออ้วน ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแจ้งให้ผู้ปกครองทราบเพื่อร่วมกันแก้<br />
ปัญหา<br />
บาวทรี (Bowntree. 1981 : 267) กล่าวว่า การบริการสุขภาพในโรงเรียน (School<br />
Health Service) ในอังกฤษและเวลส์การบริการสุขภาพในโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการบริการสุขภาพ<br />
ระดับชาติ โดยการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่การศึกษาในท้องถิ่น โดย<br />
ปกตินักเรียนจะได้รับการตรวจสุขภาพที่โรงเรียนและนอกเวลาเรียนหากมีความประสงค์ การตรวจ<br />
สุขภาพฟันได้ปฏิบัติมากกว่างานอื่นๆ หากจำเป็นต้องรักษาอาจดำเนินการโดยแพทย์ คลินิคทันตแพทย์<br />
ในโรงเรียน ศูนย์บริการสาธารณสุขในชุมชนหรือโรงพยาบาล<br />
ฮิลส์ (Hills. 1982 : 242) ได้อธิบายเกี่ยวกับการบริการสุขภาพในโรงเรียน (School<br />
Health Service) ว่าเมื่อ ค.ศ. 1974 ได้มีการจัดวางนโยบายการบริการสุขภาพในโรงเรียนขึ้นใหม่<br />
19<br />
โดยโอนความรับผิดชอบและบริการสุขภาพในโรงเรียนจากบุคลากรทางการศึกษาในท้องถิ่นไปให้<br />
เจ้าหน้าที่อนามัยเขต จุดมุ่งหมาย คือ จัดเตรียมการบริการที่สมบูรณ์แบบสำหรับเด็ก การบริการ<br />
สุขภาพในโรงเรียน ดำเนินการโดยโรงเรียนบูรณาการกับโรงพยาบาล ผู้ชำนาญการพิเศษและแพทย์<br />
เจ้าหน้าที่อนามัยเขตดูแลครอบคลุมทุกปัจจัยในการให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่นักเรียนเช่นเดียว<br />
กับบุคลากรด้านการศึกษาในท้องถิ่น<br />
กลจักรที่สำคัญคือ กุมารแพทย์ ผู้ชำนาญการประจำท้องถิ่น ทันตแพทย์และพยาบาล<br />
เหล่านี้รับผิดชอบทั้งด้านงานบริการสุขภาพในโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษา การบริการรวมทั้ง<br />
การเตรียมแพทย์พยาบาลและนักกายวิภาคบำบัด รวมทั้งการฝึกพูดให้เด็กที่มีปัญหาการพูดไม่ชัด<br />
ทุกโรงเรียนจัดให้มีการตรวจสุขภาพร่างกายพร้อมทั้งให้ภูมิคุ้มกันโรค วัดสายตาและทดสอบการได้ยิน<br />
ตรวจหาโรคติดเชื้อและการระบาด ภาพรวมเป็นการดูแลสุขภาพเด็กรวมถึงการดูแลทันตสุขภาพใน<br />
โรงเรียน ยิ่งกว่านั้นได้มีการให้คำแนะนำแก่นักเรียนที่มีความต้องการดูแลพิเศษในบรรดาโรงเรียนการ<br />
ศึกษาพิเศษอีกโสตหนึ่งด้วย<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 158 – 168) ได้กำหนด<br />
การบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริการสุขภาพในโรงเรียนและยังใช้เป็น<br />
มาตรฐานในการจัดระดับบริการอนามัยโรงเรียนโดยกำหนดกิจกรรมอนามัยโรงเรียนในโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ตามหลักการดังต่อไปนี้<br />
กิจกรรมอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
กิจกรรมอนามัยโรงเรียนระดับประถมศึกษาประกอบด้วย กิจกรรม 9 ประการ คือ<br />
1) นักเรียนทุกคนมีบัตรบันทึกสุขภาพประจำตัว 2) จัดโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ 3) นักเรียนได้รับ<br />
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 4) ส่งเสริมสุขศึกษา 5) นักเรียนได้รับการตรวจสุขภาพ 6) นักเรียนที่<br />
เจ็บป่วยได้รับการรักษา 7) มีการติดตามผลการรักษา 8) มีการจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้ 9) โภชนาการใน<br />
โรงเรียน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้<br />
1. นักเรียนทุกคนมีบัตรบันทึกสุขภาพประจำตัว<br />
บัตรบันทึกสุขภาพประจำตัวนักเรียน ใช้สำหรับบันทึกประวัติข้อมูลสุขภาพและ<br />
บริการสาธารณสุขต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับ เพื่อใช้เป็นหลักฐานด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียนทั้งใน<br />
อดีตและปัจจุบันทำให้เกิดความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและครูที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์<br />
ในการให้บริการสุขภาพอย่างเหมาะสม<br />
บัตรบันทึกสุขภาพประจำตัวนักเรียนนั้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายการศึกษาเป็นผู้จัดหาไว้<br />
ตั้งแต่ต้นปีการศึกษา ตามจำนวนนักเรียนเข้าใหม่ของปีการศึกษาแต่ละปี โดยเริ่มใช้เมื่อนักเรียนเข้า<br />
เรียนในชั้นต้นและมอบให้นักเรียนเมื่อจบชั้นเรียนหรือย้ายโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนนำไปมอบให้<br />
20<br />
ครูประจำชั้นใหม่ หรือครูอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนใหม่ที่นักเรียนเข้าศึกษาต่อจนจบระดับมัธยมศึกษา<br />
โดยไม่ต้องมีการจัดหารบัตรบันทึกสุขภาพใหม่<br />
2. จัดโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ เป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งที่ครู<br />
และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรร่วมกันดำเนินการเพื่อให้เด็กนักเรียนอยู่ในโรงเรียนอย่างปลอดภัยจาก<br />
โรคและอุบัติเหตุ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและจิต ตลอดจนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียนและ<br />
ชุมชน การดำเนินงานเพื่อจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะเแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ<br />
2.1 การจัดหาหรือจัดสร้าง เช่น การสร้างอาคารเรียนและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ การจัดหา<br />
สิ่งของเครื่องใช้ในห้องเรียนให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล<br />
2.2 การควบคุม ดูแลและปรับปรุง เช่น การปรับปรุงบริเวณโรงเรียนให้สะอาด<br />
ปลอดภัย และเป็นระเบียบสวยงาม การรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอย การควบคุมดูแลการใช้ส้วมให้<br />
สะอาดและถูกต้อง<br />
การดำเนินงานทั้งสองอย่างดังกล่าว เป็นบทบาทหน้าที่ของโรงเรียนโดยตรง เช่น<br />
การจัดหาจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของโรงเรียน หน่วยงานต้นสังกัดได้ให้การสนับสนุน<br />
อยู่แล้ว ส่วนการควบคุม ดูแล ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในโรงเรียนซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณ ผู้บริหาร<br />
โรงเรียนและคณะครูเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข<br />
3. นักเรียนได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค<br />
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เป็นการดำเนินงานโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อให้<br />
นักเรียนได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่จำเป็นและเหมาะสมกับช่วงอายุ ตามนโยบายของกรมควบคุมโรค<br />
ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข<br />
4. ส่งเสริมสุขศึกษา<br />
การส่งเสริมสุขศึกษา คือ การส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจด้านอนามัย<br />
เห็นความสำคัญ ยอมรับและปฏิบัติตนจนเป็นสุขนิสัย ก่อให้เกิดพฤติกรรมอนามัยที่ดี<br />
5. นักเรียนได้รับการตรวจสุขภาพ<br />
การตรวจสุขภาพเป็นกิจกรรมเพื่อค้นหาความบกพร่องของสุขภาพในระยะเริ่มแรก<br />
เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ แก้ไขหรือส่งต่อเพื่อขอคำแนะนำหรือบำบัดรักษา ป้องกันมิให้ความบกพร่อง<br />
นั้น ๆ ลุกลามเป็นผลร้ายแรง ป้องกันการแพร่กระจายของโรค ช่วยจูงใจนักเรียนให้เกิดความสนใจที่<br />
จะดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งเป็นการสร้างสุขนิสัยที่ดี<br />
6. นักเรียนที่เจ็บป่วยได้รับการรักษา<br />
การรักษา เป็นกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้การรักษา แก้ไขปัญหาสุขภาพของ<br />
21<br />
นักเรียนที่ตรวจสุขภาพพบโรค หรือความบกพร่องของสุขภาพ ภายในขอบเขตความสามารถของ<br />
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และถ้าเกินขอบเขตความสามารถให้ใช้ระบบการส่งต่อเพื่อรับการบำบัดรักษา<br />
หรือช่วยเหลือแก้ไข<br />
7. มีการติดตามผลการรักษา<br />
การติดตามการรักษา เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากการรักษา เพื่อติดตามดูผลการรักษา<br />
ความเปลี่ยนแปลงของโรคหรือปัญหาสุขภาพของนักเรียนภายหลังจากที่ได้การรักษาหรือแก้ไขไปแล้ว<br />
ไม่เกิน 1 เดือน ระหว่างนั้นครูจะเป็นผู้ทำหน้าที่ติดตามเมื่อพบความผิดปกติใด ๆ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่<br />
สาธารณสุข<br />
8. มีการจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้<br />
การจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้ เป็นการดำเนินการเพื่อให้นักเรียนมีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดอย่าง<br />
เพียงพอตลอดปี ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ รวมทั้งช่วยให้การดูแลรักษาความสะอาด<br />
สิ่งต่าง ๆ ภายในโรงเรียนดีขึ้น นอกจากนั้นโรงเรียนควรดูแลให้นักเรียนได้ดื่มน้ำอย่างถูกสุขลักษณะ<br />
เช่น การมีภาชนะดื่มน้ำประจำตัว ซึ่งเป็นการปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีให้แก่นักเรียน<br />
9. โภชนาการโรงเรียน<br />
เป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย<br />
เพื่อให้นักเรียนมีภาวะการเจริญเติบโตที่เหมาะสมวัย โดยมีหลักในการดำเนินงานที่สำคัญคือ นักเรียน<br />
ทุกคนควรได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการทุกวัน ให้โภชนาศึกษาเพื่อส่งเสริม<br />
บริโภคนิสัยและมีการประเมินภาวะการเจริญเติบโต<br />
สรุปว่า การบริการสุขภาพในโรงเรียนเป็นการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างโรงเรียน<br />
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยมีผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนให้การสนับสนุน การบริการนี้จัดให้กับ<br />
นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน ในภาพรวมนักเรียนจะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมนี้โดยตรง เพราะ<br />
มีการตรวจสุขภาพและให้ภูมิคุ้มกันโรคตามกำหนด เน้นการป้องกันโรคตลอดทั้งดูแลด้านทันตสุขภาพ<br />
ส่งเสริมการออกกำลังกาย รับประทานอาหารกลางวันและดื่มนม เพื่อการเจริญเติบโตสมวัย มีการเฝ้า<br />
ระวังติดตามประเมินผล นักเรียนที่มีน้ำหนัก ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ และนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการ<br />
เกิน (โรคอ้วน)<br />
สำหรับนักเรียนที่เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย จะได้รับการปฐมพยาบาล หรือส่งไป<br />
รักษาตามความจำเป็น นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพอนามัยแก่นักเรียนและผู้ปกครอง<br />
และมีการติดตามประเมินผลการรักษาตลอดทั้งการแก้ปัญหาสุขภาพ<br />
ห้องพยาบาลและมุมพยาบาล การบริการด้านสุขภาพอนามัยในโรงเรียนนั้น จำเป็น<br />
ต้องมีห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาลที่เหมาะสม เพื่อให้การปฐมพยาบาลแก่นักเรียนเจ็บป่วยหรือได้รับ<br />
อุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 23 – 25)<br />
22<br />
กล่าวว่า “ห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาล เป็นสถานที่สำหรับให้การปฐมพยาบาลแก่นักเรียนเจ็บป่วยหรือ<br />
ได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งมีเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นโรงเรียนต้องมีแผนงานดำเนินการจัดเตรียมสถานที่เพื่อให้การ<br />
บริการด้านสุขภาพในโรงเรียน เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม” และมีข้อเสนอแนะในการจัดห้อง<br />
พยาบาลหรือมุมพยาบาล ดังนี้<br />
การจัดห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาล ของโรงเรียนย่อมขึ้นอยู่กับข้อจำกัดด้านอาคาร<br />
สถานที่ แต่หากไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว ควรถือจำนวนนักเรียนแต่ละโรงเรียนเป็นสำคัญ คือ<br />
1. มุมพยาบาล โรงเรียนมีนักเรียนจำนวนไม่เกิน 450 คน จะต้องมีมุมพยาบาล 1 แห่ง<br />
มีขนาด 1.5 X 3.5 เมตร เป็นอย่างต่ำ ประกอบด้วยอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นดังนี้<br />
เตียงพยาบาลพร้อมเครื่องนอน 1 ชุด<br />
โต๊ะหัวเตียง 1 ชุด<br />
อ่างล้างมือแบบง่าย ๆ 1 ใบ<br />
เครื่องชั่งน้ำหนักและสายวัดระยะหรือเครื่องวัดความสูง 1 ชุด<br />
กระโถนหัวเตียงคนไข้ 1 ใบ<br />
แผ่นป้ายวัดสายตา 1 แผ่น<br />
ตู้ยา (ขนาดกว้าง 60 ซม. สูง 107 ซม. ลึก 45 ซม. แบ่งเป็น 3 ชั้น 1 ตู้<br />
และมีตู้ทึบชั้นล่าง)<br />
เก้าอี้นั่งทำแผล 1 ตัว<br />
ถังน้ำพร้อมไม้พาด (สำหรับนักเรียนวางเท้า เวลาทำแผลบริเวณเท้า) 1 ใบ<br />
กรรไกร 1 อัน<br />
คีมโลหะ 1 อัน<br />
ตลับหรือกล่องอลูมิเนียมเล็ก ๆ สำหรับใส่สำลี 1 ใบ<br />
ชามรูปไต หรือชามเคลือบ หรืออะลูมิเนียมขนาดเล็ก 1 ใบ<br />
ปรอทวัดไข้ 1 อัน<br />
กระเป๋าน้ำร้อน 1 ใบ<br />
กระเป๋าน้ำแข็ง 1 ใบ<br />
แก้วล้างตา 1 ใบ<br />
แก้วกินยา<br />
ผ้าพันแผล<br />
พลาสเตอร์<br />
สำลี<br />
แอลกอฮอล์ 70 %<br />
23<br />
ยาตำราหลวง หรือยาสามัญประจำบ้าน เพื่อใช้ในการปฐมพยาบาล<br />
ฉากหรือแผนกั้นห้องเป็นมุมพยาบาล<br />
สมุดบันทึกรายชื่อนักเรียนเจ็บป่วยและให้การรักษาพยาบาล<br />
2. ห้องพยาบาล ในโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวน 450 คน ขึ้นไปอย่างน้อยควรมีห้อง<br />
พยาบาลขนาด 3.5 X 6 เมตร โดยกั้นเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่วางเตียงพยาบาลมีขนาด 2.5 X 3.5 เมตร<br />
และอีกส่วนใช้เป็นที่ทำการปฐมพยาบาล<br />
อุปกรณ์ประจำห้องพยาบาลเหมือนมุมพยาบาล มีเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมจากมุม<br />
พยาบาล ดังนี้<br />
เตียงพยาบาลพร้อมเครื่องนอน 2 ชุด<br />
ตู้ยาขนาดกว้าง 105 ซม. สูง 150 ซม. ลึก 40 ซม. 1 ตู้<br />
อุปกรณ์ประจำตู้ยาเพิ่มจากมุมพยาบาล คือ<br />
กระเป๋าน้ำร้อน 1 ใบ<br />
กระเป๋าน้ำเย็น 1 ใบ<br />
สำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาลนั้นเป็นสิ่งจำเป็น<br />
โดยเฉพาะตู้ยามีความสำคัญมากเพราะการเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ โดยปกติเก็บในตู้ยา<br />
ซึ่ง ทวีสิทธิ สิทธิกร (2531 : 198 – 201) ได้เสนอแนะเรื่องตู้ยา, การจัดตู้ยาและการใช้ยาปฐมพยาบาล<br />
ประจำโรงเรียน ดังนี้<br />
ตู้ยา ปกติควรเป็นตู้ไม้ 4 ชั้น สามชั้นบนเป็นกระจก ชั้นล่างสุดเป็นตู้ไม้ทึบปิดเปิดได้<br />
ขนาดของตู้ยาใช้เกณฑ์จำนวนนักเรียนในโรงเรียนมี 3 ขนาด ดังต่อไปนี้<br />
1. โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนไม่เกิน 1,000 คน ควรมีตู้ยาขนาดกว้าง 60 เซนติเมตร<br />
ลึก 35 เซนติเมตร และสูง 115 เซนติเมตร<br />
2. โรงเรียนที่มีนักเรียนเกิน 1,000 คน ควรใช้ตู้ยาขนาดกว้าง 100 เซนติเมตร ลึก 45<br />
เซนติเมตร สูง 150 เซนติเมตร<br />
3. โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยประมาณ 100 – 300 คน ควรลดขนาดของตู้ยาตามกำลัง<br />
งบประมาณของโรงเรียน<br />
การจัดตู้ยา ควรมีการจัดดังนี้<br />
1. ชั้นบน เป็นที่ไว้ยารับประทานและติดป้ายสีขาว เขียนว่า “ยารับประทาน” ไว้ใน<br />
ที่เห็นชัดเจน<br />
2. ชั้นกลาง เป็นที่วางเครื่องมือปัจจุบันพยาบาล เช่น กรรไกร ปากคีบ (forcepts)<br />
แก้วยา เป็นต้น<br />
24<br />
3. ชั้นล่าง เป็นที่ไว้ยาใช้ภายนอกห้ามรับประทานและติดป้ายสีแดง “ยาใช้ภายนอก”<br />
เก็บไว้ในที่เห็นชัดเจน<br />
4. ชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นตู้ทึบ ใช้เก็บวัสดุอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ผ้าปูที่นอน ม้วนสำลี<br />
กระเป๋าน้ำร้อน กระเป๋าน้ำแข็ง ฯลฯ<br />
การใช้ยาปฐมพยาบาลประจำโรงเรียน<br />
การเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือเจ็บป่วยอย่างกระทันหันของนักเรียนอาจมีขึ้นได้ ดังนั้นครู<br />
ควรทราบอาการของโรค และการติดต่อของโรคบางอย่าง เพื่อให้การปฐมพยาบาลถูกต้องและแนะนำ<br />
ผู้ปกครองถึงวิธีปฏิบัติต่อเด็ก ในรายทมี่ อี าการรนุ แรงควรรบี ปรกึ ษาแพทย นอกจากนี้ในห้องพยาบาล<br />
ควรระมัดระวังในเรื่องต่อไปนี้<br />
1. ครูหรือพยาบาลประจำโรงเรียน ควรเป็นผู้หยิบยาให้นักเรียน เมื่อหยิบยาอ่าน<br />
ฉลากยาและวิธีใช้ให้เข้าใจและแน่ใจว่าเป็นยาที่ต้องการ เมื่อจะเก็บยาเข้าที่ต้องอ่านสลากยาซ้ำอีกครั้ง<br />
2. ยาบางอย่างเมื่อใช้แล้ว บางรายอาจมีอาการแพ้ได้ ฉะนั้นต้องสังเกตอาการภาย<br />
หลังใช้ยาแล้วด้วย หากมีอาการผิดปกติต้องหยุดใช้ยาทันทีและปรึกษาแพทย์<br />
3. พึงระลึกเสมอว่า ยาเหล่านี้ช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ และจะใช้ใน<br />
การพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นหรือเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์<br />
3. สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
สุขศึกษาในโรงเรียนนั้นประกอบด้วย การสอนสุขศึกษา และการให้สุขศึกษาใน<br />
โรงเรียน (School Health Education) การให้สุขศึกษาในโรงเรียน มีความหมายค่อนข้างกว้าง คือ<br />
ไม่เพียงแต่หมายถึงการสอนสุขศึกษาตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่หมายถึง การจัด<br />
โอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพให้แก่นักเรียนทุกคน โดยให้นักเรียนแต่ละคนเกิดความร ู้ ทัศนคติ<br />
และการปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม (สุชาติ โสมประยูร. 2525 : 10)<br />
ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 27) กล่าวว่า การให้สุขศึกษาในโรงเรียน<br />
(School Health Education) ควรเน้นที่<br />
- พฤติกรรมสำคัญและภาวะที่จะส่งเสริมสุขภาพหรือป้องกันความเสี่ยงของโรค<br />
- ทักษะในการปฏิบัติพฤติกรรม<br />
- ความร ู้ ทัศนคต ิ ความเชื่อ และค่านิยมต่อพฤติกรรมและสถานการณ์<br />
- เรียนรู้จากประสบการณ์โดยให้นักเรียนฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะ<br />
การดำเนินงานสุขภาพ ควรดำเนินการอย่างมากในเวลาเรียนและห้องเรียน ผู้บริหาร<br />
โรงเรียนควรสนับสนุน ครูควรมีการเตรียมการสอนและชักจูงให้เกิดการปฏิบัติ ผู้บริหารควรพัฒนา<br />
หลักสูตร ข้อกำหนดของการให้บริการ ทำให้สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนดีขึ้นและจัดให้มีการฝึกอบรมครู<br />
กันยา กาญจนบุรานนท์ (2527 : 924) ได้กล่าวว่า การเรียนการสอนสุขศึกษาใน<br />
25<br />
โรงเรียนที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพนักเรียนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนหรือหลักสูตรการสอน<br />
เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม พฤติกรรมสุขภาพและ<br />
พันธุกรรมของนักเรียนอีกด้วย<br />
สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 25) กล่าวว่า การจัดการสอนสุขศึกษาในโรงเรียนเป็นส่วน<br />
หนึ่งของการดำเนินโครงการสุขภาพในโรงเรียน กล่าวคือ เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดประสบการณ์<br />
อันจะมีผลทำให้บุคคลหรือชุมชนได้รับความรู้มีเจตนคติและการปฏิบัติการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของ<br />
ตนเองและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้องและเหมาะสม<br />
สำนักงานคณะกรรมการ การประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 4) ได้กล่าวว่า สุขศึกษา<br />
ในโรงเรียนเป็นการถ่ายทอดความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยไปสู่นักเรียนโดยกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้เกิด<br />
ประสบการณ์มีเจตนคติที่ดี ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในแนวทางที่จะนำไปสู่สุขภาพที่ดี<br />
นีเมอร์ อัลมา (Nemir Alma. 1970 : 268) กล่าวว่า การให้สุขศึกษา (Health<br />
Education) เป็นการพัฒนาความนึกคิดด้านสุขภาพ โดยการวางแผนการสอนให้ตรงกับเนื้อหาใน<br />
หลักสูตรให้เป็นไปตามความต้องการและความสนใจของนักเรียน เป็นที่ต้องการของชุมชนและกลุ่ม<br />
คนที่หลากหลาย จัดให้เข้าเรียนในห้องวิทยาศาสตร์สุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ใช้สื่อการสอน<br />
ห้องสมุด และเครื่องอำนวยความสะดวกในชุมชนให้เกิดประโยชน์<br />
สรุปว่า สุขศึกษาในโรงเรียน หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องสุขภาพ<br />
อนามัย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติแก่นักเรียนตามความต้องการและความสนใจของนักเรียนโดย<br />
ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนรับรู้ ร่วมมือ สนับสนุนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดความรู้ความ<br />
เข้าใจสามารถปฏิบัติได้ มีเจตคติที่ดีและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพโดยนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา<br />
คุณภาพชีวิตตนเองตลอดทั้งผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง<br />
กรมพลศึกษา (2538 : 42- 43) กล่าวถึง สุขศึกษาในโรงเรียนควรคำนึงถึงวิธีการสอน<br />
โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท<br />
1. วิธีการสอนประเภทให้ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher – Centered Method) ได้แก่<br />
การบรรยาย การถามตอบ การให้การบ้าน การจดบันทึก และท่องจำ วิธีการสอนแบบนี้ เหมาะสม<br />
สำหรับถ่ายทอดวิชา ครูมีบทบาทมาก นักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียนน้อย<br />
2. วิธีการสอนประเภทให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Centered Method) ได้แก่<br />
การอภิปราย การสาธิต การแสดงบทบาทสมมติ การแสดงละคร การแบ่งกลุ่มศึกษาค้นคว้า รายงาน<br />
วิธีการสอนประเภทนี้ นักเรียนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมมากที่สุด เด็กมีโอกาสแสดงออกและได้รับ<br />
ประสบการณ์ตรง ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนน่าสนใจ ครูเป็นเพียงผู้อำนวยการความสะดวกเพื่อให้<br />
กิจกรรมดำเนินไปด้วยดีและเสริมความรู้ การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง<br />
พฤติกรรมสุขภาพ<br />
26<br />
ในเรื่องวิธีการสอน เกอร์ทิส และพาเพนฟัส (Gurtis and Papenfuss. 1980 : 129)<br />
ได้ให้หลักเกณฑ์ในการเลือกวิธีการสอนไว้ดังนี้<br />
1. กระบวนการสอนต้องเป็นเครื่องมือทางการศึกษา ซึ่งก่อให้เกิดการเรียนรู้มิใช่เพื่อ<br />
เพียงความสนุกสนาน<br />
2. วิธีการสอนควรคำนึงถึงความพร้อม ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียน<br />
3. วิธีการสอนต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์รายวิชา จุดประสงค์ของโรงเรียนและ<br />
ปรัชญาการศึกษาสากล<br />
4. วิธีการสอนต้องมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับเวลา สถานที่และอุปกรณ์ที่มีอยู่<br />
5. ครูควรต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับเทคนิคการสอนและการใช้โสตทัศนอุปกรณ์<br />
6. วิธีการสอนที่ดีต้องทำให้นักเรียนเกิดการเรียนร ู้ มีการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ<br />
ชาญชัย ศรีไชยเพชร (2522 : 256) ได้เสนอแนะถึงคุณสมบัติของครูผู้สอนสุขศึกษา<br />
ว่าควรเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมหรือจบหลักสูตรสุขศึกษามาโดยตรง และผู้บริหารโรงเรียนไม่ควรจัด<br />
ให้ครูที่สอนอะไรไม่ได้ทำการสอนวิชาสุขศึกษาเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดผลเสียตามมา<br />
ทวีสิทธิ์ สิทธิกร (2531 : 316 – 317) ได้กล่าวถึง หลักการในการสอนสุขศึกษาที่ถูก<br />
ต้องและเหมาะสม ดังต่อไปนี้<br />
1. การสอนสุขศึกษา เป็นกระบวนการต่อเนื่องและสัมพันธ์กันเนื่องจากสุขภาพมี<br />
ความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและชีวิตความเป็นอยู่ของเราตลอดเวลา ดังนั้น เด็ก ๆ จึงควรได้เรียนรู้<br />
เกี่ยวกับวิชาสุขศึกษาให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันตลอดชีวิต การเรียน การจัดหลักสูตรหรือเนื้อหาที่สอนเด็ก<br />
ก็ควรจัดให้เหมาะสม เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี เข้าใจง่ายและสะดวกในการนำไปปฏิบัติ<br />
2. การสอนสุขศึกษาควรเน้นถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพให้ครบทุก ๆ<br />
ด้าน คือ ด้านความรู้ เจตคติ การปฏิบัติและทักษะ<br />
3. ครูผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอเพราะความรู้และข้อเท็จจริง<br />
ต่าง ๆ ในวิชาสุขศึกษาจะต้องได้มาจากการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง หรือวิเคราะห์วิจัยของนักเรียนและ<br />
นักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ<br />
4. การสอนสุขศึกษา ครูจะต้องเน้นเกี่ยวกับประสบการณ์ของชีวิตจริงในปัจจุบัน ซึ่ง<br />
มีความหมายต่อตัวนักเรียน เมื่อนักเรียนได้เรียนแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที<br />
5. กิจกรรมในห้องเรียนบางอย่างครูควรละเว้นหรือนำไปใช้น้อยที่สุด เพราะนอก<br />
จากจะเกิดประโยชน์น้อยแล้วบางครั้งยังอาจให้โทษอีกด้วย เช่น การยกตัวอย่างนักเรียนที่พิการใน<br />
ห้องเรียนประกอบการสอน การสอนโดยยกตัวอย่างมาตรฐานที่ไม่เป็นความจริงและไม่มีทางเป็นไปได้<br />
สอนเรื่องยากที่เกินความรู้ความสามารถของนักเรียน การสอนที่เคร่งขรึมหรือตลกจบขันจนเกินไป<br />
27<br />
การลงโทษนักเรียนโดยให้ปฏิบัติในสิ่งที่ผิดสุขลักษณะ เช่น ยืนกางแขนเป็นเวลานาน ๆ หรือให้คาบ<br />
ไม้บรรทัด เป็นต้น รวมทั้งครูไม่ควรแสดงสุขนิสัยที่ผิดสุขลักษณะให้นักเรียนเห็น เช่น สูบบุหรี่ กัดเล็บ<br />
คาบดินสอ และการวางท่าทางที่ผิดสุขลักษณะ เป็นต้น<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 44) ได้กล่าวถึง การจัด<br />
กิจกรรมการเรียนการสอนสุขศึกษาไว้ดังนี้<br />
1. สอนให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ของรายวิชาและเนื้อหาที่สอนโดยศึกษาเนื้อหาว่า<br />
ต้องการพัฒนานักเรียนในเรื่องใดและต้องหาวิธีสอนที่จะทำให้นักเรียนเกิดพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์<br />
2. คำนึงถึงธรรมชาติของแต่ละวิชา และเนื้อหาธรรมชาติของวิชาสุขศึกษา เป็นเรื่อง<br />
ที่เกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคล สังคมและสิ่งแวดล้อม เน้นด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้น<br />
กิจกรรมที่จะจัดจะต้องจัดกระบวนการเรียนให้นักเรียนรู้จักสังเกต คิดและกระทำอย่างมีเหตุผล<br />
3. ต้องสอนให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหา รู้จักทำ รู้จักพัฒนาและมีค่านิยมที่<br />
ดีงาม ความสามารถให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักทำ เป็นความสามารถที่ครูจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับ<br />
นักเรียนและติดตัวไป เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้<br />
สำหรับครูสอนสุขศึกษา นอกจากมีความรู้ความสามารถสอนเนื้อหาตามหลักสูตร<br />
แล้ว ควรเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัยและเรียนรู้วิธีป้องกันและการรักษาโรค<br />
บราวน์ เพริลมัทเธอร์ และแม็คเดอร์มอทท (Brown, PerlMutte and McDermott. 2000<br />
: 355) เสนอบทความเรื่องสิ่งที่ครูอนามัยควรรู้ : “วัยรุ่นกับการสักผิว”<br />
ปัจจุบันศิลปะการสักผิวได้ย้อนยุคมาอีกครั้งหนึ่งและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง<br />
เรื่องนี้สร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการติดเชื้อ กลยุทธ์ในเรื่องนี้ คือ ผู้ที่สักให้เพื่อน<br />
ต้องได้รับการสอนสุขศึกษา และครูอนามัยโรงเรียนต้องแสดงบทบาทหน้าที่ของตน<br />
แม็คเกอร์ (McGuire. 1996 : 191) ได้นำเสนอเทคนิคการสอน หน่วยการสอน<br />
สภาพของโลก แผนการสอนประกอบด้วย เรื่อง สิ่งแวดล้อมที่ดี<br />
จุดประสงค์ของการเรียนรู้<br />
1. การมีวัน “คุ้มครองโลก” (Eart Day) และทำไมจึงจัดตั้งวันนี้ขึ้น<br />
2. ความก้าวหน้าตั้งแต่เริ่มจัดตั้งวันคุ้มครองโลก<br />
3. ทราบสาเหตุใหญ่ ๆ ของปัญหาสิ่งแวดล้อม<br />
4. เสนอทางเลือก การเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม<br />
เกณฑ์การประเมิน คือ ผลของการอภิปรายเรื่องสิ่งแวดล้อม และการสร้างแนวทาง<br />
เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม<br />
กิจกรรมและยุทธศาสตร์การสอน มีดังนี้<br />
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 4- 5 คน<br />
28<br />
2. เขียนวันสำคัญที่เป็นวันหยุดในรอบ 1 ปี เริ่ม 15 มกราคม, 14 กุมภาพันธ์, 13<br />
มีนาคม ฯลฯ<br />
3. กระตุ้นให้นักเรียนอภิปรายว่าทำไมจึงจัดให้วันนั้นเป็นวันสำคัญ<br />
4. ภายหลังได้คำตอบที่ถูกต้องจากนักเรียน ครูเขียนคำว่า 22 เมษายน บนกระดาน<br />
แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตอบว่าเป็นวันอะไร<br />
5. หากนักเรียนตอบไม่ได้ ให้เฉลยว่า “วันคุ้มครองโลก”<br />
6. ให้ความรู้พื้นฐาน ประวัติ “วันคุ้มครองโลก” และสภานิติบัญญัติของประเทศสหรัฐ<br />
อเมริกา ออกกฎหมายมากกว่า 40 ข้อ ที่เจาะจงเรื่องความสะอาดของอากาศ อนุรักษ์พลังงาน การกำจัด<br />
ของเสียที่เต็มไปด้วยอันตราย การขยายสวนสาธารณะแห่งชีวิตและพื้นที่ป่า<br />
7. ให้แต่ละกลุ่มอภิปราย สรุปและให้เหตุผลว่าทำไมสิ่งแวดล้อมเกิดปัญหา ภายหลัง<br />
จากนั้นสรุปและจดบันทึกว่าขณะนี้โลกมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากสาเหตุ 3 ประการ คือ<br />
1. ประชากรโลกเพิ่ม เป็นปัญหาอันดับแรก<br />
2. เกิดจากน้ำมือของมนุษย์<br />
3. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี<br />
เมื่อการอภิปรายสิ้นสุดให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดอันดับกิจกรรม 10 อย่าง ที่ตัวเขาเอง<br />
สามารถปฏิบัติได้แบบนักอนุรักษ์ธรรมชาติ โครงการนี้อยู่นอกเหนือบทเรียน เช่น การนำของมาใช้ซ้ำ<br />
การซ่อมแซมของใช้ การจำกัดน้ำใช้ในครัวเรือนและส่วนตัว ปิดไฟ ใช้ผ้าเช็ดจานแทนกระดาษ<br />
ใช้ผงซักฟอกที่ไม่ผสมเกลือฟอสเฟส รับประทานอาหารสดที่ไม่ต้องผ่านขบวนการมากมาย ฯลฯ<br />
ขณะที่นักเรียนเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจ ครูนัดแนะนักเรียนแต่ละกลุ่มนอกเวลาเรียน<br />
เพื่อซักถามปัญหาที่ถกเถียงกันถึงเรื่องดังกล่าว รวมถึงเรื่องที่เรียน เช่น น้ำเสีย ของเสียจากโรงงาน<br />
อุตสาหกรรม ฯลฯ<br />
ระดับชั้น นักเรียนเกรด 7 – 9<br />
วิชา สุขศึกษา / สังคมศึกษา<br />
แหล่งศึกษาข้อมูลและอุปกรณ์ หนังสืออ้างอิงต่าง ๆ<br />
ซินโนวิทส์ (Synovitz. 1999 : 145) ได้เขียนบทความเรื่องการใช้ศิลปะเชิดหุ่นในงาน<br />
อนามัยโรงเรียนในโรงเรียนสหศึกษา<br />
นักการศึกษาและบุคลากรในคลินิคสุขภาพกำลังพินิจพิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง สำหรับ<br />
วิธีการเปลี่ยนแปลงและสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพที่ดีตามอายุและความเหมาะสมในการ<br />
พัฒนาและกิจกรรมเหล่านั้นควรเป็นสิ่งสนุกสนาน ศิลปะการเชิดหุ่นอยู่ในเกณฑ์เหล่านี้ การใช้ศิลปะ<br />
การเชิดหุ่นเป็นการสร้างสรรค์ วิธีการเรียนชี้ชัดว่ามีผลสะท้อนจากการเล่นไปสู่การเรียนรู้ หุ่นมีหลาก<br />
หลายชนิด บางชนิดเป็นที่กล่าวขวัญถึง และเป็นหนทางที่สรุปได้ว่าหุ่นเชิดชนิดต่าง ๆ เป็นประโยชน์<br />
29<br />
เหมาะที่จะนำมาใช้ในงานอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนสหศึกษา การส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพโดยใช้<br />
ศิลปะการเชิดหุ่น ได้ถูกแนะนำในขณะที่แต่ละคนได้พิสูจน์คุณค่า การใช้หุ่นเชิดชนิดต่าง ๆ การวิจัย<br />
ควรประเมินผลสำเร็จการใช้ศิลปะการเชิดหุ่นในการให้ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยอย่างจริงจัง<br />
โรงเรียนวัดหนัง สังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ได้สำรวจพบว่า<br />
นักเรียนมีน้ำหนักส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 4.4 มีภาวะโภชนาการเกิน (โรคอ้วน) ร้อยละ 10.02<br />
(วราภรณ ศิริลักษณ์. 2544 : 67) ซึ่งในเรื่องนี้ มาโลนีย (Maloney. 2000 : 18) มีข้อเสนอแนะ<br />
กลยุทธในการป้องกันการบริโภคอาหารที่นำไปสู่ปัญหาในเด็กและวัยรุ่นโดยใช้กรอบงานส่งเสริม<br />
สุขภาพในโรงเรียนอย่างได้ผลและปลอดภัย แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ<br />
1. หลักสูตรการเรียนการสอน<br />
2. ทัศนคติของสมาชิกในโรงเรียน สิ่งแวดล้อมและการจัดการ<br />
3. ชุมชนมีส่วนร่วมกับโรงเรียนรวมทั้งการให้บริการต่าง ๆ<br />
จากการศึกษาเรื่องสุขศึกษาในโรงเรียน จากหลากหลายแหล่งข้อมูลรวมทั้งข้อมูลจาก<br />
ต่างประเทศ สรุปได้ว่า สุขศึกษาในโรงเรียนจะบังเกิดผลดีได้นั้นต้องคำนึงถึงความสนใจของนักเรียน<br />
บุคลิกภาพของครู วิธีการสอน เทคนิคการสอน โสตทัศนอุปกรณ์ ต้องดึงดูดความสนใจและมีทักษะ<br />
การใช้ สำหรับเนื้อหาควรเหมาะสมกับวัยของนักเรียนและทันต่อเหตุการณ์ ไม่ยากเกินไปและควร<br />
ฝึกปฏิบัติ เช่น การทำอาหารตามหลักโภชนาการ อนามัยส่วนบุคคลรักษาสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์<br />
พลังงาน การกำจัดของเสีย ฯลฯ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสถานภาพทางครอบครัว ตลอดทั้งพันธุกรรม<br />
ของนักเรียนยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการสอนสุขศึกษา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ คือ นักเรียนเกิด<br />
การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ<br />
4. ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน คือ ความผูกพันที่โรงเรียนและชุมชนมีต่อ<br />
กันโดยมีความเอื้ออาทรสนับสนุนในกิจการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเยาวชนและชุมชน<br />
ธำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรม คุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโรงเรียนรับผิดชอบเยาวชนมากมายหลากหลายสถานภาพ จำเป็นต้องมี<br />
กฎระเบียบที่ใช้ร่วมกัน มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน<br />
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (2540 : 4)<br />
กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียนเป็นกระบวนการสองทาง ในอันที่จะสร้างความเข้าใจ<br />
และความร่วมมือในการดูแลสุขภาพอนามัยของเด็ก เพื่อมุ่งให้ผู้ปกครองตระหนักถึงความสำคัญและให้<br />
ความร่วมมือในการดำเนินงานสุขภาพ รับรู้ปัญหาและร่วมมือแก้ไข โดยมีครูและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข<br />
เป็นผู้ประสานงานให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านและโรงเรียน<br />
30<br />
วิมลศรี อุปรมัย และคณะ (2528 : 138) ให้ความหมายของการสร้างความสัมพันธ์<br />
ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนไว้ว่า เป็นการสร้างสัมพันธภาพอันดีต่อกันระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เพื่อ<br />
ให้โรงเรียนรู้จักชุมชนดีขึ้นในแง่ที่สามารถค้นหา และใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์ต่อ<br />
การศึกษา ในเวลาเดียวกันก็ให้ชุมชนมีความรู้สึกที่ดีต่อโรงเรียน ถ้าจะให้ถึงจุดสูงสุดของการสร้าง<br />
ความสัมพันธ์ก็คือ “ทำให้ชุมชนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นสมบัติของชุมชน” ผู้คนในชุมชน ย่อมจะได้ช่วย<br />
กันดูแลรักษาทรัพย์สินของโรงเรียนตลอดจนเอื้ออำนวยความสะดวกให้ความช่วยเหลือโรงเรียนในด้าน<br />
ต่าง ๆ เช่น ช่วยสละทรัพย์สินซื้ออุปกรณ์ที่โรงเรียนยังขาดแคลน ช่วยซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์<br />
อาคารเรียน โดยไม่คิดค่าตอบแทน ช่วยออกเงินจ้างครูช่วยสอนให้กับโรงเรียน รวมถึงช่วยวางแผนใน<br />
การพัฒนาโรงเรียน<br />
องค์การอนามัยโลก (1996 ; อ้างถึงใน ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์. 2540 : 28)<br />
กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียน ควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนจนถึงขั้นตอน<br />
สุดท้ายของโครงการ คือ การประเมินผลเพื่อเป็นการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน<br />
จุดมุ่งหมายของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน<br />
พนิจดา วีระชาติ (2542 : 51 – 52) กล่าวถึง ความมุ่งหมายของการสร้างความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ดังนี้คือ<br />
1. เพื่อสร้างเสริมสัมพันธภาพระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เพราะสัมพันธภาพจะเป็น<br />
เครื่องมือเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ให้มาร่วมมือกันปฏิบัติการต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้บรรลุจุด<br />
มุ่งหมายอันเดียวกันตามที่กำหนด<br />
2. เพื่อสร้างเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของให้แก่ชุมชน เนื่องจากโรงเรียนเป็น<br />
สาธารณสมบัติที่ชุมชนเป็นเจ้าของอยู่แล้ว หากแต่มอบหมายให้คณะครูเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ<br />
ซึ่งมี ครูใหญ่เป็นหัวหน้า<br />
3. เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการของโรงเรียน กิจการต่าง ๆ ของโรงเรียน อาจ<br />
แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น การกำหนดความมุ่งหมาย และนโยบาย กิจการเกี่ยวกับการบริหารโรงเรียน<br />
กิจการเกี่ยวกับการพัฒนาอาคารสถานที่ ตลอดจนการพัฒนาด้านวิชาการ เช่น หลักสูตร เป็นต้น ทั้งนี้<br />
ทำให้การดำเนินงานของโรงเรียนสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ในอันที่จะพัฒนา<br />
บุตรหลานของเขา<br />
4. เพื่อฟื้นฟูและรักษาวัฒนธรรมของชุมชน ในชุมชนมีวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นทั้งที่<br />
เป็นขนบธรรมเนียบประเพณีและศาสนา วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ความดีของชุมชน<br />
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นศูนย์รวมทางจิตใจและเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน ชุมชนจะรักษาและหวงแหน<br />
31<br />
อย่างยิ่ง หากโรงเรียนทำการฟื้นฟูและถ่ายทอดให้แก่เยาวชน ชุมชนจะให้ความร่วมมือทุกประการ<br />
เพราะชุมชนมองเห็นว่าโรงเรียนกระทำการเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง<br />
5. เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างบ้านกับโรงเรียน เป็นที่ยอมรับว่าโรงเรียนเป็น<br />
หน่วยงานของชุมชน ดำเนินงานพัฒนาคนสำหรับชุมชน โรงเรียนกับชุมชน จึงมีการปฏิบัติไปในทิศ<br />
ทางเดียวกันในทุกกรณี การดำรงชีพในชุมชนควรจะเป็นหลักสูตรของโรงเรียน ปฏิบัติการต่าง ๆ ควร<br />
เป็นของชุมชน โรงเรียนเป็นเพียงสถานฝึกหัดให้เท่านั้น<br />
จากการที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางของการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับชีวิตจริง<br />
ของชุมชนหรือเป็น “การศึกษาเพื่อชีวิต” แต่วิธีดำเนินการนั้นย่อมแตกต่างกัน<br />
เริงชัย หมื่นชนะ (2535 : 91) ได้กล่าวถึง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน<br />
กับชุมชนไว้ดังนี้<br />
1. สนับสนุนและหาทางให้ผู้ปกครองร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมครูและผู้ปกครอง<br />
2. พยายามประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นอยู่เสมอเป็นระยะ<br />
3. รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน ผู้ปกครองและพร้อมที่จะปรับปรุงอย่างมีหลักการ<br />
4. เข้าใจความต้องการของชุมชนและสังคม<br />
5. มีความตื่นตัวที่จะพัฒนาโรงเรียนและพัฒนาท้องถิ่นอยู่เสมอ<br />
6. พัฒนาบุคลากรในโรงเรียนอยู่เสมอ<br />
7. พยายามใช้ทรัพยากรที่อยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์แก่โรงเรียน<br />
8. ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อม ลดความขัดแย้งระหว่างบ้าน<br />
วัดและโรงเรียน<br />
พนิจดา วีระชาติ (2542 : 55 –56) มีแนวดำเนินการในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
บ้านและโรงเรียนดังต่อไปนี้<br />
1. จัดให้มีการปฐมนิเทศผู้ปกครองของนักเรียนในวันเปิดภาคเรียนโดยชี้แจงถึงวัตถุ<br />
ประสงค์ของการศึกษา และดำเนินงานของโรงเรียนทั้งด้านการสอน การอบรมบ่มนิสัย และการพัฒนา<br />
ด้านต่าง ๆ<br />
2. วิธีการที่โรงเรียนจะสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนนั้น มีอยู่หลายขั้นตอนโดยอาจ<br />
เริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับบ้านหรือผู้ปกครอง แล้วจึงขยายความร่วมมือไปสู่<br />
หน่วยงานและสถาบันอื่น ๆ ในชุมชน การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองนั้นโรงเรียนสามารถดำเนิน<br />
การได้ดังนี้<br />
2.1 จัดให้มีการปฐมนิเทศผู้ปกครองของนักเรียน โดยชี้แจงถึงวัตถุประสงค์<br />
ของการศึกษาและการดำเนินงานของโรงเรียนทั้งด้านการสอน การอบรมบ่มนิสัย และการพัฒนาด้าน<br />
ต่าง ๆ<br />
32<br />
2.2 เชิญผู้ปกครองมาเยี่ยมชมโรงเรียน เช่น มาชมการเรียนการสอน<br />
ชมการแสดงของนักเรียน ชมนิทรรศการที่โรงเรียนจัดขึ้น เป็นต้น<br />
2.3 เชิญผู้ปกครองมาร่วมแก้ไขปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับตัวเด็ก เช่น<br />
เด็กก้าวร้าว เด็กติดยาเสพติด ฯลฯ<br />
2.4 ให้ครูไปเยี่ยมผู้ปกครองและนักเรียนที่บ้าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดี<br />
ต่อกันและมีความสนิทสนมซึ่งกันและกัน<br />
2.5 ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน เช่น เชิญมาเป็น<br />
วิทยากรในเรื่องที่เขามีความถนัดและชำนาญการ เชิญมาเป็นกรรมการในงานที่โรงเรียนจัดขึ้น ไม่ว่า<br />
จะเป็นการแข่งกีฬา การจัดงานประเพณีหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่สนใจร่วมกัน ถ้าเป็นไปได้อาจเชิญ<br />
ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนงานของโรงเรียนทั้งในด้านหลักสูตร อาคารสถานที่และ<br />
วัสดุอุปกรณ์ของโรงเรียน<br />
2.6 จัดตั้งสมาคมครูและผู้ปกครองขึ้น เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
บ้านและโรงเรียนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น<br />
สรุปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน คือ ความผูกพันที่โรงเรียนและ<br />
ชุมชนมีต่อกัน โดยมีความเอื้ออาทร สนับสนุนในกิจการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชนและชุมชน<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะโรงเรียนมีนักเรียนมากมาย<br />
หลากหลายสถานภาพที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งด้านสุขภาพอนามัย จำเป็นต้องขอความร่วมมือ<br />
จากผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนให้เข้ามาสนับสนุนกิจการของโรงเรียนทางด้านวิชาการ ทุนทรัพย์<br />
และการสอดส่องดูแล เอื้ออาทรต่อนักเรียนตามสมควร โดยเฉพาะงานอนามัยโรงเรียนซึ่งต้องทำงาน<br />
ประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เมื่อให้บริการด้านสุขภาพอนามัยและให้สุขศึกษาแล้ว นักเรียนต้อง<br />
นำไปปฏิบัติจึงสามารถแก้ปัญหาสุขภาพได้และผู้ที่สามารถกระตุ้นให้เขาปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง นอกจาก<br />
ตัวนักเรียนเองแล้ว ผู้ปกครองนักเรียนซึ่งรับรู้ในเรื่องนั้นเป็นแรงเสริมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติตนตาม<br />
หลักสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง บรรลุวัตถุประสงค์ของงานอนามัย<br />
โรงเรียน<br />
สำหรับการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนนั้น ผู้บริหารโรงเรียน ครูอนามัยโรงเรียน<br />
และบุคลากรซึ่งทำหน้าที่บริการด้านสุขภาพ ควรสร้างมนุษยสัมพนธ์กับนักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน<br />
ให้ความเอื้ออาทรและดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ตลอดทั้งการแสดงออกในความรักในเพื่อนมนุษย์เป็น<br />
ส่วนหนึ่งที่จะทำให้การปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์<br />
33<br />
2.3 เกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพใน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา<br />
ในแผนพัฒนาสาธารณสุข ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) กรมอนามัยได้ปรับปรุง<br />
เกณฑ์การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนที่ใช้อยู่เดิมให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์และทิศทางใหม่ของแผน<br />
งานส่งเสริมสุขภาพ ในส่วนของกลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน ได้กำหนดให้ได้รับการพัฒนาสุขภาพ<br />
โดยการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และแก้ปัญหาให้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา<br />
มีการพัฒนาการสมวัย และปรับตัวสู่สังคมได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว<br />
กรมอนามัยจึงกำหนดยุทธศาสตร์ โดยสนับสนุนให้โรงเรียนต่าง ๆ มีการดำเนินกิจกรรมพัฒนาสุขภาพ<br />
นักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมอนามัย ร้อยละ 95 ของโรงเรียนทั้งหมด โรงเรียนด้านส่งเสริม<br />
สุขภาพของโรงเรียนประถมศึกษา มีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ ด้านการบริการอนามัยโรงเรียน ด้านการ<br />
ส่งเสริมการให้สุขศึกษา ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมและป้องกันอุบัติภัย และการมีส่วนร่วมของครู<br />
ผู้ปกครองและชุมชน เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กรมอนามัย กระทรวง<br />
สาธารณสุข ได้กำหนดเกณฑ์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้านส่งเสริมสุขภาพ สำหรับ<br />
โรงเรียนประถมศึกษาขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดในภาคผนวก<br />
3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ<br />
สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 176 – 177 และ 193) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารงานสุขภาพ<br />
อนามัยในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนนทบุรี ผลการวิจัยพบว่า<br />
ด้านการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียนส่วนใหญ่มีความเห็นว่า การจัดสภาพ<br />
แวดล้อมในโรงเรียนมีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง คือ ขาดแคลนบ่อบำบัดน้ำเสีย ความไม่เพียงพอ<br />
ของอาคารเรียนและห้องเรียน ความคับแคบของเนื้อที่และบริเวณโรงเรียน ความทรุดโทรมของอาคาร<br />
เรียนและอาคารประกอบ และมีสภาพบางเรื่องที่ยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ คือ ขาดแคลน<br />
รั้วโรงเรียน บริเวณโรงเรียนมีน้ำท่วมขังตามฤดูกาล มีฝุ่นและเสียงรบกวน สภาพสนามไม่ดีพอ<br />
สนามเด็กเล่นขาดแคลนเครื่องเล่นประจำสนาม<br />
ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 115 – 116) ได้ทำการวิจัยเรื่อง บทบาทของผู้บริหารและครูในการ<br />
พัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบ<br />
ว่า การพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพนักเรียน ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เรื่องการควบคุมและ<br />
34<br />
กำจัดสัตว์อันเป็นพาหะของโรคหรือมีพิษที่เป็นอันตรายต่อนักเรียน และการจัดห้องน้ำห้องส้วม<br />
ไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน ซึ่งผู้บริหารปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง<br />
ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 117) ศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรู้บทบาทครูอนามัยโรงเรียน<br />
ในโครงการสุขภาพของผู้บริหาร ครูประจำชั้นและครูอนามัยโรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลพบุรี ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นที่พบมากที่สุดใน<br />
ผู้บริหารโรงเรียน คือ โรงเรียนควรจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนการสอน โดยสร้างความเข้าใจ<br />
ให้ตรงกันในครูทุกคน ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครองและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีการวางแผนร่วม<br />
กันอย่างเป็นรูปธรรมและให้นักเรียนมีส่วนร่วมดำเนินการด้วย<br />
ประสิทธิ์ สาระสันต์ (2536 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การบริหารโครงการสุขภาพใน<br />
โรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัย<br />
พบว่าการบริหารโครงการสุขภาพในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษามีการดำเนินงานอยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง จัดบริการสุขภาพในโรงเรียนได้เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมใน<br />
โรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ มีข้อเสนอแนะว่า ผู้บริหารจะต้องไม่มุ่งจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ<br />
มากกว่าสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพจิตนักเรียนและจะต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องรณรงค์ให้คณะครู<br />
ถือเป็นหน้าที่จะต้องดูแลสุขภาพและสร้างสุขนิสัยที่ดีเป็นตัวอย่างแก่นักเรียน<br />
พรณี พันมา (2540 : 139) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงาน<br />
อนามัยโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาในการ<br />
บริหารงานอนามัยโรงเรียนด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมยังทำได้ไม่เต็มที่ รองลงมา คือ การจัดสวัสดิการ<br />
แก่บุคลากรยังทำได้ไม่เต็มที่และบางส่วนของแผนงานซึ่งวางไว้ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง<br />
สนั่น พรหมสุวรรณ (2536 : 93) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งเสริมโรงเรียนประถมศึกษาให้<br />
ได้เข้ารับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนดีเด่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนที่ได้รับคัด<br />
เลือกเป็นโรงเรียนดีเด่น มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนดีกว่าโรงเรียนที่มิได้คัดเลือกเป็นโรงเรียนดี<br />
เด่น มีข้อเสนอแนะว่าผู้บริหารโรงเรียน ควรดำเนินการ คือ การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการตกแต่ง<br />
บริเวณโรงเรียน การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนการสอน โดยการจัดสัมมนากลุ่มย่อย ๆ<br />
ระหว่างโรงเรียนภายในกลุ่มอำเภอหรือจังหวัด ไปเยี่ยมชมโรงเรียนดีเด่น จัดบรรยายพิเศษโดยครูใหญ่<br />
โรงเรียนดีเด่น อ่านตำราหรือบทความจากวารสารต่าง ๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการตกแต่งบริเวณ เพื่อจะ<br />
ได้ทราบหลักเกณฑ์และแนวทางดำเนินการ<br />
กริฟฟิธ (Griffith 2000 : 194) ได้ทำการวิจัยเรื่อง บรรยากาศในโรงเรียนเปรียบเสมือนผล<br />
สรุปการประเมินคุณค่าและเป็นภาพรวมของโรงเรียน : มุมมองของนักเรียนและผู้ปกครองต่อ<br />
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองและนักเรียนมีมุมมองที่สอดคล้อง<br />
35<br />
ต้องกันว่า สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน คือ นัยสำคัญและสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับการตัดสินว่าโรงเรียนดี<br />
หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม<br />
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้านการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูก<br />
สุขลักษณะ สรุปได้ว่า สิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนเป็นสิ่งแสดงภาพรวมของโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร<br />
ปัญหาที่พบ ได้แก่ บุคลากรไม่ได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับงาน สถานที่ตั้งของโรงเรียนไม่<br />
เหมาะสม บริเวณคับแคบ การสุขาภิบาลไม่ดี ไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ยังมีสัตว์นำโรคและ<br />
มีพิษ อาคารเรียนและห้องเรียนไม่เพียงพอ สิ่งก่อสร้างชำรุด มีข้อเสนอแนะว่า การสร้างอาคารเรียน<br />
และจัดสภาพแวดล้อมไม่ควรเน้นเฉพาะด้านกายภาพ ควรคำนึงถึงผลทางจิตวิทยาและส่งเสริมการเรียน<br />
รู้ควบคู่ไปด้วย และควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการรักษาสภาพแวดล้อม ควรจัดสัมมนาบุคลากรให้<br />
ทราบแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดตกแต่งบริเวณโรงเรียน<br />
3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการบริการสุขภาพในงานอนามัยโรงเรียน<br />
พรณี พันมา (2540 : 139) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงาน<br />
อนามัยโรงเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า<br />
ปัญหาการบริหารงานอนามัยโรงเรียนด้านการบริการสุขภาพ คือ การสรรหาบุคลากรให้เหมาะสมกับ<br />
งานด้านการบริการสุขภาพยังไม่ดีเท่าที่ควร รองลงมา คือ การประสานงานภายในหน่วยงานยังไม่ดีเท่า<br />
ที่ควร และบางส่วนของแผนงานที่วางไว้ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง<br />
สมศักดิ์ อัมพรต (2538 : 194) วิจัยเรื่อง การบริหารงานสุขภาพอนามัยในโรงเรียนประถม<br />
ศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดนนทบุรี ผลการวิจัยพบว่า การบริหารงานด้านการ<br />
จัดบริการสุขภาพอนามัยโรงเรียนผู้รับผิดชอบ ห้องพยาบาลหรือมุมพยาบาลมีชั่วโมงสอนมากเกินไป<br />
จนไม่มีเวลาที่จะดูแลห้องพยาบาลให้บังเกิดผลดี การขาดแคลนบุคลากรที่จะมาดูแลรับผิดชอบงาน<br />
ด้านสุขภาพอนามัย การขาดแคลนเงินทุนหรือ งบประมาณที่จะสนับสนุนการจัดโครงการอาหาร<br />
กลางวันให้มีคุณภาพ<br />
ศิริพร พุทธรังษี (2530 : 97 – 100) วิจัยเรื่อง สภาพและปัญหาการบริการสุขภาพใน<br />
ห้องพยาบาล โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรที่ดูแลรับ<br />
ผิดชอบการบริการสุขภาพในโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุว่าเป็นครูมีวุฒิใด โดยเฉพาะวุฒิทางพยาบาล<br />
ไม่มีเลยและไม่ได้อยู่ประจำห้องพยาบาลตลอดเวลา ทางด้านอุปกรณ์ที่โรงเรียนส่วนใหญ่ขาด คือ<br />
เฝือกไม้ ทั้งนี้อาจเนื่องจากครูในโรงเรียน ขาดความรู้และประสบการณ์ด้านการปฐมพยาบาล ซึ่งไม่<br />
เห็นความสำคัญของเฝือกไม้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับนักเรียนมักจะนำส่งโรงพยาบาลทันที การทดสอบ<br />
การได้ยินของนักเรียน โรงเรียนส่วนใหญ่มิได้จัดทำเพราะขาดแคลนบุคลากรและเครื่องมือ การตรวจ<br />
36<br />
สุขภาพครูหรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีการตรวจสุขภาพน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ<br />
30.3 ส่วนการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อในโรงเรียนเกี่ยวกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ส่วน<br />
ใหญ่จัดอยู่ในเกณฑ์ดี คือ เกือบร้อยละ 100<br />
ตวงพร โต๊ะนาค (2533 : 114) วิจัยเรื่อง บทบาทของผู้บริหารและครูในการพัฒนาพฤติกรรม<br />
สุขภาพของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า งานในบทบาท<br />
การบริการสุขภาพที่ทำได้น้อยมาก คือ การจัดครูพยาบาลประจำห้องพยาบาลและการวิเคราะห์<br />
พัฒนาการของนักเรียน ซึ่งผู้บริหารและครูหากมิได้ฝึกอบรมสมรรถภาพในด้านนี้โดยตรงจึงเป็นการ<br />
ยากที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีข้อจำกัดด้านความรู้และความพร้อม<br />
เพียงเพ็ญ ธัญญะตุลย์ (2533 : 87) วิจัยเรื่อง การดูแลสุขภาพตนเองของอาสาสมัครสาธารณสุข<br />
ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า การดูแลสุขภาพตนเองของอาสา<br />
สมัครสาธารณสุขในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครอยู่ที่ระดับดี อาสาสมัครนักเรียน<br />
หญิงมีการดูแลตนเองดีกว่าอาสาสมัครนักเรียนชาย มีข้อเสนอแนะว่าครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการ<br />
จัดโครงการอาสาสมัครสาธารณสุขควรให้การดูแลเอาใจใส่อาสาสมัครนักเรียนชายให้มากกว่าเดิม<br />
และควรมีการบรรจุตำแหน่งครูอนามัยโรงเรียนไว้ในโรงเรียนประถมศึกษา เพราะครูอนามัยโรงเรียนมี<br />
ความสำคัญมากในการที่จะติดตามประเมินผลและประสานงานให้โครงการต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี<br />
การใช้ครูอื่นมาทำหน้าที่แทนนั้นก็ย่อมทำได้แต่ผลที่ออกมาอาจไม่ดีเท่าที่ควร<br />
กรีฟฟิธ และฮวิชเชอร์ (Griffith and Whicker 1981:428 – 432) วิจัยเรื่อง “การสังเกต สุขภาพ<br />
นักเรียนโดยครู” ผลการวิจัยพบว่า ครูส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่มอบหมายให้ตนเป็นผู้ตรวจสุขภาพ<br />
นักเรียนและผู้บริหารโรงเรียนก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน จึงทำให้บรรดาครูไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับ<br />
การตรวจสุขภาพนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของ ฉัตรสุดา ชินประสาทศักดิ์ (2540 : 111) วิจัย<br />
เรื่อง การรับรู้บทบาทครูอนามัยโรงเรียนในโครงการสุขภาพของผู้บริหาร ครูประจำชั้นและครูอนามัย<br />
โรงเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลพบุรี พบว่า ผู้บริหาร<br />
โรงเรียน ครูประจำชั้นและครูอนามัยโรงเรียนส่วนหนึ่งมีความเห็นว่างานหลักของครูคือหน้าที่การสอน<br />
ซึ่งเป็นภาระหนักอยู่แล้ว งานโครงการสุขภาพจึงควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ต้องมาให้<br />
บริการแก่นักเรียนโดยตรง<br />
ไครคูฟเฟอร์ พไรซ และเท็ลโจฮาน (Kirchofer, Price, Telljohnn 2001 : 448) ทำการวิจัย<br />
เรื่อง ความรู้และการรับรู้ของครูประถมศึกษาเรื่องเหาบนศีรษะ การศึกษาครั้งนี้เพื่อตรวจสอบความรู้<br />
ของครูประถมศึกษาเรื่องเหาบนศรีษะ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เรื่องเหาและแหล่งข้อมูลที่ครูมีความ<br />
ประสงค์มากที่สุดที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่ม ผลการวิจัย พบว่า ครูต้องการมีความรู้เรื่องการตรวจเหา<br />
มากและมีนัยว่าประสบการณ์การสอนมากยิ่งรู้มากขึ้น ร้อยละ 46 คาดการว่าหากครูช่วยกันระวังจะช่วย<br />
37<br />
ควบคุมโรคเหา ร้อยละ 71 รายงานว่าได้รับข่าวสารจากครูอนามัยโรงเรียน ร้อยละ 63 ต้องการวีดีทัศน์<br />
ร้อยละ 51 ต้องการแผ่นพับ และร้อยละ 23 ให้มีการตรวจเหาทุกปี<br />
พิงคนี แคโรล อาโนลต์ (Pinckney Carole Arnold, 1996 : 151) วิจัยเรื่อง การวิเคราะห์การรับรู้<br />
บทบาทหน้าที่ครูพยาบาลโรงเรียนในรัฐแมรีแลนด์ระหว่างครูพยาบาลและผู้บริหารโรงเรียน จุดมุ่ง<br />
หมายของการศึกษาเพื่อตรวจสอบและบรรยายถึงบทบาทหน้าที่ของครูพยาบาลโรงเรียนและการรับรู้<br />
ของครูพยาบาลและผู้บริหารโรงเรียน มีการเก็บข้อมูลโดยส่งแบบสอบถามไปยังผู้เกี่ยวข้องจากแมรี่<br />
แลนด์จำนวน 2 เมือง ผลการวิจัยพบว่า ครูพยาบาลและผู้บริหารโรงเรียนมีการรับรู้บทบาทหน้าที่ครู<br />
พยาบาลโรงเรียนแตกต่างกัน ปัญหาและอุปสรรคด้านการบริการสุขภาพ สรุปได้ดังนี้ คือ ไม่มีเวลา<br />
ให้การพยาบาลนักเรียน ไม่เห็นความสำคัญของสุขภาพและขาดเงินกองทุน<br />
คราเมอร์และไอเวอร์สัน (Cramer Iverson 1999 : 170) ได้วิจัยเรื่อง ความคาดหวังของ<br />
ผู้ปกครองนักเรียนต่องานอนามัยโรงเรียนในรัฐเนบราสกา ผลการวิจัยพบว่าผู้ปกครองนักเรียนร้อยละ<br />
92 มองงานอนามัยโรงเรียนเป็นหัวใจทางการศึกษา ร้อยละ 64 มีความประสงค์ให้มีพยาบาล 1 คน ต่อ<br />
นักเรียน 500 คน ร้อยละ 89 เชื่อว่านักเรียนต้องการพยาบาลมาทำหน้าที่ครูอนามัยโรงเรียน สรุป มี<br />
รายงานว่า รัฐสภาเนบราสกา จะให้ความช่วยเหลือโดยใช้เงินกู้ของรัฐเพื่อให้มีพยาบาลประจำโรงเรียน<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_4055.html">สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_5651.html">สภาพการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16047024/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-91525492525630015122011-08-14T03:13:00.002-07:002011-08-14T03:14:45.234-07:00สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)<a href="http://www.ziddu.com/download/16046959/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
OPERATING STATE OF BANGKOK METROPOLITAN PRIMARY SCHOOL LIBRAIES<br />
นางชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์<br />
ปีการศึกษา 2548<br />
ISBN : 974-373-534-8<br />
ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
วิทยานิพนธ์ สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัด กรุงเทพมหานคร<br />
โดย นางชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
สาขา บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์<br />
ประธานกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชลลดา พงศ์พัฒนโยธิน<br />
กรรมการ รองศาสตราจารย์ ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์<br />
กรรมการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุนิตย์ เย็นสบาย<br />
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต<br />
.................................................................ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายงานบัณฑิตศึกษา<br />
(ดร.สรายุทธ เศรษฐขจร)<br />
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
.................................................................ประธานกรรมการ<br />
(รองศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ บวรศิริ)<br />
.................................................................กรรมการ<br />
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชลลดา พงศ์พัฒนโยธิน)<br />
.................................................................กรรมการ<br />
(รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์)<br />
.................................................................กรรมการ<br />
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนิตย์ เย็นสบาย)<br />
.................................................................กรรมการ<br />
(รองศาสตราจารย์หรรษา ศิวรักษ์)<br />
.................................................................กรรมการและเลขานุการ<br />
(อาจารย์มนต์ฤดี วัชรประทีป)<br />
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
ค<br />
ประกาศคุณูปการ<br />
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลงด้วยดีเพราะได้รับความกรุณาอย่างดียิ่งจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชลลดา พงศ์พัฒนโยธิน รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนิตย์ เย็นสบาย ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ได้เอาใจใส่ให้คำแนะนำ และตรวจสอบแก้ไข เพื่อให้วิทยานิพนธ์มีความถูกต้อง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้<br />
ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ บวรศิริ ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ตลอดจน รองศาสตราจารย์หรรษา ศิวรักษ์ และ อาจารย์มนต์ฤดี วัชรประทีป กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำ และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ตลอดจนช่วยแก้ไขวิทยานิพนธ์ให้มีความสมบูรณ์ถูกต้องยิ่งขึ้น<br />
ขอขอบพระคุณคณาจารย์ สาขาบรรณารักษศาสตร์ละสารสนเทศศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่ผู้วิจัย<br />
ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้กรุณาตรวจสอบ แก้ไข ให้คำแนะนำในการสร้างเครื่องมือในการวิจัย และ ขอขอบคุณครูบรรณารักษ์ ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการให้ข้อมูล และตอบแบบสอบถาม<br />
ขอขอบคุณอาจารย์วรุณรัตน์ คนซื่อ และ ญาติพี่น้องทุกคน ตลอดจนผู้ร่วมงาน และ เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นกำลังใจ และช่วยเหลือในการทำวิจัยในครั้งนี้ด้วยดีเสมอมา<br />
คุณความดีของวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ขอมอบให้บุพการี และคณาจารย์<br />
ชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
ง<br />
ชุลีพร ฤทธิ์เดชา. (2548). สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัด กรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านเจ้าพระยา.<br />
คณะกรรมการควบคุม : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชลลดา พงศ์พัฒนโยธิน ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนิตย์ เย็นสบาย<br />
รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์<br />
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาสภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) ทั้ง 3 ด้าน กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือ ครูบรรณารักษ์ ที่ทำงานอยู่ในห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 222 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ หาค่าเฉลี่ย และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
ผลการวิจัยในภาพรวม พบว่า สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) การดำเนินงาน อยู่ในระดับมาก แนวทางในการพัฒนา โดยภาพรวม พบว่าสถานภาพของโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ส่วนมากเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ คือ มีนักเรียนมากกว่า 801 คน ขึ้นไป ร้อยละ 38.74 จำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในโรงเรียนทุกขนาดส่วนมากใช้ในงานด้านธุรการร้อยละ 41.86-75.67 แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนทุกขนาดส่วนมากเป็นมุมหนังสือ และป้ายนิเทศ ร้อยละ 32.55 – 56.45 รองลงมา เป็นห้องสมุดกลางร้อยละ 20.96 – 31.39 เป็นห้องพิเศษ / ศูนย์วิทยากร ร้อยละ 19.35 – 27.90 และเป็นอุทยานการศึกษา ร้อยละ 4.83 – 26.74 สถานการดำเนินการ ด้านการบริหาร มีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลาง (x = 3.47) , ด้านเทคนิค มีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลาง (x = 3.16) , ด้านบริการ มีค่าเฉลี่ยในระดับปานกลาง ( = 3.14) สอดคล้องมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย<br />
จ<br />
CHULEEPORN RICHDACHAR (2005). OPERATING STATE OF BANGKOK METROPOLITAN PRIMARY SCHOOL LIBRAIES. THESIS, GRADUATE SCHOOL, BANSOMDEJCHAOPRAYA RAJABHAT UNIVERSITY, BANGKOK.<br />
UNIVERSITY ADVISOR : ASSOCIATE PROFESSOR CHAWEEWAN KUHAPINUNT, ASSISTANT PROFESSOR SUNIT YENSABAI, ASSISTANT PROFESSOR CHONLADA PONGPATTANAYOTIN.<br />
The objectives of this research were to study the operating state of Bangkok Metropolitan primary school libraries and compare library operations according to sizes and guidelines for primary school libraries in 3 areas.<br />
Sample group composed of 222 librarians on duty in 2004 (B.E. 2547) . The research instruments were questionairs . Data analysis were enumeration frequency for percentage, Mean and Standard Diviation.<br />
The results indicated that overall image of operating state of Bangkok Metropolitan primary school libraries were at the moderate level. When divided into 3 sizes; it showed that overall big and middle size primary school libraries were at the high level , but the small ones were at the moderate level. Reasons of differences might be because the small size primary school libraries received less support in funding, personnels and materials etc.<br />
ฉ<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
ประกาศคุณูปการ.............................................................................................................<br />
ค<br />
บทคัดย่อภาษาไทย...........................................................................................................<br />
ง<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ......................................................................................................<br />
จ<br />
สารบัญ.............................................................................................................................<br />
ฉ<br />
สารบัญตาราง...................................................................................................................<br />
ซ<br />
สารบัญแผนภูมิ................................................................................................................<br />
ฌ<br />
บทที่ 1<br />
บทนำ................................................................................................................<br />
1<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา...........................................................<br />
1<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................<br />
4<br />
ขอบเขตเขตของการวิจัย...................................................................................<br />
4<br />
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ..............................................................................<br />
5<br />
นิยามศัพท์เฉพาะ..............................................................................................<br />
5<br />
กรอบแนวคิดในการวิจัย..................................................................................<br />
6<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................<br />
7<br />
ตอนที่ 1 พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง.................................................................<br />
8<br />
ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน............................<br />
12<br />
ตอนที่ 3 แนวคิดทฤษฏีการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน.................................<br />
21<br />
ตอนที่ 4 การดำเนินงานห้องสมุด.....................................................................<br />
39<br />
ตอนที่ 5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................<br />
47<br />
บทที่ 3<br />
วิธีดำเนินการวิจัย.............................................................................................<br />
56<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................<br />
56<br />
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...............................................................................<br />
56<br />
ตัวแปรที่ศึกษา..................................................................................................<br />
57<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..................................................................................<br />
57<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล......................................................................................<br />
58<br />
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................<br />
59<br />
ช<br />
สารบัญ (ต่อ)<br />
หน้า<br />
บทที่ 4<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................<br />
64<br />
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของโรงเรียน.................................<br />
62<br />
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลสภาพการดำเนินงานของห้องสมุด<br />
โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร....................................<br />
64<br />
ตอนที่ 3 แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพ-<br />
มหานครโดยท่านผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา......<br />
76<br />
บทที่ 5<br />
สรุป อภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะ.................................................................<br />
77<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................<br />
77<br />
วิธีดำเนินการวิจัย..............................................................................................<br />
77<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................................<br />
78<br />
สรุปผลการวิจัย.................................................................................................<br />
78<br />
อภิปรายผลการวิจัย...........................................................................................<br />
79<br />
ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย.............................................................................<br />
79<br />
ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป.............................................................<br />
80<br />
บรรณานุกรม....................................................................................................<br />
81<br />
ภาคผนวก<br />
ภาคผนวก ก หนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ...............................<br />
88<br />
ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถาม........................................<br />
90<br />
ภาคผนวก ค แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ ชุดที่ 1 และชุดที่ 2..........................<br />
93<br />
ภาคผนวก ง ประวัติผู้วิจัย................................................................................<br />
105<br />
ซ<br />
สารบัญตาราง<br />
ตารางที่<br />
หน้า<br />
1<br />
ความหมายของห้องสมุดโรงเรียน.................................................................<br />
13<br />
2<br />
บุคลากรของห้องสมุดโรงเรียน.....................................................................<br />
44<br />
3<br />
กลุ่มตัวอย่างตามขนาดของโรงเรียน.............................................................<br />
57<br />
4<br />
สถานภาพและร้อยละของโรงเรียน...............................................................<br />
62<br />
5<br />
จำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในโรงเรียน..........................................................<br />
63<br />
6<br />
แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน................................................................................<br />
63<br />
7<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านการบริการ............................................<br />
64<br />
8<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านการวางแผน..........................................<br />
65<br />
9<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านงบประมาณ..........................................<br />
66<br />
10<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านบุคลากร................................................<br />
67<br />
11<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านเทคนิคเกี่ยวกับทรัพยากร.....................<br />
68<br />
12<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านการบริการ............................................<br />
68<br />
13<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก.........................<br />
71<br />
14<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการเข้าถึง........................................<br />
72<br />
15<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการปฐมนิเทศห้องสมุด..................<br />
73<br />
16<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านการสื่อสารและความร่วมมือ................<br />
74<br />
17<br />
ความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ ด้านการประเมิน..........................................<br />
75<br />
ฌ<br />
สารบัญแผนภูมิ<br />
แผนภูมิที่<br />
หน้า<br />
1<br />
กรอบแนวคิดในการวิจัย............................................................................<br />
6<br />
2<br />
การบริหารงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา.........................................<br />
23<br />
บทที่ 1<br />
บทนำ<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา<br />
การศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคล และสังคมซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ เพราะเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 เป็นกฎหมายที่ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณภาพ มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงได้กำหนดให้มีการจัดการศึกษาใน 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่สามารถบูรณาการเข้าด้วยกันหรือเทียบโอนประสบการณ์ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาทั้ง 3 ระบบ เข้าเป็นกระบวนการด้วยกันได้ ในการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้นับได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มุ่งไปที่กระบวนทัศน์ ในการจัดการศึกษาของประเทศเป็นเป้าหมายหลัก (ทองอยู่ แก้วไทรฮะ,2543:5) โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดหรือเรียกว่าผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพของตน ส่วนการจัดกระบวนการเรียนรู้นั้นให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ<br />
1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล<br />
2. ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหา<br />
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็นรักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง<br />
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา<br />
5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็น<br />
2<br />
ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ<br />
6. การจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดาผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ<br />
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 24,2543)<br />
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแนวการจัดการศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุดมิได้หมายความว่าครูจะลดบทบาทหรือความสำคัญลงตรงกันข้าม ครูกลับมีบทบาท และมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเป็นผู้วางแผนขั้นต้น จัดสถานการณ์การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และวิธีการแสวงหาความรู้ที่ถูกต้องให้แก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ครูยังทำหน้าที่เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหาและลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองเต็มศักยภาพ (สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ,2543:4)<br />
การจัดกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ที่มีอยู่ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ซึ่งแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนนี้ หมายถึง การพัฒนาทุกที่ในโรงเรียนให้สามารถเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่นักเรียน ครูผู้สอน และชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อสนับสนุนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนแบ่งตามลักษณะหรือรูปแบบการจัดได้ 4 ลักษณะดังนี้ คือ<br />
1. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นอุทยานการศึกษารอบบริเวณในโรงเรียน คือ การประสมกลมกลืนธรรมชาติ กับสภาพของโรงเรียนซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายลักษณะเช่น สวนหนังสือ สวนวรรณคดี สวนหิน สวนสมุนไพร สวนวิทยาศาสตร์ สวนสุขภาพ สวนครัว ในสวนมีมุมพักผ่อนและสื่อต่าง ๆ เป็นต้น<br />
2. แหล่งเรียนรู้ในลักษณะของห้องวิชา / งาน เป็นศูนย์การเรียนรู้ของวิชา / งานต่าง ๆ ในโรงเรียนเป็นที่รวบรวมมวลความรู้ประสบการณ์กิจกรรมการฝึกปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งผลการสอนของครู ผลงานนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหลักสูตรวิชานั้น ๆ หรือสาระการเรียนรู้ของวิชานั้น เพื่อให้ครูผู้สอน นักเรียนใช้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้นอกเหนือจากห้องสมุดกลางของโรงเรียน เป็นการสร้างบรรยากาศทางวิชาการให้ได้ซึมซับความรู้ ประสบการณ์ เจตคติเกี่ยวกับวิชานั้นๆโดยเฉพาะ หรือจัดแยกห้องวิชาการและห้องปฏิบัติการ เช่น ห้องภาษาไทย ห้องวิทยาศาสตร์ ห้อง<br />
3<br />
ภาษาต่างประเทศ ห้องสังคมศึกษา ห้องศิลปะ ห้องดนตรี ห้องคหกรรม ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องมัลติมีเดีย (Multimedia) และศูนย์อินเทอร์เนต (Internet) เป็นต้น<br />
3. แหล่งเรียนรู้ในห้องเรียนซึ่งนักเรียนจะอยู่ในห้องเรียน 90 % ของเวลาเรียน ครูได้ใช้ห้องเรียนเป็นแหล่งกลางในการจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน ดังนั้นการจัดห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของครูจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในการสร้างประสิทธิภาพทางการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน และอาจนำเทคโนโลยีการศึกษาที่มีความก้าวหน้ามาใช้การเรียนการสอนอีกด้วยแทนที่ครูจะเป็นแหล่งความรู้แต่เพียงผู้เดียว ครูควรจัดแหล่งเรียนรู้ในห้องเรียนให้มาก เช่น มีมุมค้นคว้า มุมปฏิบัติการ อยู่ภายในห้องเรียน เป็นต้น<br />
4. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นห้องสมุดกลางของโรงเรียน เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทั้งระบบที่มีการจัดประสบการณ์ให้แก่นักเรียนตามหลักสูตร ห้องสมุดโรงเรียนเป็นแหล่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเยาวชนในทุกด้านช่วยวางรากฐานให้กับนักเรียนเป็นผู้รักการเรียนรู้ และสนใจเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร คณะครูผู้สอน ครูบรรณารักษ์ที่จะต้องร่วมมือกันส่งเสริมห้องสมุดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือ มีวัสดุสารนิเทศเพื่อการเรียนรู้ทุกรูปแบบ อย่างหลากหลายสอดคล้องกับความต้องการการเรียนการสอนมีบริการและกิจกรรมทีดี เพื่อโอกาสแก่นักเรียนได้เลือกศึกษาค้นคว้าตามความถนัดความสามารถและความสนใจ จากสื่อและบริการต่างๆที่มีอยู่ในห้องสมุดให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า (ชนิดา วิสะมิตนันท์, 2543:9)<br />
ห้องสมุด จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิชาการที่สำคัญแหล่งหนึ่ง ในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และการค้นคว้าด้วยตนเองให้แก่นักเรียน การที่ห้องสมุดดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จดังกล่าวนี้ จะต้องประกอบไปด้วยลักษณะงานที่สำคัญ 3 งาน คือ (กรมวิชาการ,2535) งานบริหาร งานเทคนิค งานบริการและกิจกรรมห้องสมุด งานบริการและกิจกรรมถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของงานห้องสมุดเพราะจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้ใช้โดยตรง เป็นการช่วยเหลือให้บุคคลได้ใช้หนังสือและวัสดุสารนิเทศที่ห้องสมุดจัดหามาเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทั่วไป ความจรรโลงใจและความเพลิดเพลิน งานบริการพื้นฐานห้องสมุดได้แก่การให้อ่านและให้ยืมโดยเสรี การตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า การแนะนำและช่วยเหลือการอ่าน รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ตามที่กฎหมายกำหนด และยังสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านรวมทั้งส่งเสริมการเข้าใช้ห้องสมุด ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญแหล่งหนึ่ง งานนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียน และครูมาใช้ห้องสมุดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ใช้บริการ และบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของห้องสมุด (กรมวิชาการ, 2535:7)<br />
4<br />
ห้องสมุดโรงเรียนเป็นแหล่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเยาวชนทุกด้าน ช่วยวางรากฐานให้นักเรียนเป็นผู้รักการเรียนรู้และสนใจเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร คณะครู และบรรณารักษ์ที่จะต้องร่วมมือกันส่งเสริมห้องสมุดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือ มีเอกสารสิ่งพิมพ์และสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพตรง กับความต้องการ และมีการบริการที่ดีเพื่อให้โอกาสแก่นักเรียนได้เลือกศึกษาค้นคว้า ตามความต้องการ ตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจ โดยใช้สื่อ และบริการต่างๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า(สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร, 2546:6)<br />
ห้องสมุด ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ และตอบสนองต่อชุมชน อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัย สนใจศึกษาสภาพและการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและดำเนินการต่อไป<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
ในการวิจัยเรื่อง สถานภาพห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งความมุ่งหมายไว้ดังนี้<br />
1. ศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
2. ศึกษาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
ขอบเขตของการวิจัย<br />
ในการวิจัยครั้งนี้ ได้กำหนดขอบเขตไว้ 2 ด้าน คือ<br />
1. ขอบเขตด้านประชากร โดยทำการศึกษาจากประชากร ซึ่งเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปีการศึกษา 2547 จำนวน 431 คน จาก 50 สำนักงานเขต โดยการสุ่มตัวตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของโรงเรียน เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทุกขนาดของโรงเรียน<br />
2. ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาถึงสภาพปัจจุบันของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ตามขอบข่ายงานตามมาตรฐานสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯและตามแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6<br />
5<br />
ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับ<br />
ได้แนวทางในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ไปสู่เป้าหมายตามมาตรฐานของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ และตามแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปีพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
ตัวแปรที่ศึกษา<br />
1. ตัวแปรอิสระ<br />
โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
2. ตัวแปรตาม<br />
ความคิดเห็นของบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
นิยามศัพท์เฉพาะ<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
หมายถึง สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
ห้องสมุดโรงเรียน<br />
หมายถึง ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ที่อยู่ใน<br />
ความดูแลรับผิดชอบ ของ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร<br />
โรงเรียนขนาดเล็ก<br />
หมายถึง โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่มีนักเรียน1-400 คน<br />
โรงเรียนขนาดกลาง<br />
หมายถึง โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่มี่นักเรียน 401- 800 คน<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่<br />
หมายถึง โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่มีนักเรียนมากกว่า801คนขึ้นไป<br />
6<br />
กรอบแนวคิดในการวิจัย<br />
เพื่อให้การดำเนินงานเข้าสู่มาตรฐานที่ต้องการจึงได้กำหนดกรอบแนวคิด<br />
แผนภูมิที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย<br />
ตอนที่ 1 พระราชบัญญัติการศึกษา<br />
1.1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช<br />
2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
1.2 แผนพัฒนาการศึกษากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6<br />
ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.1 ความหมายของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.2 ความสำคัญของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.3 องค์ประกอบของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.4 บทบาทของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.5 ประโยชน์ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
ตอนที่ 3 แนวคิดทฤษฏีการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.1 ความหมายการดำเนินงานงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.2 ปัจจัยหรือองค์ประกอบในการดำเนินงานห้องสมุด<br />
3.3 การจัดองค์กรเพื่บริหารงานห้องสมุดดรงเรียน<br />
3.4 การวางนโยบายในการดำเนินงานห้องสมุด<br />
3.5 การดำเนินงานด้านสถานที่<br />
3.6 การดำเนินงานด้านครุภัณฑ์<br />
3.7 การดำเนินด้านวัสดุ สิ่งพิมพ์<br />
3.8 การดำเนินงานด้านบุคคล<br />
3.9 การดำเนินงานด้านการเงิน<br />
ตอนที่ 4 มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศ<br />
หมวด ก มาตรฐานทั่วไป<br />
หมวด ข มาตรฐานเชิงปริมาณ<br />
แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
ตอนที่ 5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
5.1 การศึกษาเปรียบเทียบห้องสมุดกับมาตรฐานห้องสมุด<br />
5.2 การศึกษาสภาพห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
5.3 การพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาในปัจจุบัน<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
การศึกษาสภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินของห้องสมุดโรงเรียน โดยผู้วิจัยได้กำหนดประเด็นการศึกษาเป็น 5 ตอนดังนี้<br />
ตอนที่ 1 พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง<br />
1.1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปี 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
1.2 แผนพัฒนาการศึกษากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 ( พ.ศ. 2545 – 2549)<br />
ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.1 ความหมายของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.2 ความสำคัญของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.3 องค์ประกอบของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.4 บทบาทและหน้าที่ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.5 ประโยชน์ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
ตอนที่ 3 แนวคิดทฤษฎีการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.1 ความหมายของการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.2 ปัจจัยหรือองค์ประกอบในการดำเนินงานห้องสมุด<br />
3.3 การจัดองค์การเพื่อบริหารงานของห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.4 การวางนโยบายในการดำเนินงานห้องสมุด<br />
3.5 การดำเนินงานด้านสถานที่<br />
3.6 การดำเนินงานด้านครุภัณฑ์<br />
3.7 การดำเนินงานวัสดุ สิ่งพิมพ์<br />
3.8 การดำเนินงานด้านบุคคล<br />
3.9 การดำเนินงานด้านการเงิน<br />
ตอนที่ 4 มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ<br />
พ.ศ. 2533<br />
8<br />
ตอนที่ 5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
5.1 การศึกษาเปรียบเทียบสภาพห้องสมุดกับมาตรฐานห้องสมุด<br />
5.2 การศึกษาสภาพห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
5.3 การพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนในปัจจุบัน<br />
ตอนที่ 1 พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง<br />
1.1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
จากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สู่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะได้กำหนดให้การศึกษาเน้นกระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึกการอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมทางสังคมแห่งการเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เปิดโอกาสให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา พัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง<br />
นอกจากนี้ยังกำหนดให้สถานศึกษา จัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดี และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ อำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ จัดการเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544, 2) ดังนั้น จึงนับว่าห้องสมุดจะมีบทบาทที่สอดรับกับหลักการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้รู้จักใฝ่รู้ใฝ่เรียน รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น<br />
1.1.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545ได้กำหนดให้มีการจัดการศึกษา 3 ระบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย(สุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ และคณะ, 2546:19)<br />
9<br />
การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดผลและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน<br />
การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนด รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม<br />
การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ หรือ แหล่งความรู้อื่น ๆ<br />
การศึกษาในระบบ มี 2 ระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาระดับอุดมศึกษา การแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี และระดับปริญญา<br />
สาระสำคัญของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กรมวิชาการ, 2545 : 1 – 9)<br />
แนวคิด เป็นการศึกษาที่มุ่งพัฒนาคนให้สมบูรณ์ มีความสมดุลทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย สังคมและปัญญา สามารถพึ่งตนเอง และร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์<br />
จุดหมาย มุ่งผู้เรียนมีพัฒนาการที่สมดุลทั้งด้านร่างกายจิตใจ ร่างกาย สังคมและปัญญา โดยมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ดังนี้<br />
1. มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม สามารถทำงานและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างมีความสุข<br />
2. มีสุขภาพและบุคลิกภาพดี มีสุนทรียภาพ<br />
3. มีความสามารถในการคิด การแก้ปัญหา และมีวิสัยทัศน์<br />
4. มีความรู้ และทักษะที่จำเป็น และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต<br />
5. มีความเป็นชาตินิยม และเป็นพลเมืองดี ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข<br />
6. มีความพร้อมที่จะร่วมมือสร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันอย่างสันติในสังคมโลก<br />
โครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มวิชา ซึ่งในแต่ละกลุ่มวิชาจะมีสาระทั้งส่วนที่เป็นความรู้พื้นฐานและส่วนที่ให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจ ดังนี้<br />
10<br />
1. ภาษาไทย<br />
2. ภาษาต่างประเทศ<br />
3. สังคมศึกษา<br />
4. คณิตศาสตร์<br />
5. วิทยาศาสตร์<br />
6. สุขศึกษาและพลศึกษา<br />
7. ศิลปะ<br />
8. การงานอาชีพและเทคโนโลยี<br />
แนวทางการจัดหลักสูตรสถานศึกษา<br />
1. เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์<br />
2. มีความสมดุลทั้งเนื้อหา และเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน<br />
3. มีความยืดหยุ่น สนองความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคมและประเทศชาติ<br />
4. ให้ทุกคนในสังคม มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา<br />
5. เปิดโอกาสให้มีการถ่ายโอนการเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทุกระบบ<br />
6. มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา<br />
7. มุ่งให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
8. มุ่งสร้างเอกภาพของชาติให้สอดคล้อง ผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและความเป็นสากล<br />
1.1.2 การจัดการเรียนการสอน<br />
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาได้ทั้งความรู้ ความคิด ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียน โดยมีหลักในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้<br />
หมวด 1 ความมุ่งหมายและหลักการ มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข<br />
หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ<br />
11<br />
มาตรา 23 การจัดการศึกษา ข้อ(2) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน<br />
มาตรา 24 กระบวนการจัดการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้<br />
1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล<br />
2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา<br />
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง<br />
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆอย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา<br />
สรุปว่าการจัดการศึกษามุ่งเน้นความสำคัญทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรมกระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุล โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และนำความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต<br />
1.2 แผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549)<br />
ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อให้มีการพัฒนาการให้บริการทางศึกษา ให้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น และสามารถสนองความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น มีการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และมีระบบการตรวจสอบติดตาม เพื่อรักษาคุณภาพดังกล่าวไว้อย่างสม่ำเสมอ โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานไว้ ดังนี้<br />
1.2.1 ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพและความทั่วถึง ในการจัดบริการการศึกษาภาคบังคับ<br />
1.2.2 ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อนักเรียนของกรุงเทพมหานครมีความสมดุลทั้งด้าน ความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม<br />
1.2.3 ยุทธศาสตร์การประกันคุณภาพทางการศึกษา เพื่อให้โรงเรียนมีคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา<br />
12<br />
1.2.4 ยุทธศาสตร์พัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมี คุณภาพและได้มาตรฐาน<br />
1.2.5 ยุทธศาสตร์การช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่อง พิการและด้อยโอกาส พร้อมทั้งส่งเสริม นักเรียนผู้มีความต้องการพิการพิเศษ ให้ได้รับการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสม<br />
1.2.6 ยุทธศาสตร์การปรับปรุงระบบบริหารจัดการ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา<br />
1.2.7 ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจ สู่ระดับโรงเรียน โดยให้โรงเรียนเป็นฐานในการบริหาร และ การจัดการศึกษา<br />
โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์การดำเนินงานที่ 1.2.2 ซึ่งได้กำหนดแนวทางการดำเนินการ ให้ส่งเสริมสนับสนุน ให้โรงเรียนจัดแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งภายในและภายนอก และยุทธศาสตร์การดำเนินงานที่ 1.2.7 ที่ได้กำหนดให้สนับสนุนโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาชุมชน จัดกิจกรรมแหล่งเรียนรู้ ส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย จึงมิอาจปฏิเสธได้เลยว่าห้องสมุดจะเป็นส่วนสำคัญ ในการผลักดันแนวนโยบายต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้ และนำไปสู่ยุทธศาสตร์ที่ 3 การประกันคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหา ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เนื่องจากขาดแคลนในด้านต่าง ๆ เช่น วัสดุสิ่งพิมพ์ ครุภัณฑ์ ขาดแคลนครูบรรณารักษ์ และผู้ช่วยบรรณารักษ์ที่มีวุฒิทางบรรณารักษศาสตร์ ขาดสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับจัดห้องสมุด<br />
ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.1 ความหมายของห้องสมุดโรงเรียน<br />
ตารางที่ 1 ความหมายของห้องสมุดโรงเรียน<br />
ชื่อ – สกุล<br />
ความหมาย<br />
รัญจวน อินทรกำแหง (2531 : 17)<br />
ห้องสมุดโรงเรียน หมายถึง ห้องสมุดของสถาบันการ ศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา<br />
สุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์ (2521 : 54)<br />
ห้องสมุดโรงเรียน คือ ห้องปฏิบัติการในการเรียนที่มีทรัพยากรทั้งในด้านหนังสือ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และ<br />
โสตทัศน วัสดุ ที่จัดทำไว้สำหรับประกอบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความกว้างขวางลึกซึ้งและเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล<br />
13<br />
ชื่อ – สกุล<br />
ความหมาย<br />
ศศิวงศ์ ปึงตระกูล (2522 : 1)<br />
ห้องสมุดโรงเรียน หมายถึง ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้นโดยสถาบันระดับโรงเรียนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับประถมศึกษา และอาชีวศึกษา เพื่อสนับสนุน การเรียนการสอนที่จัดขึ้นในโรงเรียน<br />
จากความหมายดังกล่าวโดยสรุปแล้ว ห้องสมุดโรงเรียนจึงหมายถึง<br />
1. แหล่งรวบรวมทรัพยากรความรู้ที่มีคุณค่าต่อความคิดและวิวัฒนาการของ นักเรียน ครู<br />
2. แหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ประกอบการเรียน การสอนด้วยตนเอง<br />
3. แหล่งสร้างเสริมปัญญาสติปัญญา ความเจริญงอกงามทุกด้านของนักเรียน<br />
ห้องสมุดโรงเรียน จัดเป็นแหล่งรวมความรู้สำหรับนักเรียน เพื่อการศึกษาค้นคว้า ประกอบการเรียนการสอน และเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียน จึงมีความจำเป็นต่อนักเรียน ครู ตลอดจนผู้ปกครองของนักเรียน ทั้งนี้เพราะถึงแม้ว่าห้องสมุดโรงเรียนจะไม่ใช่เป็นหน่วยงานที่มีความจำเป็นโดยตรงต่อการเรียนการสอนภายในโรงเรียน แต่เป็นหน่วยงานที่สามารถส่งเสริมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้เรียนรู้ในบทเรียน และส่งเสริมให้แนวความคิดของนักเรียนกว้างขวางขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมของครูอีกด้วย ห้องสมุดโรงเรียนสามารถส่งผลให้การศึกษาของนักเรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สมจิต พรหมเทพ, 2542 : 1 – 2)<br />
2.2 ความสำคัญ และวัตถุประสงค์ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.2.1 ส่งเสริมสนับสนุนนโยบายและหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียน<br />
2.2.2 เป็นแหล่งส่งเสริมการค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียน ตามความสนใจ และความสามารถของนักเรียน เพื่อพัฒนาความเจริญงอกงามทางสติปัญญา<br />
2.2.3 เป็นแหล่งปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียนตลอดชีวิต<br />
2.2.4 เป็นแหล่งแนะแนวการอ่าน สร้างความสามารถในการอ่าน รวมทั้งส่งเสริมให้มีวิจารณญาณในการอ่านแก่นักเรียน<br />
2.2.5 เป็นแหล่งแนะแนวการอ่าน สร้างคามสามารถในการอ่าน รวมทั้งส่งเสริมให้มีวิจารณญาณในการอ่านแก่นักเรียน<br />
14<br />
2.2.6 ทำให้นักเรียนมีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการใช้ห้องสมุด เพื่อเข้าใจในวิธีการใช้ห้องสมุดแหล่งอื่น เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาและความเจริญก้าวหน้าแห่งตนเอง<br />
2.2.7 ให้นักเรียนเกิดทักษะในการใช้หนังสือ เอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ รวมทั้งโสตทัศนวัสดุ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้า<br />
2.2.8 เป็นแหล่งบริการเลือกและใช้หนังสือ และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องสมุด เพื่อประโยชน์ต่อการสอนของครู โดยความร่วมมือระหว่างครูผู้สอนและบรรณารักษ์<br />
2.2.9 ให้ความร่วมมือกับห้องสมุดอื่นในชุมชนเดียวกันในอันที่จะพัฒนาปรับปรุงงานห้องสมุดและงานวิชาชีพ ให้มีการพัฒนางาน สร้างสรรค์งาน เพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้และชุมชนให้กว้างขวางขึ้น<br />
2.2.10 ให้ความร่วมมือกับผู้บริหารและครูผู้สอนในการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ทางการศึกษา และความเจริญงอกงามทางสติปัญญาของผู้ใช้ทุกระดับ (สมจิต พรหมเทพ 2542 : 3)<br />
ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาอย่างแท้จริงห้องสมุดโรงเรียนจึงควรเป็นแหล่งรวมทางวิชาการในด้านต่อไปนี้<br />
1. แหล่งรวมวัสดุอุปกรณ์ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งวิทยาการต่าง ๆ ในหลายรูปแบบ เช่น หนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์อื่น ๆ รวมทั้งโสตทัศนวัสดุการศึกษา ซึ่งปัจจุบันคามก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกว้างขวางขึ้น สื่อประเภทโสตทัศนวัสดุเป็นที่นิยมกว้างขวางมากขึ้น โดยมีบรรณารักษ์ เป็นผู้จัดดำเนินงานให้บริการ ห้องสมุดโรงเรียนจึงต้องเป็นแหล่งรวมสื่อการเรียนการสอนทุกรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้<br />
2. แหล่งกลางการอ่าน ห้องสมุดรวบรวมสื่อการอ่านทุกประเภทไว้บริการแก่ผู้ใช้เพื่อการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความบันเทิง เพื่อความจรรโลงใจ หรือเพื่อการค้นคว้าวิจัย ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งห้องสมุดโดยเฉพาะห้องสมุดโรงเรียน เพื่อประกอบการเรียนการสอนของครูและนักเรียน รวมทั้งเป็นแหล่งปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้าของนักเรียนจึงจัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางการอ่านเพื่อการเรียนการสอนนักเรียนทั้งโรงเรียนโดยแท้จริง<br />
3. แหล่งกลางการสอน ปัจจุบันการสอนในห้องเรียนไม่เพียงพอกับความอยากรู้อยากเห็นและความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการ เพียงคำสอนหรือคำบอกเล่าของครูในห้องเรียน จึงยังไม่ช่วยให้นักเรียนมีความรู้กว้างขวางทันกับวิทยาการสมัยใหม่ ๆ ได้ ห้องสมุดซึ่งเป็นแหล่งรวมความรู้หลากหลายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งหนังสือ สิ่งพิมพ์ และโสตทัศนวัสดุ จึงเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียนเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ละเสริมความต้องการ ความสนใจใคร่รู้ของตนเอง<br />
15<br />
4. แหล่งกลางการจัดบริการและกิจกรรม การอ่าน การค้นคว้า เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน โดยการจัดเตรียมหนังสือและโสตทัศนวัสดุ เพื่อส่งเสริมหลักสูตร นโยบายและโครงการของโรงเรียนให้สมบูรณ์มากที่สุด จัดบริการให้นักเรียนได้มีโอกาสเลือกศึกษาค้นคว้า ตามความสนใจ ความต้องการและความสามารถของแต่ละบุคคล เฉพาะกลุ่มหรือเป็นชั้นเรียนรวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและแนะแนวการอ่านแก่นักเรียน ให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่อ่านไปจนถึงการมีวิจารณญาณในการอ่าน (รัญจวน อินทรกำแหง 2542 : 21 – 31)<br />
2.3 องค์ประกอบของห้องสมุดโรงเรียน<br />
เพื่อให้ห้องสมุดโรงเรียนทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางที่ใช้ประโยชน์แก่ ครู นักเรียน ที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ห้องสมุดควรมีองค์ประกอบสำคัญได้แก่<br />
2.3.1 สถานที่ ห้องสมุดโรงเรียนควรมีสถานที่ซึ่งจัดตั้งเป็นห้องสมุดโดยเฉพาะจะเป็นการสร้าง หรือปรับปรุงอาคารสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นห้องสมุดที่เหมาะสมให้เป็นห้องสมุดที่กว้างขวางและสมบูรณ์แบบ สถานที่ดังกล่าวควรอยู่ในย่านกลางที่นักเรียนและครูเข้าใช้ได้อย่างสะดวก ห่างจากแหล่งรบกวนอื่น ๆ เช่น โรงอาหาร สนามฟุตบอล ฯลฯ แต่ควรอยู่ใกล้ตึกเรียนหรือชั้นเรียนที่มีความจำเป็นต้องใช้ห้องสมุด เพื่อการเรียนการสอนให้มาก ห้องสมุดที่ดีควรจะได้รับการร่วมมือกันจัดทำแบบแปลนทั้งสถานที่ ครุภัณฑ์จากผู้บริหาร สถาปนิก บรรณารักษ์ และศึกษานิเทศก์งานห้องสมุดทั้งนี้เพื่อให้ได้ห้องสมุดที่มีขนาดและสภาพแวดล้อมที่ดี เหมาะสม ได้ประโยชน์จากเนื้อที่ได้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ<br />
2.3.2 สิ่งพิมพ์ เอกสาร หนังสือและวัสดุความรู้ ในห้องสมุดควรมีดังต่อไปนี้<br />
2.3.2.1 หนังสือ หนังสือในห้องสมุดแบ่งได้ดังนี้<br />
หนังสือเรียน ซึ่งหมายถึง หนังสือที่ใช้เป็นตำราเรียนในรายวิชา ต่าง ๆ ตามหลักสูตรของโรงเรียน หนังสือประกอบการเรียน หนังสือสารคดีทั่วไป หนังสือที่อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หนังสืออ้างอิง<br />
2.3.2.2 วารสารและนิตยสารทั้งวารสารวิชาการที่ใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอน และวารสารบันเทิงคดี เพื่อให้ความเพลิดเพลินแก่ครูและนักเรียน<br />
2.3.2.3 หนังสือพิมพ์ ทั้งหนังสือพิมพ์ในส่วนกลางและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ช่วยให้ครูและนักเรียนรับทราบความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ต่าง ๆ<br />
2.3.2.4 จุลสาร เอกสารเล่มเล็กที่ให้ความรู้ทันสมัยใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ<br />
2.3.2.5 กฤตภาค สิ่งพิมพ์ที่ห้องสมุดจัดทำเพิ่มเติม เพื่อประกอบการเรียนการสอน<br />
16<br />
2.3.2.6 โสตทัศนวัสดุ ที่ให้ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ แผนที่ ภาพยนตร์ ภาพนิ่ง ภาพเลื่อน วีดิทัศน์ แถบบันทึกเสียง ลูกโลก หุ่นจำลอง ของตัวอย่าง ฯลฯ<br />
จำนวนสิ่งพิมพ์ และโสตทัศนวัสดุที่ให้ความรู้เหล่านี้ ห้องสมุดโรงเรียนควรจัดหาให้มากเพียงพอกับความต้องการของนักเรียนและครู และควรเป็นหนังสือ สิ่งพิมพ์ที่ทันสมัยเหมาะสมกับผู้ใช้<br />
2.3.3 คณะกรรมการห้องสมุด สำหรับห้องสมุดโรงเรียน เพื่อให้การดำเนินงานของห้องสมุดเป็นไปด้วยดีมีประสิทธิภาพ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้บริหาร ผู้ใช้บริการและอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ควรจะมีการเลือกบุคคลที่มีความสนใจในกิจกรรมห้องสมุด สนใจงานห้องสมุด หนังสือและการอ่านมาเป็นกรรมการช่วยกันวางแผน วางนโยบาย วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานห้องสมุด และควรจัดทำในรูปแบบของ คณะกรรมการ ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้ช่วยผู้บริหาร ฝ่ายวิชาการเป็นประธานกรรมการ มีหัวหน้าสายวิชาต่าง ๆ เป็นกรรมการร่วมกับตัวแทนของนักเรียนและครูผู้ใช้ห้องสมุดโดยมีครูบรรณารักษ์เป็นเลขานุการ การจัดตั้งคณะกรรมการ ชุดดังกล่าวมีประโยชน์ คือ มีกลุ่มบุคคลช่วยกันคิด ปรับปรุงและพัฒนางานห้องสมุดให้ก้าวหน้า นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้ที่ถนัดและสันทัดในสาขาวิชาต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ ในการเลือกซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด ช่วยสนับสนุนให้นักเรียนเข้ามาใช้ อยู่เสมอ<br />
2.3.4 บรรณารักษ์ คือ บุคคลที่ดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนให้เป็นไปด้วยดีมีประสิทธิภาพต้องจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิชาบรรณารักษศาสตร์ หรือเป็นผู้ที่เคยได้รับการอบรมมาทางนี้แล้ว และเป็นผู้ที่สนใจในงานห้องสมุด รักหนังสือและการอ่าน จะช่วยให้การดำเนินงานห้องสมุดเป็นไปด้วยดี บรรณารักษ์เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในการสร้างห้องสมุดโรงเรียนให้เป็นสถานที่ ที่น่าสนใจ มีชีวิตเป็นที่ดึงดูดใจของบรรดาครู นักเรียนและบุคคลทั่วไป เพราะบรรณารักษ์เป็นผู้จัดหาเลือกสรรหนังสือ วัสดุความรู้อื่น ๆ เข้าห้องสมุดแล้วจัดบริการต่าง ๆ แก่ผู้ใช้รวมทั้งจัดกิจกรรมอื่น ๆ ให้ผู้อ่านสนใจ เพื่อสนับสนุนการอ่าน เพื่อการเรียนการสอนและเพื่อความรู้ความบันเทิง ตามวัตถุประสงค์ของห้องสมุด<br />
2.3.5 งบประมาณ ห้องสมุดแต่ละแห่งจะดำเนินกิจกรรม บริการและขยายงานพัฒนาห้องสมุดไปได้ จะต้องมีงบประมาณของห้องสมุดอาจจะได้มาหลายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการห้องสมุด หรือบรรณารักษ์เอง (รัญจวน อินทรกำแหง, 2542 : 21–31)<br />
17<br />
2.4 บทบาท และ หน้าที่ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
บทบาทของห้องสมุด โลกปัจจุบันเป็นยุคข่าวสาร เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเป็นที่สนใจ ห้องสมุดเป็นสถาบันที่มีบทบาทในการเก็บและเผยแพร่สารสนเทศดังกล่าวอย่างมากจึงมีบทบาทในการเก็บและเผยแพร่สารสนเทศดังกล่าวอย่างมากจึงมีบทบาทในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />
2.4.1 บทบาทของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.4.1.1 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการอ่านและส่งเสริมการอ่าน (Reading Center) เป็นแหล่งพื้นฐานในการฝึกฝนและส่งเสริมให้นักเรียนรักการอ่าน เปิดโอกาส ให้นักเรียนได้อ่านอย่างเสรี ฝึกนิสัยให้นักเรียนรู้จักใช้สิทธิของตนและ เคารพสิทธิของผู้อื่นและสามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้มีความสามารถในการอ่าน ตลอดจนฝึกนิสัยให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้าด้วย ตนเอง<br />
2.4.1.2 เป็นศูนย์การเรียนรู้และการสอน (Instructional Center) ที่สอดคล้องกับแนวปฏิรูปการศึกษาในโรงเรียนที่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนจึงเน้นหน้าที่และบทบาทของห้องสมุดเป็นสำคัญ<br />
2.4.1.3 เพื่อให้นักเรียนมีประสบการณ์และทักษะในการใช้ห้องสมุดเป็นอย่างดี รู้จักวิธีการค้นคว้าในห้องสมุดอย่างรวดเร็ว เพื่อการศึกษาเล่าเรียนและการค้นคว้าทั้งขณะที่เรียนอยู่ในห้องเรียนและเมื่อจบออกไปแล้ว<br />
2.4.1.4 เป็นศูนย์ปฏิบัติการในโรงเรียน เพื่อการศึกษา ค้นคว้าและวิจัย (Study Center, Research Center) เปิดโอกาสให้นักเรียนและครูอาจารย์ได้ค้นคว้าด้วยตนเอง เพียงลำพังหรือทำงานเป็นทีม<br />
2.4.1.5 เป็นศูนย์กลางวัสดุ (Material Center) โดยจัดหาและรวบรวมวัสดุต่าง ๆ ทั้งวัสดุตีพิมพ์ และวัสดุไม่ตีพิมพ์ ที่ตรงตามหลักสูตรของโรงเรียนเพื่อให้บริการทั้งครู และนักเรียน ให้เพียงพอกับจำนวนผู้ใช้และทันสมัยตรงกับความต้องการของผู้ใช้<br />
2.4.1.6 เป็นศูนย์กลางแนะแนวการอ่าน ( Reading Guidance Center) ช่วยแนะแนวการอ่าน การค้นคว้าให้กับครูและนักเรียนที่มีปัญหาในด้านการอ่านและมีปัญหาในด้านการเรียนการสอน ตลอดจนการเขียนรายงานและการค้นคว้า ข้อมูลข่าวสารในห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดเครือข่ายและการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น<br />
2.4.1.7 เพื่อฝึกนิสัยให้นักเรียน รู้จักระวังรักษาหนังสือและวัสดุการอ่านอื่น ๆ ในห้องสมุด และให้รู้จักรักษาสาธารณสมบัติ<br />
2.4.1.8 เพื่อฝึกนิสัยให้เป็นคนมีระเบียบ รักสวยรักงาม จากการจัดหนังสือและวัสดุในห้องสมุด และเป็นคนละเอียดรอบคอบอีกด้วย<br />
18<br />
เพื่อให้งานของห้องสมุดโรงเรียน บรรลุตามวัตถุประสงค์ของห้องสมุด และเพื่อให้นักเรียน ครู ได้ใช้ห้องสมุดให้ได้ผลสมบูรณ์ดังประสงค์ ห้องสมุดโรงเรียนหรือบรรณารักษ์ควรมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้<br />
2.4.2 หน้าที่ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
2.4.2.1 จัดหาและเลือกซื้อหนังสือให้ตรงกับนโยบายของโรงเรียน และสอดคล้องกับหลักสูตรการสอนรายวิชาต่าง ๆ และนโยบายของโรงเรียนเข้าไว้ในห้องสมุดให้มีจำนวนเพียงพอกับความต้องการ หรือให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของห้องสมุดโรงเรียนที่ได้กำหนดไว้ เช่น หนังสือที่สอดคล้องกับหลักสูตรตามรายวิชาที่จัดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนหนังสือประกอบรายวิชาต่าง ๆ เช่น หนังสือส่งเสริมหลักสูตร หนังสือเพื่อการค้นคว้าของครูหนังสือส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ แก่นักเรียน หนังสือที่ใช้เป็นคู่มือการดำเนินงานของบรรณารักษ์ การจัดหาหนังสือแต่ละประเภท ควรให้ได้สัดส่วนสมดุลกับจำนวน และความต้องการของผู้ใช้<br />
2.4.2.2 จัดหาวัสดุอุปกรณ์การสอนอื่น ๆ รวมทั้งโสตทัศนวัสดุเข้ามาไว้ในห้องสมุดตามความจำเป็น และตามกำลังงบประมาณที่ได้รับ<br />
2.4.2.3 จัดเตรียมหนังสือ เอกสารและวัสดุความรู้ที่จัดหามาไว้นั้นให้เรียบร้อยตามกระบวนการของห้องสมุด พร้อมที่จะให้บริการยืมและบริการอ่านได้ โดยการจัดลงทะเบียนประทับตรา จัดหมวดหมู่ ทำบัตรรายการ เขียนเลขเรียกหนังสือ ติดซองติดบัตรกำหนดส่งให้เรียบร้อย<br />
2.4.2.4 คอยติดตามสำรวจความสนใจ ความต้องการและรสนิยมของครู นักเรียนเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อจะได้จัดหาเอกสาร หนังสือ วัสดุอุปกรณ์ และจัดบริการห้องสมุดให้สอดคล้องกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น<br />
2.4.2.5 จัดทำระเบียบการใช้ห้องสมุดให้เหมาะสมกับสภาพผู้ใช้ ฐานะและกิจการของห้องสมุด แต่คำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้ของครู นักเรียน และความเรียบร้อยของห้องสมุดด้วยการจัดระเบียบการใช้ห้องสมุดที่ให้ได้ผล และให้ได้รับความร่วมมือจากผู้ใช้ทุกฝ่ายด้วยความเต็มใจ ควรจะเป็นระเบียบที่จัดทำขึ้นจากความคิดเห็นของผู้ใช้ห้องสมุด คือ นักเรียนและครู ร่วมกับบรรณารักษ์ โดยมีผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้ประกาศใช้<br />
2.4.2.6 จัดตกแต่งห้องสมุดให้สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบอยู่ในสภาพเรียบร้อย และสะดวกสบายแก่ผู้ใช้ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้นั่งอ่านน่านั่งสบาย ชั้นหนังสืออยู่ในสภาพเรียบร้อยมีบริการต่างๆที่อำนวยความสะดวกในการค้นหาหนังสือเอกสารเพื่อการเตรียมการสอนอย่างครบครันสมบูรณ์<br />
19<br />
2.4.2.7 จัดสร้างบรรยากาศในห้องสมุดให้รื่นรมย์ น่าสนใจ เป็นทั้งสถานศึกษาที่ให้ความรู้และที่พักผ่อนทางสมอง จิตใจและอารมณ์ โดยการจัดมุมสบาย มุมสวน มุมความรู้ ที่สวยงาม<br />
2.4.2.8 จัดบริการเพื่ออำนวยความสะดวก ในการอ่านการศึกษาค้นคว้าแก่ผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อหน้าที่ของบรรณารักษ์และงาน ห้องสมุด อันจะช่วยเสริมให้ครูและนักเรียนรักการอ่าน การค้นคว้ามากขึ้นด้วยความเป็นมิตรและความเข้าใจ<br />
2.4.2.9 ให้บริการแนะแนวการอ่านเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม รวมทั้งจัดกิจกรรมแนะแนวการอ่าน เพื่อกระตุ้นและก่อให้เกิดความสนใจในการอ่านแก่ผู้ใช้ทั่วไป เช่น การจัดนิทรรศการ อภิปราย โต้วาที ทายปัญหา จัดฉายวีดิทัศน์ จัดฉายภาพยนตร์ ฯลฯ เพื่อเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมการอ่านและการใช้ห้องสมุดอย่างกว้างขวาง<br />
2.5 ประโยชน์ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
ห้องสมุดโรงเรียน ได้รับการยอมรับทั่วไปทั้งในทางทฤษฏี และปฏิบัติแล้วว่ามีความสำคัญต่อการเรียนการสอนต่อโรงเรียน ครู และนักเรียน รวมทั้งชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่<br />
2.5.2 ประโยชน์ต่อโรงเรียน<br />
2.5.2.1 ห้องสมุดโรงเรียนช่วยสนับสนุนส่งเสริมหลักสูตร การเรียนการสอนนโยบายของโรงเรียน รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ของโรงเรียนให้บรรลุผลดังจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้โดยสมบูรณ์<br />
2.5.2.2 ห้องสมุดโรงเรียนเป็นสถานที่ทดลอง เพื่อการศึกษาค้นคว้าเสริมสร้างแนวคิดหลักการใหม่ ๆ ในอันที่จะทำให้บุคลากรในโรงเรียนและโรงเรียนมีความเจริญก้าวหน้ามีการพัฒนาไปในทิศทางที่เหมาะถูกต้อง<br />
2.5.2.3 ห้องสมุดโรงเรียนช่วยในการบริหารบุคลากรเชิงวิชาการช่วยสนับสนุนบุคลากรในโรงเรียนอันได้แก่ ครูและนักเรียน ให้มีความก้าวหน้าทางวิชาการ มีความเจริญงอกงามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา<br />
2.5.2.4 ห้องสมุดโรงเรียนเป็นสถานที่สร้างบรรยากาศ ในการต้อนรับบุคลากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาเยี่ยมเยือน ให้เกิดความประทับใจในบรรยากาศทางวิชาการ<br />
2.5.3 ประโยชน์ต่อครูในโรงเรียน<br />
2.5.3.1 เป็นแหล่งบริการสอนของครูให้ความสะดวกแก่ครูในการเลือกใช้หนังสือ เอกสาร และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสอนของครู<br />
2.5.3.2 ช่วยส่งเสริมสนับสนุน ความคิดสร้างสรรค์ทางวิชาการของครู ในอันที่จะผลิตสร้างอุปกรณ์การสอน สื่อการสอนที่ใหม่และแปลก<br />
20<br />
2.5.3.3 ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในการสอนให้แก่ครู เนื่องจากการรวบรวมทรัพยากรความรู้ทุกรูปแบบ ที่ช่วยให้ครูมีความสะดวกในการพัฒนาการสอน ให้เป็นไปตามแนวทางที่ครูวางจุดมุ่งหมายไว้<br />
2.5.3.4 เป็นแหล่งส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาการของครู ในอันที่จะพัฒนางานวิชาการ เช่น การผลิตเอกสารประกอบการสอน การค้นคว้าวิจัยงานสอน และงานในวิชาชีพได้<br />
2.5.4 ประโยชน์ต่อนักเรียน<br />
2.5.4.1 ห้องสมุดโรงเรียนเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เพื่อประกอบการเรียนของนักเรียน<br />
2.5.4.2 เป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ เพื่อความเจริญงอกงามทางสติปัญญา อารมณ์ สังคมของนักเรียน เพื่อความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ<br />
2.5.4.3 เป็นแหล่งปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านแก่นักเรียนเพื่อเสริมสร้างความสามารถ ความสนใจและวิจารณญาณในการอ่าน<br />
2.5.4.4 เป็นสถานที่ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการรู้จักเลือกหนังสืออ่านตามความสนใจ<br />
2.5.4.5 ห้องสมุดโรงเรียนช่วยให้นักเรียนมีวัฒนธรรมมีความเป็นประชาธิปไตยสร้างความเป็นระเบียบวินัยให้แก่นักเรียน ด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ของห้องสมุด<br />
2.5.4.6 ห้องสมุดโรงเรียนช่วยเสริมสร้างทักษะการใช้ห้องสมุดที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพแก่นักเรียน<br />
2.5.5 ประโยชน์ต่อชุมชน<br />
2.5.5.1 ห้องสมุดโรงเรียนเป็นแหล่งวิทยาการที่สำคัญแห่งหนึ่งของชุมชน<br />
2.5.5.2 ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดี และความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับชุมชน<br />
2.5.5.3 ช่วยขจัดข้อขัดแย้งระหว่างนักเรียน ครู และผู้ปกครอง<br />
2.5.5.4 เสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการแก่ชุมชน<br />
2.5.5.5 ช่วยเสริมสร้างแนวทางการปฏิบัติในวิถีชีวิต และศีลธรรมอันดีแก่ชุมชนก่อให้เกิดความผาสุก และความสงบเรียบร้อยของชุมชน<br />
2.5.5.6 เป็นแหล่งกลางการจัดกิจกรรมของชุมชนก่อให้เกิดการประสานงาน และ ความสามัคคีระหว่างหน่วยงาน ต่าง ๆ ของชุมชน (สมจิต พรหมเทพ, 2542 : 9 - 13)<br />
ห้องสมุดโรงเรียนเป็นแหล่งกลางรวบรวมสรรพวิทยาการทั้งหลายที่สมาชิกในโรงเรียนอันได้แก่ ครู นักเรียน ใช้เป็นแหล่งค้นคว้าประกอบการเรียนการสอน และบรรณารักษ์ใช้เป็นแหล่ง<br />
21<br />
ปลูกฝังส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับนักเรียน ห้องสมุดโรงเรียนจึงควรถูกจัดตั้งขึ้นมาให้มีหน้าที่เสริมสร้างความรู้ ความสามารถของนักเรียนด้วยการจัดหาทรัพยากรความรู้ทุกรูปแบบมารวมไว้ และส่งเสริมการใช้วัสดุความรู้เหล่านั้นโดยการจัดให้มีบริการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ให้เข้าถึงทรัพยากรความรู้ และจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ให้ผู้ใช้รู้จักค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างถูกวิธี โดยให้มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ คือ มีสถานที่ ทรัพยากรความรู้ บุคลากร เงินงบประมาณสนับสนุน เพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ โรงเรียน นักเรียน ครูและชุมชนในการเสริมสร้างความรู้อย่างแท้จริงและสมบูรณ์ (หน่วยศึกษานิเทศก์ เขตการศึกษา 6 กรมสามัญศึกษา, 2531 : 17 - 20)<br />
ตอนที่ 3 แนวคิดทฤษฎีการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.1 ความหมายของการดำเนินงานห้องสมุด<br />
การดำเนินงานห้องสมุด หมายถึง การจัดการหรือการปฏิบัติงานในห้องสมุดให้เป็นไปตามกระบวนการของงานห้องสมุด และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยบังเกิดผลดีตามเป้าหมายที่วางไว้ การดำเนินงานที่ดีควรยึดวัตถุประสงค์ของห้องสมุดเป็นเป้าหมายที่จะก้าวไปให้ถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกฝ่ายจะได้ยึดเป็นแนวทางในการดำเนินงานไปในทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จในงาน<br />
3.2 ปัจจัยหรือองค์ประกอบในการดำเนินงานห้องสมุด<br />
การดำเนินงานห้องสมุดจะเป็นไปด้วยดีมีประสิทธิภาพ จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญในการดำเนินงานดังต่อไปนี้<br />
3.2.1 นโยบายหรือเป้าหมายในการดำเนินงาน ในที่นี้หมายถึง นโยบายของคณะผู้ดำเนินงานในห้องสมุดโรงเรียน โดยที่บรรณารักษ์เป็นผู้กำหนดเป้าหมายและขอบเขต ของการดำเนินงานไว้ใช้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทางด้านงานเทคนิคและงานบริการ ผู้ร่วมงานมีส่วนรับรู้เป้าหมายดังกล่าวนั้นด้วย เพื่อความร่วมมือในการปฏิบัติงาน<br />
3.2.2 ความสนับสนุนจากผู้บริหาร โดยเฉพาะผู้บริหารโรงเรียนและผู้ช่วยผู้บริหารฝายที่เกี่ยวข้องกับห้องสมุด ซึ่งห้องสมุดจะได้รับทั้งงบประมาณ บุคลากร วัสดุครุภัณฑ์ รวมทั้งนโยบายในการดำเนินงานในห้องสมุด<br />
3.2.3 ความร่วมมือของบุคลากรในห้องสมุด ทั้งนี้หมายรวมถึงนักการภารโรง เจ้าหน้าที่ห้องสมุด นักเรียนช่วยงานห้องสมุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ช่วยบรรณารักษ์ ความร่วมมือร่วมใจเกิดขึ้นจากการพบปะ ประชุมปรึกษาหารือ หรือการมอบหมายงานกันตามสายงานเป็นลายลักษณ์อักษรช่วยให้เกิดความเข้าใจกันดีทุกฝ่าย<br />
3.2.4 ความร่วมมือของผู้ใช้ห้องสมุด หมายถึง ผู้ใช้ที่สำคัญของห้องสมุดโรงเรียน คือ ครูและนักเรียน ที่เข้ามาใช้ห้องสมุด เพื่อการเรียนการสอน และปฏิบัติตามระเบียบของห้องสมุด<br />
22<br />
รู้จักใช้เครื่องมือช่วยค้นที่ทางห้องสมุดจัดเตรียมไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย<br />
3.2.5 นโยบายของผู้บริหารระดับสูงระดับกรม หรือหน่วยศึกษานิเทศก์ระดับกรม ที่สามารถกำหนดนโยบายการใช้ห้องสมุดเพื่อการสนับสนุนการเรียนการสอน และส่งเสริมให้ครูสอนโดยการใช้ห้องสมุด ทั้งนี้จะได้กำหนดแนวทางการเสริมการนิเทศ งานห้องสมุดโรงเรียนให้สอดคล้องกับนโยบายระดับสูง ซึ่งห้องสมุดจะได้รับความคิดแนวทางและความช่วยเหลือจากข้อแนะนำของศึกษานิเทศก์ได้<br />
3.3 การจัดองค์การเพื่อบริหารงานของห้องสมุดโรงเรียน<br />
หมายถึง การจัดการแบ่งงานกันทำระหว่างบรรณารักษ์ ครูบรรณารักษ์ เจ้าหน้าที่ห้องสมุดโดยกำหนดอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ เพื่อการประสานงาน การอำนวยการและเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานของบรรดาบุคลากรทั้งหลายในห้องสมุด การจัดองค์การเพื่อบริหารงานของห้องสมุดนั้น ควรจัดองค์การแบบ ”จัดตามสายงานหลัก” (Solar Structure) คือ เป็นแบบที่กำหนดอำนาจ หน้าที่จากระดับสูงสุดถึงระดับต่ำสุดภายในไว้ตามโครงสร้างขององค์การ บุคลากรในห้องสมุดรับผิดชอบโดยตรงต่อหัวหน้า คือ บรรณารักษ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตนเพียงคนเดียว การบริหารห้องสมุดโรงเรียนเพื่อให้ปฏิบัติงานให้เกิดผลตามปรัชญา พันธกิจ วัตถุประสงค์ และ เป้าหมาย อย่างมีคุณภาพ และตรวจสอบได้ดังแผนภูมิการแบ่งหน่วยงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
23<br />
แผนภูมิที่ 2 แผนภูมิแสดงการบริหารงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
- กำหนดโยบาย<br />
- วางแผน<br />
- ทำโครงการ<br />
- จัดปฏิทินฏิบัติงาน<br />
- บุคลากร<br />
- สถานที่<br />
- ครุภัณฑ์<br />
- สถิติรายงาน<br />
- ธุรการ<br />
- ประชาสัมพันธ์<br />
- การเงิน<br />
- งานสารบรรณ<br />
- งานพิมพ์<br />
- งานพัสดุ<br />
ฯลฯ<br />
งานจัดหาสิ่งพิมพ์และโสตทัศน์วัสดุและสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
- ซื้อ<br />
- แลกเปลี่ยน<br />
- ขอรับบริจาค<br />
- จัดทำเอง<br />
- ลงทะเบียน<br />
งานบำรุงรักษาทรัพยากรห้องสมุด<br />
- สำรวจ<br />
- ซ่อมแซมหนังสือ<br />
- ละเอกสาร<br />
- เย็บเล่มเอกสาร<br />
- หนังสือ<br />
- วารสาร<br />
- จุลสาร<br />
ฯลฯ<br />
งานจัดหมู่ และทำบัตรรายการ<br />
- จัดหมู่<br />
- ทำบัตรรายการ<br />
- เตรียมออกให้ยืม<br />
- ทำรายชื่อ<br />
- ทรัพยากร<br />
ฯลฯ<br />
บริการ<br />
- บริการให้อ่าน<br />
- บริการให้ยืม<br />
- บริการหนังสือจอง<br />
- ปฐมนิเทศการใช้ห้องสมุด<br />
- การทำบรรณานุกรม<br />
- บริการอินเทอร์เน็ตซีดีรอม<br />
- การทำดรรชนีวารสาร<br />
- แนะนำการอ่าน<br />
- บริการชุมชน<br />
- ถ่ายเอกสาร<br />
ฯลฯ<br />
กิจกรรม<br />
- การจัด<br />
นิทรรศการ<br />
- การทายปัญญา<br />
- การอภิปราย<br />
- ละโต้วาที<br />
- การเล่านิทาน<br />
- การโต้วาที หนังสือ<br />
ห้องสมุด<br />
คณะกรรมการห้องสมุด<br />
ผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการ<br />
งานบริการ<br />
งานเทคนิค<br />
งานบริหาร<br />
ผู้บริหาร<br />
24<br />
3.4 การวางนโยบายในการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
นโยบายเป็นเครื่องกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการปฏิบัติงาน การกำหนดนโยบายในการดำเนินงานห้องสมุด บรรณารักษ์และผู้ร่วมงานเป็นผู้กำหนดนโยบายของห้องสมุดและนำเสนอผู้บริหารเพื่อพิจารณาแก้ไขร่วมประสานเป็นนโยบายเดียวกันและชัดเจนยิ่งขึ้น นโยบายที่กำหนดควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้เป็นแนวทางคือ<br />
1. วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งห้องสมุดโรงเรียน<br />
2. สภาพภูมิศาสตร์ที่ห้องสมุดโรงเรียนตั้งอยู่<br />
3. สภาพทั่วไปของผู้ใช้บริการ<br />
เรื่องที่ควรกำหนดเป็นนโยบายในการปฏิบัติงาน มีดังนี้<br />
1. ด้านอาคารสถานที่ ควรคำนึงถึงเรื่องที่ตั้ง เนื้อที่ใช้สอยทั้งการปฏิบัติงาน การให้บริการการจัดกิจกรรม และเนื้อที่เฉพาะงาน รวมทั้งการจัดแผนงานภายในห้องสมุด<br />
2. ด้านครุภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องสมุด โดยเฉพาะครุภัณฑ์และอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ชั้นหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้นั่งอ่าน โต๊ะรับ – จ่าย ตู้บัตรรายการ ตู้เก็บเอกสาร ตู้จุลสาร ฯลฯ<br />
3. ด้านหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ และวัสดุการศึกษาอื่น ๆ ควรกำหนดให้มีจำนวนที่ใกล้เคียงและสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียน<br />
4. ด้านบุคลากรห้องสมุด พิจารณาให้มี หรือวางแผนให้ได้ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนเช่นกัน จะได้มาโดยการจ้างหรืออาสาสมัคร<br />
5. ด้านงบประมาณ สำหรับห้องสมุดโรงเรียนงบประมาณส่วนใหญ่จากเงินบำรุงการศึกษา และอาจจะมีรายได้ส่วนอื่นมาสนับสนุน เช่น เงินค่าปรับ เงินบริจาค และเงินจากการจัดกิจกรรมห้องสมุด เป็นต้น<br />
3.5 การดำเนินงานด้านสถานที่<br />
สถานที่ห้องสมุดโรงเรียน ทั้งโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน และบรรณารักษ์ ควรจัดหาและจัดดำเนินงานร่วมกัน โดยคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้<br />
1. ความต้องการของผู้ใช้บริการ ในด้านสถานที่ตั้งให้ไปมาได้สะดวกใกล้ทางคมนาคม มีสภาพแวดล้อมที่ดี ร่มรื่น เงียบสงบ มีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมาะสมตามความต้องการ<br />
2. ความต้องการขงผู้ดำเนินงานห้องสมุด หมายถึง เจ้าหน้าที่ นักเรียนช่วยงานห้องสมุด อาสาสมัคร และภารโรง ที่ต้องการให้ห้องสมุดมีเนื้อที่เป็นสัดส่วนและห่างจากบริเวณกิจกรรม หรือบริการห้องสมุด และสะดวกในการดำเนินงาน คือ ไม่สูงมากและถ้ามีหลายชั้นก็ควรมีลิฟท์ขึ้นลงสะดวก<br />
25<br />
3. วัตถุประสงค์ และหน้าที่ของห้องสมุดโรงเรียน โดยทั่วไปห้องสมุดโรงเรียนมีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการเรียนการสอนของครูและนักเรียน รวมทั้งเป็นแหล่งปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน สถานที่จัดกิจกรรมที่ช่วยเสริมนิสัยรักการอ่านควรคำนึงถึงด้วย และ หน้าที่ห้องสมุดโรงเรียน นอกจากจะให้บริการสมาชิกในโรงเรียนแล้ว ยังต้องบริการชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของโรงเรียน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ขนาดเนื้อที่ตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรแบ่งให้เป็นมุมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />
1. มุมวารสารและหนังสือพิมพ์ เป็นมุมที่อยู่ไม่ห่างทางเข้าออกและมองเห็นได้ง่าย เข้าถึงสะดวก<br />
2. มุมนิทรรศการ อาจจะเป็นแผ่นป้ายนิทรรศการ โต๊ะ หรือตู้นิทรรศการควรจัดวางให้อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าออก หรือในที่ซึ่งเมื่อเข้าห้องสมุดแล้วจะพบกับมุมนี้ได้ทันที<br />
3. มุมสำหรับเด็ก เป็นมุมที่จัดเฉพาะต่างหากจะอยู่ใกล้กับที่ทำงานบรรณารักษ์ หรือมุมวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือแยกเป็นมุมเฉพาะห่างออกไปและควรอยู่ในสายตาและการดูแลควบคุมของบรรณารักษ์ เป็นมุมที่ตกแต่งให้สวยงามโดยใช้ สี ภาพ เป็นมุมสำหรับเด็กที่มีหนังสือสำหรับเด็ก เกม ของเล่น ฯลฯ<br />
4. มุมหนังสืออ้างอิง ควรจะแยกเป็นมุมต่างหาก และใกล้เคียงกับที่ทำงานของบรรณารักษ์<br />
5. มุมหนังสือเรียน เป็นอีกมุมหนึ่งที่ห้องสมุดโรงเรียนอาจจะแยกออกมาจากหนังสือทั่วไป และจัดเรียงตามหมวดวิชา หรือตามระดับชั้นเรียน<br />
6. มุมหนังสือทั่วไป หมายถึง หนังสือที่ไดรับการจัดแยกหมวดหมู่ตามระบบทศนิยมของดิวอี้ ตั้งแต่หมวด 000 – 900 ห้องสมุดโรงเรียนบางแบ่งอาจจัดหนังสือทั่วไปนี้ ขึ้นชั้นหนังสือเตี้ยใต้หน้าต่างรอบห้องสมุด หรือจัดมุมรวมต่างหากถัดจากหนังสือเรียน<br />
7. มุมห้องสมุดเสียงปัจจุบันห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาหลายแห่งนำเอาเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามามีส่วนเสริมการเรียนการสอนและเสริมการอ่านในห้องสมุด เช่น แถบบันทึกเสียง วีดิทัศน์ ภาพนิ่ง ฯลฯ ห้องสมุดบางแห่งมีอุปกรณ์ครบครัน จึงควรจัดแยกเป็นมุมหรือห้องเฉพาะที่ควรอยู่ใกล้กับบรรณารักษ์<br />
8. มุมยืมและคืนหนังสือมุมนี้ควรอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าออกของห้องสมุด และ อาจจะรวมเอาบริเวณทำงานของบรรณารักษ์ไว้ด้วย ห้องสมุดโรงเรียนบางแห่งทำเป็นเคาน์เตอร์เล็ก ๆ ตกแต่งด้วยระเบียบการยืมคืนสิ่งพิมพ์ไว้ด้านหน้า<br />
26<br />
9. มุมจุลสารและกฤตภาค จัดเป็นมุมเล็ก ๆ เป็นตู้เอกสาร 4 ลิ้นชัก 2 – 3 ตู้ สำหรับใส่จุลสาร และกฤตภาคที่ทางห้องสมุดจัดหาและจัดทำขึ้นเป็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ควรห่างจากที่ทำงานบรรณารักษ์ หรืออาจจะอยู่กลางห้องใกล้กับตู้บัตรรายการ เป็นครุภัณฑ์ อีกประเภทหนึ่งที่ใช้กั้นห้องให้เป็นสัดส่วนได้<br />
10. ตู้บัตรรายการ ควรอยู่กลางห้องใกล้ทางเข้า ออก และในที่ที่สามารถมองเห็นได้ง่าย หรืออยู่รวมกับตู้จุลสารและกฤตภาค<br />
11. มุมพิเศษอื่น ๆ ที่ควรจัดให้มีตามสภาพของท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่ หรือตามสภาพของโรงเรียน เช่น มุมประวัติของโรงเรียน มุมประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น มุมหัตถกรรมของท้องถิ่น มุมข้อมูลท้องถิ่น<br />
ด้านหน้าของห้องสมุด ควรสร้างบรรยากาศเชิญชวน ให้น่าเข้าไปใช้ เข้าไปร่วมกิจกรรมของห้องสมุดโดยการตกแต่งทางเข้าหรือประตูด้วยภาพและป้ายเชิญชวน ยินดีต้อนรับ หรือคำขวัญ เกี่ยวกับห้องสมุด ประตูเข้าออกควรมีทางเข้าเพียงทางเดียว ห้องสมุดโรงเรียนบางแห่งดัดแปลงห้องเรียนมาเป็นห้องสมุดที่มีประตูทางเข้า 2 ทาง ก็อาจจะปิดประตูทางเข้าที่อยู่ไกลเสีย โดยใช้ชั้นหนังสือเตี้ยทึบกั้น เหนือชั้นหนังสือเตี้ย อาจจะใช้กระถางไม้ประดับ หรือใช้เส้นด้ายสีถักเป็นรูปใยแมงมุม หรือม่านหน้าต่างเป็นลวดลายโปร่งให้ดูสวยงาม ความสวยงามของสถานที่ ตกแต่งด้วยสี ภาพจากนิทาน ป้ายคำขวัญ ข้อคิด คำคมจากหนังสือ ป้ายบอกตำแหน่งที่อยู่ของมุมต่าง ๆ ป้ายบอกประเภทและชื่อของสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการตกแต่งด้วยไม้ประดับ ไม้กระถาง ไม้แขวน สีของผนังอาคาร และสีของพื้นห้อง ที่อาจจะใช้เสื่อน้ำมันสีสะอาดปูแทนกรณีที่เป็นพื้นปูน หรือพื้นไม้<br />
การจัดห้องสมุดโรงเรียนระดับประถมศึกษา บรรณารักษ์ ควรยึดหลักการจัด 4 ส คือ สะอาด สวยงาม สะดวก และสว่าง ความสะอาดของพื้นห้อง ชั้นหนังสือ ชั้นวารสาร โต๊ะ เก้าอี้นั่งอ่าน ตลอดจนผนัง เพดาน ความสวยงามที่เกิดจากการตกแต่งด้วยสี ภาพ นิทรรศการ คำขวัญ ไม้ประดับไม้ดอกในแจกัน ความสะดวกในการใช้บริการของผู้ใช้ห้องสมุด และความสะดวกในการปฏิบัติงานของบรรณารักษ์ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด ความสว่างเกิดจากความโปร่งของห้อง มีแสงสว่างจากธรรมชาติ หรือแสงจากไฟฟ้า และเกิดจากการใช้สีสว่างจากผนัง เพดาน และพื้นห้อง สีจากการตกแต่งห้องช่วยให้บรรยากาศ ของห้องสมุดน่าเข้าใช้ สมกับเป็นแหล่งวิทยาการของโรงเรียนโดยแท้จริง<br />
27<br />
3.6 การดำเนินงานด้านครุภัณฑ์<br />
ครุภัณฑ์ห้องสมุดที่จำเป็นที่บรรณารักษ์ควรจัดหามาไว้โดยความเห็นชอบร่วมกันกับผู้บริหารและคณะกรรมการห้องสมุด โดยที่บรรณารักษ์เป็นผู้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับครุภัณฑ์และยึดหลักเกณฑ์การเลือกครุภัณฑ์ ดังต่อไปนี้<br />
1. แบบ ควรเป็นแบบเรียบ และง่าย ที่ให้ความสบาย เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น และไม่ควรจะมีหลายแบบจนเกินไป<br />
2. สี สีของครุภัณฑ์ควรให้สีกลมกลืนกับสีของอาคารของห้อง และควรเป็นสีที่ทำให้ห้องดูสว่างสะอาด แต่ไม่เป็นสีที่สะท้อนแสง<br />
3. หน้าที่ใช้สอย ครุภัณฑ์ แต่ละประเภทควรให้เหมาะสมกับงานและการใช้ ให้มีความสบาย และสะดวกในการเคลื่อนย้าย<br />
4. ขนาด ให้มีขนาดที่ถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานของครุภัณฑ์แต่ละประเภท เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ให้มีขนาดเหมาะสมกับผู้ใช้ และการใช้สอย<br />
5. คุณภาพ การเลือกครุภัณฑ์ ต้องคำนึงถึงคุณภาพ ทนทานต่อการใช้งาน และการขูดกระแทก<br />
6. สัดส่วน ครุภัณฑ์แต่ละประเภทควรมีสัดส่วนสัมพันธ์กัน เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยเพื่อความสวยงาม และจัดวางได้ง่ายเคลื่อนย้ายสะดวก เปลี่ยนแปลงได้<br />
7. สมควรใช้ หมายถึงความมีประโยชน์ของครุภัณฑ์ในการใช้สอยของทั้งผู้ใช้บริการและผู้ปฏิบัติงาน<br />
ครุภัณฑ์ที่สำคัญของห้องสมุด ได้แก่<br />
1. ชั้นวางหนังสือ มีทั้งชั้นสูงและชั้นเตี้ยทำด้วยเหล็ก ไม้และไฟเบอร์สามารถเลือกให้เหมาะสมกับสภาพห้องสมุดสภาพภูมิศาสตร์ที่ห้องสมุดโรงเรียนตั้งอยู่<br />
2. ชั้นวางวารสาร มีหลายรูปแบบ เช่น แบบชั้นเอนหน้าเดียวแบบสองหน้า แบบหมุน แบบตั้งวางแกนเหล็ก ฯลฯ<br />
3. ที่วางหนังสือพิมพ์ มีหลายรูปแบบ เช่นเดียวกัน เช่น เป็นโต๊ะที่แขวนหนังสือพิมพ์แยกต่างหาก หรือทำเป็นที่แขวนรวมกับชั้นวารสาร สามารถวางหรือแขวนหนังสือพิมพ์ได้ 10 – 20 ฉบับ<br />
4. ตู้บัตรรายการ เป็นตู้มาตรฐาน ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ สำหรับใส่บัตรรายการมีขนาด 15 ลิ้นชัก 30 ลิ้นชัก 45 ลิ้นชัก และ 60 ลิ้นชัก<br />
5. โต๊ะ หรือ เคาน์เตอร์ยืม คืนหนังสือ<br />
28<br />
6. โต๊ะทำงานบรรณารักษ์ และเจ้าหน้าที่ห้องสมุด<br />
7. ตู้จุลสาร และตู้กฤตภาค ส่วนใหญ่นิยมให้ตู้เอกสาร 4 ลิ้นชัก<br />
8. โต๊ะและเก้าอี้นั่งอ่าน มีหลายขนาด มีทั้งโต๊ะนั่งอ่านคนเดียว 2-4-6 คน โต๊ะนั่งอ่านมีหลายรูปแบบ เช่น วงกลม สีเหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />
9. ที่จัดนิทรรศการ อาจจะมีลักษณะเป็นป้ายติดผนัง หรือตู้กระจก โต๊ะ ฯลฯ<br />
10. รถเข็นหนังสือ มีทั้งแบบที่ทำด้วยไม้ละทำด้วยเหล็ก<br />
11. โต๊ะซ่อมหนังสือ มีลักษณะเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง และแข็งแรงเป็นพิเศษพร้อมกับมีอุปกรณ์ เลื่อย เจาะ และตอกตัวเล่มหนังสือ สำหรับการซ่อมบำรุงไว้ด้วย<br />
12. แท่นวางพจนานุกรม สำหรับวางพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์ ที่มีรูปเล่มใหญ่และหนา<br />
นอกจากนั้นควรจัดหาครุภัณฑ์ที่จำเป็นอื่นๆ อีก เช่นเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตู้เหล็กเก็บเอกสาร 2 บาน และตู้เหล็กเก็บเอกสาร 4 ลิ้นชัก ตามสมควร (สมจิต พรหมเทพ, 2542 : 53 – 62)<br />
3.7 การดำเนินงานด้านวัสดุ สิ่งพิมพ์<br />
วัสดุในห้องสมุด พอจะจัดแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ<br />
1. วัสดุอุปกรณ์ เป็นวัสดุประเภทสิ้นเปลือง เครื่องใช้ที่เป็นเครื่องเขียน วัสดุซ่อม วัสดุอุปกรณ์ในการเตรียมหนังสือ วัสดุอุปกรณ์งานเทคนิค ฯลฯ วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบในการปฏิบัติงาน และการให้บริการที่จำเป็นสำหรับห้องสมุด อาจเป็น 9 ประเภท คือ<br />
1.1 วัสดุสิ้นเปลือง เครื่องใช้ที่มีอายุการใช้งานในระยะเวลาสั้น ๆ จัดหามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน และการให้บริการ เช่น บัตรร่าง ดินสอ ปากกา ยางลบ ฯลฯ<br />
1.2 วัสดุที่ใช้กับสิ่งพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่จัดหามาเพื่อให้กรบริการเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ให้ดำเนินไปด้วยความสะดวกเรียบร้อย เช่น ที่กั้นหนังสือ ป้ายบอกหมวดหมู่หนังสือ กล่องจุลสาร แฟ้มสำหรับใส่วารสาร แฟ้มแขวนสำหรับใส่จุลสาร และกฤตภาค<br />
1.3 วัสดุอุปกรณ์สำหรับยืม คืน หนังสือ เช่น บัตรยืม บัตรสมาชิก ตรายาง บัตรแบ่งตอน บัตรคั่นวันที่ บัตรลงทะเบียนวารสาร และหนังสือพิมพ์<br />
1.4 วัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมบำรุงสิ่งพิมพ์ เช่น กระดาษแข็ง ผ้าแรกซีน เทปผ้า หรือเทปซ่อมหนังสือ ผ้าคิ้ว ผ้าขาวบาง กาว กรรไกร สว่าน ดอกสว่าน ไม้รีดหนังสือ ฯลฯ<br />
1.5 วัสดุอุปกรณ์การทำบัตรรายการและบัตรดรรชนี เช่น บัตรร่าง บัตรขนาด 3 x 5 นิ้ว แผงเรียง บัตรแบ่งตอน<br />
29<br />
1.6 วัสดุอุปกรณ์ในการเตรียมหนังสือออกให้บริการ เช่น สมุดทะเบียน ตรายางลงทะเบียน ปากกาไฟฟ้า ปากกาเคมี ป้ายติดสันหนังสือ เทปรองเขียน บัตรหนังสือ บัตรกำหนดส่ง ซองบัตร<br />
1.7 วัสดุอุปกรณ์สำหรับทางเข้าออก เช่น เครื่องนับจำนวน สมุดบันทึกสถิติ และกริ่งสัญญาเตือนเวลา<br />
1.8 วัสดุอุปกรณ์ในการจัดนิทรรศการ เช่น กระดาษสีต่าง ๆ สีเมจิก เข็มหมุด เครื่องยิงบอร์ด ที่วางหนังสือแบบต่างๆ หนังสือ ฯลฯ<br />
1.9 วัสดุตกแต่งห้องสมุด เช่น ภาพถ่าย ภาพเขียน แจกัน กระถางต้นไม้ ป้ายบอกตำแหน่งและทิศทางการบริการ ป้ายบอกชื่อวัสดุสิ่งพิมพ์<br />
วัสดุอุปกรณ์เหล่านี้ห้องสมุดควรจัดหาไว้ให้พร้อม และดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพของห้องสมุด ให้มีจำนวนพอเหมาะกับงานและกิจกรรมที่จัดให้มีขึ้นในห้องสมุด วัสดุบางอย่างห้องสมุดอาจจัดทำขึ้นใช้เองได้โดยใช้วัสดุท้องถิ่นราคาถูกหรือจัดซื้อได้จากร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ห้องสมุด<br />
2. วัสดุการศึกษา หมายถึง วัสดุความรู้ทั้งมวลที่ห้องสมุดจัดหาเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ได้ใช้เพื่อการศึกษา เพื่อรับข่าวสาร เพื่อปลูกฝังส่งเสริมนิสัยรักการอ่านแก่นักเรียน ตามวัตถุประสงค์ของห้องสมุด โดยทั่วไปวัสดุการศึกษา จัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />
2.1 วัสดุสิ่งพิมพ์<br />
2.2 วัสดุไม่ตีพิมพ์<br />
วัสดุสิ่งพิมพ์ คือ วัสดุความรู้ที่เกิดจากการจัดพิมพ์ แบ่งได้ 5 ประเภท<br />
1. หนังสือ คือ สิ่งพิมพ์ที่ให้ความรู้ความคิด สติปัญญา และประสบการณ์แก่ผู้อ่าน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />
1.1 หนังสือสารคดี หมายถึง หนังสือที่ให้ความรู้เรื่องราวต่าง ๆ แบ่งได้ สาระความรู้ ได้แก่<br />
1.1.1 หนังสือทั่วไป คือ หนังสือที่ให้ความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ ตามจุดมุ่งหมายของผู้เขียน<br />
1.1.2 หนังสือเรียน หมายถึง หนังสือที่เขียนขึ้นโดยมีเนื้อหาตามหลักสูตรการเรียนการสอนตามระดับการศึกษา<br />
1.1.3 หนังสืออ่านประกอบ หนังสือหลักสูตร คู่มือครู และหนังสือที่ กระทรวงศึกษาธิการโดยกรมวิชาการกำหนดให้เป็นหนังสือ อ่านนอกเวลาหรืออ่านเพิ่มเติมหนังสือเรียน<br />
30<br />
1.1.4 หนังสือทางด้านสันทนาการ หมายถึง หนังสือที่มีเนื้อหาให้ ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านและให้คุณค่าทางวิชาการ เช่น หนังสือวรรณคดี ชีวประวัติ ฯลฯ<br />
1.1.5 หนังสืออ้างอิง หมายถึง หนังสือที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษใช้ข้อเท็จจริงสั้น ๆ บางตอนโดยไม่ต้องอ่านทั้งเล่มก็ได้ความสมบูรณ์ หนังสือประเภทนี้ทางห้องสมุดมักจะแยกไว้เป็นส่วนหนึ่ง ต่างหาก และมีสัญลักษณ์พิเศษกำกับแบบเหนือเลขเรียกหนัง คือ อ สำหรับ หนังสืออ้างอิงภาษาไทยและ R หรือ Ref สำหรับหนังสืออ้างอิงภาษาอังกฤษและให้บริการการอ่านค้นคว้าภายในห้องสมุดเท่านั้นไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุด ได้แก่ หนังสือพจนานุกรม<br />
1.2 หนังสือนวนิยาย หมายถึง หนังสือที่เขียนขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่งโดยอาศัยเค้าโครงจากเรื่องจริง มุ่งให้ความเพลิดเพลินและความบันเทิงแก่ผู้อ่านเป็นส่วนใหญ่ ห้องสมุดโดยทั่วไปมักจะให้เลขหมู่หนังสือเป็นตัวอักษรแทนคือ น สำหรับนวนิยายภาษาไทย และ หรือ Fic สำหรับหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษ อาจจัดแยกไว้ให้บริการ เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก และให้บริการยืมออกได้เช่นเดียวกับหนังสือสารคดีอื่น ๆ<br />
2. วารสารหรือนิตยสาร หมายถึง สิ่งพิมพ์ที่มีกำหนดออกตามเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อเสนอข่าสาร เรื่องราว บทความ เบ็ดเตล็ด ที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงอาจจะมีกำหนดออกเป็นรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน รายสองเดือน รายสามเดือน และรายหกเดือน ห้องสมุดโรงเรียนควรจะเลือกบอกรับวารสารที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และเหมาะสมกับวัย ความสนใจของนักเรียนวารสารบางชื่อห้องสมุดอาจจะพิจารณา จัดเย็บรวมเล่มไว้เป็นปี เพื่อให้ครูและนักเรียนได้ใช้ค้นคว้า โดยจัดทำคู่มือการค้นคว้าหาบทความจากวารสารเย็บเล่มที่เรียกว่า ดรรชนีวารสาร ไว้ด้วย<br />
3. หนังสือพิมพ์ คือ สิ่งพิมพ์ขนาดใหญ่ ที่ให้ความรู้ด้านข่าวสารเหตุการณ์โดยทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีกำหนดออกเป็นรายวัน ราย 5 วัน หรือ รายล๊อตเตอรี่และมีทั้งหนังสือพิมพ์ที่ออกโดยส่วนกลาง และ ส่วนท้องถิ่น ซึ่งห้องสมุดควรพิจารณาบอกรับทั้ง 2 ประเภท เพื่อให้นักเรียนได้รับทราบข่าวสารที่เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศ ต่างประเทศและในท้องถิ่นของตนเอง<br />
4. จุลสาร หมายถึง สิ่งพิมพ์ขนาดเล็กที่มีเนื้อหาเรื่องราวเฉพาะเรื่องและเป็นเรื่องราวใหม่ ๆ ทันสมัย อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน และจัดพิมพ์แจกจ่ายโดยหน่วยงาน องค์การและสถาบันต่าง ๆ ห้องสมุดควรจะรวบรวมไว้เป็นเรื่อง ๆ และให้บริการแก่ครู นักเรียน เช่นเดียวกับ สิ่งพิมพ์อื่น<br />
5. กฤตภาค คือ สิ่งพิมพ์ที่ทางห้องสมุดจัดทำขึ้น โดยการตัดบทความข่าวเรื่องราว และภาพที่สำคัญ และมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของครูและนักเรียน จากวารสารและ<br />
31<br />
หนังสือพิมพ์ แล้วนำมาผนึกลงบนกระดาษโรเนียว หรือกระดาษที่ตัดขนาดเฉพาะ และแยกเป็นเรื่อง ๆ พร้อมกับให้หัวเรื่องไว้ด้วย<br />
วัสดุไม่ตีพิมพ์ หมายถึง วัสดุความรู้ที่ไม่ได้เกิดจากการจัดพิมพ์ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุ โดยทั่วไปห้องสมุดจะจัดแยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของโสตทัศนวัสดุ ดังนี้<br />
1. วัสดุลายเส้น หรือวัสดุกราฟฟิค ได้แก่<br />
1. รูปภาพ<br />
2. แผนที่<br />
3. แผนภูมิ<br />
4. ภาพโฆษณา<br />
5. กราฟ สถิติ<br />
2. วัสดุที่ต้องใช้เครื่องมือประกอบ เช่น<br />
1. ภาพนิ่ง ใช้ควบคู่ เครื่องฉายภาพนิ่ง<br />
2. ภาพเลื่อน ใช้กับเครื่องฉายภาพเลื่อน หรือฟิล์มรีวิวเวอร์<br />
3. แถบบันทึกเสียง ใช้กับเครื่องบันทึกเสียง<br />
4. แถบบันทึกภาพ ใช้กับเครื่องเล่นวีดิทัศน์<br />
5. แผ่นเสียง ใช้กับเครื่องเล่นแผ่นเสียง<br />
6. แผ่นโปร่งใส ใช้กับเครื่องฉายทึบแสง หรือเครื่องฉายข้ามศีรษะ<br />
7. ภาพยนตร์ ใช้กับเครื่องฉายภาพยนตร์<br />
3. วัสดุที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือประกอบ เช่น<br />
1. ลูกโลก<br />
2. หุ่นจำลอง<br />
3. ของตัวอย่างหรือของจริง<br />
4. ของเล่นและเกม<br />
5. ชุดการสอน<br />
4. วัสดุย่อส่วน เช่น<br />
1. ไมโครฟิลม์<br />
2. ไมโคคาร์ด<br />
3. ไมโครพรินท์<br />
4. ไมโครฟิช<br />
5. ซีดีรอม (CD – ROM)<br />
32<br />
5. ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในงานห้องสมุด เช่นงานบัตรรายการ งานบรรณานุกรมต่าง ๆ งานข้อมูลสารนิเทศเฉพาะเรื่อง ฯลฯ เป็นต้น<br />
วัสดุการศึกษาดังกล่าว ห้องสมุดควรจัดหามาไว้ให้บริการให้สมบูรณ์เท่าที่ควรและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของห้องสมุด และคำนึงความสนใจ ความสามารถของผู้ใช้บริการเพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนตามนโยบายของโรงเรียน<br />
วัสดุสำนักงาน ในที่นี้หมายถึง วัสดุที่ใช้ในงานหรือกิจการภายในสำนักงานในห้องสมุด นอกจากงานเทคนิคห้องสมุด เช่น งานสารบรรณ งานการเงิน ฯลฯ วัสดุสำนักงานที่ควรจัดหามาไว้เพื่อใช้ในการนี้ ได้แก่ กระดาษประเภทต่าง ๆ เช่น กระดาษโรเนียว กระดาษบันทึกข้อความ ฯลฯ เครื่องเย็บกระดาษ กระดาษไข หมึกโรเนียว สมุดบัญชี แฟ้มเอกสาร ตรายาง ธงชาติ ดินสอ ปากกาเครื่องเจาะกระดาษ เครื่องมือทำความสะอาด ฯลฯ<br />
วัสดุดังกล่าว ห้องสมุดควรจัดหามาไว้โดยบรรณารักษ์งานจัดหาซึ่งเป็นงานประเภทหนึ่งในห้องสมุด การจัดหาวัสดุมีวิธีการจัดหา ได้ 4 วิธี คือ<br />
1. การจัดซื้อ เป็นวิธีการที่สามารถจัดหาวัสดุห้องสมุดได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามวัตถุประสงค์ ความต้องการ และความสนใจ ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ปฏิบัติงานในห้องสมุดกรณีที่มีเงินงบประมาณเพียงพอ และบรรณารักษ์มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อและการเงิน นโยบายการจัดซื้อวัสดุและแหล่งจำหน่ายวัสดุห้องสมุด<br />
2. การขอรับบริจาค เป็นวิธีการที่บรรณารักษ์ติดต่อของบริจาคสิ่งพิมพ์จากแหล่งวิทยาการต่าง ๆ ในกรณีที่ห้องสมุดโรงเรียนได้รับงบประมาณสำหรับจัดหนังสือจำนวนจำกัด และสิ่งพิมพ์บางประเภทไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด การจัดหาโดยวิธีการขอรับบริจาคจึงเป็นสิ่งจำเป็น บรรณารักษ์ควรจะมีความรู้ใน 2 เรื่อง ดังนี้ แหล่งวิทยาการที่จะขอรับบริจาคสิ่งพิมพ์ วิธีดำเนินการขอรับบริจาคสิ่งพิมพ์<br />
2.1 แหล่งวิทยาการที่จะขอรับบริจาคสิ่งพิมพ์ ได้แก่<br />
2.1.1 หน่วยงานราชการ เช่น กระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ หน่วยศึกษานิเทศก์ ศูนย์พัฒนาหนังสือ<br />
2.1.2 มูลนิธิและสมาคม เช่น มูลนิธิเชีย มูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน<br />
2.1.3 บริษัท ห้างร้าน ธนาคาร และสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เช่น บริษัทไทยวัฒนาพานิช จำกัด ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช ฯลฯ<br />
2.1.4 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย<br />
33<br />
2.1.5 สถานทูตและสำนักแถลงข่าวตางประเทศ<br />
2.1.6 สายการบินของประเทศต่าง ๆ<br />
2.1.7 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ห้องสมุดวิทยาลัย และห้องสมุดเฉพาะขนาดใหญ่บางแห่ง<br />
2.1.8 บุคคลที่มีจิตศรัทธางานห้องสมุด เช่น คหบดี นักธุรกิจ ผู้ปกครองนักเรียน พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น<br />
2.2 วิธีการดำเนินการขอรับบริจาคสิ่งพิมพ์ วิธีการขอรับบริจาคควรดำเนินการดังนี้<br />
2.2.1 การติดต่อรับบริจาคเป็นส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์ เช่น ติดต่อทางโทรศัพท์ เพื่อทราบ รายละเอียดและวิธีการติดต่อได้ถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว<br />
2.2.2 การทำหนังสือทางราชการไปขออย่างเป็นทางการ ทั้งประเภทที่ได้ติดต่อไว้แล้ว หรือประเภทที่ไม่ได้ติดต่อ ไว้ก่อนแต่ทราบข้อมูลรายละเอียดมาก่อนแล้ว<br />
2.2.3 ทำหนังสือราชการตอบขอบคุณเมื่อได้รับสิ่งพิมพ์ที่ขอรับบริจาคเรียบร้อยแล้ว<br />
2.2.4 ถ้าผู้บริจาคเป็นบุคลากรภายในโรงเรียน เช่น ครู อาจารย์ หรือนักเรียน ควรติดประกาศขอบคุณไว้ที่ป้ายประกาศของห้องสมุด<br />
กรณีที่ต้องรับบริจาคสิ่งพิมพ์โดยทำเป็นหนังสือราชการรวมทั้งหนังสือตอบขอบคุณบรรณารักษ์ควรจะจัดเป็นแบบฟอร์ม และอัดสำเนาไว้ เพื่อใช้ได้ทันทีและประหยัด<br />
3. การแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนหนังสือและสิ่งพิมพ์กับหน่วยงานและห้องสมุดอื่น เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยประหยัดงบประมาณของห้องสมุดที่ห้องสมุดจะได้รับสิ่งพิมพ์บางประเภทที่มีจำหน่ายในท้องตลาด และเป็นการลดปริมาณของสิ่งพิมพ์บางรายการที่ห้องสมุดมีจำนวนมากเกินความจำเป็น โดยการนำไปแลกเปลี่ยนกับห้องสมุดอื่น<br />
สิ่งพิมพ์ที่ห้องสมุดนำไปแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานอื่น ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่ทางโรงเรียน หรือห้องสมุดจัดทำขึ้นเอง หรือสิ่งพิมพ์ที่ทางห้องสมุดได้รับบริจาคมามากเกินความต้องการ หรือได้รับมาไม่ตรงกับความต้องการ และความสนใจของผู้ใช้ห้องสมุด<br />
4. การจัดทำขึ้นเอง นับเป็นวิธีการช่วยประหยัดเงินงบประมาณในการจัดหาและยังอาจนำไปแลกเปลี่ยนวัสดุสิ่งพิมพ์กับห้องสมุดอื่นได้อีก วัสดุสิ่งพิมพ์ที่ทางห้องสมุดสามารถจัดทำขึ้นเอง ได้แก่<br />
4.1 สิ่งพิมพ์ของห้องสมุด เช่น วารสาร ข่าวสาร จุลสาร คู่มือการใช้ ห้องสมุด คู่มือปฏิบัติงาน การรวบรวมบรรณานุกรม<br />
34<br />
4.2 สิ่งพิมพ์ที่เป็นสำเนาเอกสาร คือ การถ่ายสำเนาจากสิ่งพิมพ์ อื่นที่ว่าเป็นประโยชน์ และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เช่น การถ่ายสำเนาเอกสาร จากหนังสือ วารสาร วิทยานิพนธ์ งานวิจัยต่าง ๆ<br />
4.3 วัสดุย่อส่วน เช่น ไมโครฟิลม์ ไมโครพริ้นท์ ไมโครคาร์ด<br />
4.4 โสตทัศนวัสดุบางประเภท เช่น แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ ภาพนิ่ง ภาพเลื่อน ภาพโปร่งใส เป็นต้น<br />
4.5 วัสดุห้องสมุดบางประเภท เช่น แผงเรียงบัตร กล่องจุลสาร แฟ้มเอกสาร กล่องใส่บัตร ที่คั่นหนังสือ เป็นต้น<br />
3.8 การดำเนินงานด้านบุคคล<br />
บรรณารักษ์ เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานห้องสมุดให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งต้องอาศัยผู้ร่วมงาน ได้แก่ ผู้ช่วยบรรณารักษ์ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด คนงาน และนักเรียนช่วยงานห้องสมุด บุคลากรดังกล่าวเป็นได้ทั้งประเภทที่มีความรู้ทาวิชาบรรณารักษศาสตร์และประเภทที่ไม่มีความรู้ทางวิชาบรรณารักษศาสตร์ เดช เผ่าน้อย (2532 : 20) ได้สรุปไว้ว่า ในห้องสมุดโรงเรียน มีบุคลากรทำงานอยู่ 3 ประเภท คือ<br />
1. ผู้ที่มีความรู้ทางวิชาบรรณารักษศาสตร์ โดยได้ศึกษาวิชาบรรณารักษศาสตร์ในระดับปริญญาตรี<br />
2. ผู้ที่เคยได้รับการอบรมวิชาบรรณารักษศาสตร์ จากสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ หรือหน่วยงานสถาบันการศึกษา<br />
3. ผู้ที่ไม่เคยศึกษาอบรมแต่ใจรักและได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในหน้าที่บรรณารักษ์<br />
ดังนั้น เพื่อให้งานห้องสมุดดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ ครูบรรณารักษ์ ควรดำเนินงานด้านบุคลากร ดังต่อไปนี้ คือ<br />
1. มอบหมายงาน และจัดแบ่งงานโดยใช้หลักจิตวิทยาและมนุษยสัมพันธ์<br />
2. จัดแบ่งงานตามระดับความสามารถ ความรู้ ความถนัดและบุคลิกภาพของผู้ปฏิบัติงาน<br />
3. การมอบหมายงาน และแบ่งงานควรจัดทำเป็นคำสั่งหรือลายลักษณ์อักษรและให้รับทราบทุกคน<br />
4. การปฏิบัติงานในแต่ละแผนกงาน ควรมีคู่มือการปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้<br />
5. ควรมีการประชุมปรึกษาหารือกันเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อรับทราบปัญหาของแต่ละแผนกงาน และช่วยกันแก้ปัญหา<br />
35<br />
6. จัดให้มีการสรุปผลงานของแต่ละแผนกงานเพื่อการพัฒนาและประเมินผลความ ก้าวหน้าของงาน<br />
7. จัดให้มีการพัฒนาบุคลากรในห้องสมุดโรงเรียน โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น<br />
7.1 การประชุมสัมมนาเสริมความรู้ และความเข้าใจในงานหน้าที่ของแต่ละบุคคล<br />
7.2 ศึกษาดูงานห้องสมุดที่ได้รับรางวัลจากสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ได้รับรางวัลในระดับเขตการศึกษา ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ เพื่อเป็นแนวทางนำไปพัฒนาห้องสมุดของตนเอง<br />
7.3 จัดส่งบุคลากรในหน่วยงานเข้ารับการอบรมวิชาบรรณารักษศาสตร์ ที่จัดโดยสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ชมรมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ชมรมห้องสมุดจังหวัดและสถาบันการศึกษาที่สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์<br />
7.4 แนะนำให้อ่านบทความในวารสาร หนังสือ งานวิจัย ที่เกี่ยวกับงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
8. จัดให้มีการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรในห้องสมุดโดยวิธีการต่าง ๆ เช่น<br />
8.1 การเสนอรายชื่อเพื่อพิจารณาความดีความชอบแก่ผู้บริหาร<br />
8.2 การจัดให้มีงานเลี้ยงสังสรรค์ในห้องสมุด ในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันปิดภาคเรียน<br />
8.3 ยกย่องชมเชยเมื่อปฏิบัติงานได้ดี เป็นที่น่าพอใจ<br />
8.4 การให้รางวัลตามข้อตกลงบางโอกาส เช่น รางวัลผู้ไม่เคยลางาน รางวัลผู้ปฏิบัติงานเป็นระยะเวลานานปี รางวัลผู้ไม่เคยมาทำงานสาย ฯลฯ<br />
8.5 การจัดสวัสดิ์การที่อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน เช่น<br />
8.5.1 จัดให้มีห้องพักผ่อนในเวลาพัก ห้องพยาบาล ห้องพักอาศัย พาหนะรับส่ง<br />
8.5.2 ให้เงินตอบแทนเมื่อปฏิบัติงานล่วงเวลา หรือปฏิบัติงานนอกสถานที่<br />
8.5.3 ให้มีสวัสดิการแก่สมาชิกในครอบครัวของผู้ปฏิบัติงาน<br />
8.6 การให้กำลังใจอื่น ๆ เช่น มอบช่อดอกไม้หรือบัตรอวยพรเนื่องในวันครบรอบวันเกิด วันทำบุญโอกาสต่าง ๆ วันขึ้นปีใหม่<br />
36<br />
3.9 การดำเนินงานด้านการเงิน<br />
องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่ง ในการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน คือ งบประมาณ (Money) นอกเหนือจากบุคลากร (Men) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) และการจัดการ (Management) ในเรื่องของการเงินของห้องสมุดโรงเรียน บรรณารักษ์จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเงินในเรื่อง ต่อไปนี้<br />
1. แหล่งที่มาของเงิน<br />
2. การใช้จ่ายเงิน<br />
3. วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเงิน และ<br />
4. การหาความสนับสนุนทางการเงิน<br />
3.9.1 แหล่งที่มาของเงิน หมายถึง รายได้ของห้องสมุด โดยทั่วไปแล้วห้องสมุดโรงเรียนจะมีรายได้ต่อไปนี้<br />
1. งบประมาณแผ่นดิน งบประมาณแผ่นดินที่ทางห้องสมุดโรงเรียนจะได้รับน้อยมากมักจะได้รับในกรณีพิเศษ เช่น งบประมาณในการจัดสร้างห้องสมุดเริ่มแรก งบประมาณในการขยายหรือปรับปรุงห้องสมุดตามโครงการของกรมหรือของกระทรวง เช่น โครงการห้องสมุดเป็นโรงเรียน หรือโครงการโรงเรียนห้องสมุด กิจการดังกล่าวใช้เงินงบประมาณเป็นหลัก จึงต้องมีการจัดทำคำของบประมาณ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการจัดเตรียมงบประมาณ สำหรับห้องสมุดโรงเรียนแล้วเจ้าหน้าที่การเงินและผู้บริหารโรงเรียนมักจะเป็นผู้ดำเนินการ<br />
2. เงินบำรุงการศึกษา เป็นงบประมาณส่วนใหญ่ที่ห้องสมุดโรงเรียนทุกแห่ง โดยเฉพาะห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษาจะได้รับ เป็นเงินที่เก็บจากนักเรียน โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ และจะได้รับมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนในโรงเรียน บางโรงเรียนเงินบำรุงการศึกษาอาจะได้รับมาก แต่บางโรงเรียนอาจจะได้รับน้อยแล้วแต่นโยบายของผู้บริหารโรงเรียนจะจัดสรรให้ ซึ่งบางโรงเรียนอาจจะริเริ่ม หรือขยายกิจการอย่างอื่นงบประมาณของห้องสมุดก็น้อยลง จึงทำให้การดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนแต่ละโรงแตกต่างกันทั้งอาคาร วัสดุสิ่งพิมพ์ ครุภัณฑ์อุปกรณ์ รวมทั้งบริการและกิจกรรมขอห้องสมุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินบำรุงการศึกษาที่ทางห้องสมุดโรงเรียนได้รับ<br />
3. เงินบริจาค เป็นเงินที่ได้รับไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสามารถมนุษย์สัมพันธ์ และการขวนขวายหาวิธีการขอรับเงินบริจาคจากแหล่งสนับสนุนงานห้องสมุดของผู้บริหารโรงเรียน หรือบรรณารักษ์ และขึ้นอยู่กับความศรัทธาของผู้บริจาค เช่น ผู้ปกครองของนักเรียน สมาคมครูผู้ปกครอง สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียน ผู้อุปการะโรงเรียน และ หน่วยงานเอกชนในท้องถิ่นที่โรงเรียน<br />
37<br />
ตั้งอยู่ เป็นต้น เงินบริจาคนี้ได้รับมาเพื่อนำไปใช้ตาม โครงการใหม่ โครงการเฉพาะกิจที่ทางห้องสมุดจัดทำเพื่อเสนอขอรับบริจาค<br />
4. เงินรายได้อื่น เป็นเงินที่ทางห้องสมุดไดรับไม่แน่นอนอีกประเภทหนึ่ง เช่น<br />
1. เงินค่าปรับหนังสือ<br />
2. เงินที่ได้รับจากการจัดบริการตามความต้องการของผู้ใช้ห้องสมุด เช่น เงินจากการจัดบริการถ่ายสำเนาเอกสาร ให้เช่าเครื่องพิมพ์ดีด ซ่อมหนังสือ เย็บเข้าเล่มเอกสาร<br />
3. เงินที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมของห้องสมุดเป็นกรณีพิเศษ เพื่อการหารายได้โดยเฉพาะเป็นครั้งคราว เช่น การจัดฉายภาพยนตร์การกุศล การทอดผ้าป่าการกุศล วิ่งหรือเดินการกุศล ฯลฯ<br />
4. เงินซึ่งได้จากการจำหน่ายหนังสือพิมพ์เก่าหรือวัสดุสงพิมพ์อื่นที่ห้องสมุดจำหน่ายออกจาบัญชีแล้ว<br />
5. เงินดอกเบี้ยรายปีจากเงินบริจาคและเงินจาการจัดกิจกรรมซึ่ง ฝากธนาคารไว้เพื่อใช้จ่ายกิจการของห้องสมุด<br />
3.9.2 การใช้จ่ายเงิน<br />
เงินรายได้ทุกประเภทที่ทางห้องสมุดได้รับมา ห้องสมุดจะนำไปใช้จ่ายกิจการของห้องสมุดตามประเภทของเงิน แต่เงินส่วนใหญ่ คือ เงินบำรุงการศึกษา ซึ่งเป็นเงินประจำที่ได้รับทุกปีการศึกษา จึงนำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานห้องสมุดได้แน่นอนสม่ำเสมอสามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินได้และจัดทำเป็นปฏิทินกิจกรรมของห้องสมุดตลอดปีได้ ส่วนเงินประเภทอื่น ๆ อาจจะได้รับหรือไม่ได้รับและจำนวนมากน้อยไม่แน่นอน จึงนำไปใช้จ่ายในโครงการพิเศษ หรือกิจกรรมเป็นครั้งคราว ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า การใช้จ่ายเงินห้องสมุดเป็นไปตามประเภทของเงินดังต่อไปนี้<br />
1. เงินงบประมาณแผ่นดิน ใช้จ่ายในกรณีจัดตั้งห้องสมุดครั้งแรกหรือใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงหรือขยายห้องสมุด ซึ่งจะต้องมีสิ่งต่อไปนี้ คือ<br />
1.1 อาคารสถานที่สร้างใหม่ หรือดัดแปลงจากห้องเรียนเป็นห้องสมุด<br />
1.2 ครุภัณฑ์ห้องสมุด เช่น ชั้นหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้นั่งอ่าน ที่จำเป็น<br />
1.3 หนังสือ วารสาร สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ในการจัดตั้งครั้งแรก<br />
1.4 วัสดุอุปกรณ์ และ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของห้องสมุด<br />
2. เงินบำรุงการศึกษา เป็นเงินสำหรับดำเนินการเมื่อมีห้องสมุดแล้ว ซึ่งค่าดำเนินการได้แก่สิ่งต่อไปนี้<br />
2.1 ค่าหนังสือ วารสาร และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ที่ซื้อเพิ่มเติม<br />
2.2 ค่าซ่อมบำรุงรักษาหนังสือ และสิ่งพิมพ์ที่ชำรุด เย็บเล่มวารสาร<br />
38<br />
2.3 ค่าวัสดุอุปกรณ์ และวัสดุสำนักงานของห้องสมุด<br />
2.4 ค่าจ้างหรือเงินเดือนสำหรับเจ้าหน้าที่ห้องสมุด<br />
งบบำรุงการศึกษาสำหรับดำเนินการนั้น บรรณารักษ์ควรจะตั้งงบประมาณล่วงหน้าเพื่อเสนอให้ผู้บริหารได้รับทราบโดยจัดเป็นโครงการหรือแผนการปฏิบัติงานตลอดทั้งปีการศึกษาเพื่อผู้บริหารจะได้พิจารณาจัดแบ่งงบบำรุงการศึกษามาให้ห้องสมุด ดังนั้นบรรณารักษ์จะต้องรู้วิธีการจัดทำงบประมาณ โดยพิจารณาจากความจำเป็นของห้องสมุดและพิจารณาจากงบประมาณจากปีการศึกษาก่อน แล้วเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงตามสภาพการและสถานภาพของห้องสมุดการเบิกจ่ายเงินบำรุงการศึกษาก็ต้องเป็นไปตามระเบียบทางราชการ<br />
3. เงินบริจาค มักจะเป็นเงินบริจาคสนับสนุนงานห้องสมุดที่เป็นไปได้ทั้งที่มีเงื่อนไขในการบริจาคเพื่อกิจการหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งและเป็นการบริจาคเงินที่ปราศจากเงื่อนไขใด ๆ กรณีนี้ห้องสมุดสามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคหรือกิจการใดๆที่คณะ กรรมการดำเนินงานห้องสมุดและบรรณารักษ์ตกลงเห็นสมควรร่วมกันพิจารณา โดยทำบัญชี รับ – จ่าย ไว้เป็นหลักฐาน มีคระกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน<br />
4. เงินรายได้อื่นๆ เป็นรายได้และจำนวนที่ไม่แน่นอนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งทางห้องสมุดอาจจะนำมาใช้จ่ายในกิจการใดๆ ของห้องสมุดก็ได้ ทั้งนี้ควรจะนำเสนอผ่านคณะกรรมการดำเนินงานห้องสมุดเพื่อรับทราบ และต้องทำบันทึกหลักฐานของการใช้จ่ายได้เสมอเงินรายได้ประเภทนี้บรรณารักษ์อาจจะนำมาใช้จ่ายในกรณีต่อไปนี้<br />
1. ใช้จ่ายเรื่องค่าพาหนะ<br />
2. ใช้จ่ายในการรับรอง การศึกษาดูงานและการเยี่ยมเยือนจากหน่วยงานอื่น<br />
3. ใช้จ่ายในการจัดสวัสดิการแก่บุคลากรในห้องสมุด เช่น การจัดเครื่องอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานที่จำเป็น การจ่ายค่าตอบแทน เมื่อต้องปฏิบัติงานเป็นพิเศษ การให้ตอบแทนเมื่อออกจากงาน ฯลฯ<br />
4. ใช้จ่ายในการสร้างความจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร เช่นการจัดเลี้ยงในโอกาสพิเศษ การให้รางวัลตามเงื่อนไขที่วางไว้ การพาไปทัศนศึกษาดูงาน ฯลฯ<br />
5. ใช้จ่ายเป็นเงินสำรองเพื่อทดรองจ่าย<br />
3.9.3 วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเงิน<br />
การปฏิบัติเกี่ยวกับเงินรายได้และรายจ่ายของห้องสมุด บรรณารักษ์ควรมีความรู้และศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและความถูกต้องในการปฏิบัติในเรื่องต่อไปนี้<br />
3.9.3.4 วิธีการจัดเตรียมงบประมาณ เป็นการแสดงแผนการดำเนินงานตลอดปีออกเป็นตัวเลข จำนวนเงิน โยทั่วไปมีกำหนดช่วงละ 12 เดือน เรียกว่า ปีงบประมาณ<br />
39<br />
3.9.3.5 งบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรได้รับงบประมาณอย่างน้อยร้อยละ 10 ของงบประมาณ การเรียนการสอนทั้งหมดของโรงเรียน<br />
กรุงเทพมหานคร ในฐานะองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่หลายประการในกิจการของกรุงเทพมหานคร ภารกิจหนึ่งที่สำคัญ คือ การจัดการศึกษาภาคบังคับตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้เด็กของกรุงเทพมหานครทุกคน ได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษาอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้จัดการศึกษาในระดับก่อนประถมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็กก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และยังได้จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา โดยได้มีมติจากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบดำเนินการได้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดเป็นการเสริม จากที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ที่จะยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจาก 6 ปี เป็น 9 ปี และเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2541 คณะรัฐมนตรี ก็ได้อนุมัติเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนประชานิเวศน์ เขตจตุจักรด้วย (กรุงเทพมหานคร , 2540 : 19)<br />
ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร มีโรงเรียนในความรับผิดชอบ 433 โรงเรียน กระจายในพื้นที่ 50 สำนักงานเขต โดยในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำนวน 63 โรงเรียน จาก 36 เขตการศึกษา (กรุงเทพมหานคร, 2541 : 1) ซึ่งทุกโรงเรียนจัดให้มีห้องสมุด เพื่อเป็นแหล่งบริการทางวิชาการสำหรับครูและนักเรียน โดยมีครูที่ปฏิบัติหน้าที่ครูบรรณารักษ์ เป็นผู้รับผิดชอบด้านการศึกษาและการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยได้กำหนดเป็นวิสัยทัศน์การศึกษาของกรุงเทพมหานครว่า จะสนับสนุนให้โรงเรียนจัดห้องสมุดอย่างดี มีที่ว่างเหมาะสมกับนักเรียนและชุมชน ให้มีสื่อการเรียนที่ทันสมัย ให้บริการอย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและชุมชนรู้จักการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและมีนิสัยรักการอ่าน (สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร, 2541 : 13) และจากวิสัยทัศน์การศึกษาของกรุงเทพมหานคร ปี 2543 – 2547 ก็ได้กำหนดการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยให้มุ่งปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนการสอน จากการที่ครูเป็นผู้อธิบาย บรรยาย หรือบอกความรู้ เป็นการให้ผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ หรือผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร, 2544 : 10)<br />
อย่างไรก็ตาม จากการค้นคว้างานวิจัย และจากประสบการณ์ในการทำงานก็ยังพบว่า การดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ยังมีปัญหาต่าง ๆ อีกมากมายที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาจากผู้บริหารไม่สนับสนุนกิจกรรมของห้องสมุดอย่างแท้จริง<br />
40<br />
ปัญหาจากผู้ดำเนินงาน ซึ่งก็คือ บรรณารักษ์ที่ขาดความรู้ ความชำนาญในวิชาชีพ บรรณารักษ์มีชั่วโมงสอนมากเกินไป ปัญหาอาคารสถานที่คับแคบ ขาดสิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปัญหางบประมาณ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ห้องสมุดโรงเรียนได้ประสบมานาน โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การขาดแคลนจำนวนหนังสือและวัสดุสิ่งพิมพ์ การขาดงบประมาณเพื่อจัดกิจกรรมและบริการของห้องสมุด ฯลฯ ซึ่งมีผลให้ห้องสมุดไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (จิตพร ศรีสัมพันธ์,2540 : 13)<br />
ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ควรจะได้ปฏิรูปการบริหารงานด้านต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
ตอนที่ 4 มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศฯ เป็นมาตรฐานที่นำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงาน มีรายละเอียด ดังนี้<br />
มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2533 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ<br />
โดยที่การศึกษาระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาเพื่อปวงชนมุ่งให้ผู้เรียนนำประสบ การณ์ที่ได้จากการเรียนไปใช้ในการดำรงชีวิต อันเป็นรากฐานของการสร้างพลเมืองให้มีคุณภาพสามารถพัฒนาชีวิตโดยการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ ตามความต้องการ ความสนใจ และความถนัด หรือเพื่อเป็นแนวทางศึกษาระดับสูงขึ้น เพื่อสนองกับนโยบายและหลักการดังกล่าวห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา จักต้องมีคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ฯ จึงได้กำหนดมาตรฐานของห้องสมุด โรงเรียนประถมศึกษาขึ้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินงาน อันจะเป็นการยกระดับห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทั้งคุณภาพและปริมาณ โดยมาตรฐานที่กำหนดขึ้น เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำเท่านั้น<br />
หมวด ก. มาตรฐานทั่วไป<br />
ตอนที่ 1 หน้าที่และความรับผิดชอบ<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา มีหน้าที่ส่งเสริมการเรียนการสอน ให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรประถมศึกษา ซึ่งมุ่งให้นักเรียนรู้จักใช้ประโยชน์จากห้องสมุด และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง นอกเหนือจากการเรียนการสอนในห้องเรียน ดังนั้นโรงเรียนจึงจำเป็นต้องจัดห้องสมุดให้มีทั้งด้านอาคารสถานที่ วัสดุสารนิเทศ วัสดุครุภัณฑ์และบุคลากร มีงบประมาณ<br />
41<br />
เพียงพอ เพื่อให้ห้องสมุดสามารถบริการนักเรียน ครูอาจารย์ และชุมชนได้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งเป็นแหล่งวิทยาการที่สามารถสนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพโดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบดังนี้<br />
1. สนับสนุนและส่งเสริมการเรียนการสอนตามหลักสูตร ตลอดจนนโยบายและโครงการของโรงเรียน<br />
2. ให้การศึกษาค้นคว้าแก่นักเรียนและครูอาจารย์<br />
3. ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์<br />
4. ให้นักเรียนได้อ่านหนังสือตามความสนใจความต้องการ และความสามารถของตน<br />
5. ให้นักเรียนมีทักษะในการใช้วัสดุสารนิเทศ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าประกอบการเรียน<br />
6. เตรียมนักเรียนให้มีประสบการณ์ในการใช้ห้องสมุด เพื่อให้เข้าใจวิธีการใช้ห้องสมุดทั่วไป อันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาและพัฒนาตนเองในอนาคต<br />
7. ให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ครูอาจารย์ในการเลือก และใช้วัสดุสารนิเทศเพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอน<br />
8. ให้บริการชุมชนในท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่<br />
ตอนที่ 2 โครงสร้างการบริหารงาน<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรมีโครงสร้างการบริหารดังนี้<br />
1. สถานภาพของห้องสมุด ห้องสมุดควรมีฐานะเป็นศูนย์กลุ่มวิชา โดยมีบรรณารักษ์เป็นหัวหน้าศูนย์กลุ่มวิชา<br />
2. การบริหารงานห้องสมุด<br />
2.1 ห้องสมุดขึ้นตรงต่อผู้บริหารโรงเรียน ในกรณีที่ผู้บริหาร มอบหมายงานให้ผู้ช่วยฝ่ายต่าง ๆ ให้ห้องสมุดอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ<br />
2.2 ห้องสมุดควรมีคณะกรรมการห้องสมุด ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและวางแผนการดำเนินงานห้องสมุด โดยมีผู้บริหารโรงเรียนเป็นที่ปรึกษา ผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการเป็นประธาน หัวหน้ากลุ่มวิชา ทุกกลุ่มวิชาเป็นกรรมการ บรรณารักษ์เป็นกรรมการและเลขานุการ<br />
2.3 การบริหารงานห้องสมุดเป็นไปตามมติ ของคณะกรรมการห้องสมุด<br />
2.4 บรรณารักษ์ทำหน้าที่ดำเนินการในด้านงานเทคนิค และงานบริการ<br />
42<br />
ตอนที่ 3 บริการและความร่วมมือระหว่างห้องสมุด<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรให้บริการอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว โดยคำนึงถึงความสะดวกของผู้ใช้เป็นสำคัญ และมีความร่วมมือกันระหว่างห้องสมุด เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน<br />
1. บริการและกิจกรรมของห้องสมุด ควรประกอบด้วย<br />
1.1 บริการต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียนและชุมชน ดังนี้<br />
1.1.1 บริการแนะนำการใช้ห้องสมุด<br />
1.1.2 บริการให้อ่าน<br />
1.1.3 บริการยืม – คืน<br />
1.1.4 บริการหนังสือจอง<br />
1.1.5 บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า และบริการสารสนเทศ<br />
1.1.6 บริการจัดทำคู่มือช่วยการค้นคว้า<br />
1.1.7 บริการยืม – คืนระหว่างห้องสมุด<br />
1.1.8 บริการอื่น ๆ<br />
1.2 กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและกิจกรรมเพื่อการเรียนการสอน ดังนี้<br />
1.2.1 เล่านิทาน<br />
1.2.2 เล่าเรื่องหนังสือ<br />
1.2.3 จัดนิทรรศการ<br />
1.2.4 สนทนาเรื่องหนังสือ<br />
1.2.5 อภิปราย<br />
1.2.6 โต้วาที<br />
1.2.7 ทายปัญหา<br />
1.2.8 การค้นคว้า และทำรายงาน<br />
1.2.9 กิจกรรมอื่น ๆ<br />
1.3 ความร่วมมือระหว่างห้องสมุด ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรดำเนินการให้เกิดความร่วมมือในการใช้วัสดุสารนิเทศ และทรัพยากรบุคคลรวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อพัฒนางานเทคนิคและบริการของห้องสมุด โดยคำนึงถึงความประหยัดและประสิทธิภาพของบริการห้องสมุดในกลุ่มโรงเรียน และห้องสมุดอื่น<br />
43<br />
ตอนที่ 4 วัสดุสารนิเทศ<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรมีวัสดุสารนิเทศทุกประเภท ได้แก่ วัสดุตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร กฤตภาค และวัสดุไม่ตีพิมพ์ หุ่นจำลอง ของจริง ของตัวอย่าง แผนที่ ลูกโลก เกมของเล่นเสริมทักษะ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แถบบันทึกเสียง สไลด์ ฟิล์มสตริป วีดีทัศน์ เป็นต้น.<br />
ตอนที่ 5 บุคลากร<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาควรมีบุคลากรห้องสมุดปฏิบัติงานห้องสมุดเต็มเวลา ดังนี้<br />
1.1 หัวหน้างานห้องสมุด มีวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้<br />
1.1.1 ปริญญาตรีสาขาบรรณารักษ์หรือสารนิเทศศาสตร์หรือสูงกว่า<br />
1.1.2 ปริญญาตรีสาขาอื่น และอนุปริญญาสาขาบรรณารักษ์ หรือสารนิเทศศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรขั้นสูง สาขาบรรณารักษ์ หรือวุฒิบรรณารักษ์ หรือสารนิเทศศาสตร์<br />
1.1.3 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง หรือเทียบเท่าวิชาเอกบรรณารักษศาสตร์<br />
1.2 บรรณารักษ์ มีวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้<br />
1.2.1 ปริญญาตรี สาขาบรรณารักษ์ หรือสารนิเทศศาสตร์<br />
1.2.2 ปริญญาตรี สาขาอื่นที่มีวิชาโทบรรณารักษ์ หรือสารนิเทศศาสตร์<br />
1.2.3 ปริญญาตรี สาขาวิชาอื่นและวุฒิบรรณารักษ์หรือสารนิเทศศาสตร์<br />
1.2.4 ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรือเทียบเท่า และวุฒิบรรณารักษ์<br />
หรือสารนิเทศศาสตร์<br />
1.2.5 ประกาศนียบัตรวิชาชีพวิชาการศึกษาหรือเทียบเท่า และวุฒิบรรณารักษ์ หรือสารนิเทศ<br />
1.3 เจ้าหน้าที่ห้องสมุดมีวุฒิอย่างต่ำ ประกาศนียบัตรวิชาชีพพาณิชยกรรม หรือมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทย และภาษาอังกฤษได้<br />
1.4 นักการภารโรง มีวุฒิอย่างต่ำจบการศึกษาภาคบังคับ นอกจากนี้ควรมีนักเรียนช่วยงานห้องสมุด ที่ผ่านการอบรม และฝึกปฏิบัติงานห้องสมุดจากโรงเรียน หรือกลุ่มโรงเรียน ทั้งนี้ บุคลากรของห้องสมุดควรได้รับการพัฒนาดังนี้<br />
- จัดหาวัสดุสารนิเทศตามหลักสูตรประถมศึกษาตามนโยบายของโรงเรียนตามความต้องการของ นักเรียน ครูอาจารย์และชุมชน รวมทั้งส่งเสริม<br />
- เอกลักษณ์ของชาติ โดยต้องมีความทันสมัยและทันเหตุการณ์<br />
- จัดหมวดหมู่วัสดุสารนิเทศ และทำบัตรรายการตามระบบสากล<br />
44<br />
- จัดหาอุปกรณ์สำหรับดำเนินงานด้านเทคนิคอย่างเหมาะสมและเพียงพอ<br />
- ดูแล สำรวจ และบำรุงรักษาวัสดุสารนิเทศให้อยู่ในสภาพที่ดีตลอดเวลา<br />
ตอนที่ 6 อาคารห้องสมุด และครุภัณฑ์<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรมีอาคารสถานที่ตั้ง และครุภัณฑ์ห้องสมุด<br />
1. อาคารสถานที่<br />
1.1 ห้องสมุดควรตั้งอยู่ในที่ที่สะดวกแก่ผู้ใช้บริการ เป็นศูนย์กลางของโรงเรียนและไกลจากเสียงรบกวน ถ้าห้องสมุดอยู่ในอาคารเรียน ไม่ควรอยู่เกิน ชั้นที่ 2 ของอาคาร<br />
1.2 ห้องสมุดไม่ว่าจะอยู่ในอาคารเรียน หรือเป็นอาคารเอกเทศ ควรได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม โดยการร่วมมือระหว่างสถาปนิก ศึกษานิเทศก์ฝ่ายห้องสมุด และคณะกรรมการห้องสมุดโดยคำนึงถึง ความสะดวกความปลอดภัยต่อทรัพย์สินของห้องสมุด และมีลักษณะดึงดูดใจ ให้เข้าใช้บริการ<br />
1.3 ห้องสมุดควรมีเนื้อที่เพียงพอสำหรับ<br />
1. บริการการอ่าน<br />
2. การศึกษาค้นคว้าเป็นชั้นเรียน<br />
3. การจัดบริการและกิจกรรมของห้องสมุด<br />
4. การงานของบุคลากรในห้องสมุด<br />
5. การจัดเก็บวัสดุสารนิเทศ โดยคำนึงถึงการขยายงานในอนาคต<br />
1.4 ห้องสมุดควรมีแสงสว่างเพียงพอ และ ไม่เป็นอันตรายต่อสายตา มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกหากมีความพร้อมด้านงบประมาณ ควรมีเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยรักษาวัสดุสารนิเทศให้มีอายุการใช้งานได้นาน<br />
1.5 ครุภัณฑ์ห้องสมุด ควรเป็นครุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน คงทน สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และรักษาความสะอาด มีขนาดและสัดส่วนเหมาะสมกับผู้ใช้ และบุคลากรของห้องสมุด<br />
ตอนที่ 7 งบประมาณ<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาควรได้รับงบประมาณอย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแหล่งที่มา ดังนี้<br />
1. งบประมาณโดยผ่านหน่วยงานต้นสังกัด<br />
2. เงินบริจาคให้ห้องสมุด<br />
3. เงินรายได้อื่น ๆ เช่นเงินรายได้จากสมาคมผู้ปกครอง มูลนิธิ หรือรายได้จากการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น<br />
45<br />
หมวด ข. มาตรฐานเชิงปริมาณ<br />
ตอนที่ 8 จำนวนวัสดุสารนิเทศ<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรมีจำนวนวัสดุสารนิเทศ ดังนี้<br />
1. วัสดุตีพิมพ์<br />
1.1 หนังสือ 7 เล่ม ต่อนักเรียน 1 คน โดยจัดให้มีหนังสือทุกประเภท<br />
1.2 วารสารวิชาการและวารสารทั่วไป 5 ชื่อ ต่อนักเรียน 400 คน หากมีนักเรียนน้อยกว่า 4 คน ให้เพิ่มได้ตามความเหมาะสม<br />
1.3 หนังสือพิมพ์ 3 ชื่อ ชื่อละ 1 ฉบับ ต่อนักเรียน 400 คน หากมีนักเรียนมากกว่า 400 คน ให้เพิ่มได้ตามความเหมาะสม<br />
2. วัสดุไม่ตีพิมพ์ เช่น แผนที่ ลูกโลก แถบบันทึกเสียง รูปภาพ ฯลฯ ควรมีจำนวนเพียงพอตามความต้องการ และความจำเป็นของผู้ใช้บริการ<br />
ตอนที่ 9 จำนวนบุคลากร<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ควรมีบุคลากรปฏิบัติงานเต็มเวลา โดยมีบุคลากรคิดเป็นสัดส่วนเทียบกับจำนวนนักเรียน ดังนี้<br />
ตารางที่ 2 แสดงบุคลากรของห้องสมุดโรงเรียน<br />
จำนวนนักเรียน : บุคลากรของห้องสมุด (คน)<br />
บุคลากร<br />
ต่ำกว่า<br />
400<br />
400<br />
600<br />
800<br />
1,000<br />
1,200<br />
1,200<br />
ขึ้นไป<br />
1 หัวหน้างานห้องสมุด<br />
2 บรรณารักษ์<br />
3 เจ้าหน้าที่ห้องสมุด<br />
4 นักการภารโรง<br />
1<br />
-<br />
1<br />
1<br />
1<br />
1<br />
2<br />
1<br />
1<br />
2<br />
3<br />
1<br />
1<br />
2<br />
4<br />
1<br />
1<br />
3<br />
4<br />
1<br />
1<br />
3<br />
5<br />
1<br />
รวม<br />
3<br />
5<br />
7<br />
8<br />
9<br />
10<br />
ตอนที่ 10 อาคารห้องสมุด และครุภัณฑ์<br />
ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาควรมีอาคารสถานที่และครุภัณฑ์สำหรับเป็นที่ปฏิบัติงาน ที่นั่งอ่าน ที่เก็บ และที่ให้บริการวัสดุสารนิเทศ ตลอดจนที่จักกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเพียงพอ ดังนี้<br />
46<br />
1. ขนาดของห้องสมุด ห้องสมุดควรมีขนาด 1 ห้องเรียน สำหรับโรงเรียนที่มี นักเรียนไม่เกิน 440 คน และมีขนาดเพิ่มขึ้นทุก 200 คน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงเนื้อที่สำหรับ ครุภัณฑ์ห้องสมุด ที่ทำงานบุคลากร และที่นั่งอ่านด้วย<br />
2. ครุภัณฑ์ห้องสมุด<br />
2.1 โต๊ะเก้าอี้ สำหรับบุคลากรปฏิบัติงาน ให้มีเท่าจำนวนบุคลากร ปฏิบัติงาน<br />
2.2 โต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งอ่านหนังสือ ให้มีจำนวน 40 ที่นั่ง ต่อนักเรียน400 คน<br />
2.3 ชั้นหนังสือ และชั้นวางวารสาร ให้มีขนาดพอเหมาะ และมีจำนวนเพียงพอ สำหรับ จัดเก็บวัสดุสารนิเทศ และต้องคำนึงถึงการขยายในอนาคตด้วย<br />
2.4 ตู้ชนิดต่าง ๆ ได้แก่<br />
1. ตู้บัตรรายการ 30 ลิ้นชัก 1 ตู้<br />
2. ตู้เหล็ก 4 ลิ้นชัก สำหรับเก็บจุลสาร และกฤตภาค 1 ตู้<br />
3. ตู้เหล็ก 2 บาน สำหรับเก็บวัสดุอุปกรณ์ห้องสมุด 1 ตู้<br />
4. ตู้จัดนิทรรศการ 1 ตู้<br />
5. ตู้เก็บแผนที่ 1 ตู้<br />
6. ตู้เก็บแผ่นภาพ 1 ตู้<br />
7. ตู้เก็บวีดีทัศน์และโสตทัศนวัสดุอื่น ๆ 1 ตู้<br />
8. ตู้เก็บวารสาร และหนังสือพิมพ์ฉบับย้อนหลัง 1 ตู้<br />
2.5 ครุภัณฑ์โสตทัศนวัสดุ<br />
1. เครื่องฉายสไลด์ 1 เครื่อง พร้อมจอ<br />
2. เครื่องเล่นวิทยุเทป 1 เครื่อง พร้อมหูฟังชนิดครอบศีรษะ 5 ชุด<br />
3. เครื่องรับโทรทัศน์ 1 เครื่อง<br />
4. เครื่องเล่นวีดีทัศน์ 1 เครื่อง<br />
2.6 ป้ายนิเทศ 1 ป้าย<br />
2.7 เคาน์เตอร์ ให้บริการยืม – คืน 1 ชุด<br />
2.8 เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย และภาษาอังกฤษพร้อมโต๊ะ และ เก้าอี้พิมพ์ดีด อย่างละ 1 ชุด<br />
2.9 รถเข็นหนังสือ 1 คัน<br />
2.10 ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ซ่อม และเขียนสัน 1 ชุด<br />
2.11 ที่ปืนหยิบหนังสือ 1 ที่<br />
2.12 ชั้นวางของ ก่อนเข้าห้องสมุด ตามความเหมาะสม 1 ที่<br />
47<br />
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัย โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ การศึกษาเปรียบเทียบสภาพห้องสมุดกับมาตรฐานห้องสมุด การศึกษาสภาพของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา และการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนในปัจจุบัน โดยนำเสนอตามหัวข้อ ดังต่อไปนี้<br />
5.1 การศึกษาเปรียบเทียบสภาพห้องสมุดกับมาตรฐานห้องสมุด<br />
5.1.1 การวิจัยในประเทศ<br />
จิตพร ศรีสัมพันธ์ (2540:6) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานห้องสมุด โรงเรียนขนาดใหญ่กับมาตรฐานขั้นต่ำห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน เมื่อพิจารณาในด้านต่าง ๆ ปรากฏผลดังนี้<br />
1. ด้านปัจจัย ประกอบด้วยบุคลากร วัสดุสารนิเทศ อาคารสถานที่และครุภัณฑ์ พบว่าสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนที่อยู่ในระดับสูงกว่ามาตรฐาน ได้แก่ บุคลากร คือมีจำนวนนักเรียนช่วยงานห้องสมุดมาก ส่วนที่อยู่ในระดับได้มาตรฐานขั้นต่ำ ได้แก่ วัสดุสารนิเทศ คือ หนังสือสำหรับนักเรียนที่มีอยู่ในระดับเพียงพอ และอาคารห้องสมุดโรงเรียนมีสภาพที่ดี และที่อยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานได้แก่จำนวนคณะกรรมการห้องสมุด ครูบรรณารักษ์มีจำนวนน้อย และครูบรรณารักษ์ไม่มีเวลาปฏิบัติงานได้เต็มที่เพราะมีหน้าที่สอนด้วย<br />
2. ด้านการดำเนินงาน ประกอบด้วย บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการห้องสมุด ครูบรรณารักษ์ และนักเรียนช่วยงานห้องสมุด พบว่าสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนในระดับสูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ได้แก่ ครูบรรณารักษ์มอบหมายให้นักเรียนช่วยงานห้องสมุด ส่วนข้อที่ได้ในระดับมาตรฐานขั้นต่ำ ได้แก่ครูบรรณารักษ์มีการประชาสัมพันธ์งานห้องสมุดอย่างสม่ำเสมอ และที่อยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานได้แก่ คณะกรรมการห้องสมุดปฏิบัติตามบทบาทและหน้าที่ได้บางรายการ ครูบรรณารักษ์มีแผนปฏิบัติงานประจำปี และครูบรรณารักษ์ปฏิบัติงานด้านเทคนิคอย่างถูกต้อง<br />
3. ด้านผลที่ได้รับ ประกอบด้วย ภาพรวมตามความมุ่งหมายสำคัญของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ห้องสมุดสนองกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตร การมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียน และการมีทักษะในการใช้วัสดุสารนิเทศของนักเรียน และห้องสมุดเป็นแหล่งค้นคว้าสำหรับนักเรียน พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน ข้อที่ได้มาตรฐานขั้นต่ำได้แก่ จำนวนครูผู้สอนที่มาใช้ห้องสมุด เพื่อการเรียนการสอนต่อสัปดาห์มีจำนวนน้อย และครูผู้สอน<br />
48<br />
แนะนำนักเรียนให้มาค้นคว้าหนังสือในห้องสมุด หรือกำหนดงานให้นักเรียนมาค้นคว้าใน ห้องสมุดมีจำนวนน้อย<br />
สุลัคนา เสาวรส (2544:2) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภู ตามมาตรฐานขั้นต่ำ ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 ปรากฏการวิจัยทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านปัจจัย ด้านดำเนินงาน และด้านผลที่ได้รับดังนี้<br />
1 คณะกรรมการห้องสมุดโรงเรียนโดยส่วนรวม และจำแนกตามสถานภาพและขนาดของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภูโดยส่วนรวมและแต่รายด้าน ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง<br />
2 คณะกรรมการห้องสมุดโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน เห็นว่า มีการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาโดยส่วนรวม และเป็นรายด้าน ทั้ง 3 ด้าน ไม่แตกต่างกัน เห็นว่า มีการดำเนินงานห้องสมุดโดยรวมและเป็นรายด้าน ทั้ง 3 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยผู้บริหารโรงเรียนและครูทำหน้าที่บรรณารักษ์ เห็นว่ามีการดำเนินงานโดยส่วนรวม และด้านการดำเนินงานมากกว่ากรรมการสถานศึกษา และครูทำหน้าที่บรรณารักษ์เห็นว่า มีการดำเนินงานด้านปัจจัยและด้านผลที่ได้รับมากกว่าสถานศึกษา นอกจากนี้ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพกับขนาดของโรงเรียน ต่อการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภู ทั้งโดยส่วนรวมและเป็นรายด้าน<br />
3 สถานภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนตามมาตรฐานขั้นต่ำห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 โดยส่วนรวมและเป็นรายด้านต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน<br />
ดังนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่า ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาโดยส่วนใหญ่ ยังมีสภาพการบริหารที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในด้านปัจจัย ครูบรรณารักษ์มีจำนวนน้อยไม่พอกับความต้องการ นอกจากนี้ยังมีชั่งโมงสอนมากและต้องทำงานหลายอย่างในขณะเดียวกัน ส่วนด้านการดำเนินงาน พบว่าครูบรรณารักษ์ มีแผนงานปฏิบัติงานประจำปีน้อย และปฏิบัติงานด้านเทคนิคอย่างไม่ถูกต้อง<br />
5.1.2 การวิจัยในต่างประเทศ<br />
แมคกาที (McCarthy, 1997:5) ได้ทำการวิจัยเรื่อง สภาพห้องสมุดโรงเรียนที่มีมาตรฐานห้องสมุดเป็นตัวกำหนด ได้ศึกษากับห้องสมุดโรงเรียนในรัฐนิวอิงแลนด์ จำนวน 48 โรงเรียน วิธีการวิจัยมี 2 วิธี คือ แบบเชิงคุณภาพ วัดโดยใช้แบบสอบถาม แบบเชิงปริมาณวัดโดยการสังเกต และใช้คำถามปลายเปิด วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อการศึกษาสภาพที่เป็นจริงของห้องสมุดผลการวิจัยพบว่าห้องสมุดส่วนใหญ่ มีการดำเนินงานที่ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ<br />
49<br />
แหล่งทรัพยากร เทคโนโลยีและบรรณารักษ์ ขาดความร่วมมือและการสนับสนุนจากทางราชการ ผู้ให้คำปรึกษาทำงานได้ไม่เต็มที่และห้องสมุดส่วนน้อย พบว่า คณะกรรมการห้องสมุดโรงเรียนมีประสิทธิภาพในการวางแผนที่ดี ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและครู และได้รับความร่วมมือจากครูและผู้มาใช้บริการห้องสมุด<br />
แมคแกรท (McGrath 1997:9) ได้ทำการวิจัยเรื่อง สภาพห้องสมุดโรงเรียนประถม ศึกษาในประเทศออสเตรเลียในรัฐนิวเซาท์เวลล์และออสเตรเลียใต้ พบว่า มีบรรณารักษ์ที่มีคุณวุฒิปฏิบัติงานในห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่มีบรรณารักษ์ที่มีคุณวุฒิทางด้านบรรณารักษ์ศาสตร์ ปฏิบัติงานในห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กเลย<br />
ซิงห์ (Singh 1994 : 2369 – A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ห้องสมุดโรงเรียนในประเทศต่าง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านเศรษฐกิจ กับตัวแปรด้านห้องสมุดโรงเรียนตลอดจนปัจจัยที่ส่งเสริมและขัดขวางการเติบโตก้าวหน้าของห้องสมุดโรงเรียน จากการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดโรงเรียน จำนวน 30 คน 29 ประเทศ พบว่ามีดรรชนี 5 ประการ ที่มีสำคัญยิ่ง คือ การจัดให้มีห้องสมุดโรงเรียน บุคลากร เครื่องอำนวยความสะดวก วัสดุอุปกรณ์ และบทบาทของห้องสมุดโรงเรียนและครูบรรณารักษ์ จากนั้น ได้ใช้ดรรชนีดังกล่าว ในการสำรวจสถานภาพของห้องสมุดโรงเรียนในประเทศต่าง ๆ จำนวน 64 ประเทศ ผลการศึกษาพบว่า ในประเทศส่วนมากมีห้องสมุดกลางของโรงเรียน ห้องสมุดถูกมองว่าไม่ใช่การบริการที่สำคัญและจำเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับด้านอื่นๆ ของห้องสมุดโรงเรียนส่วนมาก ยังไม่มีการกำหนดหน้าที่ที่ชัดเจนของบุคลากรห้องสมุด นอกเหนือจากทำหน้าที่บริการให้ใช้วัสดุห้องสมุดเท่านั้น ส่วนมากมีวัสดุตีพิมพ์ โสตทัศนูปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือสื่อสาร มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการมีห้องสมุดในโรงเรียนระดับประถมศึกษา กับผลผลิตรวมของชาติ แต่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับจำนวนร้อยละของประชากร ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ปัจจัยที่ส่งเสริมการเจริญก้าวหน้าของห้องสมุด ได้แก่ การมีแหล่งเงินทุนสนับสนุน บทบาทขององค์กรกลางของชาติ การศึกษาและการเข้ารับการอบรมของครูบรรณารักษ์ ส่วนปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้าของห้องสมุดได้แก่ ขาดแคลนหรือไม่มีงบประมาณสนับสนุน<br />
5.2 การศึกษาสภาพของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
5.2.1 การวิจัยในประเทศ<br />
บุญมี ธิอุด (2536:5) ได้ศึกษาสภาพปัญหาการบริหารงานด้านวิชาการ ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลำปาง พบว่า เรื่องห้องสมุดโรงเรียนมีปัญหาอยู่ในเกณฑ์มาก ได้แก่ขาดงบประมาณในการจัดหาหนังสือ เอกสาร วารสารสำหรับการค้นคว้าของครูและนักเรียน ส่วนข้อปัญหาที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง โดยเรียงลำดับค่า<br />
50<br />
คะแนนจากมากไปหาน้อย ได้แก่ โรงเรียนขาดการแนะนำให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุดและการให้บริการ ครู เจ้าหน้าที่ห้องสมุดไม่มีแผนกำหนดให้นักเรียนใช้ห้องสมุดอย่างมีประสิทธิภาพ ห้องสมุดโรงเรียนมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการศึกษาค้นคว้า ครูผู้สอนขาดความสามารถในการวางแผนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด โรงเรียนขาดสถานที่ที่จะใช้จัดทำห้องสมุด โรงเรียนขาดการส่งเสริมให้นักเรียนได้มีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากในห้องสมุด และโรงเรียนขาดการแนะนำให้ครู หรือกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญและใช้ห้องสมุดให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียน<br />
ขันธชัย มหาโพธิ์ (2537:4) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี ผลการวิจัยพบว่า การปฏิบัติงานห้องสมุดโรงเรียนขนาดเล็ก มีการปฏิบัติงานที่แตกต่างจากโรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดกลางในทุกๆข้อ ดังต่อไปนี้<br />
1. การจัดสภาพห้องสมุดโรงเรียน<br />
2. การจัดหาวัสดุครุภัณฑ์อย่างเพียงพอ<br />
3. การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอน<br />
4. การจัดบริการห้องสมุดที่สนองต่อความต้องการของครู นักเรียนและผู้ที่สนใจ<br />
5. การจัดการให้มีการประเมินผลห้องสมุดเป็นระยะ<br />
ส่วนแนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน ผู้บริหารเห็นว่า ควรพัฒนาห้องสมุดให้มีวัสดุครุภัณฑ์ ที่จำเป็นสำหรับห้องสมุด และมีอาคารห้องสมุดที่เป็นเอกเทศ ควรจัดหาวารสาร เอกสาร หนังสือ คู่มือครู หนังสืออ้างอิง ค้นคว้าสำหรับครู นักเรียน และบรรณารักษ์และที่สำคัญ คือ การจัดอบรมครูที่ทำหน้าที่บรรณารักษ์ให้ครบทุกโรงเรียน หรือบรรจุครูที่จบสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์โดยตรง<br />
วันทนีย์ ฤกษ์ประพฤติดี (2540:8) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการห้องสมุดโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร พบว่า การจัดการด้านห้องสมุด ด้านงานบริหาร ที่ขึ้นตรงต่อผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายวิชาการ บรรณารักษ์และผู้บริหารเป็นคณะกรรมการห้องสมุด อาคารตั้งอยู่ในที่สะดวกและเหมาะสม มีการติดตามประเมินผล ด้านงานเทคนิค บรรณารักษ์จัดหาวัสดุสารนิเทศและหนังสือให้เป็นไปตามหลักสูตรและนโยบายของโรงเรียน ห้องสมุดใช้ระบบทศนิยมของ ดิวอี้ ด้านการบริการ เน้นการให้อ่าน การยืม – คืนหนังสือ การตอบคำถาม ช่วยค้นคว้าสารนิเทศ และการแนะนำหนังสือใหม่ ส่วนปัญหาในการจัดการห้องสมุด ด้านงานบริหาร ผู้บริหารจัดสรรงบประมาณให้แต่ยังไม่เพียงพอ และบรรณารักษ์ไม่มีวุฒิทางบรรณารักษศาสตร์ ด้านงาน<br />
51<br />
เทคนิค การซ่อมหนังสือและการสำรวจบำรุงรักษา ขาดบุคลากร และอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ด้านการบริการ การยืม – คืนหนังสือมีเวลาจำกัด ให้ผู้รับบริการค้นหาเอง และบุคลากรในโรงเรียนไม่ช่วยส่งเสริมกิจกรรมของห้องสมุด<br />
ประภาภรณ์ เทศประสิทธ์ (2540:6) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2540 เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานห้องสมุดขายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี พบว่า สภาพห้องสมุดด้านอาคารสถานที่ เนื้อที่ของห้องสมุดมีน้อยกว่า 20 ตารางเมตร สถานที่จัดห้องสมุดไปใช้ ไม่สะดวก มีแสงสว่างเพียงพอ การถ่ายเทอากาศและบรรยากาศดี ด้านครุภัณฑ์ ห้องสมุดส่วนใหญ่มีโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งอ่าน มีชั้นวางวารสาร ตู้เก็บจุลสาร ตู้เก็บกฤตภาค ที่วางหนังสือพิมพ์ ตู้บัตรรายการ ด้านหนังสือและสิ่งพิมพ์ ห้องสมุดส่วนใหญ่มีหนังสือภาษาไทยเป็นส่วนมาก และสภาพเก่า ด้านบริการ เปิดบริการสัปดาห์ละ 5 วัน และหนังสือไม่จัดหมวดหมู่ ด้านบุคลากร ส่วนใหญ่มีบรรณารักษ์ และนักเรียนช่วยงานห้องสมุดโรงเรียน ส่วนปัญหาการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียน ด้านอาคารสถานที่ ที่ตั้งห้องสมุดไม่เอื้อต่อการขยายตัวแสงสว่างไม่เพียงพอ ด้านวัสดุ หนังสือพิมพ์รับไม่ตรงกับความต้องการและไม่เพียงพอ ด้านครุภัณฑ์โต๊ะเก้าอี้ไม่เหมาะสมกับผู้ใช้ ด้านบุคลากร ห้องสมุดส่วนใหญ่ บรรณารักษ์ไม่มีความรู้ทางบรรณารักษศาสตร์ และไม่มีความรับผิดชอบ ด้านงบประมาณ งบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ไม่เพียงพอกับการดำเนินงานห้องสมุด ด้านบริการ ผู้ให้บริการไม่มีความรู้เรื่องการใช้ห้องสมุด และเวลาในการบริการมีน้อย หนังสือบนชั้นไม่มีการจัดหมวดหมู่<br />
จักรพงศ์ เชิดศิริพงษ์ (2540:4) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาในการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาในการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า สภาพของห้องสมุด ด้านอาคารสถานที่ห้องสมุดส่วนใหญ่มี 1 ห้องเรียน และตั้งอยู่ในแหล่งศูนย์กลาง ด้านครุภัณฑ์ ส่วนใหญ่มีโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับนั่งอ่านไม่เกิน 20 ที่นั่ง ไม่มีตู้เก็บจุลสาร ไม่มีตู้เก็บกฤตภาค ไม่มีตู้เก็บวัสดุอุปกรณ์ โสตทัศนวัสดุ ด้านวัสดุตีพิมพ์ ส่วนใหญ่มีหนังสือไม่เกิน 5,000 เล่ม ไม่มีวารสารหรือนิตยสารที่บอกรับประจำ ด้านวัสดุไม่ตีพิมพ์ ห้องสมุดส่วนใหญ่ไม่มีลูกโลก แผนที่ ภาพนิ่ง แผ่นเสียง แถบบันทึกเสียง วีดีทัศน์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง วิทยุ โทรทัศน์ และเครื่องเล่นเทปโทรทัศน์ ด้านบุคลากร ส่วนใหญ่มีครูทำหน้าที่บรรณารักษ์ 1 คน และมีนักเรียนช่วยงานห้องสมุด ด้านการบริการ ส่วนใหญ่เปิดบริการเช้า กลางวัน และเย็น ครูและนักเรียนเข้าใช้ห้องสมุดไม่เกินวันละ 30 คน ด้านงบประมาณ ส่วนใหญ่ได้รับงบประมาณประจำปี<br />
52<br />
ส่วนเงินบำรุงการศึกษา เงินบริจาค และเงินพิเศษอื่นไม่ได้รับ ด้านบริหารงาน ส่วนใหญ่มีผู้บริหารโรงเรียน เป็นผู้บังคับบัญชาโยตรง และส่วนใหญ่มีการปฏิบัติงานวางแผน หรือโครงการดำเนินงานห้องสมุดประจำปี<br />
5.2.2 การวิจัยในต่างประเทศ<br />
นวาโนไซค์ (Nawanosike 2286 – A) ได้ศึกษาสภาพปัจจุบันของห้องสมุดโรงเรียน ในโรงเรียนตัวอย่างเมืองแคมารูน โดยเฉพาะอย่างด้านหนังสือที่จัดให้บริการ วารสาร โสตทัศนูปกรณ์ เครื่องอำนวยความสะดวกในห้องสมุด การเงิน การจัดการ และผู้ใช้บริการ การเก็บข้อมูลใช้การสำรวจ การสัมภาษณ์ และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ผลการศึกษาพบว่า โรงเรียนในกลุ่มตัวอย่างขาดแคลนทรัพยากรห้องสมุดอย่างรุนแรง เช่น หนังสือ เอกสารอ้างอิง วารสาร ตลอดจนสื่อโสตทัศนูปกรณ์ ไม่มีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ ขาดแคลนอุปกรณ์ในการค้นคว้า ขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ มีส่วนน้อยที่มีเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุด แต่ไม่มีวุฒิทางด้านบรรณารักษศาสตร์ ขาดแคลนงบประมาณที่จะจัดซื้อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับใช้บริการในห้องสมุด<br />
เซ็ง (Tzeng 1991 : 3545 – A) ได้ศึกษาเจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับศูนย์สื่อหองสมุดโรงเรียนประถมศึกษาในไต้หวัน โดยการสัมภาษณ์และการสำรวจนักเรียนประถมศึกษา ครูใหญ่ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด และครูฝึกสอน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนมากแสดงความไม่พึงพอใจเกี่ยวกับสภาพการจัดห้องสมุด หนังสือ วารสาร การบริการหนังสือยืม ตลอดจนบุคลากรที่รับผิดชอบงานในห้องสมุดที่ต้องสอนปกติ ซึ่งส่วนมากไม่ได้รับการฝึกอบรมเป็นบรรณารักษ์ ผู้วิจัยสรุปว่าไต้หวันยังไม่เห็นความสำคัญของการจัดตั้งห้องสมุดโรงเรียน และการมีบรรณารักษ์โดยเฉพาะ ครูฝึกสอนควรได้รับการฝึกอบรมงานห้องสมุด เพื่อช่วยเหลือนักเรียนตลอดจนครูฝึกสอน ให้สามารถใช้ห้องสมุดอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาให้ทันสมัย จัดโปรแกรมการฝึกอบรมและให้ใบรับรองสำหรับบุคคล ที่ต้องทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน จะต้องติดต่อประสานงานกับผู้ใช้ห้องสมุดให้มากยิ่งขึ้น<br />
เบิรคส์ (Burks 1994 : A ) ได้ศึกษาธรรมชาติและปริมาณการใช้ห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษาและศึกษาคุณลักษณะของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ห้องสมุดในโรงเรียนมัธยมศึกษา 3 โรง ในบริเวณทางเหนือของรัฐเท็กซัส โดยศึกษากับครูจำนวน 186 คน นักเรียน 3,615 คน โดยใช้แบบสอบถาม การกรอกแบบฟอร์มประจำวัน การสำรวจครูใหญ่และครูบรรณารักษ์ ตลอดจนการสัมภาษณ์ และสนทนากับนักเรียนและครู ผลการศึกษาพบว่า ครูเป็นผู้มีบทบาทมากที่สุดในการทำให้นักเรียนได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและทรัพยากรของห้องสมุด ครูส่วนมากไม่รู้ถึงคุณค่าของวัสดุต่าง ๆ ในห้องสมุด ที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนั้นครูและ<br />
53<br />
บรรณารักษ์ จะต้องมีการติดต่อประสานงานซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น บรรณารักษ์ต้องดำเนินการเพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน เห็นคุณค่าของการใช้ห้องสมุด และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องกระตุ้นให้นักการศึกษาทั้งหลาย มีความคุ้นเคยกับวัสดุต่าง ๆ ในห้องสมุด ตลอดจนมีทักษะเพียงพอในการช่วยเหลือนักเรียน ให้สามารถใช้วัสดุสารนิเทศต่าง ๆ ของห้องสมุดโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
จากการศึกษางานวิจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พอสรุปได้ว่า ส่วนใหญ่ยังมีสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ เช่น สถานที่ของห้องสมุดคับแคบ ครูบรรณารักษ์ทำงานไม่เต็มเวลาเนื่องจากมีงานอื่นที่ต้องทำมากงบประมาณมีจำนวนจำกัดวัสดุสารนิเทศ โสตทัศนูปกรณ์ไม่เพียงพอ เป็นต้น จึงทำให้การดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประสบปัญหามาโดยตลอด<br />
5.3 การพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนในปัจจุบัน<br />
สง่า พิชญาวศิน (2540:5) ได้ทำการวิจัยเรื่อง แนวทางการบริหารงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลำพูน เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางบริหารงานห้องสมุดโรงเรียน ผู้ตอบแบบสอบถาม คือผู้บริหาร พบว่า การมอบหมายงานห้องสมุดโรงเรียนให้บุคลากรรับผิดชอบ โรงเรียนได้มอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ครูบรรณารักษ์มีเวลาทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมง และมีนักเรียนช่วยงานห้องสมุดเป็นประจำ ด้านงบประมาณ ส่วนใหญ่ได้รับงบประมาณจากต้นสังกัด แต่ไม่เพียงพอกับการดำเนินงาน ซึ่งทางโรงเรียนใช้งบประมาณที่ได้รับในการจัดหาหนังสือมากกว่าที่จะใช้ในทางอื่น ด้านอาคารสถานที่ ปัญหาขาดแคลนวัสดุ ครุภัณฑ์อุปกรณ์ที่จำเป็น ห้องสมุดคับแคบไม่เพียงพอ ห้องสมุดไม่เป็นเอกเทศ ห้องสมุดไม่มาตรฐาน มีมลภาวะเรื่องฝุ่น แสงเสียง ไม่มีตู้บัตรรายการ โต๊ะ เก้าอี้ไม่เพียงพอ ไม่มีชั้นวางวารสาร และชั้นวางหนังสือ ด้านการจัดการบริหารและกิจกรรม บรรณารักษ์มีเวลาทำงานห้องสมุดน้อย จัดกิจกรรมได้ไม่ครบตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ ด้านการบริการและการจัดกิจกรรมของห้องสมุด ห้องสมุดส่วนใหญ่ได้จัดบริการให้อ่านอย่างเสรี และครูบรรณารักษ์เป็นผู้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ครูและนักเรียนมาใช้ห้องสมุด<br />
สะอาด คำตัน (2540:8) ได้ศึกษางานวิจัยเรื่อง แนวทางปรับการบริหารของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางในการปรับปรุงงานบริการของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานประถมศึกษาอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย พบว่า ด้านการจัดการเพื่อให้บริการ ครูที่ทำหน้าที่บรรณารักษ์ ควรเป็นผู้ที่จบทางด้านบรรณารักษ์โดยตรง ควรลดงานประจำหรือหน้าที่ด้านอื่น ๆ ไม่ควรสอนประจำชั้น ด้านบริการและกิจกรรมควรจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนให้ครบถ้วนอย่าง<br />
54<br />
สม่ำเสมอและต่อเนื่อง ด้านการให้บริการชุมชน ควรจัดให้มีแผ่นพับประชาสัมพันธ์ของห้องสมุดอย่างสม่ำเสมอ และเปิดห้องสมุดให้บริการตลอดทั้งวัน<br />
นรินทร์ นันทิพงศา (2541:3) ได้ศึกษางานวิจัยเรื่อง การศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพห้องสมุดโรงเรียน สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพห้องสมุดโรงเรียน สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอพาน จังหวัดเชียงรายตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียน ดังนี้ ด้านบุคลากร พบว่า ห้องสมุดโรงเรียนควรมีคณะกรรมการห้องสมุดโรงเรียน โดยมีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนงานห้องสมุดโรงเรียนและงานที่ได้รับมอบหมาย ครูบรรณารักษ์ควรมีวุฒิทางด้านบรรณารักษศาสตร์โดยตรง และมีเวลาทำงานในห้องสมุดไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในแต่ละวันควรให้มีนักเรียนช่วยงาน 2 – 3 คน ด้านการเงินและงบประมาณ พบว่า ทางราชการควรจัดสรรงบประมาณให้ห้องสมุดโรงเรียน ให้อยู่ในหมวดเงินอุดหนุน และตามจำนวนนักเรียนที่มีอยู่ในแต่ละโรงเรียนโดยคิดเฉลี่ยรายหัว ด้านอาคารสถานที่ พบว่า พื้นที่สถานที่ตั้งห้องสมุดโรงเรียน ควรมีเป็นสัดส่วนหรือเป็นอาคารเอกเทศตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง และด้านการจัดการ การให้บริการและกิจกรรม พบว่า ควรจัดกิจกรรมให้นักเรียนเข้าใช้ห้องสมุด มีการจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปี และจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุด จัดทำสถิติข้อมูลต่าง ๆ ของห้องสมุด<br />
สันติ ทองประเสริฐ (2534:9) ได้ศึกษาเรื่อง การนิเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษา ผลการศึกษาปรากฏว่า ลักษณะงานบริหารห้องสมุด นับเป็นเรื่องของกระบวนการที่ห้องสมุดส่วนใหญ่เป็นปัญหาอยู่เช่นกัน คุณลักษณะที่ต้องการ คือ ต้องการให้บริหารงานห้องสมุดในรูปของคณะกรรมการ โดยมีครูบรรณารักษ์ดำเนินงานห้องสมุดตามนโยบาย ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ควรมีผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการหรือฝ่ายบริหาร ตามที่ห้องสมุดสังกัดอยู่เป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการประกอบด้วย หัวหน้าหมวดวิชาและหัวหน้างานต่าง ๆ หรือผู้แทน โดยมีครูบรรณารักษ์ทำหน้าที่เลขานุการ<br />
ณัฏฐิณี ประเทืองยุคันต์ (2535:5) ได้ศึกษา บทบาทของครูบรรณารักษ์ ในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดเชียงราย ซึ่งการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความ คิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูบรรณารักษ์ที่มีต่อบทบาทที่คาดหวัง ในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดเชียงราย ผลการวิจัยพบว่า โดยรวมแล้วผู้บริหาร และครูบรรณารักษ์ มีความเห็นตรงกันว่าจากงาน ทั้งหมด 8 ด้าน ครูบรรณารักษ์มีบทบาท ที่ปฏิบัติจริง 6 ด้าน ระดับปานกลาง และงาน 2 ด้านในระดับน้อย นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่า ผู้บริหารโรงเรียน ครูและครูบรรณารักษ์ ควรปฏิบัติงานทุกด้านในระดับมากตรงกัน และยังมี<br />
55<br />
ความเห็นว่า บทบาทด้านบริหารงานห้องสมุด เป็นบทบาทที่มีความสำคัญมากที่สุดในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
จากผลการวิจัยจึงสามารถสรุปได้ว่า การพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนในปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่มาก โดยเฉพาะด้านงบประมาณ ซึ่งไม่เพียงพอกับการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน ส่วนด้านอาคารสถานที่พบว่า ห้องสมุดโดยส่วนมาก ยังเป็นส่วนหนึ่งของอาคารอื่นๆ อยู่ ควรจะให้เป็นอาคารเอกเทศ เพื่อสะดวกในการบริหารงาน นอกจากนี้ ห้องสมุดยังขาดแคลนวัสดุ ครุภัณฑ์ สำหรับให้บริการผู้อ่านอีกมาก<br />
บทที่ 3<br />
วิธีดำเนินการวิจัย<br />
การวิจัยเรื่อง สภาพการดำเนินงานห้องสมุดของโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพ-<br />
มหานคร เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้<br />
3.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
2. ศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินงานของห้องสมุดตามขนาดของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติการศึกษา พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 และแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2545 – 2549)<br />
3. ศึกษาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />
ประชากร<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูบรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน<br />
ประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2547 จำนวน 431 คน<br />
กลุ่มตัวอย่าง<br />
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ครูบรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2547 กลุ่มตัวอย่างได้จากการ สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของโรงเรียน เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทุกขนาดของโรงเรียน<br />
การคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางสำเร็จรูปของ ยามาเน่ (Yamane 1973,1088) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 222 คน และคำนวณสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของโรงเรียนแต่ละขนาด ดังแสดงในตารางที่ 3<br />
57<br />
ตารางที่ 3 แสดง ขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของโรงเรียน<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ประชากร<br />
กลุ่มตัวอย่าง<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
170<br />
143<br />
118<br />
86<br />
74<br />
62<br />
รวม<br />
431<br />
222<br />
3.3 ตัวแปรที่ศึกษา<br />
3.3.1 ตัวแปรอิสระ (Independent variable):<br />
ขนาดของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
3.3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable):<br />
ความคิดเห็นของบรรณารักษ์ ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
3.4 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสอบถาม เกี่ยวกับภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนดังนี้<br />
ขั้นที่ 1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาเกี่ยวกับบทบาทเกี่ยวกับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา เพื่อเป็นแนวคิดในการสร้างแบบสอบถามจากแนวทางที่ได้ศึกษามา 2 ชุด เพื่อสอบถามประชากรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูบรรณารักษ์ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร และ ผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดโรงเรียน จากหน่วยงานต่าง ๆ โดยจัดแบบสอบถามเป็น 2 ชุด ดังนี้<br />
ชุดที่ 1 เป็นแบบสอบถามประชากร กลุ่มครูบรรณารักษ์ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมี 2 ตอน คือ<br />
ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูล สถานภาพของโรงเรียน และห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) จำนวน 5 ข้อ<br />
ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับ ระดับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 และสอดคล้องกับ แผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานครฉบับที่ 6 (พ.ศ.<br />
58<br />
2545 – 2549) ตามมาตรฐานของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ 3 ด้าน คือ ด้านบริหาร ด้านบริการ ด้านเทคนิค<br />
ชุดที่ 2 เป็น แบบสอบถามการแสดงความคิดเห็น และ ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาตาม มาตรฐานของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ 3 ด้าน คือ<br />
1. ด้านบริหาร<br />
2. ด้านบริการ<br />
3. ด้านเทคนิค<br />
ผู้วิจัยได้กำหนดเกณฑ์ในการให้ระดับของประสิทธิภาพแต่ละรายการในแบบสอบถาม ชุดที่ 1 ตอนที่ 2 แบ่งออกเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ โดยแบ่งเป็นระดับแต่ละข้อ คือ<br />
มีประสิทธิภาพมากที่สุด ให้ระดับ 5<br />
มีประสิทธิภาพมาก ให้ระดับ 4<br />
มีประสิทธิภาพปานกลาง ให้ระดับ 3<br />
มีประสิทธิภาพน้อย ให้ระดับ 2<br />
มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด ให้ระดับ 1<br />
ขั้นที่ 2 นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ความชัดเจนของแบบสอบถาม ความเหมาะสมของการใช้ถ้อยคำ และคำถามที่ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการ เพื่อวิเคราะห์ความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม<br />
ขั้นที่ 3 ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ<br />
ขั้นที่ 4 นำแบบสอบถามไปทดลองใช้กับครูบรรณารักษ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 30 คน<br />
ขั้นที่ 5 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนมา โดยวิธีสัมประสิทธิ์แบบแอลฟา โคเอฟฟิเชี่ยน (Alpha – Coeffcient) ของครอนบาค (Cronbach) โดยใช้โปรแกรม SPSS<br />
ได้ค่า แอลฟา เท่ากับ 0.95<br />
ขั้นที่ 6 ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามจนได้แบบสอบถามที่มีประสิทธิภาพ แล้วใช้เก็บข้อมูลต่อไป<br />
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวมรวบข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังนี้<br />
59<br />
1. ทำหนังสือถึงบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อให้ออกหนังสือขอความร่วมมือไปยัง สำนักการศึกษา ในการตอบแบบสอบถามของครูบรรณารักษ์ และผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สุ่มเป็นตัวอย่าง<br />
2. จัดส่งแบบสอบถาม ชุดที่ 1 โดยมี 2 ตอน<br />
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูล สถานภาพของโรงเรียนและห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ซงเป็นแบบตรวจรายการ (Check List) จำนวน 5 ข้อ<br />
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามระดับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 และแผนพัฒนาการศึกษากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549)<br />
ซึ่งแบบสอบถามในตอนที่ 2 จะมีลักษณะเป็นการประเมิน 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด<br />
3. แบบสอบถามชุดที่ 2 เป็นแบบสอบความ ความคิดเห็นแนวในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนต่อผู้เชี่ยวชาญ 10 ท่าน<br />
4. เก็บรวบรวมแบบสอบถาม และตรวจแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์ ถ้าฉบับใดไม่สมบูรณ์จะทำการส่งไปใหม่ เพื่อให้ได้แบบสอบถามครบ แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
1. ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์แล้วกำหนดรหัสในแบบสอบถาม เพื่อการลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ในโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Socials -Science) FOR WINDOWS<br />
2. ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล แบบสอบถามชุดที่ 1 โดย<br />
แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพของโรงเรียน<br />
วิเคราะห์ข้อมูลโดยแสดงค่าร้อยละ<br />
แบบสอบถามตอนที่ 2 ข้อมูลการดำเนินการของโรงเรียนประถมศึกษา<br />
ตามขนาดของโรงเรียนของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
ซึ่งแบบสอบถามตอนที่ 2 เป็นมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ม ี 5 ระดับ ตรวจให้คะแนน โดยกำหนดคะแนนดังนี้<br />
ระดับมากที่สุด ให้น้ำหนักคะแนน 5<br />
ระดับมาก ให้น้ำหนักคะแนน 4<br />
60<br />
ระดับปานกลาง ให้น้ำหนักคะแนน 3<br />
ระดับน้อย ให้น้ำหนักคะแนน 2<br />
ระดับน้อยที่สุด ให้น้ำหนักคะแนน 1<br />
3. กำหนดความหมายของค่าเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ ดังนี้<br />
ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีประสิทธิมากที่สุด<br />
ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีประสิทธิภาพมาก<br />
ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีประสิทธิปานกลาง<br />
ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีประสิทธิภาพน้อย<br />
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด<br />
4. แบบสอบถามชุดที่ 2<br />
เป็นการสรุปความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนา ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครจากผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุด โรงเรียน จากหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 10 ท่าน<br />
ดังนี้ 1. นายบุญเหลือ พลูทอง อดีตผู้อำนวยการ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
2. นายถวัลย์ มาศจรัส ผู้เชี่ยวชาญ 9 การศึกษาตลอดชีวิตกระทรวงศึกษาธิการ<br />
3. นางสุนทรี โง้ววัฒนะ ศึกษานิเทศก์ด้านห้องสมุดโรงเรียนสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
4. นางสาวพุฒิสาร อัคคะพู ศึกษานิเทศก์ด้านห้องสมุดโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ<br />
5. ผศ. จิราภรณ์ หนูสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
6. นางวรยุลี พิลา บรรณารักษ์ดีเด่น กรุงเทพมหานคร 2538 โรงเรียนหมู่บ้านเศรษฐกิจ สำนักงานเขตบางแค<br />
7. ดร.สมใจ เดชบำรุง อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบางเชือกหนังสำนักงานเขตตลิ่งชัน<br />
8. นางจงรักษ์ พุทธนิมนต์ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนวัดประสาทสำนักงานเขตตลิ่งชัน<br />
9. นางวันทนา บุณยรัตนพันธุ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนวัดอุดมรังสีสำนักงานเขตหนองแขม<br />
10. นางสุวรรณา พลับเจริญสุข อาจารย์ 3 ระดับ 8บรรณารักษ์ สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
61<br />
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
1. ค่าร้อยละ (Percentage)<br />
ค่าร้อยละ = จำนวนของผู้ตอบแบบสอบถาม x 100<br />
จำนวนประชากรทั้งหมด<br />
2. ค่าเฉลี่ย (Mean) x = Σ x x = ค่าเฉลี่ย<br />
Σ x = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด<br />
N = จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
(พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543 : 137)<br />
3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S D (Standard Deviation)<br />
SD = √ NΣx2 – (Σx)2<br />
N (N-1)<br />
SD = ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
Σx = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด<br />
Σx2 = ผลรวมของคะแนนยกกำลัง<br />
N = จำนวนประชากร<br />
(พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543 : 143)<br />
บทที่ 4<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
เพื่อให้การดำเนินการวิจัยครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เรื่อง สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้รับกลับมาวิเคราะห์และเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยแบ่งเป็น 2 ชุด<br />
ชุดที่ 1<br />
มีแบบสอบ แบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้<br />
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ สถานภาพของโรงเรียน แจกแจงความถี่ และ ร้อยละ โดยนำเสนอเป็นตารางประกอบความเรียง<br />
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลสภาพการดำเนินงานห้องสมุดฯให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และสอดคล้องกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ โดยการแจกแจงความถี่ และ ร้อยละ และนำเสนอเป็นตารางประกอบความเรียง<br />
ชุดที่ 2<br />
แบบสอบถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษานำข้อมูลมาสังเคราะห์<br />
63<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของโรงเรียน<br />
ตารางที่ 4 สภาพและร้อยละของโรงเรียนแยกตามขนาดของโรงเรียน<br />
รายการ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
เล็ก<br />
62<br />
27.93<br />
กลาง<br />
74<br />
33.33<br />
ขนาดโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
86<br />
38.74<br />
รวม<br />
222<br />
100.00<br />
1 – 10 คน<br />
26<br />
11.71<br />
11 – 20 คน<br />
67<br />
30.18<br />
21 – 30 คน<br />
38<br />
17.12<br />
31 – 40 คน<br />
33<br />
14.86<br />
41 – 50 คน<br />
17<br />
7.66<br />
จำนวนครูในโรงเรียน<br />
มากกว่า 50 คนขึ้นไป<br />
41<br />
18.47<br />
รวม<br />
222<br />
100.00<br />
1 – 2 หลัง<br />
74<br />
33.33<br />
2 – 3 หลัง<br />
57<br />
25.68<br />
3 – 4 หลัง<br />
58<br />
26.13<br />
จำนวนอาคาร<br />
มากกว่า 4 หลัง<br />
33<br />
14.86<br />
รวม<br />
222<br />
100.00<br />
จากตาราง ที่ 4 พบว่า โรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ส่วนมากเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ร้อยละ 38.74 จำนวนครูในโรงเรียนส่วนมากมีจำนวน 11 – 20 คน ร้อยละ 30.18 จำนวนอาคารภายในโรงเรียนส่วนมากมี 1 – 2 หลัง ร้อยละ 33.33<br />
64<br />
ตารางที่ 5 จำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในโรงเรียน จำแนกตามงานที่ใช้<br />
จำนวนคอมพิวเตอร์<br />
งานห้องสมุด<br />
งานวิชาการ<br />
งานธุรการ<br />
งานบริการ<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
ใหญ่ 86<br />
36<br />
41.86*<br />
18<br />
20.93<br />
21<br />
24.41<br />
11<br />
12.79<br />
กลาง 74<br />
5<br />
6.75<br />
8<br />
10.81<br />
56<br />
75.67*<br />
5<br />
6.75<br />
เล็ก 62<br />
4<br />
6.45<br />
27<br />
43.54<br />
29<br />
46.77*<br />
2<br />
3.22<br />
รวม 222<br />
จากตารางที่ 5 พบว่า จำนวนคอมพิวเตอร์ส่วนมากใช้กับงานห้องสมุดร้อยละ 41.86 ในโรงเรียนขนาดใหญ่ จำนวนคอมพิวเตอร์ส่วนมากใช้กับงานธุรการร้อยละ 75.67 ในโรงเรียนขนาดกลาง จำนวนคอมพิวเตอร์ ส่วนมากใช้กับงานธุรการร้อยละ 46.77 ในโรงเรียนขนาดเล็ก<br />
ตารางที่ 6 แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน จำแนกตามประเภท<br />
แหล่งเรียนรู้<br />
อุทยานการศึกษา<br />
ห้องพิเศษ / ศูนย์วิทยาการ<br />
มุมหนังสือ / ป้ายนิเทศ<br />
ห้องสมุดกลาง<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
จำนวน<br />
ร้อยละ<br />
ใหญ่ 86<br />
23<br />
26.74<br />
24<br />
27.90<br />
28<br />
32.55*<br />
27<br />
31.39<br />
กลาง 74<br />
12<br />
16.21<br />
11<br />
14.86<br />
33<br />
44.59*<br />
18<br />
24.32<br />
เล็ก 62<br />
3<br />
4.83<br />
12<br />
19.35<br />
35<br />
56.45*<br />
13<br />
20.96<br />
รวม 222<br />
จากตารางที่ 6 แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนทุกขนาด ส่วนมากเป็นมุมหนังสือ และป้ายนิเทศร้อยละ 32.55-56.45 รองลงมาเป็นห้องสมุดกลางร้อยละ 20.96-31.39 เป็นห้องพิเศษ/ศูนย์วิทยากรร้อยละ 19.35-27.90 และเป็นอุทยานการศึกษาร้อยละ 4.83-26.74<br />
65<br />
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
การศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จากความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์ที่ทำงานอยู่ในห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยคำถามบูรณาการ การดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ในกรอบพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯโดยแจกแจงความถี่ และร้อยละ และนำเสนอเป็นตารางประกอบความเรียง<br />
รายละเอียดของการวิเคราะห์ข้อมูลแต่ละด้าน และ กลุ่มประชากร มีดังต่อไปนี้<br />
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของครูบรรณารักษ์<br />
ครูบรรณารักษ์ ได้ตอบแบบสอบถาม สภาพการดำเนินงาน ตามผลที่แสดงในตารางที่ 7ดังนี้<br />
ตารางที่ 7 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านการบริหาร<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
1.ด้านการบริหาร<br />
1. มีระบบบริหารงานบุคคลโดยมีการ กำหนด ตำแหน่งและการประเมินผล<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.98<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
2. มีการฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับให้มีความรู้ความเข้าใจ<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.51<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
3. มีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ด้านจิตสำนึกและทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และ รับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.33<br />
0.83<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
รวม<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.60<br />
0.86<br />
มาก<br />
3.46<br />
0.52<br />
ปานกลาง<br />
3.46<br />
0.71<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
66<br />
จากตารางที่ 7 พบว่าสภาพการดำเนินงาน ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน ด้านการบริหาร โดยภาพรวมของระบบการบริหารมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
ตารางที่ 8 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านการวางแผน<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ด้านการวางแผน<br />
1. มีแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกับแผน<br />
ยุทธศาสตร์ ของโรงเรียน<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.58<br />
0.79<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_505.html">สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_418.html">สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16046959/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-43912371197101559472011-08-14T03:13:00.000-07:002011-08-14T03:14:55.934-07:00สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)<a href="http://www.ziddu.com/download/16046959/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
ปานกลาง<br />
3.53<br />
0.67<br />
มาก<br />
2. มีการกำกับ ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพผลงานอย่างสม่ำเสมอ<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.21<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.71<br />
ปานกลาง<br />
3. มีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอย่างสม่ำเสมอ<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.95<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.17<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.40<br />
0.53<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.30<br />
0.55<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 8 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับด้านการวางแผนโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
67<br />
(x = 3.30) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
ตารางที่ 9 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านงบประมาณ<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ด้านงบประมาณ<br />
1. ห้องสมุดมีความสามารถในการใช้งบประมาณให้เกิด ประโยชน์สูงสุด<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.58<br />
0.79<br />
มาก<br />
3.58<br />
0.67<br />
มาก<br />
2. งบประมาณใช้สำหรับการพัฒนาบริการห้องสมุดให้ดีขึ้น<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
2..89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.21<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.71<br />
ปานกลาง<br />
3. มีการกำกับ ตรวจสอบและควบคุมการใช้งบประมาณให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.95<br />
ปานกลาง<br />
3.17<br />
0.80<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.40<br />
0.53<br />
ปานกลาง<br />
3.30<br />
0.55<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 9 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน การวางแผน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.30) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
68<br />
ตารางที่ 10 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านบุคลากร<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ด้านบุคลากร<br />
1. บุคลากรมีปริมาณสอดคล้องกับภาระงาน<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
2. บุคลากรมีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
3. บุคลากรเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพบรรณารักษ์เป็นอย่างดี<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.26<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 10 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯเปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน ด้านบุคลากร โดยภาพรวมในระดับการปฏิบัติงานมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.26) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
69<br />
ตารางที่ 11 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านเทคนิคเกี่ยวกับทรัพยากร<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ด้านเทคนิค ทรัพยากรการจัดหา<br />
1. จัดหาทรัพยากรสารสนเทศที่หลาก หลาย รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้บริการ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.58<br />
0.79<br />
มาก<br />
3.53<br />
0.67<br />
มาก<br />
2. ทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการ มีจำนวนเพียงพอกับการใช้ของผู้ใช้<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.21<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.71<br />
ปานกลาง<br />
3. ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะ และมีการสอบถามผู้ใช้ บริการสม่ำเสมอ ในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.95<br />
ปานกลาง<br />
3.17<br />
0.80<br />
ปานกลาง<br />
วัสดุตีพิมพ์ – หนังสือ<br />
4. หนังสือที่มีให้บริการมีความเพียงพอสอดคล้อง กับความต้องการของผู้ใช้<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.40<br />
0.53<br />
ปานกลาง<br />
3.30<br />
0.55<br />
ปานกลาง<br />
5. เมื่อหาหนังสือบนชั้นไม่พบเจ้าหน้าที่สามารถบอก ให้ทราบถึงสถานภาพของหนังสือนั้นได้อย่างรวดเร็ว<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
3.59<br />
0.71<br />
มาก<br />
70<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
6. วารสารที่จัดขึ้นชั้นมีจำนวนเพียงพอ และมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.15<br />
0.84<br />
ปานกลาง<br />
7. การจัดเรียงวารสารค้นหาง่าย<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.85<br />
ปานกลาง<br />
วัสดุไม่ตีพิมพ์<br />
8. แถบบันทึกเสียงมีจำนวนเพียงพอและเป็นปัจจุบัน สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.77<br />
ปานกลาง<br />
9. การให้บริการมีความสะดวกรวดเร็ว<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2..89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.77<br />
ปานกลาง<br />
สื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
10. มีสื่ออิเล็กทรอนิกส์จำนวนเพียงพอสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.85<br />
ปานกลาง<br />
11. การยืม – คืน สะดวกรวดเร็ว<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.26<br />
0.91<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.16<br />
0.77<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 11 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน ด้านเทคนิค เกี่ยวกับทรัพยากรการจัดหาโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.16)เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
71<br />
ตารางที่ 12 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านการบริการ ประเภทบริการและวิธีการ<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ด้านการบริการ ประเภทบริการและวิธีการบริการพื้นฐาน<br />
1. มีระบบการให้บริการที่อำนวยความสะดวกให้คำแนะนำแก่ผู้มาใช้บริการ และมีบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าเข้ามาใช้ บริการ<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
2. การบริการของห้องสมุดโรงเรียน เช่น บริการให้อ่าน บริการยืม – คืน บริการหนังสือจอง เป็นต้น<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
3. การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น จัดนิทรรศการ อภิปราย เป็นต้น<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
บริการตอบคำถาม<br />
4. ทรัพยากรอ้างอิงมีความทันสมัยและพอเพียง ในการให้บริการ<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
5. มีบรรณารักษ์ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี เมื่อนักเรียนมีปัญหา<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
72<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
6. หนังสือสำรอง คือ หนังสือที่ยืมได้ 3 วัน ทำการ และมี ความพอเพียงต่อความต้องการ<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.57<br />
ปานกลาง<br />
7. มีการจัดเก็บและให้บริการสารสนเทศพิเศษ เช่น ข้อมูลท้องถิ่นของโรงเรียน<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.85<br />
ปานกลาง<br />
8. มีความยืดหยุ่นในระเบียบการยืม ด้านจำนวน และ ระยะเวลาในการให้ยืมสื่อ<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.77<br />
ปานกลาง<br />
9. ความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการของบุคลากร<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.85<br />
ปานกลาง<br />
บริการ อินเตอร์เน็ต<br />
10. มีการให้บริการอินเตอร์เน็ต<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2..89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.77<br />
ปานกลาง<br />
11. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เข้าระบบได้ง่ายไม่ติดขัด<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
12. ความเพียงพอของจำนวนเครื่องคอมพิว-เตอร์ ต่อการให้บริการ<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
73<br />
จากตารางที่ 12 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน ด้านการบริการ ประเภทบริการและวิธีการ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.14) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
ตารางที่ 13 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
สิ่งอำนวยความสะดวก บรรยากาศภายในห้องสมุด<br />
1. ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้สื่อในการสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.85<br />
ปานกลาง<br />
2. บรรยากาศในห้องสมุดโรงเรียนเหมาะสมแก่ การอ่านหนังสือ<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
3. เมื่อเข้ามาใช้บริการห้องสมุดโรงเรียนแล้วต้องการเข้ามาใช้ใช้บริการอีก<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
74<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
อาคารห้องสมุด<br />
4. ห้องสมุดโรงเรียนตั้งอยู่ในที่ไปมาสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ และเป็นศูนย์กลางของโรงเรียน<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
5. จำนวนที่นั่งสำหรับจัดเก็บทรัพยากร ห้องสมุดโรงเรียนมีบริการเพียงพอ<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
6. เนื้อที่สำหรับจัดเก็บทรัพยากร ห้องสมุดโรงเรียนมีความเหมาะสม<br />
3.56<br />
0.73<br />
ปานกลาง<br />
3.37<br />
0.83<br />
ปานกลาง<br />
3.21<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.35<br />
0.78<br />
ปานกลาง<br />
ครุภัณฑ์<br />
7. มีครุภัณฑ์ จำนวนเพียงพอและเหมาะสมกับงานห้องสมุดโรงเรียนให้บริการ<br />
3.89<br />
0.60<br />
มาก<br />
3.18<br />
0.18<br />
ปานกลาง<br />
3.48<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.51<br />
0.50<br />
มาก<br />
8. ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางวารสาร และที่วางหนังสือพิมพ์มีความเหมาะสมสะดวกต่อการใช้งาน<br />
3.67<br />
0.71<br />
มาก<br />
3.68<br />
0..84<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.82<br />
ปานกลาง<br />
3.58<br />
0.79<br />
มาก<br />
9. เคาน์เตอร์ ยืม – คืน หนังสือมีความเหมาะสม สะดวกต่อการใช้งาน<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.78<br />
ปานกลาง<br />
75<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
10. ทางเข้า – ออก ห้องสมุดโรงเรียนมี ความสะดวก<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 13 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯเปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน สิ่งอำนวยความสะดวก, บรรยากาศภายใน ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครทุกขนาด มีประสิทธิภาพในการส่งเสริม และพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้สื่อในการสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสม การอ่านหนังสือ และเพื่อเข้ามาใช้บริการห้องสมุดโรงเรียนแล้วต้องการเข้ามาใช้บริการอีก อยู่ในระดับประสิทธิภาพปานกลาง อาคารห้องสมุด ตั้งอยู่ในที่ไปมาสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ และเป็นศูนย์กลางของโรงเรียน, ทรัพยากรบริการพอเพียงอยู่ในระดับประสิทธิภาพ ปานกลาง ครุภัณฑ์ เหมาะสมกับงาน, ชั้นวางหนังสือ เหมาะสมสะดวกใช้งาน อยู่ในระดับมีประสิทธิมาก<br />
ภาพรวมด้านสิ่งแวดล้อมความสะดวก บรรยายกาศภายในห้องสมุด, อาคารห้องสมุดครุภัณฑ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครทุกขนาดมีประสิทธิภาพ อยู่ในระดับ ปานกลาง (x = 3.50)<br />
76<br />
ตารางที่ 14 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการเข้าถึง<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
การเข้าถึง<br />
1. มีเครื่องมือช่วยค้นคว้าสะดวกและรวดเร็ว<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
2. จัดทรัพยากรสารสนเทศให้เป็นระเบียบสะดวกต่อการเข้าถึง<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
3. เชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศในระดับโรงเรียน ท้องถิ่น และสากล<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 14 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับการเข้าถึงมีเครื่องมือ ช่วยค้นคว้าสะดวก และรวดเร็ว จัดทรัพยากรสารสนเทศให้เป็นระเบียนสะดวกต่อการเข้าถึง, เชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศในระดับโรงเรียนท้องถิ่น และสากลในภาพรวมของโรงเรียนทุกขนาดมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.29)เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
77<br />
ตารางที่ 15 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการปฐมนิเทศห้องสมุด<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
ปฐมนิเทศห้องสมุด<br />
1. เนื้อหาและระยะเวลาในการจัดการปฐมนิเทศมีความเหมาะสม ครอบคลุมการใช้งานห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
2. คู่มือการใช้ห้องสมุดโรงเรียนอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนเข้าใจง่าย<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
3. แนะนำวิธีการใช้เครื่องมือสืบค้นข้อมูล ต่าง ๆ ได้ชัดเจนเข้าใจง่าย และได้เห็นของจริง<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
การสอนการใช้ห้องสมุด<br />
4. ห้องสมุดโรงเรียนมีวิธีดำเนินการช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยใช้ทรัพยากรสารสนเทศผสมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
5. ห้องที่ใช้ในการสอนมีความเหมาะสมอยู่ใกล้ห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
78<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
6. อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอนมีความพร้อม<br />
3.50<br />
0.93<br />
ปานกลาง<br />
3.78<br />
0.44<br />
ปานกลาง<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 15 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับการปฐมนิเทศห้องสมุดโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.13) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
ตารางที่ 16 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการสื่อสารและความร่วมมือ<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
การสื่อสารและความร่วมมือการสื่อสารกับผู้ใช้<br />
1. มีเครือข่ายห้องสมุดโรงเรียนเพื่อเข้าถึงแหล่งสารสนเทศของหน่วยงานอื่นๆได้<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
79<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
2. มีความชัดเจนของแผนผังที่แสดงส่วนต่าง ๆ ของ ห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
3. มีการจัดป้ายนิทรรศการให้บริการข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์<br />
3.56<br />
0.73<br />
ปานกลาง<br />
3.37<br />
0.83<br />
ปานกลาง<br />
3.21<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.38<br />
0.78<br />
ปานกลาง<br />
4. มีการประชา สัมพันธ์เรื่องกิจกรรมต่าง ๆ ของห้องสมุดโรงเรียนผ่านสื่อ เช่น วารสารโรงเรียนหรือ เว็บไซด์ของโรงเรียน<br />
3.89<br />
0.60<br />
มาก<br />
3.18<br />
0.18<br />
มาก<br />
3.48<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.51<br />
0.50<br />
มาก<br />
ความร่วมมือระหว่างห้องสมุด<br />
5. ห้องสมุดโรงเรียนมีความร่วมมือกับห้องสมุดโรงเรียนอื่นเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ร่วมกัน<br />
3.67<br />
0.71<br />
มาก<br />
3.68<br />
0.84<br />
มาก<br />
3.39<br />
0.82<br />
ปานกลาง<br />
3.58<br />
0.79<br />
มาก<br />
6. มีการร่วมมือกับชุมชนด้านการจัดเก็บ<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
7. มีการร่วมมือกับชุมชนในด้านบริการ<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.89<br />
0.60<br />
มาก<br />
3.18<br />
0.18<br />
ปานกลาง<br />
3.48<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.51<br />
0.50<br />
มาก<br />
80<br />
จากตารางที่ 16 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับการสื่อสารและความร่วมมือ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพมาก (x = 3.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
ตารางที่ 17 ความคิดเห็นของ ครูบรรณารักษ์ เกี่ยวกับการประเมินและประเมินผลลัพธ์<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
การประเมินและประเมินผลลัพธ์<br />
1. มีระบบการประเมินคุณภาพของห้องสมุดโรงเรียน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการให้เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐาน<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
2. มีการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานของห้องสมุดโรงเรียนทุกงาน เพื่อควบคุมคุณภาพขึ้นภายของห้องสมุดโรงเรียน<br />
3.50<br />
0.93<br />
มาก<br />
3.78<br />
0.44<br />
มาก<br />
3.23<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.50<br />
0.72<br />
ปานกลาง<br />
3. มีการประเมินแผนงานและโครงการปฏิบัติ งานของห้องสมุดโรงเรียนทุกงาน<br />
3.50<br />
0.78<br />
มาก<br />
2.89<br />
0.60<br />
ปานกลาง<br />
3.04<br />
0.74<br />
ปานกลาง<br />
3.14<br />
0.70<br />
ปานกลาง<br />
81<br />
ขนาดของโรงเรียน<br />
ใหญ่<br />
กลาง<br />
เล็ก<br />
รวมโรงเรียน ทุกขนาด<br />
ข้อความ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ x<br />
S.D.<br />
ระดับ<br />
4. มีการศึกษาตนเองอย่างเป็นทางการของห้อง สมุดโรงเรียนเพื่อค้นหาจุดอ่อน และแนวทางแก้ ไข ค้นหาจุดแข็งและแนวทางเสริม<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
5. มีการประเมินผลงานบริการของห้องสมุดโรงเรียนหรือประเมินความพึงพอใจ ของ ผู้ใช้ บริการอย่างสม่ำเสมอ<br />
3.08<br />
1.14<br />
ปานกลาง<br />
3.22<br />
0.67<br />
ปานกลาง<br />
3.09<br />
0.79<br />
ปานกลาง<br />
3.13<br />
0.86<br />
ปานกลาง<br />
รวม<br />
3.36<br />
0.75<br />
ปานกลาง<br />
3.32<br />
0.64<br />
ปานกลาง<br />
3.20<br />
0.50<br />
ปานกลาง<br />
3.29<br />
0.63<br />
ปานกลาง<br />
จากตารางที่ 17 พบว่า สภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯเปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับการประเมินและประเมินผลลัพธ์โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x = 3.29) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง<br />
82<br />
แบบสอบถามชุดที่ 2<br />
แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
โดยท่านผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สรุปได้ ดังนี้<br />
ด้านการบริหาร<br />
1. ผู้บริหารต้องเห็นความสำคัญว่าห้องสมุดโรงเรียนเป็นหัวใจของการศึกษา และให้การสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินการต่าง ๆ เช่น ด้านบุคลากร ,งบประมาณ<br />
2. บรรณารักษ์หรือหัวหน้างานห้องสมุดควรนำหลักการบริหารงานทั่วไป 7 ประการ “POSDCORB” มาจัดกับงานห้องสมุดจะทำให้การบริหารห้องสมุดโรงเรียน กระทำได้ง่ายขึ้น<br />
3. การบริหารงานเพื่อให้รู้ว่าจะดำเนินการไปในทิศทางใดนั้น อาจจะนำมาตรฐานขั้นต่ำของห้องสมุดโรงเรียนที่กำหนดโดยสมาคมวิชาชีพ หรือหน่วยงานต้นสังกัดมาเป็นเกณฑ์เพื่อจะได้ดำเนินการให้บรรลุผลอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น<br />
ด้านเทคนิค<br />
1. ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ทางวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์ในการดำเนินงานเทคนิคต่างๆ เช่นการวิเคราะห์หมวดหมู่ และทำบัตรรายการ นั้น แนวทางการแก้ปัญหา และพัฒนา อาจจะใช้วิธีการดำเนินการ Centralization คือเมื่อสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร จัดส่งหนังสือให้ห้องสมุดโรงเรียนในสังกัดทุกโรงเรียน ควรจัดหมวดหมู่ และทำบัตรรายการให้ไปพร้อมกัน<br />
2. ใช้วิธีการทำฐานข้อมูลร่วมกัน ผ่านเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต แบ่งปันข้อมูลร่วมกัน แบ่งกันวิเคราะห์เลขหมู่หรือบัตรรายการ จะทำให้การทำงานได้ถูกต้อง รวดเร็วขึ้น ไม่เสียเวลาทำงานซ้ำซ้อน<br />
ด้านการบริการ<br />
1. งานบริการ เป็นหัวใจสำคัญของห้องสมุดโรงเรียน ทำอย่างไรให้นักเรียนมาใช้บริการทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ดังวนั้นควรเน้นงานบริการเป็นหลัก<br />
2. ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน โดยเฉพาะนักเรียนในระดับประถมศึกษา เป็นช่วงวัยที่ควรส่งเสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่าน<br />
3. ห้องสมุดโรงเรียนควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ห้องสมุด รักการอ่านพัฒนาในทุกๆ ด้านให้แก่นักเรียนอย่างหลากหลาย และสม่ำเสมอ<br />
บทที่ 5<br />
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />
ในการวิจัย สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้สรุปโดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัยโดยสังเขป และผลงานวิจัยที่มีมาก่อน และท้ายสุดเสนอแนะเพื่อการวิจัย และการประยุกต์เพื่อสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อไป<br />
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร และ ศึกษาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
2. วิธีดำเนินการวิจัย<br />
1. ประชากรที่ใช้ศึกษา ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาจากประชากรผู้ให้บริการ คือ ครูบรรณารักษ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่<br />
(1) ครูบรรณารักษ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ขนาดเล็ก<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 62 คน<br />
(2) ครูบรรณารักษ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ขนาดกลาง<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 74 คน<br />
(3) ครูบรรณารักษ์ ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ขนาดใหญ่<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 86 คน<br />
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ เกี่ยวกับสภาพการดำเนินงาน และแนวทางการพัฒนาของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เป็นแบบสอบถามปลายเปิดเป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างแบบสอบถาม และตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข.<br />
84<br />
3. วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยขอความอนุเคราะห์ให้กลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ช่วยตอบแบสอบถามในช่วงระยะเวลา 1 กรกฎาคม 2548 – 31 กรกฎาคม 2548 โดยผู้วิจัยได้จัดส่งและเก็บแบบสอบถามได้ครบตามจำนวน 222 ฉบับ<br />
3. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS / PC+ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติเชิงบรรยาย เช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับผู้ใช้แต่ละกลุ่ม ดังนี้<br />
แบบสอบถามชุดที่ 1<br />
ตอนที่ 1 วิเคราะห์สถานภาพของโรงเรียนและห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้ ค่าร้อยละ<br />
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร วิเคราะห์โดยใช้ ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)<br />
แบบสอบถามชุดที่ 2<br />
สังเคราะห์ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ<br />
ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาห้องสมุด<br />
โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
4. สรุปผลการวิจัย<br />
ด้านบริหาร<br />
สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ทุกขนาดของโรงเรียนภาพรวมของระบบการบริหารมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x= 3.47)<br />
ด้านเทคนิค<br />
สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545<br />
85<br />
สอดคล้องกับแผนการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ทุกขนาดของโรงเรียนภาพรวมของด้านเทคนิค ทรัพยากรการจัดหา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพ ปานกลาง (= 3.16)<br />
ด้านบริการ<br />
สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 สอดคล้องกับแผนการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ทุกขนาดของโรงเรียนภาพรวมของด้านการบริการ ประเภทบริการและวิธีการมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีประสิทธิภาพปานกลาง (x= 3.14)<br />
5. อภิปรายผลการวิจัย<br />
ผลการวิจัยมีประเด็นที่ควรอภิปราย ดังนี้<br />
1. สถานภาพของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครส่วนมากเป็นดรงเรียนขนาดใหญ่ คือ มีนักเรียนมากกว่า 801 คนขึ้นไป ร้อยละ 38.74<br />
2. จำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในโรงเรียนทุกขนาด ส่วนมากใช้ในงานด้านธุรการ ร้อยละ 41.86-75.67<br />
3. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนทุกขนาดส่วนมากเป็นมุมหนังสือ และป้ายนิเทศ ร้อยละ 32.55-56.45 รองลงมาเป็นห้องสมุดกลางร้อยละ 20.96-31.39 เป็นห้องพิเศษ / ศูนย์วิทยากร ร้อยละ 19.35-27.90 และเป็นอุทยานการศึกษา ร้อยละ 4.83-26.74<br />
4. สถานการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ด้านการบริหาร ด้านเทคนิค ด้านบริการ โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยูในระดับปานกลาง<br />
5. แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยท่านผู้เชี่ยวชาญ 10 ท่าน ทั้ง 3 ด้าน สอดคล้องกับ ขันธชัย มหาโพธิ์ (2537:4) คือมีการจัดสภาพห้องสมุดโรงเรียน, วัสดุครุภัณฑ์ อย่างเพียงพอ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน, มีการประเมินผล การบริหาร สอดคล้องกับบุญมี ธิอุด (2536:5) วันทนีย์ ฤทธ์ประพฤติดี (2540:8) ผู้บริหารให้การสนับสนุนกิจกรรมทุกด้าน<br />
86<br />
ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย<br />
ผลการวิจัย สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545และสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6(พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน 3 ด้านครั้งนี้ ได้รับข้อมูลที่ควรแก่การนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทันต่อวิวัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลง ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ก้าวหน้าและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จึงมีข้อเสนอแนะดังนี้<br />
1. ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหารโรงเรียน<br />
ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคคลเข้าใช้ห้องสมุดให้มากขึ้น โดยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพราะห้องสมุดเป็นแหล่งรวมข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการจัดการศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะระดับประถมศึกษาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ มีประสบการณ์ทางวิชาการและวิชาชีพในแต่ละด้านอย่างเพียงพอ<br />
2. ข้อเสนอแนะสำหรับบรรณารักษ์และบุคลากร<br />
2.1 ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพในการให้บริการ การเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศ การสอนการใช้ห้องสมุด การสื่อสารและความร่วมมือ และการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร<br />
2.2 จัดให้มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการยืม – คืน ทรัพยากรสารสนเทศอย่างเท่าเทียมกันและรัดกุม<br />
2.3 เคร่งครัดในเรื่องลักษณะของผู้ให้บริการที่พึงประสงค์และคุณสมบัติของผู้ให้ บริการที่ดี อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป<br />
1. ศึกษาเกี่ยวกับความคาดหวังหรือความพึงพอใจของผู้ใช้ห้องสมุดต่อการดำเนินงาน ด้านทรัพยากร ด้านการบริการ ด้านการเข้าถึง ด้านการสอน และด้านการสื่อสารและความร่วมมือ<br />
87<br />
2. ศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เปรียบเทียบกับมาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ในเชิงปริมาณ และ คุณภาพ<br />
3. ศึกษาความต้องการของผู้ใช้บริการ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการ<br />
บรรณานุกรม<br />
ภาษาไทย<br />
วิชาการ, กรม. (2535). คู่มือการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์การศาสนา.<br />
กรมสามัญศึกษา. (2531). หน่วยศึกษานิเทศก์ เขตการศึกษา 6, 2531 : 17 – 20<br />
กุหลาบ ปั้นลายนาค. (2539) . การปฏิบัติงานในห้องสมุดโรงเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน์,<br />
ขันธชัย มหาโพธิ์. (2536) . การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวทางการพัฒนาการบริหารงาน<br />
วิชาการ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดอุดรธานี.<br />
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น<br />
คณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ,สำนักงาน. (2543) . แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน ประถมศึกษา กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ.<br />
_______. ปฏิรูปการเรียนรู้ผู้เรียนสำคัญที่สุด. (2543). กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ.<br />
จักรพงศ์ เชิดศิริพงศ์. (2541) . สภาพและปัญหาในการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.<br />
จิตรพร ศรีสัมพันธ์. (2540). การศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาขนาด<br />
ใหญ่ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดร้อยเอ็ด วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาสารคาม.<br />
เฉลียว พันธุ์สีดา. (2528). ห้องสมุดโรงเรียน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.<br />
89<br />
ชนิดา วิสะมิตนันท์. (2543). “การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษา” . ในสุนีย์ นุ้ยจันทร์<br />
จินดา จำเริญ และทิพยอัจฉรา ดิลกคุณานันท์ (บรรณาธิการ). 2543, การประชุมใหญ่ สามัญ และประชุมวิชาการประจำปี พุทธศักราช 2543 เรื่อง บทบาทของห้องสมุดต่อการ พัฒนาคน (หน้า 71-77). กรุงเทพฯ : สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย.<br />
ทองอยู่ แก้วไทรฮะ. 2543, “การจัดบริการและการบริการของห้องสมุด เพื่อดำเนินการตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542.” วารสารห้องสมุด, 44 (1), 37-45.<br />
ณัฎพันธ์ เขจรนันทนะ. (2544). ยอดกลยุทธ์การบริหารสำหรับองค์กรยุคใหม่. กรุงเทพฯ :<br />
เอ็กซ เปอร์เน็ท.<br />
ณัฎฐินี ประเทืองยุคันต์. (2535). บทบาทของครูบรรณารักษ์ในการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน ประถมศึกษา จังหวัดเชียงราย รวมบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ ปี2535 กรุงเทพฯ: บัณฑิต<br />
วิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />
ธนาทิพ ฉัตรภูติ. “แหล่งเรียนรู้ในห้องสมุด” สานปฏิรูป 4,40 (กรกฎาคม 2543) :27.<br />
นนทนา เผือกผ่อง. (2531). บรรณารักษ์เบื้องต้น พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : ภาควิชา บรรณารักษศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />
นรินทร์ นันทิพงศา. (2541). แนวทางการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน สังกัดสำนักงานการ ประถมศึกษาอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
นันทา วิทวุฒิศักดิ์ . (2532). การผลิตอุปกรณ์และครุภัณฑ์ห้องสมุด. กรุงเทพฯ : ดี.ดี.บุ๊คสโตร์.<br />
บานชื่น ทองพันชั่ง. (2537). งานห้องสมุดและสารนิเทศทางสังคมศาสตร์ เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
บุญมี ทิอุด. (2536) . การศึกษาสภาพปัญหาการบริหารงานวิชาการ ของผู้บริหารโรงเรียน ประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดลำปาง วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตร<br />
มหาบัณฑิตบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
ประภาภรณ์ เทศประสิทธิ์. (2540). การดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา<br />
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.<br />
ปรียานุช เชาว์ประสิทธิ์. (2531). การศึกษาสาเหตุของปัญหา และการแก้ไขปัญหา การปฏิบัติงาน<br />
ของครูบรรณารักษ์ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ดตามโครงการ ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา 2525 – 2529 ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนรินทรวิโรฒประสานมิตร.<br />
90<br />
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2536). การบริหารงานวิชาการ. กรุงเทพฯ : ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ.<br />
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542. (2546). กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์.<br />
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุต โต). (2539). การศึกษากับการพัฒนาทรัพยากร. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์การศาสนา.<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 . (2543). แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 24.<br />
พวา พันธุ์เมฆา. (2528). ห้องสมุดโรงเรียน ทฤษฏีและปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ภาควิชา<br />
บรรณารักษศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนรินทรวิโรฒ,.<br />
ภิญญาพร นิตยะประภา. (2534). ห้องสมุดโรงเรียน : เอกสารคำสอนรายวิชา 263404. กรุงเทพฯ :<br />
ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์สหวิทยาลัยรัตนโกสินทร์ พระนคร.<br />
มัลลิกา ถาวรกิจ. (2544). บทบาทของห้องสมุดโรงเรียนและบรรณารักษ์ที่มีต่อครู” การศึกษา กทม. 24,8 (พฤษภาคม 2544) : 4 - 5<br />
มานิต มานิตเจริญ. (2526). พจนานุกรมไทย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น.<br />
แม้นมาส ชวลิต, คุณหญิง. (2541). คู่มือบรรณารักษ์ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) เล่ม 1. กรุงเทพฯ :<br />
บรรณากิจ.<br />
เยาวลักษณ์ สุขทัพภ์. (2525). การศึกษาเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานผู้สำเร็จการอบรมครู บรรณารักษ ์ในโครงการห้องสมุดโรงเรียนมาตรฐานของสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ปีงบประมาณ 2522 – 2523. ปริญญานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.<br />
รัญจวน อินทรกำแหง และนวลจันทร์ รัตนากร. (2531). ห้องสมุดโรงเรียน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />
รุ่ง แก้วแดง. (2542). ปฏิวัติการศึกษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : มติชน.<br />
ลมุล รัตตากร. (2530). การใช้ห้องสมุด พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สมาคมห้องสมุดแห่ง<br />
ประเทศ ไทยฯ.<br />
วรพงศ์ พันธ์ศรีเพ็ชร. (2532). ปัญหาการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด กรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีสังคม.<br />
วันทนีย์ ฤกษ์ประพฤติดี. 2540, การจัดห้องสมุดโรงเรียนเอกชน วิทยานิพนธ์บริหารการศึกษา มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.<br />
91<br />
วิชาการ, กรม. (2535). คู่มือการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์การศาสนา.<br />
สง่า พิชญาวศิน. (2540). แนวทางการพัฒนาการบริหารงานห้องสมุดสังกัดสำนักงานการ ประถมศึกษา จังหวัดลำพูน วิทยานิพนธ์บริหารการศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
สมจิตร พรหมเทพ. (2542). ห้องสมุดโรงเรียน เชียงใหม่ : สถาบันราชภัฎเชียงใหม่.<br />
สมพงศ์ เกษมสิน. (2526) การบริหาร พิมพ์ครั้งที่ 8 กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.<br />
สะอาด คำตัน. (2540). แนวทางการปรับปรุงการบริหารงานห้องสมุด สังกัดสำนักงานการ ประถมศึกษาอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย วิทยานิพนธ์บริหารการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
สันติ ทองประเสริฐ. (2540). การนิเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพงาน ห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษา สำนักงานศึกษาธิการ จังหวัดร้อยเอ็ด. มหาวิทยาลัย มหาสารคาม.<br />
สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2543:4<br />
สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร. (2543). รายงานการจัดการศึกษาของกรุงเทพมหานครปี 2543.<br />
กรุงเทพฯ : สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร.<br />
_______. วิสัยทัศน์การจัดการศึกษา2542. (2541)กรุงเทพฯ:สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร.<br />
_______. วิสัยทัศน์การจัดการศึกษากรุงเทพมหานคร ปี 2543 – 2547<br />
มุ่งสู่การปฏิบัติ. (2544) . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.<br />
สุขพิกุล พิสิฏฐพันธ์. (2541). ความเห็นของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด กรุงเทพมหานครในการสนับสนุนการดำเนินงานห้องสมุด. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.<br />
สุลัคนา เสาวรส. (2544). การดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัด สำนักงาน การประถมศึกษา จังหวัดหนองบัวลำภู ตามมาตรฐานขั้นต่ำห้องสมุด โรงเรียน ประถมศึกษาพ.ศ. 2535 วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัย มหาสารคาม.<br />
อมรรัตน์ ศรีปทุมานุรักษ์. (2543) การศึกษาเปรียบเทียบสภาพห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
จังหวัดชัยภูมิกับเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2535 วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย<br />
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.<br />
อรุณ รักธรรม. (2533). มนุษยสัมพันธ์กับนักบริหาร กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ป. สัมพันธ์พาณิชย์.<br />
92<br />
อัควิทย์ เรืองรอง, บรรณาธิการ. (2544). มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ : พลังปัญญา : รวมบทความ<br />
ด้าน มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.<br />
อัจฉรา จันทร์ฉาย. (2545). การวางแผนกลยุทธ์และการจัดทำ BSC พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ :<br />
โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.<br />
อัมพร ปั้นศรี. (2521). ปัญหาการใช้ห้องสมุด กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />
อุทัย เพชรช่วย. (2529). “จะจัดห้องสมุดอย่างไรจึงจะจูงใจให้เด็กสนใจและเข้าไปใช้” ประชากร ศึกษา 18 – 21.<br />
เอมอร นรเดชานนท์. (2536). การใช้ห้องสมุดโรงเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเชียง ดาวจังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.<br />
อารมณ์ พรมรัตน์พันธ์. (2541). การจัดกิจกรรมสร้างเสริมการอ่านของห้องสมุดโรงเรียน ประถมศึกษาสังกัด กรุงเทพมหานคร วทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บรรณารักษศาสตร ์และสารนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />
ภาษาอังกฤษ<br />
A Library is a way of sharing. Compton’ s Encyclopedia Fact and Index.13<br />
Chicago : Compton Co., [1981] : 207- 208.<br />
Birdall, Douglas C., and Henslesy, Oliver D. A New Strategic Planning Model for<br />
Academic Libraries. College & Research Libraries. 55 (March 1994) : 149 – 158.<br />
Burks, Freda Ellis. “ Nature and Extent of School Library Use in Selected High School in<br />
the Greater. Dallas-Fort Worth,Texas Area,Ph.D.Dissertation_Texas Woman’ University. August, 1994.<br />
Camp, R.C., Benchmarking : The Search for Industry Best Practica That Lead to<br />
Superior Performance. Milwaukee, Wis . : ASQC Quality Press, c1989.<br />
Dissertation Abstracts International. 50(8): 2286-A; February,1990.<br />
Evans,Anne. Benchmarking TaKing Your OrganizationTowords Best Practice. Melbourne, Austrelia :The Business library. 1994.<br />
Harrod, Leonard Montague. Harrod’s Librarians’Glossary of Terms Used In Librarianship, Documentation and the Book Crafts Reference Book. 7 th ed. Aldershot : Gower, 1990.<br />
93<br />
McCarthy, Cheryl A. A Relity Check the Challenges of Implementing Implementing<br />
Information Power in School Library Media Programs. Library Media Quarterly.<br />
25(April 1997); 205 – 213.<br />
McGrath,Lawrence. School Libraies in Australia. ALA Bulletin. 63(April 1969);1109.<br />
“A Study of Ssecondary library Resources in Anglohone Cameroon:Strategies<br />
for Improvement”<br />
Singh,Diljit. An International Comparative of School Library, Dissertation Abstracts<br />
International. 54 (7): A ; (January, 1994.)<br />
Tzeng,Houy-tia. “A Conparison of User Perception with Official Standards of Elementary<br />
School Librsies in Tawan, Republic of Chine, “Dissertation Abstracts Internation.<br />
51(11) : 3545-A; (May,1991.)<br />
ภาคผนวก<br />
89<br />
ภาคผนวก ก<br />
หนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ<br />
92<br />
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถาม<br />
1. นายบุญเหลือ พลูทอง<br />
อดีตผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
2. นายถวัลย์ มาศจรัส<br />
ผู้เชี่ยวชาญ ระดับ 9 การศึกษาตลอดชีวิต กระทรวงศึกษาธิการ<br />
3. นายสมศักดิ์ ชาติมาลา<br />
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวัดอุดมรังสี กรุงเทพมหานคร<br />
4. นางสุนทรี โง้ววัฒนะ<br />
ศึกษานิเทศก์ ด้านห้องสมุดโรงเรียนสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
5. นางสาวพุฒิสาร อัคคะพู<br />
ศึกษานิเทศก์ ด้านห้องสมุดโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ<br />
91<br />
ภาคผนวก ข<br />
รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถาม<br />
93<br />
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตอบแบบสอบถามชุดที่ 2<br />
ลำดับที่<br />
ชื่อ - สกุล<br />
ตำแหน่งหน้าที่<br />
1.<br />
นายบุญเหลือ พลูทอง<br />
อดีตผู้อำนวยการ<br />
สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
2.<br />
นายถวัลย์ มาศจรัส<br />
ผู้เชี่ยวชาญ 9 การศึกษาตลอดชีวิต<br />
กระทรวงศึกษาธิการ<br />
3.<br />
นางสุนทรี โง้ววัฒนะ<br />
ศึกษานิเทศก์ด้านห้องสมุดโรงเรียน<br />
สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร<br />
4.<br />
นางสาวพุฒิสาร อัคคะพู<br />
ศึกษานิเทศก์ด้านห้องสมุดโรงเรียน<br />
กระทรวงศึกษาธิการ<br />
5.<br />
อาจารย์จิราภรณ์ หนูสวัสดิ์<br />
อาจารย์ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์<br />
ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
6.<br />
นางวรยุลี พิลา<br />
บรรณารักษ์ดีเด่น กรุงเทพมหานคร 2538<br />
โรงเรียนหมู่บ้านเศรษฐกิจ สำนักงานเขตบางแค<br />
7.<br />
ดร.สมใจ เดชบำรุง<br />
อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนบางเชือกหนัง<br />
สำนักงานเขตตลิ่งชัน<br />
8.<br />
นางจงรักษ์ พุทธนิมนต์<br />
ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนวัดประสาท<br />
สำนักงานเขตตลิ่งชัน<br />
9.<br />
นางวันทนา บุณยรัตนพันธุ์<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนวัดอุดมรังสี<br />
สำนักงานเขตหนองแขม<br />
10.<br />
นางสุวรรณา พลับเจริญสุข<br />
อาจารย์ 3 ระดับ 8<br />
บรรณารักษ์ สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
94<br />
ภาคผนวก ค<br />
แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ ชุดที่ 1 และชุดที่ 2<br />
แบบสอบถามบรรณารักษ์เพื่อการวิจัย<br />
เรื่อง<br />
สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา<br />
สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
คำชี้แจง<br />
แบบสอบถามนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาสภาพความเป็นจริง ของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปเปรียบเทียบมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ ใน 3 ด้านดังกล่าว ซึ่งเป็นผลที่ได้จะทำให้ได้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงมาตรฐานของห้องสมุด โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 และสอดคล้องแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พุทธศักราช 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานห้องสมุดดรงเรียนประถมศึกษาของษมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ<br />
แบบสอบถามมีทั้งหมด 2 ตอน<br />
ตอนที่ 1 เกี่ยวกับสถานภาพของโรงเรียน จำนวน 5 ข้อ<br />
ตอนที่ 2 เกี่ยวกับระดับการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร<br />
ตามแนวทางที่กำหนด ในมาตรฐานขั้นต่ำของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ<br />
ขอขอบคุณที่กรุณาให้ความร่วมมืออย่างดีในการกรอกข้อมูล<br />
นางชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ รุ่นที่ 1<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
ตอนที่ 1 สถานภาพของโรงเรียน<br />
คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย �� ลงใน [ ] หน้าข้อความที่เป็นจริงสำหรับท่าน<br />
กรณีที่เป็นช่องว่าง โปรดเติมข้อความให้สมบูรณ์<br />
1. ชื่อโรงเรียน …………………………………………… สำนักงานเขต ………………………….<br />
สถานที่ตั้ง ……………………………………………………………………………………….<br />
2. จำนวนนักเรียน [ ] 1 – 400 คน [ ] 401 – 800 คน [ ] 801 คนขึ้นไป<br />
3. จำนวนครูในโรงเรียน [ ] 1 – 10 คน [ ] 11 – 20 คน [ ] 21 – 30 คน<br />
[ ] 31 – 40 คน [ ] 41 – 50 คน [ ] มากกว่า 50 คนขึ้นไป<br />
4. จำนวนอาคารภายในโรงเรียน<br />
[ ] 1 – 2 หลัง [ ] 2 – 3 หลัง [ ] 3 – 4 หลัง [ ] มากกว่า 4 หลัง<br />
5. จำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในโรงเรียน …………… เครื่อง และใช้กับงานใดบ้าง<br />
(ตอบได้มากกว่า 1ข้อ)<br />
[ ] งานห้องสมุด ……… เครื่อง [ ] งานวิชาการ / การเรียนการสอน ……… เครื่อง<br />
[ ] งานธุรการ ……… เครื่อง [ ] งานอื่น ๆ โปรดระบุ ……………………………<br />
6. ในโรงเรียนมีแหล่งเรียนรู้แบบใดบ้าง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)<br />
[ ] แหล่งเรียนรู้ที่เป็นอุทยานการศึกษารอบบริเวณโรงเรียน เช่น สวนหิน สวนสมุนไพร เป็นต้น<br />
[ ] แหล่งเรียนรู้ที่เป็นลักษณะของวิชาการ / งาน เช่น ห้องภาษาไทย ห้องสังคม ห้องภาษาไทย<br />
ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ หรือศูนย์เรียนรู้ของวิชา / งานต่าง ๆ เช่น ศูนย์วิชาการ<br />
ศูนย์ INTERNET เป็นต้น<br />
[ ] แหล่งเรียนรู้ในห้องเรียน เช่น มุมหนังสือ ป้ายนิเทศต่าง ๆ เป็นต้น<br />
[ ] แหล่งเรียนรู้ที่เป็นห้องสมุดกลาง มีครูบรรณารักษ์ปฏิบัติหน้าที่<br />
ตอนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับระดับการดำเนินงานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ให้สอดคล้อง กับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545 – 2549) และกรอบมาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้<br />
1. ด้านบริหาร<br />
- การบริหาร - การวางแผน<br />
- งบประมาณ - บุคลากร<br />
2. ด้านเทคนิค<br />
- ทรัพยากรการจัดหา - วัสดุตีพิมพ์ – หนังสือ<br />
- วัสดุตีพิมพ์ – วารสาร - วัสดุไม่ตีพิมพ์<br />
- สื่ออิเลคทรอนิกส์<br />
3. ด้านบริการ ประเภทบริการ และวิธีการ<br />
- บริการพื้นฐาน - บริการตอบคำถาม<br />
- บริการพิเศษ - บริการสื่อโสตทัศน์<br />
- บริการ Internet - สิ่งอำนวยความสะดวก<br />
- บรรยากาศภายในห้องสมุด - อาคารห้องสมุด<br />
- ครุภัณฑ์ - การเข้าถึง<br />
- ปฐมนิเทศห้องสมุด - การสอนการใช้ห้องสมุด<br />
- การสื่อสารและความร่วมมือ - การประเมินและประเมินผลลัพธ์<br />
โดยการให้ระดับของประสิทธิภาพแต่ละ รายการ แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้<br />
ระดับมากที่สุด ให้น้ำหนักคะแนน 5<br />
ระดับมาก ให้น้ำหนักคะแนน 4<br />
ระดับปานกลาง ให้น้ำหนักคะแนน 3<br />
ระดับน้อย ให้น้ำหนักคะแนน 2<br />
ระดับน้อยที่สุด ให้น้ำหนักคะแนน 1<br />
คำชี้แจง โปรดใส่เครื่องหมาย �� ในช่องที่ตรงกับระดับความคิดเห็นของท่าน<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
1. ด้านการบริหาร<br />
1.<br />
มีระบบบริหารงานบุคคลโดยมีการกำหนดตำแหน่งและการประเมินผล<br />
2.<br />
มีการฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับให้มีความรู้ ความเข้าใจสามารถปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
3.<br />
มีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ด้านจิตสำนึก และทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้<br />
- การวางแผน<br />
4.<br />
มีแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของโรงเรียน<br />
5.<br />
มีการกำกับ ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพผลงานอย่างสม่ำเสมอ<br />
6.<br />
มีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอย่างสม่ำเสมอ<br />
- งบประมาณ<br />
7.<br />
ห้องสมุดมีความสามารถในการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
8.<br />
ปริมาณงบประมาณใช้สำหรับการพัฒนาบริการห้องสมุดให้ดีขึ้น<br />
9.<br />
มีการกำกับ ตรวจสอบและควบคุมการใช้งบประมาณให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ<br />
- บุคลากร<br />
10.<br />
บุคลากรมีปริมาณสอดคล้องกับภาระงาน<br />
11.<br />
บุคลากรมีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
- บุคลากร<br />
12.<br />
บุคลากรเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิชีพบรรณารักษ์เป็นอย่างดี<br />
2. ด้านเทคนิค ทรัพยากรการจัดหา<br />
13.<br />
จัดหาทรัพยากรสารสนเทศที่หลากหลาย รวมทั้ง<br />
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้บริการ สอดคล้อง<br />
กับความต้องการของผู้ใช้<br />
14.<br />
ทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการมีจำนวนเพียงพอกับการใช้ของผู้ใช้<br />
15.<br />
ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะ และมีการสอบถามผู้ใช้บริการสม่ำเสมอในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ<br />
- วัสดุตีพิมพ์ - หนังสือ<br />
16.<br />
หนังสือทีมีให้บริการมีความเพียงพอสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
17.<br />
เมื่อหาหนังสือบนชั้นไม่พบเจ้าหน้าที่สามารบอกให้<br />
ทราบถึงสถานภาพของหนังสือนั้นได้อย่างรวดเร็ว<br />
- วัสดุตีพิมพ์ - วารสาร<br />
18.<br />
วารสารที่จัดขึ้นชั้นมีจำนวนเพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
19.<br />
การจัดเรียงวารสารค้นหาได้ง่าย<br />
- วัสดุไม่ตีพิมพ์<br />
20.<br />
แถบบันทึกเสียงมีจำนวนเพียงพอและเป็นปัจจุบันสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
21.<br />
การให้บริการมีความสะดวกรวดเร็ว<br />
- สื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
22.<br />
มีสื่ออิเล็คทรอนิกส์จำนวนเพียงพอ<br />
23.<br />
การยืม – คืน สะดวก และ รวดเร็ว<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
3. ด้านการบริการ ประเภทบริการ และ วิธีการ<br />
24.<br />
มีระบบการให้บริการที่อำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำแก่ผู้มาใช้บริการและมีบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าเข้ามาใช้บริการ<br />
25.<br />
การบริการของห้องสมุดโรงเรียน เช่น บริการให้อ่าน บริการยืม – คืน บริการหนังสือจอง เป็นต้น<br />
26.<br />
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น จัดนิทรรศการ อภิปราย เป็นต้น<br />
- บริการตอบคำถาม<br />
27.<br />
ทรัพยากรอ้างอิงมีความทันสมัยและพอเพียงในการให้บริการ<br />
28.<br />
มีบรรณารักษ์ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีเมื่อนักเรียนมีปัญหา<br />
- บริการพิเศษ<br />
29.<br />
หนังสือสำรอง คือ หนังสือที่ยืมได้ 3 วันทำการ และมีความพอเพียงงงต่อความต้องการ<br />
30.<br />
มีการจัดเก็บและให้บริการสารสนเทศพิเศษ เช่น ข้อมูลท้องถิ่น<br />
- บริการสื่อโสตทัศน์<br />
31.<br />
มีความยืดหยุ่นในระเบียบการยืมด้านจำนวน และระยะเวลาในการให้ยืมสื่อ<br />
32.<br />
ความเพียงพอของสื่อโสตทัศน์ สอดคล้องกับความต้องการ<br />
33.<br />
ความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการของบุคลากร<br />
- บริการ Internet<br />
มีการให้บริการ Internet<br />
34.<br />
การเชื่อมต่อ Internet เข้าระบบง่ายไม่ติดขัด<br />
35.<br />
36.<br />
ความเพียงพอของจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อการให้บริการ<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
- บรรยากาศภายในห้องสมุด<br />
37.<br />
ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้สื่อในการสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
38.<br />
บรรยากาศในห้องสมุดโรงเรียนเหมาะสมแก่การอ่านหนังสือ<br />
39.<br />
เมื่อเข้ามาใช้บริการห้องสมุดโรงเรียนแล้วต้องการเข้ามาใช้บริการอีก<br />
- อาคารห้องสมุด<br />
40.<br />
ห้องสมุดโรงเรียนบริการตั้งอยู่ในที่ไปมาสะดวกแก่ผู้ใช้บริการและเป็นศูนย์กลางของโรงเรียน<br />
41.<br />
จำนวนที่นั่งสำหรับนักเรียนค้นคว้าภายในห้องสมุดมีจำนวนเพียงพอ<br />
42.<br />
เนื้อที่สำหรับจัดเฏ้บทรัพยากรของห้องสมุดโรงเรียนมีความเหมาะสม<br />
- ครุภัณฑ์<br />
43.<br />
มีครุภัณฑ์จำนวนเพียงพอและเหมาะสมกับงานห้องสมุดและการให้บริการ<br />
44.<br />
ชั้นวางหนังสือชั้นวางวารสาร และที่วางหนังสือพิมพ์มีความเหมาะสม สะดวกต่อการใช้งาน<br />
45.<br />
เคาน์เตอร์ ยืม – คืน หนังสือมีความเหมาะสมสะดวกต่อการใช้งาน<br />
46.<br />
ทางเข้า – ออก ห้องสมุดโรงเรียนมีความสะดวก<br />
- การเข้าถึง<br />
47.<br />
มีเครื่องมือช่วยค้นคว้าสะดวกและรวดเร็ว<br />
48.<br />
จัดทรัพยากรสารสนเทศให้เป็นระเบียบสะดวดต่อการเข้าถึง<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
- การเข้าถึง<br />
49.<br />
เชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศในระดับโรงเรียนประถมศึกษาท้องถิ่นและสากล<br />
- ปฐมนิเทศห้องสมุด<br />
50.<br />
เนื้อหาและระยะเวลาในการจัดการปฐมนิเทศมีความเหมาะสมครอบคลุมการใช้งาน<br />
ห้องสมุดโรงเรียน<br />
51.<br />
คู่มือการใช้ห้องสมุดโรงเรียนอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนเข้าใจง่าย<br />
52.<br />
แนะนำวิธีการใช้เครื่องมือสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ได้ชัดเจนเข้าใจง่าย และได้เห็นข้อเท็จจริง<br />
- การสอนการใช้ห้องสมุด<br />
53.<br />
ห้องสมุดโรงเรียนมีวิธีดำเนินการช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยการใช้ทรัพยากรสารสนเทศผสมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ<br />
54.<br />
ห้องที่ใช้ในการสอนมีความเหมาะสม อยู่ใกล้ห้องสมุดโรงเรียน<br />
55.<br />
อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอนมีความพร้อม<br />
- การสื่อสารและความร่วมมือ<br />
56.<br />
มีเครือข่ายห้องสมุดโรงเรียนเพื่อการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศของสากลได้<br />
57.<br />
มีความชัดเจนของแผนผังที่แสดงส่วนต่าง ๆ ของห้องสมุดโรงเรียน<br />
58.<br />
มีการจัดป้ายนิทรรศการให้บริการข่าวสารที่เป็นประโยชน์<br />
59.<br />
มีการประชาสัมพันธ์เรื่องกิจกรรมต่าง ๆ ของห้องสมุดโรงเรียน หรือเว็บไซต์ของโรงเรียน<br />
ระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน<br />
ผู้วิจัยขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ท่านได้สละเวลาตอบแบบสอบถามฉบับนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ต่อไปในอนาคต<br />
นางชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
(ผู้วิจัย)<br />
การประเมิน<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
ข้อ<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
1<br />
1<br />
0<br />
- 1<br />
- ความร่วมมือระหว่างห้องสมุด<br />
60.<br />
ห้องสมุดโรงเรียนมีความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกัน<br />
61.<br />
มีการร่วมมือกับชุมชนด้านการจัดเก็บ<br />
62.<br />
มีการร่วมมือกับชุมชนในด้านการบริการ<br />
- การประเมิน และ ประเมินผลลัพธ์<br />
63.<br />
มีระบบการประเมินคุณภาพของห้องสมุดโรงเรียนเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานฯ<br />
64.<br />
มีการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานในห้องสมุดโรงเรียนทุกงาน<br />
65.<br />
มีการประเมินแผนงานและโครงการปฏิบัติงานของห้องสมุดโรงเรียน<br />
66.<br />
มีการศึกษาตนเองอย่างเป็นทางการของห้องสมุดโรงเรียนเพื่อค้นหาจุดอ่อนและแนวทางแก้ไขค้นหาจุดแข็งและแนวทางเสริม<br />
67.<br />
มีการประเมินผลงานบริการของห้องสมุดโรงเรียน หรือประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการสม่ำเสมอ<br />
105<br />
ภาคผนวก ง<br />
ประวัติย่อผู้วิจัย<br />
106<br />
ประวัติผู้วิจัย<br />
ชื่อ นางชุลีพร ฤทธิ์เดชา<br />
วัน เดือน ปีเกิด 24 ธันวาคม 2504<br />
สถานที่เกิด กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย<br />
ประวัติการศึกษา ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา พ.ศ. 2526<br />
วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยาฯ<br />
ปริญญาตรี สาขาพลศึกษา พ.ศ. 2534<br />
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พลศึกษา<br />
ตำแหน่งและสถานที่ทำงาน โรงเรียนวัดอุดมรังสี(ป.ปีติวรรณอุปถัมภ์)<br />
สำนักงานเขตหนองแขม<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
ตำแหน่ง อาจารย์ 2 ระดับ 7<br />
สายงานการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ<br />
ภาษาอังกฤษ<br />
พ.ศ. 2530 - ปัจจุบัน<br />
ย<br />
ชื่อ นางชุลีพร ฤทธิ์เดชาารสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้<br />
ภาษาต่างประเทศ (วิชาภาษาอังกฤษ)<br />
พ.ศ. 2530 - ปัจจุบัน<br />
<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_505.html">สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_418.html">สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16046959/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-32320375148080479752011-08-14T03:06:00.002-07:002011-08-14T03:09:34.582-07:00ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)<a href="http://www.ziddu.com/download/16046880/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้<br />
บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรง<br />
เรียนที่กำหนดไว้<br />
มีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/<br />
โครงการของโรงเรียน<br />
มีการดำเนินงานสำเร็จได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในแผน<br />
มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การ<br />
ดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จตามแผน<br />
ครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไป<br />
ตามแผนมากน้อยเพียงใด<br />
3.81<br />
4.40<br />
3.90<br />
4.00<br />
3.41<br />
.82<br />
.72<br />
.69<br />
.72<br />
1.01<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
ปานกลาง<br />
รวม 3.91 .62 มาก<br />
จากตารางที่ 11 พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวม<br />
อยู่ในระดับ"มาก" ( X = 3.91) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้อมีการดำเนินการอยู่ในระดับ"มาก"ยกเว้น<br />
ด้านครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไปตามแผนมากน้อยเพียงใดอยู่ในระดับ<br />
"ปานกลาง" ( X = 3.41)<br />
64<br />
ตารางที่ 12 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 5 :<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการกำหนดบุคลากรให้ดำเนินการ ตรวจสอบและทบทวน<br />
อย่างครบถ้วนและชัดเจน<br />
มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยบุคลากร<br />
ภายในโรงเรียน<br />
มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาจากหน่วย<br />
งานต้นสังกัด<br />
ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามี<br />
ส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
มีการสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ครู ผู้รับผิดชอบ<br />
งาน/โครงการ ผู้บริหาร เป็นต้น เกี่ยวกับแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
3.71<br />
3.77<br />
3.64<br />
3.28<br />
3.57<br />
.78<br />
.79<br />
.92<br />
.99<br />
.95<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
ปานกลาง<br />
มาก<br />
รวม 3.59 .74 มาก<br />
จากตารางที่ 12 พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ด้านการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับ"มาก"<br />
( X = 3.59) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด มีสภาพ<br />
การดำเนินการอยู่ในระดับ"มาก" ยกเว้นด้านการให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้อง<br />
เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับ"ปานกลาง" ( X = 3.28)<br />
65<br />
ตารางที่ 13 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 6 :<br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีเครื่องมือ ระบบการวัด ประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์<br />
ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
มีการจัดระบบการประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม<br />
มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการประเมิน<br />
ผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมินของผู้เรียน<br />
มีการจัดให้ผู้เรียนชั้น ม.3 และม.6 ได้รับการประเมินผล<br />
สัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม<br />
3.85<br />
3.85<br />
3.82<br />
3.53<br />
4.00<br />
.82<br />
.79<br />
1.03<br />
.95<br />
.99<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.81 .72 มาก<br />
จากตารางที่ 13 พบว่า การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"มาก" ( X = 3.81) และเมื่อพิจารณา<br />
เป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านการจัดให้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่<br />
3 และมัธยมศึกษาปีที่6 ได้รับการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วมมากเป็นอันดับ 1<br />
( X = 4.00) รองลงมา คือ มีเครื่องมือ ระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน<br />
ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานและมีการจัดระบบการประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่าง<br />
ครอบคลุมมากเป็นอันดับ 2 ( X = 3.85) และผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมินของผู้เรียน<br />
น้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 3.53)<br />
66<br />
ตารางที่ 14 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 7 :<br />
การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการรายงานผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพตามแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนและแผนปฏิบัติงานใน<br />
รอบปีการศึกษา แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงาน<br />
ต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชนรับทราบ<br />
มีการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
มีผลการพัฒนาคุณภาพของตนบรรลุตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br />
มีการเขียนรายงาน แสดงหลักฐาน ข้อมูล และผลสัมฤทธิ์<br />
ของสถานศึกษาในรอบปีการศึกษา<br />
มีการรายงานนำเสนอด้วยรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และ<br />
จัดเก็บไว้ในระบบสารสนเทศ<br />
3.77<br />
3.49<br />
3.67<br />
3.91<br />
3.51<br />
1.07<br />
.97<br />
.79<br />
.91<br />
.90<br />
มาก<br />
ปานกลาง<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.67 .78 มาก<br />
จากตารางที่ 14 พบว่า การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน การรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปีโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"มาก"( X = 3.67) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ<br />
ทุกข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านการดำเนินการอยู่ในระดับ "มาก" มีการเขียน<br />
รายงาน แสดงหลักฐาน ข้อมูล และผลสัมฤทธิ์ของสถานศึกษาในรอบปีการศึกษามากกว่าอันดับอื่น ๆ<br />
( X = 3.91) ยกเว้นมีการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนอยู่ใน<br />
ระดับ"ปานกลาง" ( X = 3.49)<br />
67<br />
ตารางที่ 15 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 8 :<br />
การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 8 การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาประเมินประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ<br />
ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
มีการนำผลจากการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไขเพื่อ<br />
กำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนิน<br />
งานในรอบปีที่ผ่านมา<br />
ทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำ<br />
แผนพัฒนาโรงเรียน<br />
3.63<br />
3.64<br />
3.72<br />
3.73<br />
3.79<br />
.94<br />
.89<br />
.92<br />
.93<br />
.92<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.70 .83 มาก<br />
จากตารางที่ 15 พบว่า การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
"มาก" ( X = 3.70) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้าน<br />
ทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนมากเป็นอันดับที่ 1( X =<br />
3.79) รองลงมาคือ ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไขเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ใน<br />
การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมามากเป็นอันดับที่ 2 ( X = 3.73)และมีการนำ<br />
ข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบ<br />
ประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียนน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 3.63)<br />
68<br />
4.3 ผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ใน<br />
กรุงเทพมหานคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมและรายขั้นตอน รวมทุกข้อ<br />
ปรากฏผลดังแสดงไว้ในตารางที่ 16 ถึง ตารางที่ 24<br />
ตารางที่ 16 แสดงผลการศึกษาปัญหาดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร เป็นรายขั้นตอนและรวมทุกข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
8 ขั้นตอน X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
8<br />
การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2.19<br />
2.02<br />
2.16<br />
2.08<br />
2.32<br />
2.18<br />
2.24<br />
2.27<br />
.67<br />
.77<br />
.71<br />
.67<br />
.77<br />
.85<br />
.82<br />
.88<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.18 .67 น้อย<br />
จากตารางที่ 16 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามระบบการประกัน<br />
คุณภาพภายใน 8 ขั้นตอน ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
โดยภาพรวมอยู่ในระดับ "น้อย" ( X = 2.18) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อ<br />
พิจารณาในรายละเอียด มีปัญหาด้านการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษามากเป็นอันดับที่ 1<br />
( X = 2.32) รองลงมาคือ การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มีปัญหามากเป็นอันดับที่ 2<br />
( X = 2.27) และการพัฒนามาตรฐานการศึกษามีปัญหาน้อยกว่าอันดับอื่นๆ ( X = 2.02)<br />
69<br />
ตารางที่ 17 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 1 : การจัด<br />
ระบบบริหารและสารสนเทศ โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
8<br />
9<br />
มีการกำหนดโครงสร้างและระบบการบริหารที่สอดคล้อง<br />
กับภารกิจของโรงเรียน<br />
มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ และขอบข่ายงานของบุคลากร<br />
แต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน<br />
มีระบบการบริหารโดยใช้แบบโรงเรียนเป็นฐาน(SBM)<br />
มีการจัดวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้ในการวาง<br />
แผนและการตัดสินใจ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียน<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศการบริหารวิชาการ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงาน<br />
1.95<br />
1.95<br />
2.35<br />
2.36<br />
2.22<br />
2.27<br />
2.16<br />
2.20<br />
2.33<br />
.77<br />
.79<br />
.94<br />
.94<br />
.83<br />
.85<br />
.87<br />
.88<br />
.93<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.19 .67 น้อย<br />
จากตารางที่ 17 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานครด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศโดยภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับ"น้อย"( X = 2.19) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจาณาในรายละเอียด<br />
ปัญหาด้านการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงานและมีการจัดวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้<br />
ในการวางแผน และการตัดสินใจมากเป็นอันดับที่ 1 ( X = 2.36) รองลงมาคือ ปัญหาด้านการกำหนด<br />
โครงสร้าง และระบบการบริหารที่สอดคล้องกับภารกิจของโรงเรียนเป็นอันดับที่ 2 ( X = 2.35) และ<br />
มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ และขอบข่ายงานของบุคลากรแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจนมีปัญหาน้อยกว่า<br />
อันดับอื่น ๆ ( X = 1.95)<br />
70<br />
ตารางที่ 18 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 2 :<br />
การพัฒนามาตรฐานการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
มีการแจ้งให้บุคลากรทุกคนรับทราบและเข้าใจในการตัดสิน<br />
ใจครั้งสำคัญ ๆ ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ<br />
มีการพัฒนาทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้<br />
สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่ง<br />
มีการปลูกฝังความภาคภูมิใจ และความเป็นเจ้าของสถาน<br />
ศึกษาที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อผู้เรียน และความรับผิดชอบ<br />
ต่อสังคมแก่บุคลากร<br />
มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ปฏิบัติได้และได้รับการยอมรับจากทุก<br />
คนในโรงเรียน<br />
มีการจัดโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการ<br />
เรียนรู้ในโรงเรียน<br />
มีระบบการบริหารและระบบการทำงานที่มุ่งคุณภาพที่จะทำ<br />
ให้ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาที่<br />
กำหนดไว้<br />
2.00<br />
1.96<br />
2.01<br />
2.01<br />
2.04<br />
2.12<br />
.87<br />
.81<br />
.95<br />
.97<br />
.94<br />
.93<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.02 .77 น้อย<br />
จากตารางที่ 18 พบว่า การพัฒนามาตรฐานการศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย" ( X =<br />
2.02) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านระบบ<br />
การบริหารและระบบการทำงานที่มุ่งคุณภาพที่จะทำให้ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการ<br />
ศึกษาที่กำหนดไว้มีปัญหามากเป็นอันดับที่ 1 ( X = 2.12) รองลงมาคือ มีการจัดโครงสร้างพื้นฐาน<br />
และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียน มีปัญหามากเป็นอันดับที่ 2 ( X = 2.04) และมีการพัฒนา<br />
ทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่งมีปัญหาน้อยกว่าอันดับ<br />
อื่นๆ ( X = 1.96)<br />
71<br />
ตารางที่ 19 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 : การจัด<br />
ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
การจัดองค์ประกอบต่าง ๆในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนมีความชัดเจนสอดคล้องกันอย่างสมเหตุสมผล<br />
มีระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร บุคลากรทุกฝ่าย<br />
ในโรงเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
บุคลากรทุกคนให้ความสนับสนุนและร่วมมือในการนำ<br />
แผนสู่การปฏิบัติ<br />
มีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่สังเกตและวัดได้ใน<br />
เชิงปริมาณ<br />
มีการใช้ยุทธศาสตร์ และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวน<br />
การเรียนการสอน การวัดและการประเมิน ตลอดจนการ<br />
บริหารจัดการ ตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎีหรือหลักวิชาที่<br />
ถูกต้อง และมีผลการวิจัยเชิงประจักษ์ สนับสนุน<br />
ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมีการกำหนดรูป<br />
แบบ และวิธีการพัฒนาบุคลากรและสามารถปฏิบัติภารกิจ<br />
ตามแผนอย่างได้ผลดี<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนระบุแหล่งวิทยา<br />
การภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทาง<br />
วิชาการ<br />
2.07<br />
1.96<br />
2.09<br />
2.03<br />
2.31<br />
2.16<br />
2.39<br />
.78<br />
.81<br />
.91<br />
.83<br />
.96<br />
.83<br />
.84<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
72<br />
ตารางที่ 19 (ต่อ) แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 : การจัด<br />
ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
8<br />
9<br />
ผู้ปกครอง และชุมชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมและรับบท<br />
บาทสำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียน<br />
มีการประสานสัมพันธ์และระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ<br />
เช่น หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน สถาบันและมูลนิธิ<br />
ต่างๆ นำมาสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
2.24<br />
2.21<br />
.97<br />
.93<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.16 .71 น้อย<br />
จากตารางที่ 19 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย"( X = 2.16) และเมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียนระบุแหล่งวิทยาการภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการ<br />
มีปัญหามากเป็นอันที่ 1 ( X = 2.39) รองลงมาคือ มีการใช้ยุทธศาสตร์ และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ใน<br />
กระบวนการเรียนการสอน การวัดและการประเมิน ตลอดจนการบริหารจัดการ ตั้งอยู่บนรากฐาน<br />
ทางทฤษฎีหรือหลักวิชาที่ถูกต้อง และมีผลการวิจัยเชิงประจักษ์ สนับสนุนประสิทธิภาพ และ<br />
ประสิทธิผล มีปัญหามากเป็นอันดับที่ 2 ( X = 2.31) และ มีระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร<br />
บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียนมีปัญหาน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 1.96)<br />
73<br />
ตารางที่ 20 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 4 :<br />
การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุ<br />
เป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่<br />
กำหนดไว้<br />
มีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/<br />
โครงการของโรงเรียน<br />
มีการดำเนินงานสำเร็จได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในแผน<br />
มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนิน<br />
งานบรรลุผลสำเร็จตามแผน<br />
ครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไป<br />
ตามแผนมากน้อยเพียงใด<br />
2.23<br />
1.77<br />
1.99<br />
2.00<br />
2.43<br />
.88<br />
.80<br />
.73<br />
.76<br />
1.02<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.08 .67 น้อย<br />
จากตารางที่ 20 พบว่าปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน การดำเนิน<br />
งานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย"( X = 2.08) และเมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาในรายละเอียดปัญหาด้านครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะ<br />
ว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไปตามแผนมากน้อยเพียงใดมากเป็นอันดับที่ 1 ( X = 2.43) รองลงมาคือ มี<br />
การกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนที่กำหนดไว้ มีปัญหามากอันดับที่ 2( X = 2.23) และมีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี<br />
ที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/โครงการของโรงเรียน มีปัญหาน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ( X = 1.77)<br />
74<br />
ตารางที่ 21 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 5 :<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการกำหนดบุคลากรให้ดำเนินการ ตรวจสอบและทบทวน<br />
อย่างครบถ้วนและชัดเจน<br />
มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยบุคลากร<br />
ภายในโรงเรียน<br />
มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาจากหน่วย<br />
งานต้นสังกัด<br />
ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามี<br />
ส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
มีการสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ครู ผู้รับผิดชอบ<br />
งาน/โครงการ ผู้บริหาร เป็นต้น เกี่ยวกับแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
2.24<br />
2.28<br />
2.27<br />
2.50<br />
2.35<br />
.87<br />
.91<br />
.92<br />
.96<br />
.90<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
ปานกลาง<br />
น้อย<br />
รวม 2.32 .77 น้อย<br />
จากตารางที่ 21 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดย<br />
ภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย"( X = 2.32) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ มีปัญหาการดำเนินงานอยู่ใน<br />
ระดับ"น้อย"ทุกข้อ ยกเว้นข้อให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมใน<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับ"ปานกลาง"( X = 2.50)<br />
75<br />
ตารางที่ 22 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 6 :<br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีเครื่องมือระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้และผล<br />
สัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้น<br />
พื้นฐาน<br />
มีการจัดระบบการประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม<br />
มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการประเมิน<br />
ผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมินของผู้เรียน<br />
มีการจัดให้ผู้เรียนชั้น ม.3 และม.6 ได้รับการประเมินผล<br />
สัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม<br />
2.27<br />
2.15<br />
2.18<br />
2.39<br />
1.92<br />
.97<br />
.91<br />
1.05<br />
1.04<br />
.97<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.18 0.85 น้อย<br />
จากตารางที่ 22 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย"( X = 2.18) และเมื่อพิจารณา<br />
เป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ปัญหาด้านผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจ<br />
เกณฑ์การประเมินของผู้เรียนมากเป็นอันดับที่ 1( X = 2.39) รองลงมาคือ มีเครื่องมือ ระบบการวัด<br />
และประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานมี<br />
ปัญหาอันดับที่ 2 ( X = 2.27) และมีการจัดให้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 และมัธยมศึกษาปีที่6 ได้รับ<br />
การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม มีปัญหาน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ( X = 1.92)<br />
76<br />
ตารางที่ 23 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 7 :<br />
การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการรายงานผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพตามแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และแผนปฏิบัติ<br />
งานในรอบปีการศึกษา แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน<br />
รับทราบ<br />
มีการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณ<br />
ภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
มีผลการพัฒนาคุณภาพของตนบรรลุตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br />
มีการเขียนรายงาน แสดงหลักฐาน ข้อมูล และผลสัมฤทธิ์<br />
ของสถานศึกษาในรอบปีการศึกษา<br />
มีการรายงานนำเสนอด้วยรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย<br />
และจัดเก็บไว้ในระบบสารสนเทศ<br />
2.17<br />
2.31<br />
2.22<br />
2.20<br />
2.33<br />
1.00<br />
.94<br />
.88<br />
.94<br />
1.01<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
2.23 .82 น้อย<br />
จากตารางที่ 23 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ด้านการรายงานคุณภาพ<br />
การศึกษาประจำปีโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"น้อย" (= 2.23) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับ<br />
น้อย เมื่อพิจารณาในรายละเอียด มีปัญหาด้านการรายงานนำเสนอด้วยรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย<br />
และจัดเก็บไว้ในระบบสารสนเทศมากเป็นอันดับที่ 1 ( X = 2.33) รองลงมาคือด้านการติดตามผล<br />
และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนมีปัญหามากเป็นอันดับที่ 2 ( X = 2.31) และ<br />
การรายงานผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และแผน<br />
ปฏิบัติงานในรอบปีการศึกษา แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
และสาธารณชนรับทราบมีปัญหาน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 2.17)<br />
77<br />
ตารางที่ 24 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 8 :<br />
การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ ปัญหาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดับปัญหา<br />
ขั้นตอนที่ 8 การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาประเมินประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ<br />
ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
มีการนำผลจากการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไขเพื่อ<br />
กำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนิน<br />
งานในรอบปีที่ผ่านมา<br />
ทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำ<br />
แผนพัฒนาโรงเรียน<br />
2.35<br />
2.30<br />
2.26<br />
2.26<br />
2.23<br />
1.00<br />
.93<br />
.93<br />
.97<br />
.95<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
รวม 2.27 .88 น้อย<br />
จากตารางที่ 24 พบว่า ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
"น้อย" ( X = 2.27) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาในรายระบเอียดด้าน<br />
การนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงาน<br />
ของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียนมีปัญหามากเป็นอันดับที่ 1 ( X = 2.35) รองลงมา<br />
คือ การนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีมาประเมินประสิทธิภาพใน<br />
การดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียนมีปัญหามากเป็นอันดับที่ 2 ( X =<br />
2.30) และทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนมีปัญหาน้อย<br />
กว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 2.23)<br />
78<br />
4.4 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 25<br />
ตารางที่ 25 การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพ<br />
ภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
แหล่งความแปรปรวน SS Df MS F Sig.<br />
1. การจัดระบบบริหาร<br />
และสารสนเทศ<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
3.90<br />
39.03<br />
42.93<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.95<br />
.59<br />
4.90 .00*<br />
2. การพัฒนามาตรฐาน<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.79<br />
40.44<br />
43.23<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.39<br />
.41<br />
3.37 .03*<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
4.12<br />
36.93<br />
41.05<br />
2<br />
98<br />
100<br />
2.06<br />
.37<br />
5.47 .00*<br />
4. การดำเนินงานตามแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.12<br />
37.01<br />
39.13<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.06<br />
.37<br />
2.80 .06<br />
5. การตรวจสอบและ<br />
ทบทวนคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
3.73<br />
61.06<br />
64.79<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.86<br />
.52<br />
3.57 .03*<br />
6. การประเมินคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
3.01<br />
49.37<br />
52.38<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.50<br />
.50<br />
2.98 .06<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
79<br />
ตารางที่ 25 (ต่อ)การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพ<br />
ภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ<br />
สภาพการดำเนินงาน<br />
แหล่งความแปรปรวน SS Df MS F Sig.<br />
7. การรายงานคุณภาพ<br />
การศึกษาประจำปี<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
6.91<br />
54.27<br />
61.18<br />
2<br />
98<br />
100<br />
3.45<br />
.55<br />
6.24 .00*<br />
8. การผดุงระบบ<br />
การประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
4.51<br />
65.13<br />
69.64<br />
2<br />
98<br />
100<br />
2.25<br />
.66<br />
3.39 .03*<br />
รวมทุกด้าน ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
3.61<br />
33.35<br />
36.96<br />
2<br />
98<br />
100<br />
1.80<br />
.34<br />
5.30 .00*<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
จากตารางที่ 25 พบว่า โรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน มีสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />
ที่ระดับ .05<br />
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงทดสอบเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่โดยใช้วิธีของเชฟเฟ่<br />
(Scheffe') ได้ผลดังตารางที่ 26<br />
80<br />
ตารางที่ 26 ผลการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ของสภาพการดำเนินงานประกัน<br />
คุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาด<br />
โรงเรียน<br />
สภาพการดำเนินงาน ขนาดโรงเรียน ค่าเฉลี่ย กลางและเล็ก ใหญ่ ใหญ่พิเศษ<br />
1. การจัดระบบบริหารและ<br />
สารสนเทศ<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.52<br />
3.73<br />
4.01<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.19<br />
.19*<br />
.44*<br />
.44<br />
-<br />
2. การพัฒนามาตรฐาน<br />
การศึกษา<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.86<br />
3.92<br />
4.23<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.07*<br />
.07*<br />
.07<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
ใหญ่<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.68<br />
3.70<br />
4.10<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
1.00*<br />
.99<br />
.99*<br />
-<br />
5. การตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.43<br />
3.43<br />
3.82<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.10*<br />
.10*<br />
.10<br />
7. การรายงานคุณภาพ<br />
การศึกษาประจำปี<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.34<br />
3.54<br />
3.97<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.08<br />
.08*<br />
.54*<br />
.54<br />
-<br />
8. การผดุงระบบการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.41<br />
3.62<br />
3.93<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.30<br />
.30*<br />
.60*<br />
.60<br />
-<br />
รวมทุกด้าน กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
3.60<br />
3.67<br />
4.02<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.06<br />
.06*<br />
.89*<br />
.89<br />
-<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
81<br />
จากตารางที่ 26 พบว่า ผลการทำสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระห่างคู่ของสภาพการดำเนิน<br />
งานประกันคุณภาพภายใน ในภาพรวมทุกขนาดโรงเรียนมีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก และคู่ที่มี<br />
ความแตกต่างกัน คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =4.02) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =3.60)<br />
และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =4.02) กับโรงเรียนขนาดใหญ่ ( X =3.67) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
มีการดำเนินงานมากกว่าทั้ง 2 คู่ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบบริหารและ<br />
สารสนเทศ คู่ที่มีความแตกต่างกัน คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =4.01) กับโรงเรียนขนาดกลาง<br />
และเล็ก( X =3.52) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่า และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
( X =4.01) กับโรงเรียนขนาดใหญ่( X =3.73) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่า<br />
เช่นกัน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา คู่ที่มีความแตกต่างกันคือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
( X =4.23) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =3.86) และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =4.23) กับ<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่( X =3.92) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่าทั้ง 2 คู่ ขั้นตอนที่ 3<br />
การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา คู่ที่มีความแตกต่างกัน คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =4.10)<br />
กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =3.70) จะเห็นได้ว่าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานที่<br />
มากกว่า และโรงเรียนขนาดใหญ( X =3.68) กบั โรงเรยี นขนาดใหญพ่ เิ ศษ( X =4.10) โรงเรยี นขนาด<br />
ใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่าเช่นเดียวกัน ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพ<br />
การศึกษา คู่ที่มีความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =3.82) กับโรงเรียนขนาดใหญ่<br />
( X =3.43) และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =3.82) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =3.43) ซึ่ง<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานที่มากกว่าทั้ง 2 คู่ ขั้นตอนที่ 7 การรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปี คู่ที่มีความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =3.97) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
( X =3.34) และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =3.97)กับโรงเรียนขนาดใหญ่( X =3.54) เป็นที่น่า<br />
สังเกตว่า โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงกว่าทั้ง 2 ขนาดโรงเรียน ขั้นตอนที่ 8<br />
การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา คู่ที่มีความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
( X =3.93) กับโรงเรียนขนาดใหญ่( X =3.67) และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =3.93) กับโรงเรียน<br />
ขนาดกลางและเล็ก( X =3.41) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่าทั้ง 2 คู่<br />
82<br />
4.5 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 27<br />
ตารางที่ 27 การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพ<br />
ภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ<br />
ปัญหาการดำเนินงาน<br />
แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig.<br />
1. การจัดระบบบริหาร<br />
และสารสนเทศ<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.42<br />
43.72<br />
46.14<br />
2<br />
68<br />
100<br />
1.21<br />
.44<br />
2.72 .07<br />
2. การพัฒนามาตรฐาน<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.04<br />
58.12<br />
60.16<br />
2<br />
68<br />
100<br />
3.02<br />
.59<br />
1.72 .18<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.30<br />
48.20<br />
50.50<br />
2<br />
68<br />
100<br />
1.13<br />
.49<br />
2.34 .10<br />
4. การดำเนินงานตามแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
2.13<br />
43.57<br />
45.70<br />
2<br />
68<br />
100<br />
1.06<br />
.44<br />
2.40 .09<br />
5. การตรวจสอบและ<br />
ทบทวนคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
5.41<br />
54.00<br />
59.41<br />
2<br />
68<br />
100<br />
2.70<br />
.66<br />
4.91 .00*<br />
6. การประเมินคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
4.94<br />
67.42<br />
72.36<br />
2<br />
68<br />
100<br />
2.47<br />
.68<br />
3.59 .03*<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
83<br />
ตารางที่ 27(ต่อ)การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพ<br />
ภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ<br />
ปัญหาการดำเนินงาน<br />
แหล่งความแปรปรวน SS Df MS F Sig.<br />
7. การรายงานคุณภาพ<br />
การศึกษาประจำปี<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
7.22<br />
60.90<br />
68.12<br />
2<br />
68<br />
100<br />
3.61<br />
.62<br />
5.81 .00*<br />
8. การผดุงระบบ<br />
การประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
4.40<br />
74.71<br />
79.11<br />
2<br />
68<br />
100<br />
2.20<br />
.76<br />
2.88 .06<br />
รวมทุกด้าน ภายในกลุ่ม<br />
ระหว่างกลุ่ม<br />
รวมทั้งหมด<br />
3.27<br />
42.88<br />
46.15<br />
2<br />
68<br />
100<br />
1.63<br />
.43<br />
3.73 .02*<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
จากตารางที่ 27 พบว่า โรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน มีปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />
ที่ระดับ .05<br />
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงทดสอบเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่โดยใช้วิธีของเชฟเฟ่<br />
(Scheffe') ได้ผลดังตารางที่ 28<br />
84<br />
ตารางที่ 28 ผลการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ของปัญหาการดำเนินงานประกัน<br />
คุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาด<br />
โรงเรียน<br />
สภาพการดำเนินงาน ขนาดโรงเรียน ค่าเฉลี่ย กลางและเล็ก ใหญ่ ใหญ่พิเศษ<br />
5. การตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพการศึกษา<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
2.05<br />
2.45<br />
2.56<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.82*<br />
.82<br />
.11<br />
.11*<br />
-<br />
6. การประเมินคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
1.96<br />
2.14<br />
2.46<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.05<br />
.05*<br />
.05*<br />
7. การรายงานคุณภาพ<br />
การศึกษาประจำปี<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
ใหญ่<br />
กลางและเล็ก<br />
1.94<br />
2.36<br />
2.59<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.52<br />
.52*<br />
.10<br />
.10*<br />
-<br />
รวมทุกด้าน ใหญ่พิเศษ<br />
กลางและเล็ก<br />
ใหญ่<br />
1.97<br />
2.30<br />
2.35<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
.07<br />
.07*<br />
.07*<br />
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />
จากตารางที่ 28 พบว่า ผลการทำสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ของปัญหาการ<br />
ดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ในภาพรวมทุกขนาดโรงเรียนมีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และคู่ที่มี<br />
ความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =1.97) กับโรงเรียนขนาดใหญ่( X =2.35) โรงเรียน<br />
ขนาดใหญ่มีปัญหาการดำเนินงานที่มากกว่า และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =1.97) กับโรงเรียน<br />
ขนาดกลางและเล็ก( X =2.30) โรงเรียนขนาดกลางและเล็กมีปัญหาการดำเนินงานมากกว่า เมื่อ<br />
พิจารณาในรายละเอียด ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา คู่ที่มีความแตกต่าง<br />
กันคือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =2.05) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =2.45) โรงเรียนขนาด<br />
ใหญ่มีปัญหาการดำเนินงานมากกว่า และโรงเรียนขนาดใหญ่( X =2.56) กับโรงเรียนขนาดกลางและ<br />
เล็ก( X =2.45) โรงเรียนขนาดใหญ่มีปัญหาการดำเนินงานมากกว่า ขั้นตอนที่ 6 การประเมินคุณภาพ<br />
การศึกษา คู่ที่มีความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ( X =1.96) กับโรงเรียนขนาดใหญ่<br />
85<br />
( X =2.46) โรงเรียนขนาดใหญ่มีปัญหาการดำเนินงานมากกว่า และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
( X =1.96) กับโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก( X =2.14) โรงเรียนขนาดกลางและเล็กมีปัญหาการดำเนิน<br />
งานมากกว่า ขั้นตอนที่ 7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีคู่ที่มีความแตกต่าง คือ โรงเรียนขนาด<br />
ใหญ่พิเศษ( X =1.94) กับโรงเรียนขนาดใหญ( X =2.36) โรงเรียนขนาดใหญ่มีปัญหาการดำเนินงาน<br />
มากกว่า และระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ( X =2.36) กบั โรงเรยี นขนาดกลางและเลก็ ( X =2.59)<br />
โรงเรียนขนาดกลางและเล็กมีปัญหาการดำเนินงานมากกว่า<br />
4.6 ผลการศึกษาข้อเสนอแนะสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
จำแนกได้ 6 ข้อใหญ่ได้ดังนี้<br />
ตารางที่ 29 ข้อเสนอแนะในการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน<br />
ข้อเสนอแนะ จำนวน<br />
(n=101)<br />
ร้อยละ<br />
1. ครู-อาจารย์ทำงานประจำของโรงเรียนอยู่แล้วจึงรู้สึกว่าการดำเนินงาน<br />
ประกันคุณภาพภายในเป็นภาระเพิ่มเติม<br />
2. ครู – อาจารย์ในโรงเรียนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาและทิศทางการประเมินยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน<br />
3. ครู-อาจารย์ส่วนหนึ่งไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา จึงไม่ให้ความร่วมมือในกิจกรรมการประกันคุณภาพ<br />
4. งบประมาณไม่เพียงพอ จึงมีข้อจำกัดในการพัฒนาบุคลากรและการจัด<br />
สิ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน<br />
5. กรมสามัญและสำนักงานทดสอบและประเมินมาตรฐานการศึกษา ควร<br />
ร่วมมือกันในการจัดทำมาตรฐานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน เพื่อโรงเรียน<br />
จะได้จัดทำมาตรฐานต่าง ๆ ให้เหมือนกัน<br />
6. ผู้ที่จะมาประเมินจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ<br />
ภายใน<br />
58<br />
49<br />
46<br />
38<br />
26<br />
19<br />
57.42<br />
48.51<br />
45.54<br />
37.62<br />
25.74<br />
28.81<br />
86<br />
บทที่ 5<br />
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ในบทนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการสรุปผลการวิจัย<br />
อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้<br />
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
5.2 วิธีดำเนินการวิจัย<br />
5.3 สรุปผลการวิจัย<br />
5.4 อภิปรายผล<br />
5.5 ข้อเสนอแนะ<br />
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
2) เพื่อศึกษาปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
3) เพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร โดยเปรียบเทียบระหว่างขนาดของโรงเรียน แบ่ง<br />
ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
5.2 วิธีดำเนินการวิจัย<br />
5.2.1 ประชากร<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นผู้บริหารโรงเรียนจากโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญ<br />
ศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 116 โรงเรียน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยศึกษาเกี่ยวกับประชากร<br />
ประชากรตอบแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 101 คน คิดเป็นร้อยละ 87.06<br />
88<br />
5.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ<br />
ความเที่ยงตรง และทดลองใช้ กับผู้บริหารโรงเรียน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาส่วนกลาง จำนวน 30<br />
คน เพื่อหาความเชื่อมั่นโดยใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า ของ ครอนบาค(Cronbach) ได้ค่า<br />
สัมประสิทธิ์ความเที่ยง เท่ากับ 0.98 เครื่องมือวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ (1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ<br />
แบบสอบถาม (2) สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน และข้อเสนอแนะใน<br />
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
5.2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองและทางไปรษณีย์ ได้ข้อมูลแบบสอบถามกลับ<br />
คืนมาจำนวน 101 ชุด คิดเป็นร้อยละ 87.06<br />
5.2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS(Statistical Package<br />
for Social/For Windows) ได้ดำเนินการวิเคราะห์ค่าสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยความคิดเห็นระหว่างขนาดโรงเรียน ที่มีต่อสภาพและ<br />
ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว(One Way<br />
ANOVA) ในการวิคราะห์ข้อมูล และนำเสนอข้อมูลในรูปตารางประกอบคำบรรยาย<br />
5.3 สรุปผลการวิจัย<br />
5.3.1 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร เมื่อพิจารณาการดำเนินงานตามระบบประกัน<br />
คุณภาพภายใน ทั้ง 8 ขั้นตอน พบว่า ส่วนมากมีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก<br />
รายละเอียดของสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน รายขั้นตอนในแต่ละขั้นตอน<br />
เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้<br />
1) การพัฒนามาตรฐานการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก คือ (1) มีการปลูกฝังความภาคภูมิใจและ<br />
ความเป็นเจ้าของสถานศึกษาที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อผู้เรียนและความรับผิดชอบต่อสังคมแก่บุคลากร<br />
(2) มีระบบการบริหารและระบบการทำงานที่มุ่งเน้นคุณภาพที่จะทำให้ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนา<br />
89<br />
มาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ ส่วนเรื่องที่มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก อันดับสุดท้าย คือ มี<br />
การพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคลากรให้สอดคล้องกับหน้าที่ และตำแหน่ง<br />
2) การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่องพบว่า มีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/<br />
โครงการของโรงเรียนมีการดำเนินงานอยู่ในระดับมากกว่าอันดับอื่น ๆ ส่วนเรื่องที่มีการดำเนิน<br />
งานอยู่ในระดับปานกลาง คือ ครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไรเป็นไปตามแผนมาก<br />
น้อยเพียงใด<br />
3) การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในมีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุ<br />
ประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่สังเกตและวัดได้ในเชิงปริมาณ<br />
มากกว่าอันดับอื่น ๆ เรื่องที่มีการดำเนินงานในระดับปานกลาง คือ แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียนระบุแหล่งวิทยาการภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการ<br />
4) การประเมินคุณภาพการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก คือ (1) มีการจัดให้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษา<br />
ปีที่ 3 และมัธยมศึกษาปีที่6 ได้รับการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม (2) มีเครื่องมือ<br />
ระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้น<br />
พื้นฐานและมีการจัดระบบการประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม อันดับสุดท้าย คือ ผู้เรียน<br />
และผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมินของผู้เรียน<br />
5) การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก คือ (1)มีการกำหนดอำนาจหน้าที่<br />
และขอบข่ายงานของบุคลากรแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน (2) มีการกำหนดโครงสร้างและระบบ<br />
การบริหารที่สอดคล้องกับภารกิจของโรงเรียน อันดับสุดท้าย คือ มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อ<br />
การรายงาน<br />
6) การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก คือ (1) ทุกฝ่ายร่วมกัน<br />
ประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียน (2) ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ<br />
และแนวทางแก้ไขเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่าน<br />
มา อันดับสุดท้าย คือ มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีมาส่งเสริม<br />
พัฒนาการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
90<br />
7) การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก มีการเขียนรายงาน แสดงหลักฐาน<br />
ข้อมูล และผลสัมฤทธิ์ของสถานศึกษาในรอบปีการศึกษามากที่สุด ส่วนเรื่องที่มีการดำเนินงานอยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง คือ มีการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
8) การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา มีการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการดำเนินการอยู่ในระดับมาก มีการตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพการศึกษาโดยบุคลากรภายในโรงเรียนมากที่สุด ส่วนเรื่องที่มีการดำเนินงานอยู่ในระดับ<br />
ปานกลาง คือ การให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจ<br />
สอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
5.3.2 ผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานตาม<br />
ระบบประกันคุณภาพภายใน ทั้ง 8 ขั้นตอน พบว่า ส่วนมากมีการดำเนินงานอยู่ในระดับน้อย<br />
รายละเอียดของปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน รายขั้นตอนในแต่ละขั้นตอน<br />
เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้<br />
1) การตรวจสอบคุณภาพการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีการสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ครู ผู้รับผิดชอบงาน/<br />
โครงการ ผู้บริหาร เป็นต้น เกี่ยวกับแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษามีปัญหามากที่สุด ส่วนเรื่องที่มี<br />
การดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง คือ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามี<br />
ส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
2) การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่<br />
ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา คือ (1) การนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับ<br />
รายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ภายในโรงเรียน (2) การนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีมาประเมิน<br />
ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน อันดับสุดท้ายคือ<br />
ทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียน<br />
91<br />
3) การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา คือ (1) มีปัญหาด้านการรายงานนำเสนอด้วย<br />
รูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และจัดเก็บไว้ในระบบสารสนเทศ (2) มีการติดตามผล และรับ<br />
ข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน ส่วนที่มีปัญหาน้อยอันดับสุดท้าย คือ การ<br />
รายงานผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และแผน<br />
ปฏิบัติงานในรอบปีการศึกษา แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
และสาธารณชนรับทราบ<br />
4) การประเมินคุณภาพการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา (1) ปัญหาด้านผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมิน<br />
ของผู้เรียน (2) มีเครื่องมือ ระบบการวัด และประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่สอดคล้อง<br />
กับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีปัญหาอันดับสุดท้าย คือ มีการจัดให้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3<br />
และมัธยมศึกษาปีที่6 ได้รับการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม<br />
5) การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
น้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา (1) ปัญหาด้านการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงาน<br />
และมีการจัดวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผน และการตัดสินใจ (2) ปัญหาด้าน<br />
การกำหนดโครงสร้าง และระบบการบริหารที่สอดคล้องกับภารกิจของโรงเรียน อันดับสุดท้าย คือ มี<br />
ปัญหาด้านการกำหนดอำนาจหน้าที่ และขอบข่ายงานของบุคลากรแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน<br />
6) การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา (1) ปัญหาด้านแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียนระบุแหล่งวิทยาการภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการ (2) ปัญหา<br />
ด้านการใช้ยุทธศาสตร์ และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการเรียนการสอน การวัดและ<br />
การประเมิน ตลอดจนการบริหารจัดการ ตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎีหรือหลักวิชาที่ถูกต้อง และมีผล<br />
การวิจัยเชิงประจักษ์สนับสนุนประสิทธิภาพ และประสิทธิผล อันดับสุดท้ายคือ มีปัญหาด้าน<br />
ระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเห็นชอบ<br />
กับแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
92<br />
7) การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพ<br />
รวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา (1) ปัญหาด้านครูผู้สอนมีการรายงาน<br />
เป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไปตามแผนมากน้อยเพียงใด (2) ปัญหาด้านการกำกับ ติดตาม<br />
การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่<br />
กำหนดไว้ อันดับสุดท้ายคือ ปัญหาด้านการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/<br />
โครงการของโรงเรียน<br />
8) การพัฒนามาตรฐานการศึกษา มีปัญหาการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับ<br />
น้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายเรื่อง พบว่า มีปัญหา (1) ปัญหาด้านระบบการบริหารและระบบการทำงานที่<br />
มุ่งคุณภาพที่จะทำให้ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ (2) ปัญหาด้าน<br />
การจัดโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียน อันดับสุดท้าย คือ ปัญหา<br />
ด้านการพัฒนาทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่ง<br />
5.3.3 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรง<br />
เรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
5.3.4 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรง<br />
เรียน<br />
5.4 อภิปรายผล<br />
จากการศึกษาวิเคราะห์สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ได้ผลดังนี้<br />
สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา ตามระบบการประกัน<br />
คุณภาพภายในทั้ง 8 ขั้นตอนนั้น โดยภาพรวมมีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ซึ่งแตกต่างจากผลงาน<br />
วิจัยของเพ็ญศิริ ทานให้ (2544) ที่พบว่าการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยในสังกัด<br />
สถาบันพระบรมราชชนก เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสภาพการดำเนินการประกันโดยภาพ<br />
รวมมีการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง และอาภรณ์ พลเยี่ยม (2542) ที่พบว่า การดำเนินการตาม<br />
นโยบายการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทุกด้านมีการ<br />
ดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง และมีลักษณะคล้ายคลึงกับผลงานวิจัยของ ฉัตรชัย ต๊ะปินตา (2544)<br />
93<br />
ที่พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ใน<br />
เขตการศึกษา 6 มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่า โรงเรียนได้ให้ความสำคัญใน<br />
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ครูได้มีการพัฒนาตนเองอย่างทั่วถึง<br />
ตลอดจนมีการให้ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้ครูมีจิตสำนึกและมีความรู้สึกที่ดีต่อการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา ซึ่งเป็นแนวโน้มที่จะทำให้การประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนประสบความสำเร็จได้<br />
ส่วนปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามระบบการประกันคุณภาพภายในทั้ง 8 ขั้นตอน<br />
โดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อย แตกต่างจากผลงานวิจัยของ เพ็ญศิริ ทานให้(2544) ที่พบว่า ปัญหา<br />
การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง รวมถึงผลงานวิจัยของอาภรณ์ พลเยี่ยม<br />
(2542) และทำเนียบ มหาพรม(2543) ที่พบว่า สภาพปัญหาการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลางเช่น<br />
เดียวกัน และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ เจริญไชย ไชยวงศ์ (2539) ได้ศึกษาการนำเกณฑ์มาตรฐาน<br />
โรงเรียนประถมศึกษา ไปใช้ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา อำเภอแม่แตง จังหวัด<br />
เชียงใหม่ พบว่า มีปัญหาและอุปสรรคอยู่ในระดับน้อย และมีลักษณะคล้ายคลึงกับผลงานวิจัยของ<br />
สุระศักดิ์ ศรีปาน(2542) ที่พบว่า ปัญหาและอุปสรรคของการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนอาชีว<br />
ศึกษาเอกชน มีปัญหาและอุปสรรคอยู่ในระดับน้อย แสดงให้เห็นว่า โรงเรียนสามารถจัดการประกัน<br />
คุณภาพภายในได้ดี สามารถตอบสนองนโยบายตามแนวการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในได้<br />
มีการกระตุ้น และให้แนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน และมีการกำกับติดตาม<br />
ให้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ<br />
1. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ จากผลการวิจัยวิเคราะห์ได้ว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มี<br />
ระบบบริหารและสารสนเทศที่มีคุณภาพ ข้อมูลและสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นเครื่องชี้นำใน<br />
การบริหาร และการดำเนินงานทางการศึกษาได้ แต่นั่นหมายถึงข้อมูล และสารสนเทศเหล่านั้นจะต้อง<br />
มีคุณภาพทั้งในด้านความถูกต้อง เชื่อถือได้ มีความเป็นปัจจุบัน สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้ทันต่อ<br />
เหตุการณ์<br />
2. การพัฒนามาตรฐานการศึกษา จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ได้มี<br />
การเตรียมการร่วมกับคณะทำงานในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนอย่างต่อ<br />
เนื่อง รวมทั้งมีการเตรียมการจัดทำเครื่องมือตามเกณฑ์โดยทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งสถาบันส่งเสริม<br />
การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ<br />
(2542 : 53) ได้กล่าวไว้ว่า "การประกันคุณภาพภายในเป็นเรื่องของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา<br />
มิได้เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ และมิใช่เป็นการดำเนินงานแบบต่าง<br />
คนต่างทำ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและมีความเชื่อมโยงระหว่างภารกิจ<br />
94<br />
ต่าง ๆ ของสถานศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือมาตรฐานการศึกษาที่ต้องการ โดยจะต้องร่วมกัน<br />
กำหนดเป้าหมาย วางแผนการทำงาน ออกแบบการประเมินตนเอง แล้วช่วยกันทำและพัฒนาปรับปรุง<br />
ก็จะทำให้การประกันคุณภาพภายในมีความต่อเนื่อง และยั่งยืน"<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา จากผลการวิจัยวิเคราะห์ได้ว่า ในด้าน แผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนระบุแหล่งวิทยาการภายนอกที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการ<br />
มีสภาพการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง โรงเรียนจึงควรให้ผู้ปกครอง ชุมชน เข้ามามีบทบาท<br />
ในการร่วมคิดร่วมปฏิบัติงานกับโรงเรียนมากขึ้น สร้างความตระหนักให้แก่ผู้ปกครอง และชุมชนใน<br />
การเป็นเจ้าของโรงเรียนร่วมกัน เพื่อให้โรงเรียนได้รับความร่วมมือและได้รับความช่วยเหลือในกิจการ<br />
ต่าง ๆ ของโรงเรียน<br />
4. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในภาพรวมมีสภาพการดำเนินงานอยู่ใน<br />
ระดับมาก และมีปัญหาหารดำเนินงานอยู่ในระดับน้อย แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนได้มีการกำกับ ติดตาม<br />
การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่<br />
กำหนดไว้ และมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จตาม<br />
แผน และมีการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับมากเป็นอันดับสุดท้าย แสดงให้<br />
เห็นว่า โรงเรียนได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการทำความเข้าใจกับบุคลากรเพื่อให้ตระหนักถึง<br />
ความสำคัญของการแก้ปัญหาของโรงเรียนร่วมกัน ซึ่งหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขต<br />
การศึกษา 6 (2543 : 11) ที่ระบุว่า "ผู้บริหารสถานศึกษาต้องวางแผนในการดำเนินการสร้างความรู้<br />
ความเข้าใจ ความตระหนักและโน้มน้าวจูงใจให้ครู และบุคลากรยอมรับและผูกพันที่จะร่วมมือร่วมใจ<br />
ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ" เมื่อพิจารณา<br />
เป็นรายข้อ พบว่า ด้านครูผู้สอน มีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไปตามแผนมากน้อย<br />
เพียงใด มีสภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะเป็นเพราะว่า ครูผู้สอนไม่มีเวลาที่จะทำ<br />
การรายงาน เนื่องจากครูต้องสอนตลอดวัน และต้องรับผิดชอบงานพิเศษที่ผู้บริหารโรงเรียนมอบหมาย<br />
อีกด้วย สอดคล้องกับงานวิจัยของ ปรัชญา เวสารัชช์ สุจิตศิลารักษ์ และสุภางค์ จันทวานิช และคณะ<br />
(อ้างใน สุรพันธ์ สืบฟัก 2533) พบว่า ปริมาณความรับผิดชอบของครูมีมากเกินไป นอกเหนือจาก<br />
หน้าที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ครตู อ้ งมหี นา้ ที่ รบั ผดิ ชอบงานอนื่ ๆ ทั้งภายใน และ<br />
ภายนอกโรงเรียน ทำให้ครูไม่มีเวลาปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเต็มที่ จากสาเหตุดังกล่าวผู้<br />
วิจัยมีความเห็นว่า น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ครูเกิดความท้อแท้ ถดถอย ทำให้ขาดความรับผิด<br />
ชอบ ไม่มีความตระหนักในหน้าที่ของตนเอง เป็นการถอนตัวเชิงจิตวิทยา นั่นคือ แสดงอาการเฉื่อยชา<br />
ไม่ยินดียินร้าย ไม่กระตือรือล้น<br />
95<br />
5. การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา พบว่า ในสภาพการดำเนินงาน โรงเรียนมี<br />
การให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับปานกลาง น่าจะเป็นเพราะขาดการประชาสัมพันธ์ ขาดการเผยแพร่ความ<br />
รู้ความเข้าใจแก่บุคคลดังกล่าว จึงทำให้มีข้อจำกัดในการนำทรัพยากรบุคลในพื้นที่ตั้งของโรงเรียนมามี<br />
ส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบ<br />
ประกันคุณภาพภายใน เพราะระบบประกันคุณภาพการศึกษาเน้นนโยบายหลักในการกระจายอำนาจ<br />
การจัดการศึกษาโดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกกระบวน<br />
การ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกันคุณภาพภายในระดับโรงเรียน โรงเรียนจะต้องจัดทำด้วยความร่วม<br />
มือของทุกคนในชุมชน และในด้านปัญหาด้านให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามา<br />
มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษามีปัญหาอยู่ในระดับปานกลางเช่นเดียวกับ<br />
สภาพการดำเนินงานซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ สัญชาติ ตาลชัย (2542)<br />
ที่ได้ทำการศึกษาปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษา ซึ่งการวิจัยพบว่า<br />
งานด้านโรงเรียนกับชุมชนมีปัญหาอยู่ในระดับปานกลางเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า การนำผู้ทรง<br />
คุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน ให้<br />
เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนการประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนควรเพิ่มระดับการดำเนินงานให้<br />
มากขึ้น เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนร่วมกัน สอด<br />
คล้องกับแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ซึ่งหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญ<br />
ศึกษา (2542 : 50) ได้กำหนดบทบาทของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ไว้ว่า คณะกรรมการสถาน<br />
ศึกษา มีบทบาทในด้านการให้คำปรึกษา การให้การสนับสนุน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ<br />
ดำเนินงาน และรับทราบผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา<br />
6. การประเมินคุณภาพการศึกษา จากผลการวิจัยวิเคราะห์ได้ว่า ความเชื่อมโยงระหว่าง<br />
โรงเรียนกับผู้ปกครอง มีการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง ในการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
ผู้ปกครอง และชุมชนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการประเมินคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ดังนั้น<br />
การที่ผู้บริหารใช้ยุทธศาสตร์ในการติดต่อประสานงาน โน้มน้าวจูงใจ ให้ผู้ปกครองและชุมชน เข้ามามี<br />
ส่วนร่วมเป็นเจ้าของโรงเรียน เชื่อว่าความสำเร็จจากการดำเนินงานดังกล่าว จะช่วยให้การรักษา<br />
มาตรฐาน และคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเกิดผลดีต่อคุณภาพของ<br />
โรงเรียนอย่างแท้จริง<br />
96<br />
7. การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี จากผลงานวิจัยวิเคราะห์ได้ว่า สภาพการดำเนินงาน<br />
ด้านการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน<br />
ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน อยู่ในระดับปานกลาง<br />
อาจเกิดจากการจัดการยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะขาดงบประมาณดำเนินการ ซึ่งสอดคล้อง<br />
กับการศึกษาของ เจริญไชย ไชยวงศ์ (2539) ที่พบว่า ความเหมาะสมของงบประมาณที่สนับสนุน<br />
การดำเนินการ สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือการขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนงานและโครงการ<br />
และขาดการประชาสัมพันธ์ให้ผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาได้รับทราบนโยบาย วัตถุประสงค์ และ<br />
เป้าหมายของการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา จึงทำให้การติดตาม และรับข้อมูลย้อนกลับ<br />
กระทำได้ไม่ต่อเนื่อง<br />
8. การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา จากผลการวิจัยวิเคราะห์ได้ว่า โรงเรียนส่วน<br />
ใหญ่มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง<br />
ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน รวมถึงนำผลจากการตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพการศึกษามาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
ซึ่งแตกต่างจากผลงานวิจัยของ ฉัตรชัย ต๊ะปินตา(2544) ที่พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีการวางแผนใน<br />
การรักษามาตรฐานคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนภายหลังการประเมินน้อย<br />
5.5 ข้อเสนอแนะ<br />
ข้อเสนอแนะสำหรับกรมสามัญศึกษา<br />
1. การประกันคุณภาพภายใน จะต้องมีกฎเกณฑ์มาตรฐานที่แน่นอน โดยกรมสามัญศึกษา<br />
ควรจะกำหนดเกณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ควรให้แต่ละโรงเรียนเป็นผู้กำหนดตัวบ่งชี้ในแต่ละ<br />
มาตรฐาน<br />
2. กรมสามัญศึกษาควรจะสนับสนุนด้านงบประมาณในด้านการดำเนินการประกันคุณภาพ<br />
ภายใน แก่สถานศึกษาหลังจากได้รับการประเมินคุณภาพภายในแล้ว เพราะในการประเมินส่วนใหญ่<br />
ดูที่เอกสารซึ่งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร<br />
3. การตรวจสอบการประกันคุณภาพภายใน ควรมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง<br />
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร<br />
1. ผู้บริหารควรพัฒนาครู-อาจารย์ในโรงเรียน ให้ทุกคนตระหนักและเป็นส่วนหนึ่งของระบบ<br />
การประกันคุณภาพภายในที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ<br />
97<br />
2. ในการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนควรมีการพัฒนาบุคลากรในระดับ<br />
โรงเรียน ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะครู คณะกรรมการโรงเรียน ตัวแทนผู้ปกครองและชุมชน<br />
เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาพภายใน เพื่อให้การดำเนินงานประสบ<br />
ความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้<br />
3. ผู้บริหารควรให้บุคลากรทุกระดับ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการประกันคุณภาพ<br />
ภายใน กำหนดแนวปฏิบัติขั้นตอน รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน<br />
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย<br />
ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับระบบการดำเนินงานประกันคุณภาพภายนอกของโรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา หรือหน่วยงานทางการศึกษาอื่น เพื่อจะได้หาแนวทางในการปรับปรุง<br />
แก้ไขให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป<br />
บรรณานุกรม<br />
กระทรวงศึกษาธิการ. เส้นทางสู่ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา : แนวทางการดำเนินงานการปฏิรูป<br />
การศึกษา. กรุงเทพฯ : คุรุสภา. 2542.<br />
เข็มทอง ศิริแสงเลิศ. การวิเคราะห์ระบบประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน<br />
กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญดุษฏีบัณฑิต ภาควิชาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2540.<br />
จุฑา เทียนไทย และจินตนา ชาญชัยศิลป์. คู่มือการประกันคุณภาพการศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br />
กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. 2544.<br />
จุไรรัตน์ สุดรุ่ง. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา :กรณีศึกษาโรงเรียนที่ได้รับรางวัลพระราชทานในกรุงเทพมหานคร.<br />
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย. 2539.<br />
เจริญชัย ไชยวงศ์. การนำเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนประถมศึกษาไปใช้ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการ<br />
ประถมศึกษา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่. การค้นคว้าแบบอิสระ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2539.<br />
ฉัตรชัย ต๊ะปินตา. การเตรียมโรงเรียนเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในเขตการศึกษา 6. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร์. 2544.<br />
ทำเนียบ มหาพรหม. การติดตามการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษา โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธาน.ี วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหา<br />
บัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2543.<br />
นันทนา ศิริทรัพย์. การประกันคุณภาพการศึกษา, ในเอกสารประกอบการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง<br />
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา. จัดโดยสำนักมาตรฐานอุดมศึกษา ทบวงมหาวิยาลัย ณ<br />
โรงแรมผึ้งหวาน จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 15-17 กันยายน 2543.<br />
บุญทิพย์ สุริยวงศ์. ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002<br />
ของโรงเรียนมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา. . 2544(อัดสำเนา)<br />
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ. ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา<br />
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปฐมวัย. 26 พฤศจิกายน 2544. 2544.<br />
ประคอง กรรณสูตร. สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. ปทุมธานี : ศูนย์หนังสือ ดร.ศรีสง่า . 2538.<br />
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สำนัก<br />
ทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. 2540.<br />
เพ็ญศิริ ทานให้. การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก<br />
เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย<br />
ขอนแก่น. 2544.<br />
วรภัทร์ ภู่เจริญ. แนวทางการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : พิมพ์ดี. 2541.<br />
วันชัย ศิริชนะ. การพัฒนารูปแบบการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาสำหรับสถาบันอุดม<br />
ศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาอุดมศึกษา บัณฑิต<br />
วิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2537.<br />
สงบ ลักษณะ. การแสวงหาแนวคิดแนวปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาผ่านทางระบบประกัน.<br />
(ม.ป.ท). 2538.<br />
สถาบันส่งเสริมการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา<br />
แห่งชาติ. แนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา : เพื่อพร้อมรับการประเมินภายนอก.<br />
กรุงเทพฯ : พิมพ์ดี. 2543.<br />
สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์. การประกันคุณภาพการศึกษา : พลังและความหวัง.. 2542.(อัดสำเนา)<br />
สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์. การประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :<br />
http://WWW.moe.go.th/main2/article14.htm#A.0 2542.<br />
สามัญศึกษา,กรม. กลยุทธ์ ISO 9000 กับการประกันคุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ; หน่วยศึกษานิเทศก์<br />
กรมสามัญศึกษา, 2541 : 5-6<br />
. แนวทางการดำเนินงานการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ, กรุงเทพฯ : คุรุสภา<br />
ลาดพร้าว. 2542.<br />
สุระศักดิ์ ศรีปาน. ศึกษาสภาพการจัดการอาชีวศึกษา โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ตามแนวดำเนินการเพื่อ<br />
การประกันคุณภาพ ประเภทช่างอุตสาหกรรม เขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ปริญญา<br />
ครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรมมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุร.ี 2542.<br />
สุรพันธ์ สืบฟัก. การรับรู้ของผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อบทบาทของครูประถมศึกษา จังหวัดลำปาง.<br />
วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2533.<br />
สุวิมล ว่องวาณิช. คู่มือการประเมินผลภายในของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา:การออกแบบ<br />
การประเมินผลภายใน. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2543ก.<br />
.รายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนัก<br />
งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต.ิ 2543ข.<br />
สัมฤทธิ์ กางเพ็ง. แนวทางการพัฒนาโรงเรียนเพื่อเตรียมรับการประกันคุณภาพการศึกษา. วารสาร<br />
วิชาการ ปีที่ 4, ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2544 : 34-36<br />
สัมฤทธิ์ วิรัตน์ตนะ. การประเมินมาตรฐานคุณภาพการศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษา<br />
เขตการศึกษา 12. วารสารการวิจัยทางการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ธันวาคม 2537 : 24(1)<br />
สัญชาติ ตาลชัย. ศึกาาปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์. รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ . มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย<br />
มหาสารคาม. 2540.<br />
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. แนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา : เพื่อพร้อม<br />
รับการประเมินภายนอก. กรุงเทพฯ:สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา.<br />
2543.<br />
วิชาการ, กรม.ลำดับที่ 1. ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา : กรอบและแนว<br />
การดำเนินงาน. กรุงเทพฯ : สำนักงานทดสอบทางการศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 2 .แนวทางการจัดทำระบบสารสนเทศสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานทดสอบทาง<br />
การศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 3 .แนวทางการบริหารจัดการคุณภาพสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานทดสอบทาง<br />
การศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 4..แนวทางการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนัก<br />
งานทดสอบทางการศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 5. แนวทางการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายในของสถานศึกษา. กรุงเทพฯ :<br />
สำนักงานทดสอบทางการศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 6. แนวทางการรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนัก<br />
งานทดสอบทางการศึกษา. 2544.<br />
.ลำดับที่ 7. แนวทางการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยเขตพื้น<br />
ที่การศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานทดสอบทางการศึกษา. 2544.<br />
สำนักนโยบายและแผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม, สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ.<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 .2542.<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา. เอกสารชุดการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษาเล่ม2 :<br />
แนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. 2542<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 6. รายงานการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการ<br />
ประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา. ลพบุรี : ประเสริฐการพิมพ์. 2543.<br />
อาภรณ์ พลเยี่ยม. การศึกษาการดำเนินการตามนโยบายการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา<br />
มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2542.<br />
อุทุมพร จามรนาม. การประกันคุณภาพระดับอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง. 2543.<br />
Bergguist, W.H. Quality Through Access with Quality : the New Imperative for Higher<br />
Education. San Franciseo : Jossey-Bass. 1995.<br />
Brooks, Elizabetha. Quality Assurance and Improvement Planning and the Education of Special<br />
for Students.Disertation Abstracts International, 60(04) : 946 ; October 1999.<br />
Cuttance, P.Quality Assurance and Quality Management. Evaluation News & Comment. February.<br />
1993 : 18-23<br />
Department of Education and Science. Higher Education : A New Framework. London : HMSO.<br />
1991.<br />
Egloff, John Francis. Suggested Personnel Functions and Service of an Intermediate School<br />
District as Perceived by Constitute K-12 District Administrators, Dissertation Abstracts<br />
International. 1982.<br />
Newton, J. An Evaluation of the Impact of Extenal Quality Monitoring on a Higher Education<br />
Cokkege (1993-98). Assessment & Evaluation in Higher Education. Febrary . 1999 :215-235<br />
Nailor, Partricia Cook. Developing School Counselors as Change Agents for School of<br />
Tommorow. Dissertation Abstracts International, Johnson Wales University, 2000 (DAI-A<br />
CD-Rom. No AAT 9941907)<br />
Pattiricia , Broad Foot. Approach to Quality Assurance and Control in Other Countries. Paper<br />
Presented at the Annual Meeting of the American Education Research Association, April.<br />
1994.<br />
Stufflebeam, D.L. The Evaluation Center. [Online]. Available : http://www.wmich.edu/evalctr.. 1998.<br />
ภาคผนวก ก. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องระบบหลักเกณฑ์และ<br />
วิธีการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษา<br />
ขั้นพื้นฐานและปฐมวัย<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542<br />
กฎหมายแม่บททางการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย ที่บัญญัติมีหลายมาตราในส่วนที่เกี่ยวข้อง<br />
กับการประกันคุณภาพการศึกษา สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2542)<br />
"มาตรฐานการศึกษา" หมายความว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะคุณภาพที่พึงประสงค์ และ<br />
มาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่งและเป็นหลักเกณฑ์ในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริม<br />
และกำกับดูแล การตรวจตราและการประเมินผลและการประกันคุณภาพทางการศึกษา<br />
"การประกันคุณภาพภายใน" หมายความว่าการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและ<br />
มาตรฐานการศึกษา จากสถานศึกษาภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือหน่วยงานต้นสังกัด<br />
ที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้น<br />
"การประกันคุณภาพภายนอก" หมายความว่า การประเมินผลและการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพ<br />
และมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ<br />
การศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มี<br />
การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา<br />
มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา ที่กล่าวในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542<br />
ในหมวดที่ 6 จำนวน 5 มาตรา คือ มาตรา 47 - 51 ดังนี้<br />
มาตรา 47 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุก<br />
ระดับ ประกอบด้วยระบบการประกันคุณภาพภายในและระบบการประกันคุณภาพภายนอกระบบ หลักเกณฑ์<br />
และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
มาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษา จัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน<br />
สถานศึกษา และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้อง<br />
ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ<br />
เปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและเพื่อรับรองการประกัน<br />
คุณภาพภายนอก<br />
มาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษามีฐานะเป็นองค์กร<br />
มหาชน ทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษา<br />
เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมายและหลักการและแนวการจัด<br />
การศึกษาในแต่ละระดับที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้<br />
ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อย 1 ครั้ง ในทุก 5 ปีนับตั้งแต่<br />
การประเมินครั้งสุดท้ายและเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
มาตรา 50 ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้อง<br />
กับสถานศึกษา ตลอดจนให้บุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษารวมทั้งผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วน<br />
เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของสถาน<br />
ศึกษา ตามคำร้องขอของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา หรือบุคคล หรือหน่วย<br />
งานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรองรับที่ทำการประเมินคุณภาพ คุณภาพภายนอกของสถานศึกษานั้น<br />
มาตรา 51 ในกรณีที่ผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดให้สำนัก<br />
งานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษาจัดทำข้อเสนอแนะการปรับปรุงการแก้ไขต่อหน่วยงาน<br />
ต้นสังกัด เพื่อให้สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด หากมิได้ดำเนินการดังกล่าวให้สำนัก<br />
งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา รายงานต่อคณะ-กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ<br />
คณะกรรมการอุดมศึกษาเพื่อดำเนินการให้มีการปรับปรุงแก้ไข<br />
นโยบายการประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้พัฒนามาตรฐานการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
เพื่อใช้เป็นกรอบในการประเมินคุณภาพภายนอก และเป็นแนวทางให้หน่วยงานและสถานศึกษามุ่ง<br />
พัฒนาการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543)<br />
มาตรฐานและตัวบ่งชี้การศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ<br />
1. มาตรฐานการศึกษาด้านผู้เรียน<br />
(1) ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์<br />
(2) ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์<br />
คิดไตร่ตรอง และมีวิสัยทัศน์<br />
(3) ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร<br />
(4) ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองรักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง<br />
(5) ผู้เรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงาน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีเจตคติที่ดี<br />
ต่ออาชีพสุจริต<br />
(6) ผู้เรียนมีสุขนิสัย สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี<br />
(7) ผู้เรียนมีสุนทรียภาพและลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรีและกีฬา<br />
2. มาตรฐานด้านกระบวนการ<br />
(1) สถานศึกษามีการจัดองค์กร / โครงสร้าง และการบริหารงานอย่างเป็นระบบครบวงจรให้บรรลุ<br />
เป้าหมายการศึกษา<br />
(2) สถานศึกษาส่งเสริมความสัมพันธ์และร่วมมือกับชุมชนในการพัฒนาการศึกษา<br />
(3) สถานศึกษามีการจัดกิจกรรม และการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ<br />
3. มาตรฐานด้านปัจจัย<br />
(1) ผู้บริหารมีภาวะผู้นำและมีความสามารถในการบริหารจัดการ<br />
(2) ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ<br />
(3) ครูมีวุฒิ / ความรู้ ความสามารถตรงกับงานที่รับผิดชอบ และมีครูเพียงพอ<br />
(4) สถานศึกษามีหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น มีสื่อการเรียนการสอนที่เอื้อต่อ<br />
การเรียนรู้<br />
แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลประกอบการวิจัย<br />
เรื่อง ศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา<br />
ในกรุงเทพมหานคร<br />
คำชี้แจง แบบสอบถามชุดนี้ แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้<br />
ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ตอนที่ 2 สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
ขอความกรุณาจากท่าน โปรดตอบแบบสอบถามทุกข้อ และตรงตามความเป็นจริง คำตอบทั้งหมดจะใช้<br />
ประโยชน์ในการวิจัยเท่านั้น ดังนั้น ผลการวิจัยจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อท่าน จึงขอให้ตอบด้วยความสบายใจ<br />
ตามความเป็นจริง โดยคำตอบจะไม่มีถูกหรือผิด<br />
ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงได้รับความกรุณาจากท่านด้วยดี ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
คำชี้แจง โปรดกาเครื่องหมาย / ลงใน ( ) หน้าข้อความซึ่งตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวท่านมากที่สุด<br />
1. เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง<br />
2. อายุ ……………………ปี<br />
3. วุฒิทางการศึกษา ( ) ปริญญาตรี สาขา………………………………………………..<br />
( ) ปริญญาโท [ ] สาขาบริหารการศึกษา [ ] สาขาอื่น ๆ (โปรดระบุ)…………………<br />
( ) ปริญญาเอก สาขา………………………………………………<br />
( ) อื่นๆ โปรดระบุ.........…………………………………………….<br />
4. ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร...............ปี<br />
5. ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในโรงเรียนปัจจุบัน……………ปี<br />
6. ขนาดของโรงเรียนที่ท่านสังกัดอยู่<br />
( ) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ มีนักเรียนตั้งแต่ 2,500 คนขึ้นไป<br />
( ) โรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนตั้งแต่ 1,500 - 2,499 คน<br />
( ) โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียนตั้งแต่ 500 - 1,499 คน<br />
( ) โรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนไม่เกิน 499 คน<br />
ตอนที่ 2 สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
คำชี้แจง ตามที่โรงเรียนที่ท่านสังกัดอยู่ได้ดำเนินการตามมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษาผ่านไป 1 ปีการศึกษา<br />
แล้วนั้น ขอให้ท่านพิจารณาประเมินว่าสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามระบบมาตรฐานการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาดังกล่าว มีแนวโน้มตามรายการต่อไปนี้ มาก - น้อย เพียงใด โปรดเติมข้อความและกาเครื่องหมาย /<br />
ตรงกับผลการประเมินของท่าน โดยใช้เกณฑ์การประเมินค่าความคิดเห็นซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้<br />
5 หมายความว่า มีสภาพการดำเนินงาน / ปัญหา อยู่ในระดับ มากที่สุด<br />
4 หมายความว่า มีสภาพการดำเนินงาน / ปัญหา อยู่ในระดับ มาก<br />
3 หมายความว่า มีสภาพการดำเนินงาน / ปัญหา อยู่ในระดับ ปานกลาง<br />
2 หมายความว่า มีสภาพการดำเนินงาน / ปัญหา อยู่ในระดับ น้อย<br />
1 หมายความว่า มีสภาพการดำเนินงาน / ปัญหา อยู่ในระดับ น้อยที่สุด<br />
ข้อ ระดับการประเมิน<br />
ที่<br />
รายการ<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหา<br />
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
1 มีการกำหนดโครงสร้างและระบบการบริหารที่สอดคล้องกับ<br />
ภารกิจของโรงเรียน<br />
2 มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ และขอบข่ายงานของบุคลากรแต่ละ<br />
ตำแหน่งอย่างชัดเจน<br />
3 มีระบบการบริหารโดยใช้แบบโรงเรียนเป็นฐาน(SBM)<br />
4 มีการจัดวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผน<br />
และการตัดสินใจ<br />
5 มีการจัดระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา<br />
6 มีการจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียน<br />
7 มีการจัดระบบสารสนเทศการบริหารวิชาการ<br />
8 มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ<br />
9 มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงาน<br />
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
10 มีการแจ้งให้บุคลากรทุกคนรับทราบและเข้าใจในการตัดสินใจ<br />
ครั้งสำคัญ ๆ ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ<br />
11 มีการพัฒนาทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้<br />
สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่ง<br />
ข้อ ระดับการประเมิน<br />
ที่<br />
รายการ<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหา<br />
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
12 มีการปลูกฝังความภาคภูมิใจ และความเป็นเจ้าของสถานศึกษา<br />
ที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อผู้เรียน และความรับผิดชอบต่อสังคม<br />
แก่บุคลากร<br />
13 มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ปฏิบัติได้และได้รับการยอมรับจากทุกคน<br />
ในโรงเรียน<br />
14 มีการจัดโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้<br />
ในโรงเรียน<br />
15 มีระบบการบริหารและระบบการทำงานที่มุ่งคุณภาพที่จะทำให้<br />
ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้<br />
ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
16 การจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนมีความชัดเจน สอดคล้องกันอย่างสมเหตุสมผล<br />
17 มีระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร บุคลากรทุกฝ่ายใน<br />
โรงเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
18 บุคลากรทุกคนให้ความสนับสนุนและร่วมมือในการนำแผนสู่<br />
การปฏิบัติ<br />
19 มีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่สังเกตและวัดได้ในเชิง<br />
ปริมาณ<br />
20 มีการใช้ยุทธศาสตร์ และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการ<br />
เรียนการสอน การวัดและการประเมิน ตลอดจนการบริหาร<br />
จัดการ ตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎีหรือหลักวิชาที่ถูกต้อง และ<br />
มีผลการวิจัยเชิงประจักษ์ สนับสนุนประสิทธิภาพ และ<br />
ประสิทธิผล<br />
21 แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน มีการกำหนด<br />
รูปแบบ และวิธีการพัฒนาบุคลากรและสามารถปฏิบัติภารกิจ<br />
ตามแผนอย่างได้ผลดี<br />
22 แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนระบุแหล่งวิทยาการ<br />
ภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการ<br />
ข้อ ระดับการประเมิน<br />
ที่<br />
รายการ<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหา<br />
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
23 ผู้ปกครอง และชุมชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมและรับบทบาท<br />
สำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียน<br />
24 มีการประสานสัมพันธ์และระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ เช่น<br />
หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน สถาบันและมูลนิธิต่างๆ นำมา<br />
สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียน<br />
ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
25 มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุ<br />
เป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่<br />
กำหนดไว้<br />
26 มีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน/<br />
โครงการของโรงเรียน<br />
27 มีการดำเนินงานสำเร็จได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในแผน<br />
28 มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนิน<br />
งานบรรลุผลสำเร็จตามแผน<br />
29 ครูผู้สอนมีการรายงานเป็นระยะว่าได้ปฏิบัติอย่างไร เป็นไป<br />
ตามแผนมากน้อยเพียงใด<br />
ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
30 มีการกำหนดบุคลากรให้ดำเนินการ ตรวจสอบและทบทวน<br />
อย่างครบถ้วนและชัดเจน<br />
31 มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยบุคลากร<br />
ภายในโรงเรียน<br />
32 มีการตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาจากหน่วยงาน<br />
ต้นสังกัด<br />
33 ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปกครอง และชุมชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วน<br />
ร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
34 มีการสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ครู ผู้รับผิดชอบงาน/<br />
โครงการ ผู้บริหาร เป็นต้น เกี่ยวกับแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
ข้อ ระดับการประเมิน<br />
ที่<br />
รายการ<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหา<br />
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
35 มีเครื่องมือ ระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์<br />
ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
36 มีการจัดระบบการประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม<br />
37 มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการประเมิน<br />
38 ผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจเกณฑ์การประเมินของผู้เรียน<br />
39 มีการจัดให้ผู้เรียนชั้น ม.3 และม.6 ได้รับการประเมินผล<br />
สัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาแกนร่วม<br />
ขั้นตอนที่ 7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
40 มีการรายงานผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพตามแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และแผนปฏิบัติงานในรอบปี<br />
การศึกษา แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัด<br />
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชนรับทราบ<br />
41 มีการติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปี ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน<br />
หน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
42 มีผลการพัฒนาคุณภาพของตนบรรลุตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br />
43 มีการเขียนรายงาน แสดงหลักฐาน ข้อมูล และผลสัมฤทธิ์ของ<br />
สถานศึกษาในรอบปีการศึกษา<br />
44 มีการรายงานนำเสนอด้วยรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และจัด<br />
เก็บไว้ในระบบสารสนเทศ<br />
ขั้นตอนที่ 8 การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
45 มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาส่งเสริมพัฒนาการดำเนินงานของระบบประกันคุณ<br />
ภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
46 มีการนำข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปีมาประเมินประสิทธิภาพในการดำเนินงานของระบบ<br />
ประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
47 มีการนำผลจากการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษามา<br />
ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ข้อ ระดับการประเมิน<br />
ที่<br />
รายการ<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหา<br />
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
48 ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไขเพื่อกำหนด<br />
ยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานในรอบ<br />
ปีที่ผ่านมา<br />
49 ทุกฝ่ายร่วมกันประเมินทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดทำแผน<br />
พัฒนาโรงเรียน<br />
ท่านมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ขอให้ท่านโปรดระบุ<br />
...................................................................................................................................................................................................................<br />
..............................................................................................................................................................................................….…………<br />
……………………………………………………………………………………………………………………………………………<br />
……………………………………………………………………………………………………………………………………………<br />
……………………………………………………………………………………………………………………………………………<br />
……………………………………………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………...................................………………………………………………….<br />
ขอขอบพระคุณท่านที่ให้ข้อมูลเป็นวิทยาทานในการวิจัยเพื่อการศึกษา<br />
ประวัติผู้วิจัย<br />
ชื่อ - สกุล นายสมชาย ใจเที่ยง<br />
ที่อยู่ปัจจุบัน 24/2 หมู่ 3 ตำบล ปากคลองบางปลากด อำเภอ พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ<br />
รหัสไปรษณีย์ 10290<br />
โทรศัพท์ 0-2425-1247<br />
ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้<br />
ที่อยู่ 24/2 หมู่ 3 ตำบล ปากคลองบางปลากด อำเภอ พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ<br />
รหัสไปรษณีย์ 10290<br />
โทรศัพท์ 0-2425-1247<br />
ประวัติการศึกษา<br />
พ.ศ. 2515 ประถมศึกษา โรงเรียนศรีวิทยา<br />
พ.ศ. 2518 มศ.1-3 โรงเรียนสมุทรปราการ<br />
พ.ศ. 2522 ปกศ.สูง สถาบันราชภัฎธนบุรี<br />
พ.ศ. 2524 ปริญญาตรี สถาบันราชภัฎจันทรเกษม<br />
ผลงานทางวิชาการ<br />
- เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ง 014 งานเกษตรพื้นฐาน<br />
- รายงานการใช้และการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน<br />
ผลงานวิจัย<br />
- การศึกษาการงอกของเมล็ดฝ้ายในอุณหภูมิต่างกัน<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_14.html">ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_14.html">ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16046880/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-1694416472856006172011-08-14T03:06:00.001-07:002011-08-14T03:09:42.851-07:00ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)<a href="http://www.ziddu.com/download/16046880/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
เรื่อง ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
A STUDY OF CONDITION AND PROBLEMS<br />
OPERATION ON THE QUALITY ASSURANCE IN THE<br />
SECONDARY SCHOOLS OF THE GENERAL<br />
EDUCATION DEPARTMENT<br />
IN BANGKOK METROPOLITAN<br />
วิทยานิพนธ์<br />
ของ<br />
นายสมชาย ใจเที่ยง<br />
เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม<br />
หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา<br />
ปีการศึกษา 2545<br />
ISBN :<br />
ลิขสิทธิ์เป็นของสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
หัวข้อวิทยานิพนธ์ การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
โดย นายสมชาย ใจเที่ยง<br />
หลักสูตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.อรรณพ จีนะวัฒน์<br />
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์เกริก วยัคฆานนท์<br />
บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็น<br />
ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
………………………………………………คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย<br />
(รองศาสตราจารย์นันทา วิทวุฒิศักดิ์)<br />
วันที่………เดือน…………………พ.ศ……………<br />
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
………………………………………………ประธานกรรมการ<br />
(ศาสตราจารย์ ดร.สายหยุด จำปาทอง)<br />
……………………………………………….อาจารย์ที่ปรึกษา<br />
(อาจารย์ ดร.อรรณพ จีนะวัฒน์)<br />
……………….………………………….…...อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม<br />
(รองศาสตราจารย์เกริก วยัคฆานนท์)<br />
…………….…………………………………กรรมการ<br />
(อาจารย์ ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง)<br />
………………………………………….……กรรมการและเลขานุการ<br />
(รองศาสตราจารย์นันทา วิทวุฒิศักดิ์)<br />
การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
บทคัดย่อ<br />
ของ<br />
นายสมชาย ใจเที่ยง<br />
เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา<br />
ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา<br />
ปีการศึกษา 2545<br />
สมชาย ใจเที่ยง.(2545) การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต.<br />
กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.<br />
คณะกรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.อรรณพ จีนะวัฒน์<br />
รองศาสตราจารย์เกริก วยัคฆานนท์<br />
วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณ<br />
ภาพภายใน และเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดของโรงเรียน ประชากรที่ใช้ใน<br />
การศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร 116 คน เครื่องมือที่ใช้<br />
ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบและมาตราส่วนประมาณค่า โดยได้รับแบบสอบถาม<br />
คืนจำนวน 101 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 87.06 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS/FW<br />
เพื่อหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าความแปรปรวน แล้วนำมาประกอบคำ<br />
บรรยาย<br />
ผลการวิจัย<br />
1. สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถาน<br />
ศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัย 8 ขั้นตอน คือ 1) การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
2) การพัฒนามาตรฐานการศึกษา 3) การจัดทำแผนพัฒนามาตรฐานการศึกษา 4) การดำเนินงาน<br />
ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา 6) การประเมิน<br />
คุณภาพการศึกษา 7) การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี 8) การผดุงระบบการประกันคุณ<br />
ภาพการศึกษา ส่วนใหญ่มีสภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก และมีปัญหาการดำเนินงานอยู่ใน<br />
ระดับน้อย<br />
2. เปรียบเทียบสภาพและปัญหาการดำเนินงาน จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า ด้าน<br />
สภาพการดำเนินงาน โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการดำเนินงานมากกว่า โรงเรียนขนาดใหญ และ<br />
โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก ด้านปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โดยภาพรวม โรง<br />
เรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดกลางและเล็กมีปัญหาการดำเนินงานมากกว่าโรงเรียนขนาด<br />
ใหญ่พิเศษ<br />
A SUDY OF CONDITION AND PROBLEM OPERATION ON THE QUALITY<br />
ASSURANCE IN THE SECONDARY SCHOOLS OF THE GENERAL<br />
EDUCATION DEPARTMENT IN BANGKOK METROPOLITAN<br />
AN ABSTRACT<br />
BY<br />
MR.SOMCHAI CHAITHIANG<br />
PRESENTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS<br />
FOR THE MASTER OF EDUCATIONAL ADMINISTRATION<br />
ATRAJABHAT INSITUTE BANSOMDEJ CHAO PRAYA<br />
2002<br />
Somchai chaithiang.(2002).A Study of Condition and Problem Operation on the Quality<br />
Assurance in the Secondary Schools of the General Education Department in<br />
Bangkok Metropolitan.Master thesis, in Educational Administration Bangkok :<br />
Graduate School,RIB.<br />
Advisor Committee : Dr. Annop Jeenawathana<br />
Associate Professor Krerk Wayakanon<br />
The objectives were to study the condition problem operation on the quality assurance<br />
and compare the condition and problem operation on the quality assurance in the secondary<br />
schools of the General Education Department in Bangkok metropolitan based of school size. The<br />
data were analysed from the questionnaires returned by 101 principals of 87.06 percent of the<br />
population of 116 of the secondary schools of the General Education Department in Bangkok<br />
metropolitan. The mean, percentage, standard deviations and one way ANOVA were analysed by<br />
the SPSS/FW programme. Final results were descriptively presented.<br />
The findings were as follow:<br />
1. The condition and problem operation on the quality assurance in the secondary schools<br />
of the General Education Department in Bangkok metropolitan on the procedures :1) the<br />
management and information system. 2) the standard of education development. 3)the planning of<br />
the standard of education development. 4) the operation according to the plan of education<br />
development. 5) the evaluating and reviewing the quality of education. 6) the quality of education<br />
evaluation. 7) the annual report of the quality of education. 8) the maintaining assurance of<br />
education.<br />
2. The operation in the special size schools is more than the large size schools. Small,<br />
middle and large size schools have more problems than special size schools..<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………. ก<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ…………………………………………………………………………… ค<br />
ประกาศคุณูปการ……………………………………………………………………………….. จ<br />
สารบัญ……………….………………………………………………………………………….. ฉ<br />
สารบัญตาราง………….………………………………………………………………………… ฌ<br />
สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………... ฐ<br />
บทที่ 1 บทนำ………………………………………………………………………………… 1<br />
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา………………………………………… 1<br />
1.2 วัตถุประสงค์………………………………………………………………………4<br />
1.3 สมมติฐานในการวิจัย……………………………………………………………. 4<br />
1.4 ขอบเขตการวิจัย………………………………………………………………… 4<br />
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………. 5<br />
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ……………………………………………………… 7<br />
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………… 9<br />
2.1 การประกันคุณภาพการศึกษา…………………………………………………….. 10<br />
2.2 การประกันคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญ…………………………………… 12<br />
2.3 การประกันคุณภาพการศึกษาในระดับโรงเรียน…………………………………. 22<br />
2.4 มาตรฐานระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน……………………28<br />
2.5 การประเมินผลภายใน………………………………………………………………37<br />
2.6 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………… 40<br />
สารบัญ(ต่อ)<br />
หน้า<br />
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย………………………………………………………………………49<br />
3.1 ประชากร…………………………………………………………………………49<br />
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………… 51<br />
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………53<br />
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………… 54<br />
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์……………………………………………………………………… 55<br />
4.1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม…………………………………………… 56<br />
4.2 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร…………….… 58<br />
4.3 ผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร………………………………………68<br />
4.4 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
จำแนกตามขนาดโรงเรียน………………………………………………………… 78<br />
4.5 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
จำแนกตามขนาดโรงเรียน………………………………………………………… 82<br />
4.6 ผลการศึกษาข้อเสนอแนะสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ……………….. 85<br />
สารบัญ(ต่อ)<br />
หน้า<br />
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ………….…………………………………… 86<br />
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย………………………………………………………….86<br />
5.2 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………………………….. 86<br />
5.3 สรุปผลการวิจัย…………………………………………………………………. 87<br />
5.4 อภิปรายผล……………………………………………………………………… 92<br />
5.5 ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………. 96<br />
บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………. 97<br />
ภาคผนวก…………………………………………………………………………………….. 101<br />
ภาคผนวก ก. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องระบบหลักเกณฑ์และวิธีการประกัน<br />
คุณภาพภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัย .. 102<br />
ภาคผนวก ข. - หนังสืออนุมัติให้ดำเนินการทำวิทยานิพนธ์………...………….. 108<br />
- หนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเครื่องมือ<br />
ในการทำวิทยานิพนธ์…………………………………………… 109<br />
- หนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์………114<br />
ภาคผนวก ค. แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลประกอบการวิจัย……………………….117<br />
ประวัติผู้วิจัย…………………………………………………………………………………….123<br />
สารบัญตาราง<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบสภาพโรงเรียนที่มีระบบประกันคุณภาพ<br />
กับโรงเรียนที่ไม่มีระบบประกันคุณภาพ…………………………….…….. 26<br />
ตารางที่ 2 แสดงลักษณะภาพรวมของระบบสารสนเทศกับการจัดการบริหาร………... 29<br />
ตารางที่ 3 รายชื่อโรงเรียนโดยจำแนกตามขนาดของโรงเรียน……………………...… 49<br />
ตารางที่ 4 แสดงเกณฑ์การให้คะแนนของแบบสอบถามตอนที่ 2…………………..…... 53<br />
ตารางที่ 5 แสดงจำนวนและร้อยละของแบบสอบถามที่ส่งไปและได้รับกลับคืนมา…. 53<br />
ตารางที่ 6 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม……………………………………… 56<br />
ตารางที่ 7 แสดงผลการศึกษาสภาพดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร……………………………….. 58<br />
ตารางที่ 8 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบ<br />
บริหารและสารสนเทศ…….………………………….…..………………… 59<br />
ตารางที่ 9 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา<br />
มาตรฐานการศึกษา……. …………………………………………………… 60<br />
ตารางที่ 10 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา…….……………………………………………. 61<br />
ตารางที่ 11 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินงาน<br />
ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา…………………………………………… 62<br />
สารบัญตาราง (ต่อ)<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 12 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบ<br />
และทบทวนคุณภาพการศึกษา………………………………………………. 64<br />
ตารางที่ 13 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 6<br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา………………………………………………. 65<br />
ตารางที่ 14 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 7 การรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปี …………………………………………………. 66<br />
ตารางที่ 15 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 8 การผดุงระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา ………………….…………………………… 67<br />
ตารางที่ 16 แสดงผลการศึกษาปัญหาดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร…………. 68<br />
ตารางที่ 17 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบ<br />
บริหารและสารสนเทศ……….………………………………………… 69<br />
สารบัญตาราง(ต่อ)<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 18 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา<br />
มาตรฐานการศึกษา…………………………………………………………. 70<br />
ตารางที่ 19 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษา ………………….………………………………… 71<br />
ตารางที่ 20 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินงาน<br />
ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา…………………………………………… 73<br />
ตารางที่ 21 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบ<br />
และทบทวนคุณภาพการศึกษา………………………………………………. 74<br />
ตารางที่ 22 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 6 การประเมิน<br />
คุณภาพการศึกษา …………………………………………………………… 75<br />
ตารางที่ 23 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 7 การรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปี………………..…………………………………. 76<br />
สารบัญตาราง(ต่อ)<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 24 แสดงผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 8 การผดุงระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา………………………………………………. 77<br />
ตารางที่ 25 การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการดำเนินงาน<br />
ประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา<br />
ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน…………………………… 78<br />
ตารางที่ 26 ผลการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ของสภาพ<br />
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน…… 80<br />
ตารางที่ 27 การวิเคราะห์ความแปรปรวน ความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาการดำเนินงาน<br />
ประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา<br />
ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน…………………………… 82<br />
ตารางที่ 28 ผลการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ของปัญหา<br />
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน……. 84<br />
ตารางที่ 29 ข้อเสนอแนะในการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน……………………… 81<br />
สารบัญภาพ<br />
หน้า<br />
ภาพที่ 1 แสดงกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย……………………………………….. 8<br />
ภาพที่ 2 แสดงการควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพภายในและจากภายนอก..… 10<br />
ภาพที่ 3 แสดงการประกันคุณภาพ………………………………………….. 25<br />
บทที่ 1<br />
บทนำ<br />
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา<br />
โลกในยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่แต่ละประเทศต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ทันกับ<br />
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยปัจจัยที่สำคัญ<br />
ที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ คุณภาพของคน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ<br />
จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยผ่านกระบวนการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อทำให้ศักยภาพที่มีอยู่<br />
ในตัวตนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่<br />
การจัดการศึกษาไทยจึงต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาทั้งในส่วนที่เป็นปัจจัยกระบวน<br />
การ และผลผลิต เพื่อเตรียมคนให้มีคุณลักษณะ "มองกว้าง คิดไกล ใฝ่ดี"(บุญทิพย์ สุริยวงศ์ 2544 : 1)<br />
นั่นคือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ และคุณภาพจะต้องได้มาตรฐานขั้นต่ำทัดเทียมกันทั่วประเทศ แต่<br />
จากอดีตถึงปัจจุบันคุณภาพการจัดการศึกษาของไทย มีโรงเรียนบางโรงเรียนเท่านั้นที่ได้รับความนิยม<br />
จากผู้ปกครอง เนื่องจากมีความเชื่อด้านคุณภาพของแต่ละโรงเรียน การจัดการศึกษาจึงต้องเร่งพัฒนา<br />
ให้มีคุณภาพทัดเทียมกัน เพื่อพัฒนาศักยภาพของโรงเรียนให้มีความเชื่อมั่น ความศรัทธาแก่ผู้ปกครอง<br />
(สัมฤทธิ์ กางเพ็ง 2544 :34)<br />
กระแสแห่งความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีมาตลอดทุกยุคสมัย<br />
เพิ่มความรุนแรง และความเข้มข้นมากขึ้นด้วยกระแสผลักดันจากสภาวะโลกาภิวัตน ์ ความต้องการ<br />
และกระแสเรียกร้องจากผู้รับผลจากการจัดการศึกษา เช่น ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม เป็นต้น<br />
บุคคลในวงการศึกษาจึงได้แสวงหาวิธีการต่างๆ ที่จะสร้างความมั่นใจในคุณภาพของการจัดการศึกษา<br />
โดยเน้นพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบต่อผู้รับ<br />
บริการทางการศึกษาโดยตรง ให้มีการดำเนินการทั้งด้านปัจจัย กระบวนการและผลผลิต ให้มีมาตร<br />
ฐานการศึกษาตามที่กำหนด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับของการประกันคุณภาพการ<br />
ศึกษา แต่จากสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน พบว่า ยังมีปัญหาอยู่หลายประการ เช่น นักเรียนที่จบการ<br />
ศึกษามีคุณภาพยังไม่เป็นที่พึงพอใจของสังคม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยังไม่เชื่อมั่น ศรัทธา และยอมรับ<br />
ในคุณภาพการศึกษา ความไม่ทัดเทียมกันในคุณภาพการศึกษา ขาดระบบการประเมินมาตรฐาน ขาด<br />
ระบบตรวจสอบภายใน ขาดแรงจูงใจให้โรงเรียนมีการพัฒนา การประกันคุณภาพจึงเป็นมาตรการ<br />
2<br />
หนึ่งที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น และแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาได้ (สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ 2542 : 1) ทั้งนี้<br />
กระทรวงศึกษาธิการ(2542 : 2-4) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาและความจำเป็นที่ต้องมีการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษา ไว้ดังนี้<br />
(1) ผู้จบการศึกษายังไม่มีคุณภาพในระดับที่สังคมพอใจ<br />
(2) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดการศึกษา ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการจัดการศึกษาได้<br />
อย่างสะดวกและทั่วถึง<br />
(3) โรงเรียนต่าง ๆ นำหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนไม่เท่าเทียมกันตามมาตรฐาน<br />
กลาง<br />
(4) ขาดมาตรการที่จะกำกับให้โรงเรียนดำเนินการพัฒนาคุณภาพ การจัดการเตรียมการสอน<br />
ตามแนวทางการใช้หลักสูตรให้ได้ผลสำเร็จอย่างจริงจัง<br />
(5) ขาดแรงจูงใจ และการเสริมแรงเพื่อยกย่องให้เกียรติ ให้รางวัลแก่บุคลากรในโรงเรียน<br />
ที่มีผลปฏิบัติงานสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐาน<br />
(6) ความสามารถของนักเรียนไทยยังไม่อาจเทียบกับมาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียนชาติ<br />
อื่นๆ ได้<br />
ดังนั้น การประกันคุณภาพการศึกษาถือเป็นมาตรการที่จะนำเอากระบวนการยกมาตรฐาน<br />
ของโรงเรียนที่ยังไม่ได้มาตรฐานผลักดันให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด<br />
การประกันคุณภาพการศึกษาจึงเป็นวิธีการใหม่ในการปรับปรุง พัฒนาคุณภาพของการศึกษา<br />
อย่างเป็นระบบ เป็นการประกันคุณภาพของกระบวนการบริหาร และการให้บริการทางการศึกษา<br />
เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกิดความมั่นใจในคุณภาพการบริหารการจัดการของหน่วยงานที่จัดการศึกษา<br />
โดยตรง คือ โรงเรียน และส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิต คือ นักเรียนที่จบการศึกษา โดยเน้นการกำกับ<br />
ควบคุม การดำเนินงานทุกขั้นตอน มีการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็น<br />
ความจำเป็นอย่างยิ่งที่สถานศึกษา รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบทางการศึกษาจะต้องมีความตระหนัก<br />
และให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และนำระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
มาปฏิบัติอย่างจริงจัง<br />
หลังจากที่กรมสามัญศึกษาได้กำหนดแนวทางการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของ<br />
สถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ(ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 2544 : 1) ได้กำหนดระบบประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยกำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัด และสถานศึกษาจัดให้มีระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้องว่า ผู้เรียนทุกคน<br />
จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพจากสถานศึกษา เพื่อการพัฒนาความรู้ ความสามารถและคุณลักษณะที่<br />
3<br />
พึงประสงค์ ตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ<br />
โดยยึดหลักว่า ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร<br />
การศึกษา ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย<br />
(1) การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
(2) การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
(3) การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
(4) การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
(5) การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
(6) การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
(7) การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
(8) การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
โดยให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา ส่งเสริม สนับสนุน และกำกับดูแลสถานศึกษาใน<br />
สังกัดให้เป็นไปตามกระบวนการพัฒนาคุณภาพดังกล่าว<br />
ระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ก็คืองานที่สถานศึกษาปฏิบัติอยู่นำมาจัดให้เป็น<br />
ระบบที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ สม่ำเสมอและต่อเนื่อง สร้าง<br />
ความมั่นใจต่อสังคมได้ว่าสถานศึกษามีศักยภาพในการจัดการศึกษารายงานต่อสาธารณชนได้ว่าผู้เรียน<br />
ทุกคนของสถานศึกษาได้รับการเรียนรู้หรือไม่เพียงใด ใช้วิธีการใดในการพัฒนาผู้เรียน และทราบได้<br />
อย่างไรว่าผู้เรียนทุกคนเกิดการเรียนรู้ ตลอดจนต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกบ้าง เพื่อให้ผู้เรียน<br />
ทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ที่เขยิบสูงขึ้น สามารถบรรลุผลตามมาตรฐานที่สถานศึกษากำหนดให้สูงขึ้นตาม<br />
ศักยภาพของผู้เรียนเช่นกัน<br />
จากข้อมูลข้างต้น แสดงว่าสถานศึกษายังต้องการได้รับการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ<br />
การประกันคุณภาพภายใน ซึ่งหน่วยงานต่างๆ จะต้องดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร่งด่วนเพื่อให้โรงเรียน<br />
มีการประกันคุณภาพภายในให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาต ิ พ.ศ. 2542 ที่สอดคล้อง<br />
กับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน<br />
สถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัย ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะข้าราชการครู ในสังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีความสนใจที่จะศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกัน<br />
คุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามประกาศ<br />
กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา<br />
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัย<br />
4<br />
1.2 วัตถุประสงค์<br />
1. เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
2. เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
3. เพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร โดยเปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน ซึ่งแบ่ง<br />
เป็น 3 ขนาด คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
1.3 สมมติฐานในการวิจัย<br />
โรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน มีสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในต่างกัน<br />
1.4 ขอบเขตการวิจัย<br />
ขอบเขตของเนื้อหา<br />
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงาน เกี่ยวกับการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปฐมวัย ของกระทรวง<br />
ศึกษาธิการ<br />
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา<br />
1. ตัวแปรอิสระ<br />
- ขนาดของโรงเรียนมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่<br />
และโรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
2. ตัวแปรตาม ได้แก่<br />
สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียน ตามระบบ หลักเกณฑ์ และ<br />
วิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปฐมวัย ของ<br />
กระทรวงศึกษาธิการ 8 ขั้นตอน คือ (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ, 2544)<br />
1. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
2. การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
5<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
4. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
5. การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
6. การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
7. การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
8. การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ประชากร<br />
ประชากรที่นำมาศึกษาในการวิจัยน ี้ เป็นผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษา<br />
ในกรุงเทพมหานครจำนวน 116 โรงเรียน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยศึกษาจากประชากร<br />
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง กระบวนการดำเนินงานของสถานศึกษาตามพันธกิจ<br />
ที่ได้ร่วมกันกำหนดขึ้น เพื่อให้ผลผลิตของการจัดการศึกษามีคุณภาพอันพึงประสงค์ตามความคาดหวัง<br />
ของผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม<br />
การประกันคุณภาพภายใน หมายถึง การประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาตาม<br />
กระบวนการและปัจจัยการประกันคุณภาพ โดยมุ่งเน้นการประเมินผล การติดตามตรวจสอบคุณภาพ<br />
และมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดย<br />
หน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้น<br />
สภาพการดำเนินงาน หมายถึง การจัดการหรือการกระทำใด ๆ ตามระบบประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและปฐมวัย ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่ง<br />
เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย<br />
1. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ หมายถึง การจัดโครงสร้างการบริหาร จัดการให้<br />
เอื้อต่อการดำเนินงานและจัดให้มีข้อมูลที่เพียงพอในการจัดการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อ<br />
นำมากำหนดวิสัยทัศน์ภารกิจ และแผนพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา<br />
2. การพัฒนามาตรฐานการศึกษา หมายถึง การดำเนินงานของโรงเรียนเพื่อกำหนด<br />
เกี่ยวกับคุณลักษณะ และ/หรือคุณภาพที่พึงประสงค์ที่สถานศึกษาต้องการให้เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้น<br />
มาตรฐานด้านผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่หลักสูตรกำหนด ตลอดจน<br />
ความต้องการของต้นสังกัดและชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่<br />
6<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา หมายถึง การดำเนินการจัดทำแผนอย่างเป็น<br />
ระบบบนพื้นฐานข้อมูลของสถานศึกษา ประกอบดว้ ยเปา้ หมาย ยุทธศาสตร และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน<br />
สมบูรณ์ ครอบคลุมการพัฒนาทุกกิจกรรมที่เป็นส่วนประกอบหลักของการจัดการศึกษา และเป็น<br />
ที่ยอมรับร่วมกันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นำไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของแต่ละกิจกรรม<br />
ที่กำหนดอย่างสอดรับกับวิสัยทัศน์และมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
4. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา หมายถึง การปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตาม<br />
แผนที่กำหนด ตลอดจนการกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องให้บรรลุเป้าหมายตามแผน<br />
พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาที่กำหนดไว้ โดยจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน /<br />
โครงการของสถานศึกษา<br />
5. การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา หมายถึง การตรวจสอบและทบทวนภายใน<br />
โดยบุคลากรในสถานศึกษาดำเนินการและการตรวจสอบและทบทวนจากหน่วยงานต้นสังกัด<br />
6. การประเมินคุณภาพการศึกษา หมายถึง การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในระดับชั้นที่<br />
เป็นตัวประโยค ได้แก่ ประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในวิชาแกนร่วม โดย<br />
ใช้แบบทดสอบมาตรฐานโดยหน่วยงานส่วนกลางร่วมกับต้นสังกัด (เขตพื้นที่) ดำเนินการ<br />
7. การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี หมายถึง การนำข้อมูลผลการประเมินมาตรฐาน<br />
คุณภาพการตรวจสอบ และทบทวนภายในและภายนอกมาประมวลรายงานผลการพัฒนาคุณภาพ<br />
ประจำปีการศึกษา ซึ่งจะนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาคุณภาพต่อไป<br />
8. การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง กลไกส่วนหนึ่งของระบบประกัน<br />
คุณภาพภายใน เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการส่งเสริมพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน<br />
ของระบบประกันคุณภาพ<br />
ปัญหาการดำเนินงาน หมายถึง การจัดการ หรือการกระทำใด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามนโยบาย<br />
เป้าหมายหรือเกณฑ์ ตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้น<br />
ฐานและปฐมวัย ของกระทรวงศึกษาธิการ<br />
ผู้บริหาร หมายถึง ผู้บริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ใน<br />
กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้แก่ ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ หรือตำแหน่งครูใหญ่<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา หมายถึง โรงเรียนที่เปิดทำการสอนระดับมัธยมศึกษา ที่สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
7<br />
ขนาดของโรงเรียนมัธยมศึกษา หมายถึง โรงเรียนที่จำแนกตามจำนวนนักเรียน โดยแบ่งเป็น<br />
3 ขนาด ตามเกณฑ์ของกรมสามัญศึกษา คือ<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 2,499 คนขึ้นไป<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,500 - 2,499 คน<br />
โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,499 คนลงมา<br />
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />
1. ทำให้ทราบสภาพการดำเนินงานเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และใช้<br />
เป็นแนวทางในการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนต่อไป<br />
2. ทำให้ทราบปัญหา และอุปสรรคในการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยม<br />
ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ข้อมูลนำมาใช้เป็นแนวทางในการแก้<br />
ปัญหาการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน<br />
3. เพื่อให้ผู้บริหาร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในด้านการพัฒนา<br />
บุคลากร และใช้วิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาพัฒนาประสิทธิภาพ ในการจัดการประกัน<br />
คุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
8<br />
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย<br />
การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา<br />
สภาพการดำเนินงาน ปัญหาการดำเนินงาน<br />
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน<br />
สถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและ<br />
ปฐมวัย ของกระทรวงศึกษาธิการ<br />
1. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
2. การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
3. การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
4. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
5. การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
6. การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
7. การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
8. การผดุงระบบการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูล<br />
ประกอบการศึกษาวิเคราะห์ อภิปรายผลการวิจัย จำแนกได้ดังต่อไปนี้<br />
2.1 การประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2.2 การประกันคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญ<br />
2.3 การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับโรงเรียน<br />
2.4 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
2.5 การประเมินผลภายใน<br />
2.6 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
2.1 การประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2.1.1 ความหมายของการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ (2542 : 2) ได้ให้ความหมายว่า "การประกันคุณภาพการศึกษา"<br />
หมายถึง การประกันคุณภาพของกระบวนการบริหารงานในสถานศึกษาว่า ได้มีการวางแผน<br />
การทำงานและดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผลผลิตของโรงเรียนมีคุณภาพตรงตาม<br />
มาตรฐานการศึกษา และตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และผู้รับบริการ<br />
หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความพึงพอใจ<br />
วันชัย ศิริชนะ (2537 : 10) ได้ให้ความหมาย "การประกันคุณภาพการศึกษา" ไว้ว่า<br />
หมายถึง กระบวนการ หรือกลไกใด ๆ ที่เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วจะทำให้เกิดการดำรงซึ่งคุณภาพ<br />
การศึกษา ให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการป้องกันผลประโยชน์ของผู้เรียน ผู้ปกครอง<br />
นายจ้าง ตลอดจนสังคมโดยส่วนรวม รวมถึงกระบวนการหรือกลไกใด ๆ ที่ริเริ่มขึ้น ภายในสถาน<br />
ศึกษาเองหรือหน่วยงานภายนอก<br />
สัมฤทธิ์ กางเพ็ง (2544 : 35) กล่าวว่า "การประกันคุณภาพการศึกษา" เป็น<br />
กระบวนการวางแผนและกระบวนการจัดการของผู้ที่รับผิดชอบจัดการศึกษา ที่จะรับประกันให้สังคม<br />
เชื่อมั่นว่าจะพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้ครบถ้วนตามมาตรฐานคุณภาพที่ระบุไว้ในหลักสูตร<br />
10<br />
และตรงกับความมุ่งหวังของสังคมและชุมชน โดยยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ การกระจาย<br />
อำนาจ การมีส่วนร่วม และการควบคุมคุณภาพ<br />
อุทุมพร จามรมาน (2543 : 1) ให้ความหมาย "การประกันคุณภาพการศึกษา"<br />
หมายถึง การควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพภายในและจากภายนอก แล้วตัดสินตามเกณฑ์<br />
ซึ่งการประกันคุณภาพการศึกษา เกี่ยวข้องกับคำอีก 4 คำ คือ Quality Control, Quality Audit, Quality<br />
Accreditation และ Quality Assessment ซึ่งจะได้อธิบายความเกี่ยวข้องกันดังเขียนเป็นสมการได้ดังนี้<br />
Quality Assurance = f (Quality Control, Quality Audit, Quality Assessment)<br />
1. การควบคุมคุณภาพ หมายถึง การดำเนินงานตามแผนที่วางไว้อย่างรัดกุมทุก<br />
2. การตรวจสอบคุณภาพ แยกได้เป็น<br />
- การตรวจสอบคุณภาพจากภายใน เป็นการตรวจสอบคุณภาพโดยหน่วยงาน<br />
นั้นเอง ตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น<br />
- การตรวจสอบคุณภาพจากภายนอก เป็นการตรวจสอบคุณภาพโดยหน่วยงาน/<br />
กลุ่มภายนอกตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น<br />
3. การรับรองคุณภาพ หมายถึง การรับรองหรือไม่รับรองคุณภาพตามมาตรฐาน<br />
ซึ่งบางครั้งเป็นมาตรฐานทางกายภาพ เช่น พื้นที่ จำนวนอุปกรณ์ ฯลฯ<br />
4. การประเมินคุณภาพ เป็นการหาข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับคุณภาพ<br />
ของผลผลิต/บริการของหน่วยงานตามเกณฑ์ที่กำหนด ในประเทศอังกฤษและสก๊อตแลนด์ หมายถึง<br />
การทบทวนและตัดสินผลโดยหน่วยงาน/กลุ่มภายนอก โดยเน้นเฉพาะด้านการเรียนการสอนเท่านั้น<br />
ภาพที่ 2 การควบคุมคุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพภายในและจากภายนอก<br />
ที่มา : เพ็ญศิริ ทานให้.การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรม<br />
ราชชนก เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2544 : 11<br />
การควบคุมและตรวจสอบคุณภาพภายใน<br />
การตรวจสอบคุณภาพโดยภายนอก<br />
การตัดสินผล<br />
การแจ้งสาธารณชน<br />
การประเมินคุณภาพ<br />
การประเมินคุณภาพ<br />
11<br />
กรมการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ(Department of Education and Science<br />
1991 : 16) ให้ความหมายว่า "การประกันคุณภาพการศึกษา" หมายถึง กระบวนการศึกษา หรือกลไก<br />
ใดๆ ที่จะรักษาไว้ซึ่งคุณภาพของการศึกษาให้ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
คัทแทนซ์ (Cuttance 1993 : 18) กล่าวว่า "การประกันคุณภาพการศึกษา" หมายถึง<br />
กลยุทธ์ที่ได้วางแผนไว้อย่างเป็นระบบ และการปฏิบัติงานที่ได้มีการออกแบบไว้โดยเฉพาะ เพื่อรับ<br />
ประกันว่ากระบวนการได้รับการกำกับดูแล รวมถึงการปฏิบัติงานนั้นไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ตลอดเวลา<br />
"การประกันคุณภาพการศึกษา" เกิดจากการรวมแนวคิด 2 แนวคิด คือ แนวคิด<br />
เกี่ยวกับการประกันคุณภาพ และแนวคิดเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา ประเทศที่ริเริ่มพัฒนาแนวคิด<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา คือ ประเทศอังกฤษซึ่งได้เริ่มนำแนวคิดเกี่ยวกับการประกันคุณภาพไป<br />
ใช้ในสถานศึกษา ในปี 1988 และในปี 1992 ได้เริ่มใช้มาตรฐาน BS 5750 หรือ ISO 9000 นี้ ทำให้<br />
เกิดแนวทางสำหรับการปฏิบัติของโรงเรียนเพื่อประกันคุณภาพการศึกษาขึ้นและแนวคิดนี้ได้แพร่หลาย<br />
ไปยังประเทศต่างๆ ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน<br />
คุณภาพการศึกษา เน้นการผสมผสานคุณภาพ 3 ส่วน คือ<br />
1) คุณภาพตามมาตรฐานทางการศึกษา<br />
2) คุณภาพตามความต้องการของผู้รับบริการ<br />
3) คุณภาพตามความมุ่งหมายของผู้ให้บริการ<br />
โดยคุณภาพ 2 ส่วนแรกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณภาพส่วนที่ 3 เกิดขึ้นก่อน ซึ่ง<br />
ได้แก่ กระบวนการบริหารการศึกษามีคุณภาพ ดังนั้น เมื่อนำหลักการของการประกันคุณภาพที่เน้น<br />
การวางแผนและการกระทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าผลการปฏิบัติงานจะบรรลุถึง<br />
มาตรฐานที่เป็นข้อกำหนดได้ตลอดเวลา มาใช้กับกระบวนการบริหารการศึกษา<br />
สรุป การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง กิจกรรมหรือการปฏิบัติการใดๆ ที่หาก<br />
ได้ดำเนินการตามระบบและแผนที่ได้วางไว้แล้ว จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าจะได้ผู้เรียนที่มีคุณภาพ<br />
ตามคุณลักษณะที่ประสงค์ และการประกันคุณภาพจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อได้มีการประเมินผล<br />
การดำเนินการของระบบการผลิตผู้เรียน และปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้<br />
มีการทบทวน และติดตามกระบวนการผลิตได้โดยใกล้ชิด<br />
12<br />
2.1.2 ความหมายของการประกันคุณภาพภายใน<br />
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 4 (2542 : 3) ให้ความหมายไว้ว่า<br />
"การประกันคุณภาพภายใน" หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพ และ<br />
มาตรฐานการศึกษา จากสถานศึกษาภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือหน่วยงานต้น<br />
สังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้น<br />
จุฑา เทียนไทย และจินตนา ชาญชัยศิลป์(2544 : 7) ได้ให้ความหมายว่า "การประกัน<br />
คุณภาพภายใน" หมายถึง กิจกรรมการควบคุมคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยการดำเนินการของ<br />
สถานศึกษา เพื่อให้มีความมั่นใจว่าสถานศึกษาดำเนินการตามภารกิจอย่างมีคุณภาพ<br />
สรุป การประกันคุณภาพภายใน หมายถึง การประเมินผล และการติดตามตรวจสอบ<br />
คุณภาพมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายในโรงเรียน โดยบุคลากรของสถานศึกษาหรือ<br />
หน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่ดูแลสถานศึกษานั้นทำหน้าที่ในการประเมินผลและติดตามตรวจสอบเอง<br />
2.2 การประกันคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษา<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา เป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานทดสอบ<br />
ทางการศึกษา กรมวิชาการเป็นหน่วยงานในการกำหนดนโยบาย และรูปแบบในการสร้างระบบ<br />
ประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษาในฐานะผู้ปฏิบัติได้นำเอานโยบายมาปฏิบัติตาม โดยหน่วย<br />
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา ได้กำหนดนโยบายของกรมสามัญศึกษา ( 2542 : 5) ดังนี้<br />
2.2.1 วัตถุประสงค์การประกันคุณภาพการศึกษา<br />
1) เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและ<br />
ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาจากองค์การประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2) เพื่อให้ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม เกิดความเชื่อมั่นว่าโรงเรียนสามารถจัดการศึกษา<br />
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักเรียนที่จบการศึกษามีคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา เป็นที่<br />
ยอมรับของสังคม<br />
3) เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียน<br />
13<br />
2.2.2 เป้าหมาย<br />
1) ในปี 2541 - 2542 สถานศึกษาทุกแห่งมีการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2) ภายในปี 2543 สถานศึกษาที่มีการประกันคุณภาพการศึกษาผ่านการประเมินผล<br />
หรือตรวจสอบและปรับปรุงคุณภาพการศึกษาภายใน<br />
3) ภายในปี 2545 สถานศึกษาที่ดำเนินการจัดการประกันคุณภาพผ่านการประเมิน<br />
คุณภาพและรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30<br />
4) ภายในปี 2548 สถานศึกษาที่ดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา ผ่านการประเมิน<br />
ผลและรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60<br />
5) ภายในปี 2550 สถานศึกษาที่มีระบบการประกันคุณภาพทุกแห่ง ผ่านการประเมิน<br />
และรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
2.2.3 นโยบายและมาตรการในการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
1) นโยบาย<br />
(1) เร่งรัดพัฒนาให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน เพื่อพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน โดยมุ่งเน้นให้มีการสร้างกลไกควบคุมคุณภาพ<br />
การตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินคุณภาพ<br />
(2) ส่งเสริมให้โรงเรียนมีการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาและรักษา<br />
เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สังคมได้ทราบ<br />
(3) ส่งเสริมให้มีการนิเทศ กำกับ ติดตาม ช่วยเหลือ สนับสนุน การพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียนให้เข้าสู่มาตรฐานการศึกษา และสนับสนุนให้โรงเรียนได้รับการประเมินเพื่อ<br />
รับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
(4) ขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี และเน้นการสร้างทีมงาน การกระจายอำนาจ<br />
ในการบริหาร<br />
(5) ส่งเสริมให้มีการร่วมคิดร่วมทำ ตลอดจนให้มีการควบคุมคุณภาพทั้งภายใน และ<br />
ภายนอก<br />
2) มาตรการ<br />
(1) จัดตั้งองค์กรเพื่อพัฒนาระบบการประกันคุณภาพทั้งในระดับกรม เขตการศึกษา<br />
จังหวัดและโรงเรียน<br />
14<br />
(2) จัดให้มีมาตรฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ด้านปัจจัย กระบวนการ และ<br />
ผลผลิต<br />
(3) พัฒนาครู ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารการศึกษาให้สู่มาตรฐาน<br />
วิชาชีพ<br />
(4) จัดหาและพัฒนาสื่อ เอกสาร คู่มือการจัดการเรียนการสอน การนิเทศ<br />
การบริหารจัดการ และแนวการดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
(5) ให้โรงเรียน จังหวัด เขตการศึกษา และกรม มีข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา<br />
ที่มีประสิทธิภาพ<br />
(6) ประชาสัมพันธ์สร้างความร่วมมือให้ชุมชนได้เข้าใจ และมีส่วนร่วมในการจัด<br />
การศึกษาของโรงเรียน<br />
(7) พัฒนาระบบการนิเทศ กำกับ ติดตาม ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือและสร้าง<br />
ขวัญกำลังใจ ให้โรงเรียนได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
(8) ประสานกับหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการประเมินโรงเรียน<br />
ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาแล้ว เพื่อรับรองผลการประกันคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียนจากภายนอก<br />
(9) จัดทำรายงานความก้าวหน้า การประกันคุณภาพการศึกษา เสนอต่อประชาชน<br />
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
(10) จัดให้มีกลไกในการรักษามาตรฐานคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่ผ่านการรับ<br />
รองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาแล้ว<br />
(11) จัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา และนำผล<br />
มาปรับปรุงแก้ไข<br />
2.2.4 การกำหนดมาตรฐานและตัวชี้วัดกลาง<br />
ในการที่จะให้โรงเรียนต่างๆ จัดการศึกษาให้ได้ผลผลิตตามจุดหมายของหลักสูตรและมี<br />
คุณภาพใกล้เคียงกัน กระทรวงศึกษาธิการจะต้องมีการกำหนดมาตรฐาน และตัวชี้วัดกลางของผลผลิต<br />
ปัจจัย และกระบวนการจัดการศึกษาเพื่อที่จะให้โรงเรียนต่าง ๆ ใช้เป็นแนวทางในการบริหารการศึกษา<br />
ให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนด ส่วนโรงเรียนใดที่สามารถจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ<br />
สูงกว่ามาตรฐานกลางได้ก็เป็นสิ่งที่ดี หรือโรงเรียนใดเห็นว่าน่าจะเพิ่มเติมมาตรฐานที่มีความสอดคล้อง<br />
กับความต้องการของท้องถิ่นก็สามารถทำได้<br />
15<br />
ในการที่จะให้โรงเรียนจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานผลผลิตตามที่พึ่งประสงค์ โรงเรียน<br />
จำเป็นต้องมีปัจจัยและกระบวนการต่างๆ ดังนี้<br />
1) มาตรฐานด้านผลผลิต (Output)<br />
(1) ผู้เรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานตามหลักสูตรขั้นพื้นฐาน<br />
(2) ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิด<br />
สร้างสรรค์ และมีวิสัยทัศน์<br />
(3) ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้<br />
(4) ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์<br />
(5) ผู้เรียนมีสุนทรียภาพและลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรีและกีฬา<br />
(6) ผู้เรียนรู้จักพึ่งตนเองได้และมีบุคลิกภาพที่ดี<br />
(7) ผู้เรียนมีสุขนิสัย สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ปลอดจากสิ่งเสพย์ติดให้โทษ<br />
(8) ผู้เรียนมีทักษะในการจัดการและการทำงาน มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริตและทำงาน<br />
ร่วมกับผู้อื่นได้<br />
(9) ผู้เรียนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน และสังคม สามารถดำรงชีวิตในสังคม<br />
อย่างมีความสุข และปฏิบัติตามวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข<br />
(10) ผู้เรียนมีจิตสำนึกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม อนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ศิลป<br />
วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />
2) มาตรฐานด้านกระบวนการ (Process)<br />
(1) มีการจัดการบริหารและการจัดการอย่างมีระบบ<br />
(2) มีการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักสูตรขั้นพื้นฐาน และความต้องการ<br />
ของผู้เรียนและท้องถิ่น<br />
(3) มีการจัดการเรียนการสอนที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ<br />
(4) มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br />
(5) มีการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ส่งเสริมสุขภาพอนามัย ความปลอดภัย<br />
ของผู้เรียน<br />
(6) มีการพัฒนาครูและบุคลากรอื่นให้มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม<br />
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ<br />
(7) มีการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง<br />
ชุมชน องค์กรภาครัฐ และเอกชนในการจัดและพัฒนาการศึกษา<br />
16<br />
3) มาตรฐานด้านปัจจัย (Input) มีดังนี้<br />
(1) ครูมีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนและสามารถ<br />
ปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
(2) ครูมีคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะที่พึงประสงค์<br />
(3) ผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ มีภาวะความเป็น<br />
ผู้นำ มนุษยสัมพันธ์ และวิสัยทัศน์<br />
(4) ผู้บริหารมีคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์<br />
(5) หลักสูตรที่ยืดหยุ่นเหมาะสมเอื้อต่อการเรียนรู้ และตอบสนองความต้องการของ<br />
ผู้เรียนและท้องถิ่น<br />
(6) มีเอกสาร สื่อ วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เอื้อต่อ<br />
การเรียนรู้<br />
(7) มีงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ<br />
(8) มีอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอ<br />
(9) มีผู้ปกครองและชุมชนให้ความสนับสนุนร่วมมือในการศึกษาของโรงเรียน<br />
2.2.5 กรอบแนวคิดในการประกันคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษา<br />
การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นกระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยสร้างความพึงพอ<br />
ใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง ประชาชน และสังคมว่า นักเรียนที่จบการศึกษาจะมีคุณภาพ<br />
ตามมาตรฐานการศึกษาและเป็นที่ยอมรับของสังคม โดยมีแนวคิดหลักดังนี้<br />
1) การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เป็นแนวคิดที่มุ่งให้ผู้เรียนเป็นศูนย์<br />
กลางของการเรียนรู้ทั้งปวง และยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีความเชื่อว่า<br />
มนุษย์มีศักยภาพที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิตดังนั้นในการจัดการศึกษาจึงต้องช่วย<br />
กระตุ้น เอื้ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาจนเต็มศักยภาพและมีคุณภาพ<br />
ได้มาตรฐานเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมสามารถดำรงตนในสังคมได้อย่าง<br />
มีความสุข และร่วมมือพัฒนาอย่างสร้างสรรค์<br />
2) การใช้โรงเรียนเป็นฐานในการบริหารจัดการ เป็นแนวคิดที่มุ่งให้โรงเรียนมีอำนาจ<br />
ในการตัดสินใจบริหารจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีความเชื่อว่าโรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการผลิต<br />
มีความสามารถสร้างผลผลิตคือผู้เรียนให้มีคุณภาพได้ การใช้โรงเรียนเป็นฐานในการบริหารจัดการ<br />
จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของโรงเรียนที่จะให้เกิดการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทาง<br />
17<br />
การเรยี น เพิ่มความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได และเป็นการเสริมสร้างพลังให้โรงเรียน ประชาชน<br />
และชุมชนร่วมมือกันจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน<br />
3) การมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ เป็นแนวความคิดที่มุ่งเน้นให้การศึกษาเป็น<br />
แหล่งของสาธารณชนที่ทุกคน ทุกส่วนของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดำเนินการ เพื่อ<br />
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบุคคลทุกคน และกับสังคมโดยส่วนรวมการศึกษาจึงเป็นเรื่องของทุกคน<br />
โดยแนวความคิดนี้เชื่อว่า การให้ทุกคน ทุกส่วนของสังคม มีส่วนร่วมคิด และร่วมดำเนินการใน<br />
การจัดการศึกษา ตลอดจนการมีส่วนร่วมในกระบวนการประเมิน และประกันคุณภาพการศึกษา จะ<br />
ทำให้เกิดความรู้สึก "ความเป็นเจ้าของ" ให้การสนับสนุน และร่วมรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษายิ่ง<br />
ขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความมุ่งมั่นร่วมกันพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสังคมได้<br />
4) การกระจายอำนาจทางการศึกษา เป็นแนวความคิดที่มุ่งคืนอำนาจการจัดการศึกษา<br />
ให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสียกับการศึกษาซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้เรียนมากที่สุด ได้แก่ โรงเรียน ผู้ปกครอง<br />
และชุมชน แนวความคิดนี้เชื่อว่า การกระจายอำนาจทางการศึกษาให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับการศึกษา<br />
มากขึ้นนี้ จะทำให้เกิดความตระหนักในคุณประโยชน์ของการศึกษาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงทำ<br />
ให้เกิดความร่วมมือในการจัดการศึกษาให้ตอบสนองตามความต้องการ และมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษา<br />
ให้มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับ ศรัทธาของผู้ปกครอง และชุมชนในที่สุด<br />
5) การแสดงความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ เป็นแนวความคิดที่ทำให้โรงเรียนต้อง<br />
มีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ในการจัดการศึกษา ต่อผู้เรียน ผู้ปกครอง มาตรฐานการศึกษาหรือ<br />
ผลลัพธ์อันเกิดจากการตัดสินใจของโรงเรียนเอง ซึ่งสามารถให้ผู้ปกครอง ประชาชน และสังคม<br />
ตรวจสอบได้ เพื่อเป็นหลักประกันและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ปกครอง ประชาชนและสังคมอย่าง<br />
แท้จริง<br />
2.2.6 โครงสร้างของระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วยกลไกของกระบวนการพัฒนาที่<br />
สำคัญ 3 ส่วน ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันคือ ระบบการควบคุมคุณภาพการศึกษา ระบบการตรวจ<br />
สอบและแทรกแซงคุณภาพการศึกษา และระบบการประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งแต่ละระบบย่อย<br />
มีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้<br />
1) ระบบการควบคุมคุณภาพการศึกษา เป็นกลไกของกระบวนการพัฒนาหรือแนว<br />
ดำเนินงาน เพื่อการพัฒนาเข้าสู่คุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา ประกอบด้วยการดำเนินงาน<br />
2 ขั้นตอน คือ<br />
18<br />
(1) การกำหนดมาตรฐานการศึกษา เป็นการดำเนินงานเพื่อให้การจัดการศึกษาได้<br />
มาตรฐานทั้งด้านผลผลิต ปัจจัย และกระบวนการ ซึ่งจะใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษา<br />
ให้มีคุณภาพและการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
(2) การพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา เป็นการดำเนินงานเพื่อพัฒนาปัจจัยทาง<br />
การศึกษาต่างๆ ที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย การดำเนิน<br />
งานในเรื่องต่อไปนี้ คือ การพัฒนาครูเข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพ การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาเข้าสู่<br />
มาตรฐานวิชาชีพ การพัฒนาศึกษานิเทศเข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพ การพัฒนาผู้บริหารการศึกษาเข้าสู่<br />
มาตรฐานวิชาชีพ การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการ การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน และ<br />
การสนับสนุนปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน<br />
2) ระบบการตรวจสอบและแทรกแซงคุณภาพการศึกษา หมายถึง กลไกของกระบวน<br />
การพัฒนา หรือแนวดำเนินงานเพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศ ในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาตาม<br />
มาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน คือ<br />
(1) การติดตาม และตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในของโรงเรียน เป็นการดำเนิน<br />
งานเพื่อประเมินความก้าวหน้าของการจัดการศึกษา โดยให้โรงเรียนประเมินตนเอง เพื่อการปรับปรุง<br />
และพัฒนา แล้วจัดทำรายงานผลการจัดการศึกษา เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
(2) การติดตาม และตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในของหน่วยงานภายนอก เป็น<br />
การดำเนินงานขององค์กร หรือหน่วยงานภายนอกโรงเรียนในระดับจังหวัดร่วมกับเขตการศึกษาเพื่อ<br />
ติดตามตรวจสอบระบบควบคุมคุณภาพการศึกษา และคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาที่<br />
กำหนดแล้วจัดทำรายงานผลการจัดการศึกษาเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
(3) การกำหนดมาตรฐานการปรับปรุงและแทรกแซงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
ที่มีคุณภาพไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา เป็นการดำเนินการของหน่วยงานระดับกรม เขตการศึกษา<br />
เพื่อใช้มาตรการต่างๆ ในการปรับปรุงและแทรกแซงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้เป็นไปตาม<br />
มาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
3) ระบบการประเมินคุณภาพการศึกษา หมายถึง กลไกของกระบวนการพัฒนาหรือ<br />
แนวดำเนินงานในการประเมินคุณภาพการศึกษา โดยมุ่งเน้นการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
ประกอบด้วยการดำเนินงาน 2 ขั้นตอน คือ<br />
19<br />
(1) การทบทวนคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนของหน่วยงานภายนอกเป็นการดำเนิน<br />
งานขององค์กร หรือหน่วยงานภายนอกโรงเรียนในระดับจังหวัดร่วมกับเขตการศึกษา เพื่อตรวจสอบ<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในแง่จุดเด่นจุดด้อย และความพร้อมก่อนที่จะดำเนินการประเมินเพื่อ<br />
รับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
(2) การประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน เป็นการดำเนิน<br />
งานเพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ<br />
หรือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนใน<br />
ระดบั กระทรวง ระดบั ชาติ และระดับนานาชาต ิ ตามลำดับ สาํ หรบั โรงเรยี นทผี่ า่ นการประเมนิ จะได้<br />
รับใบรับรองมาตรฐานการศึกษา หรือคุณภาพจากกระทรวงศึกษาธิการสถาบันส่งเสริมการประเมิน<br />
คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และให้<br />
โรงเรียนเฝ้าระวังคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา ตลอดระยะเวลาที่ให้การรับรอง<br />
มาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
2.2.7 การบริหารระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
เพื่อให้การบริหารระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษาเป็นไปอย่าง<br />
มีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนดให้มีองค์กรและกำหนดบทบาทหน้าที่ขององค์กร ดังนี้<br />
1) คณะกรรมการอำนวยการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา มีบทบาท<br />
หน้าที่ ดังนี้<br />
(1) กำหนดนโยบาย มาตรการ แผนการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ของกรมสามัญศึกษา<br />
(2) อำนวยการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(3) ส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการประสานการใช้ทรัพยากร เพื่อประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษา<br />
(4) เสนอแนะให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการดำเนินการประกัน<br />
คุณภาพ การศึกษา ของกรมสามัญศึกษา<br />
(5) เร่งรัด กำกับ และติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ของกรมสามัญศึกษา<br />
2) ศูนย์อำนวยการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา มีบทบาทหน้าที่ดังนี้<br />
(1) พัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
20<br />
(2) จัดทำแผนการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(3) ประสานงาน สนับสนุน เสนอแนะ และให้คำปรึกษาในการดำเนินงานตาม<br />
แผนการประกันคุณภาพการศึกษา ระหว่างเขตการศึกษา จังหวัด และโรงเรียน<br />
(4) เร่งรัด กำกับ ติดตาม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เป็นไปตามระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(5) ประเมินผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(6) รายงานผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา ต่อคณะกรรมการ<br />
อำนวยการการประกันคุณภาพการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
(7) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานประกัน<br />
คุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(8) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา และหา<br />
มาตรการ ปรับปรุงคุณภาพการศึกษา<br />
(9) ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
3) คณะกรรมการการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา ระดับเขตการศึกษา<br />
มีบทบาทหน้าที่ ดังนี้<br />
(1) กำหนดแผนงานการนิเทศ สนับสนุน และส่งเสริมการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนในเขตการศึกษา<br />
(2) ดำเนินงานให้เป็นไปตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(3) นิเทศ กำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนในเขตการศึกษา<br />
(4) รายงานผลการประกันคุณภาพการศึกษาในภาพรวมของเขตการศึกษา ให้กรม<br />
สามัญศึกษาทราบ<br />
(5) แต่งตั้งคณะทำงานการประกันคุณภาพการศึกษาในระดับเขตการศึกษา<br />
(6) ปฏิบัติงานอื่น ตามที่กรมสามัญศึกษามอบหมาย<br />
4) คณะกรรมการการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา ระดับจังหวัดมี<br />
บทบาทหน้าที่ดังนี้<br />
(1) กำหนดแผนการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โรงเรียนในสังกัด<br />
กรมสามัญศึกษาในจังหวัด ให้สอดคล้องกับระบบการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(2) ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
21<br />
(3) ส่งเสริม สนับสนุน ให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษาในจังหวัด<br />
(4) นิเทศ ให้คำปรึกษา และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
(5) เร่งรัด กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียน<br />
(6) รายงานผล และเผยแพร่การดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาต่อหน่วย<br />
งานต้นสังกัด และสาธารณชน<br />
(7) แต่งตั้งคณะทำงานการประกันคุณภาพการศึกษาในระดับจังหวัด<br />
(8) ปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่กรมสามัญศึกษามอบหมาย<br />
5) คณะกรรมการการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษากับโรงเรียนมีบทบาท<br />
หน้าที่ดังนี้<br />
(1) กำหนดแผนการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ให้<br />
สอดคล้องกับระบบการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(2) ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการประกันคุณภาพการศึกษา กรมสามัญศึกษา<br />
(3) ประสานงาน และระดมความร่วมมือจากชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
เพื่อดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
(4) เร่งรัด กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาของโรงเรียน<br />
(5) รายงานผล และเผยแพร่การดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาต่อ<br />
หน่วยงานต้นสังกัด และสาธารณชน<br />
(6) แต่งตั้งคณะทำงานการประกันคุณภาพการศึกษาในระดับโรงเรียน<br />
(7) ปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่กรมสามัญศึกษามอบหมาย<br />
สรุปได้ว่า กรมสามัญศึกษากำหนดนโยบายการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อเป็นกรอบให้<br />
หน่วยงานหรือสถานศึกษาในสังกัดใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ และนำหลักการไปสู่การปฏิบัติ<br />
ด้วยวิธีการที่มีความหลากหลาย การติดตามผลเพื่อแสวงหาวิธีการที่ได้ผล สามารถพัฒนาผู้เรียนตาม<br />
วัตถุประสงค์ และการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อขยายผล รวมถึงพัฒนาแนวทางให้เกิดเป็นระบบที่ยั่งยืน<br />
22<br />
2.3 การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับโรงเรียน<br />
บทบาทของโรงเรียน<br />
สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542, ออนไลน์)ได้กล่าวถึงบทบาทของโรงเรียนในการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาว่า ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน โรงเรียนจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยประชาชน<br />
มีส่วนในการพัฒนา และโรงเรียนจะต้องดำเนินการตามภาระงานต่อไปนี้<br />
1. การควบคุมคุณภาพการศึกษา<br />
1.1 การกำหนดมาตรฐาน<br />
1.1.1 จัดทำมาตรฐานการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น จาก<br />
มาตรฐานกลางโดยคณะกรรมการโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครองและ<br />
ประชาชน<br />
1.1.2 จัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านปัจจัย กระบวนการ และผลผลิตของโรงเรียน<br />
1.2 การพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา<br />
1.2.1 พัฒนาโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และพัฒนา กระตุ้นจูงใจให้ผู้ร่วมงาน<br />
รู้จักและรักการเรียนรู้อยู่เสมอ เน้นให้บุคลากรในองค์กรมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ<br />
ให้ดีขึ้น<br />
1.2.2 มีการสร้างจิตสำนึกของผู้ร่วมงานให้เห็นว่า การปรับปรุงคุณภาพจะต้องปรับปรุง<br />
อยู่ตลอดเวลาและเป็นหน้าที่ของทุกคน<br />
1.2.3 เป็นสมาชิกชมรมทางวิชาการของจังหวัดและเป็นเครือข่ายศูนย์วิทยบริการ<br />
1.2.4 จัดทำธรรมนูญโรงเรียน<br />
1.2.5 พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและสื่อการเรียนการสอน<br />
1.2.6 ดำเนินการบริหารคุณภาพโดยมุ่งเน้นผลผลิต(นักเรียน) ที่ตอบสนองด้าน<br />
ความต้องการของลูกค้า ดังนี้<br />
- ควบคุมคุณภาพ และประเมินตนเอง ในทุกๆ กิจกรรมของกระบวนการ<br />
บริหารและกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA ของเดมมิ่ง<br />
- มีการทำงานเป็นมาตรฐาน โดยควบคุมกระบวนการตามเอกสารคู่มือ 3 ระดับ<br />
ที่จัดทำขึ้น คือ<br />
- คู่มือนโยบาย<br />
- คู่มือขั้นตอนการทำงาน / แนวปฏิบัติ / วิธีการ<br />
- คู่มือการทำงาน / แผนการสอน<br />
23<br />
- ต้องให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม เพื่อให้พลังงานที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดของ<br />
ทุกคนในองค์กรร่วมกันพัฒนาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและความต้องการที่เปลี่ยนแปลง<br />
- มีการทำงานเป็นทีมในทุกระดับ เน้นให้ทุกคนมีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งจะส่งผล<br />
ให้ปรับปรุงและสร้างขวัญกำลังใจและทัศนคติที่ดี<br />
1.2.7 พัฒนาระบบสารสนเทศของโรงเรียน<br />
1.2.8 ระดมความร่วมมือจากชุมชนและเอกชน<br />
2. การตรวจสอบคุณภาพ หรือการทบทวนคุณภาพภายใน<br />
2.1 โรงเรียนต้องดำเนินการทบทวนคุณภาพภายใน ด้านคุณภาพโรงเรียน และคุณภาพ<br />
การสอนทุกปี<br />
2.2 นำผลการทบทวนมาดำเนินการพัฒนา และปรับปรุงให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่<br />
กำหนด<br />
3. การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
โรงเรียนควรกำหนดให้มีการประเมินความก้าวหน้า และประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ<br />
ของโรงเรียนในทุก ๆ แผนงาน แล้วนำผลมาพัฒนาปรับปรุง<br />
ขั้นตอนดำเนินงานระดับโรงเรียน<br />
1. ศึกษารูปแบบการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย<br />
- พัฒนา / กำหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ที่มุ่งไปที่ผลการเรียนที่ต้องการ<br />
- พัฒนาระบบการจัดการเพื่อควบคุมให้มีการปฏิบัตินำไปสู่มาตรฐาน<br />
- พัฒนาระบบการวัดการประเมิน การใช้ปัจจัย การจัดกระบวนการ และผลการเรียนรู้<br />
ตามมาตรฐาน<br />
- จัดตั้งองค์กรภายนอกที่จะมาตรวจสอบการจัดการ และการบังเกิดผลตามมาตรฐาน<br />
2. จัดคณะบุคคลในโรงเรียนร่วมกับคณะกรรมการโรงเรียนดำเนินการ<br />
- ศึกษาข้อมูลจากหลักสูตรเพื่อกำหนดมาตรฐานสากล มาตรฐานชาติ และใช้ข้อมูล<br />
ท้องถิ่นกำหนดมาตรฐานท้องถิ่น ใช้กรอบมาตรฐานประเมินสภาพปัจจุบัน ของผลการเรียนการสอน<br />
นำมาใช้เป็นตัวกำหนด จัดทำเป็นลักษณะผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังจะให้เกิดกับนักเรียนชั้น / วิชาต่าง ๆ<br />
ตลอด 200 วัน ทำการที่สอดคล้องกับสภาพโรงเรียน ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง ควรแบ่งเป็นระดับคุณภาพ<br />
- วิเคราะห์โอกาสในชุมชน ปัญหาความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน<br />
ข้อจำกัดของโรงเรียน กำหนดเป็นแผนนโยบายการจัดการศึกษาเป้าประสงค์ของการจัดการศึกษา<br />
และคุณภาพของนักเรียนที่มุ่งหวังจะเกิดขึ้นในแต่ละชั้น / วิชา แนวดำเนินการจัดการเรียนการสอน<br />
24<br />
จุดเด่น จุดเน้นของโรงเรียนที่ต้องการแสดงความร่วมมือกับโรงเรียนอื่นและแหล่งวิทยาการในท้องถิ่น<br />
ฯลฯ เมื่อคณะกรรมการโรงเรียนยอมรับ และเห็นชอบก็ลงนามประกาศเป็นเอกสาร (ธรรมนูญ<br />
โรงเรียน) ที่เป็นสัญญาประชาคม<br />
3. ผู้บริหารกับคณะครูและการสนับสนุนทางวิชาการจากการศึกษานิเทศก์<br />
ดำเนินการปฏิบัติเพื่อให้เป็นวิถีทาง นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายมาตรฐานคุณภาพการศึกษาที่<br />
ระบุไว้ในธรรมนูญโรงเรียน<br />
- ครูวางแผนการสอน<br />
- ผู้บริหารสนับสนุนเป็นที่ปรึกษา และพัฒนาครู<br />
- พัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียน<br />
เป็นศูนย์กลาง เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง<br />
- พัฒนาระบบติดตามผลการปฏิบัติของครู และระบบการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ของ<br />
นักเรียนที่จะต้องนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอ แล้วให้องค์กรภายนอก เช่น คณะกรรมการของโรงเรียน<br />
รับทราบ ให้ความเห็นชอบต่อแผนเหล่านี้<br />
4. ผบู้ รหิ ารจดั ระบบมอบงาน อาจมีคู่มือการปฏิบัติงานสำหรับคร ู สั่งการให้มีการปฏิบัติ<br />
การจัดการเรียนการสอนตามแผน จุดเน้นคือ<br />
- ทุกครั้งที่มีกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องทราบล่วงหน้าว่าต้องการให้บังเกิดผลการ<br />
เรียนอะไรที่มุ่งต่อมาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
- กิจกรรมการเรียนการสอนต้องได้รับการออกแบบและปรับปรุง เพื่อเร่งเร้าให้บังเกิดผล<br />
การเรียนรู้อย่างแท้จริงกับนักเรียนทุกคน ซึ่งอาจจะต้องใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีช่วยสนอง<br />
ความแตกต่างระหว่างนักเรียน เน้นการปฏิบัติเป็นกระบวนการ<br />
- เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบถ้วน ตามกำหนดเวลาของแต่ละหัวข้อเรื่องในแผน<br />
การสอนจะต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า นักเรียนบรรลุผลการเรียนรู้เพียงใด และนำผลมาใช้เพื่อ<br />
การพัฒนา การเรียนรู้ ศักยภาพกับนักเรียนทุกคนซึ่งควรใช้การวัดการประเมินในสภาพจริง รวบรวม<br />
ผลการปฏิบัติจริงของนักเรียนลงแฟ้มผลงานอย่างเป็นระบบ<br />
5. ผู้บริหาร คณะครู<br />
คณะกรรมการโรงเรียนติดตามการปฏิบัติงานของครูและผลทีเกิดขึ้น โดยสม่ำเสมอเพื่อ<br />
แก้ไขปรับปรุงและพัฒนาครู พัฒนากระบวนการเรียนการสอน พัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีและ<br />
พัฒนาระบบการวัดการประเมินเพิ่มเติม<br />
25<br />
6. องค์กรภายนอก<br />
องค์กรภายนอก เช่น กลุ่มโรงเรียน อำเภอ เขต กรมเจ้าสังกัด ประเมินผลสัมฤทธิ์<br />
ทางการเรียนตามมาตรฐานสม่ำเสมอ เพื่อชี้นำการพัฒนาเพื่อการรับรองมาตรฐานของโรงเรียนเพื่อการ<br />
ให้รางวัลและเพิ่มขวัญกำลังใจ<br />
สามารถสรุปเป็นภาพการแสดงการประกันคุณภาพได้ดังนี้ (นันทนา ศิริทรัพย์, 2543 : 6)<br />
ภาพที่ 3 การประกันคุณภาพ<br />
ที่มา : นันทนา ศิริทรัพย์.การประกันคุณภาพการศึกษา,ในเอกสารประกอบการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ<br />
เรื่อง ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา. จัดโดยสำนักมาตรฐานอุดมศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัย<br />
ณ โรงแรมผึ้งหวาน จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 15-17 กันยายน 2543,2543 : 6<br />
การประกันคุณภาพภายใน<br />
การตรวจสอบภายใน<br />
- ควบคุม<br />
- ตรวจสอบ<br />
- ประเมิน<br />
การประกันคุณภาพภายนอก<br />
การตรวจสอบภายนอก<br />
- ตรวจสอบ<br />
- ประเมิน<br />
- รับรอง<br />
การตรวจสอบประเมินเทียบกับมาตรฐาน<br />
26<br />
สำหรับโรงเรียนที่มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษากับโรงเรียนที่ไม่มีระบบการประกัน<br />
คุณภาพการศึกษาจะมีสภาพแตกต่างกัน ดังตารางที่ 1<br />
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบสภาพโรงเรียนที่มีระบบประกันคุณภาพกับโรงเรียนที่ไม่มีระบบ<br />
ประกันคุณภาพ<br />
โรงเรียนที่ประกันคุณภาพ โรงเรียนที่ไม่ประกันคุณภาพ<br />
1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทุกด้านสูง 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แน่นอน สูงต่ำ<br />
ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ ผันแปรตามปัจจัยต่างๆ<br />
2. นักเรียนทุกคนได้มาตรฐานสม่ำเสมอ 2. นักเรียนบางคนได้มาตรฐานในบางด้าน<br />
ผันแปรไม่แน่นอน<br />
3. นักเรียนและผู้ปกครองรู้ล่วงหน้าว่าจะได้รับ 3. ไม่รู้ล่วงหน้าชัดเจน แต่คาดการณ์ได้จาก<br />
ผลอะไรจากการเรียนในสถานศึกษาและเป็น ลักษณะของโรงเรียนและจากศิษย์เก่าที่ไป<br />
ผลที่ตรงกับความต้องการ ศึกษาต่อหรือทำงาน<br />
4. ผู้ปกครอง ชุมชน ครู หน่วยจัดการศึกษาใน 4. ครูสอนตามหนังสือมากกว่าการคิดถึง<br />
ท้องถิ่นมีส่วนร่วมกำหนดมาตรฐานคุณภาพ มาตรฐานคุณภาพ<br />
ที่ผสมกลมกลืนระหว่างมาตรฐานสากล<br />
มาตรฐานชาติ และมาตรฐานท้องถิ่น<br />
5. ผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้นำการจัดการเพื่อ 5. ส่วนใหญ่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของ<br />
ควบคุมคุณภาพการศึกษา โดยผนึกกำลังกับ ผู้บริหาร และครูบางคนที่จะจัดการเรียน<br />
ครูคณะกรรมการโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน การสอนอย่างมีคุณภาพบ้าง มักไม่สามารถ<br />
วางแผนการยกระดับคุณภาพการจัดการ แสดงแผนการบริหารการจัดการ และแผน-<br />
เรียนการสอน เพื่อให้บังเกิดผลที่เด็กนักเรียน การจัดการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐานครบ-<br />
ตามมาตรฐาน มีการตรวจสอบยอมรับใน ถ้วนทั่วถึง ชุมชนไม่มีส่วนร่วม รวมทั้งการ-<br />
แผนดำเนินงานของโรงเรียน วางแผนและการตรวจสอบเห็นชอบกับแผน<br />
27<br />
โรงเรียนที่ประกันคุณภาพ โรงเรียนที่ไม่ประกันคุณภาพ<br />
6. ครูได้รับการพัฒนาและจูงใจให้วางแผนจัด 6. ผู้บริหารและครูไม่สนใจการวางแผนการสอน<br />
การเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มักสอนโดยยึดเนื้อหาและหนังสือเรียน ครู<br />
เน้นกระบวนการปฏิบัติเพื่อให้ไปสู่การบรรลุ เป็นศูนย์กลาง ครูบางส่วนมีความสามารถ<br />
มาตรฐานคุณภาพการเรียนรู้อย่างครบถ้วน เฉพาะตัวช่วยผู้เรียนบางส่วนที่มีความพร้อม<br />
ให้ผู้เรียนทุกคนเรียนเต็มศักยภาพ ผู้บริหาร มากให้บรรลุมาตรฐาน คุณภาพ การกำกับ<br />
และคณะกรรมการโรงเรียนติดตามตรวจสอบ ติดตาม ตรวจสอบ ไม่ชัดเจน ผู้เรียนแต่ละ<br />
การเรียนการสอนและช่วยให้มีคุณภาพอย่าง บุคคลไม่ได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้เต็ม<br />
เป็นระเบียบระบบ ศักยภาพ ไม่มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนจะบรรลุ<br />
มาตรฐานคุณภาพ<br />
7. มีระบบการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง 7. มีการวัดผลและประเมินผลตามระเบียบไม่ได้<br />
มุ่งตรงต่อการบรรลุมาตรฐานคุณภาพและ มุ่งตรงต่อมาตรฐานคุณภาพตามที่กำหนดไว้<br />
บันทึกลงแฟ้มผลงานที่ผู้บริหารและครู ไม่มีการเอาใจใส่กำกับ พิจารณาผลการ<br />
ตรวจสอบผลการเรียนและบันทึกผล นำผล เรียนรู้ของนักเรียน มักปล่อยปละละเลย<br />
มาใช้เพื่อการพัฒนาและรายงานสู่ชุมชน คุณภาพการเรียนการสอน เมื่อประเมินผล<br />
สม่ำเสมอว่าจัดการเรียนการสอน ทำให้ ปลายภาคเรียนจึงไม่เห็นผลสำเร็จในคุณภาพ<br />
บังเกิดผลตามเป้าหมายคุณภาพการเรียนรู้ที่ การเรียนรู้ตามมาตรฐานที่ต้องการได้ทั่วถึง<br />
กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ดีเพียงใด ผู้เรียนทุกคน<br />
8. มีระบบการตรวจสอบจากภายนอก เช่น 8. ไม่มีระบบตรวจสอบอย่างมีระเบียบระบบ<br />
คณะกรรมการโรงเรียน หรือหน่วยงานใน จากภายนอก โรงเรียนจึงปล่อยปละละเลย<br />
อำเภอ จังหวัด เพื่อกำกับการวางแผนการ- ให้จัดการศึกษาอย่างไม่มีคุณภาพก็ได้<br />
จัดการเรียนการสอน การปฏิบัติของครูและ<br />
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ใช้เป็นฐานของการ-<br />
พัฒนา และให้รางวัลหรือลงโทษ<br />
ที่มา : สามัญศึกษา,กรม. กลยุทธ์ ISO 9000 กับการประกันคุณภาพการศึกษา.<br />
กรุงเทพฯ: หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา,2541 : 5-6<br />
28<br />
สรุป การประกันคุณภาพการศึกษาจะต้องดำเนินการที่โรงเรียน โดยต้องศึกษารูปแบบ<br />
กรอบแนวคิดจากมาตรฐานในระดับชาติ จังหวัด และอำเภอ เพื่อนำไปปรับให้เหมาะกับสภาพของ<br />
โรงเรียน และความต้องการของผู้ปกครองและชุมชน โดยกำหนดเป็นสื่อ สัญญา ข้อตกลงในรูปของ<br />
ธรรมนูญโรงเรียน เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษา จัดตั้งคณะบุคคลในโรงเรียนร่วมกับ<br />
คณะกรรมการโรงเรียน เพื่อดำเนินงานตามเป้าหมาย ได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการจากศึกษานิเทศก์<br />
ผู้บริหารจัดระบบมอบงาน จัดกิจกรรม กระบวนการเรียนการสูงตามแผนโดยในแต่ละครั้งที่มีกิจกรรม<br />
จะต้องทราบล่วงหน้าว่าต้องการให้เกิดผลอย่างไรต่อมาตรฐานคุณภาพการศึกษา มีการพัฒนาผู้บริหาร<br />
ครู / อาจารย์ และบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ ได้รับการประเมินตรวจสอบและรับรองมาตรฐานการศึกษา<br />
จากองค์กรภายนอก<br />
2.4 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
เพื่อการพัฒนาความรู้ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษาที่<br />
กำหนดในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน<br />
สถานศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่าง<br />
ต่อเนื่อง ประกอบด้วย (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 2544)<br />
2.4.1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
"การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ" หมายถึง การจัดโครงสร้างการบริหาร จัดการ<br />
ให้เอื้อต่อการดำเนินงานและจัดให้มีข้อมูลที่เพียงพอในการจัดการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
เพื่อนำมากำหนดวิสัยทัศน์ภารกิจ และแผนพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา<br />
การจัดระบบบริหาร เป็นการจัดโครงสร้างการบริหาร จัดการให้เอื้อต่อการดำเนิน<br />
งาน ทุกคนมีส่วนร่วม และมีการประสานสัมพันธ์กันทุกฝ่ายทุกคน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อ<br />
กำหนดแนวทางให้ความเห็น และข้อเสนอแนะ และแต่งตั้งคณะบุคคลทำการตรวจสอบ ทบทวน<br />
และรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
การจัดระบบสารสนเทศ (กรมวิชาการ(ลำดับที่ 2) 2544 : 11) คือ การจัดให้มีข้อมูลที่<br />
เพียงพอในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อนำมากำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ และแผนพัฒนา<br />
คุณภาพของสถานศึกษา เมื่อวิเคราะห์ภารกิจหลักของสถานศึกษาตามระดับการใช้ จะเห็นได้ว่ามี<br />
สารสนเทศที่หลากหลายสำหรับการพัฒนาคุณภาพของงานให้บรรลุตามเป้าหมาย สารสนเทศทั้งหลาย<br />
มีลักษณะเจาะลึกลงรายละเอียด หรือมีลักษณะเป็นภาพรวมดังตารางที่ 2<br />
29<br />
ตารางที่ 2 ลักษณะภาพรวมของระบบสารสนเทศกับการจัดการบริหาร<br />
ผู้ใช้ระบบสารสนเทศ ระดับการใช้ ภารกิจหลัก<br />
ระดับคณะกรรมการ<br />
สถานศึกษาที่ปรึกษา<br />
- สารสนเทศเพื่อการ<br />
วางแผนยุทธศาสตร์<br />
ข้อมูลภาพรวมการพัฒนาสถานศึกษาทั้งภายใน<br />
และภายนอกสถานศึกษา วิสัยทัศน์ เป้าหมาย<br />
จุดเน้นการพัฒนา ยุทธศาสตร์การพัฒนา<br />
ระดับผู้บริหาร - สารสนเทศเพื่อการ<br />
วางแผนบริหารงาน<br />
ข้อมูลคุณภาพผู้เรียน การบริหารจัดการ และ<br />
วิชาการ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย ภารกิจแผน /<br />
นโยบาย / กลยุทธ์<br />
ระดับหัวหน้ากลุ่มวิชา - สารสนเทศเพื่อการ<br />
วางแผนปฏิบัติการ<br />
- หลักสูตรรายวิชา การวิจัยในชั้นเรียน ฯลฯ<br />
- การร่วมกลุ่มจัดทำมาตรฐานการเรียนรู้ ฯลฯ<br />
- เทคนิคการสอน สื่อวัดผล ฯลฯ<br />
- เครื่องมือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ฯลฯ<br />
- การอบรม นิเทศ ศึกษาดูงาน ฯลฯ<br />
- การปรับปรุงห้องสมุด จำนวนหนังสือ<br />
พัฒนา กิจกรรม ฯลฯ<br />
ระดับผู้ปฏิบัติ<br />
(ผู้สอน/บุคลากร<br />
สนับสนุน)<br />
สารสนเทศเพื่อการวาง<br />
แผนปฏิบัติการสอน<br />
- การเตรียมการสอน การทำแผนการสอน ฯลฯ<br />
- การศึกษาวิเคราะห์หลักสูต การจัดทำหลักสูตร<br />
- การสอนตามแผนการวิจัยในชั้นเรียน<br />
การรวบรวมข้อมูล การสรุป ฯลฯ<br />
- การวิเคราะห์และเข้าใจเด็ก การจัดกิจกรรม<br />
แนะแนว ฯลฯ<br />
- การอบรม การรับรอง นิเทศ ดูงาน ฯลฯ<br />
- การศึกษา/เพิ่มพูนความรู้ การสร้างบรรยากาศ<br />
การเรียนรู้ในและนอกห้องเรียน ฯลฯ<br />
30<br />
2.4.2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
"การพัฒนามาตรฐานการศึกษา" หมายถึง การดำเนินงานของโรงเรียนเพื่อกำหนด<br />
เกี่ยวกับคุณลักษณะ และ/หรือคุณภาพที่พึงประสงค์ที่สถานศึกษาต้องการให้เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้น<br />
มาตรฐานด้านผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่หลักสูตรกำหนด ตลอดจน<br />
ความต้องการของต้นสังกัดและชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่<br />
ควรทำเป็น 2 ระดับ คือ ระดับบุคคล และระดับองค์กร โดยยึดแนวคิดในวิจัย 5<br />
ประการ และเน้นการทำอย่างเป็นระบบ<br />
ระดับบุคคล หมายถึง บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน<br />
และผู้ปกครอง ชุมชน<br />
1. ปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมสถานศึกษา ให้ทุกคนรับทราบและเข้าใจในการตัดสิน<br />
ใจครั้งสำคัญ ๆ ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ<br />
2. พัฒนาทักษะและความสามารถ โดยสถานศึกษาจะต้องพัฒนาทักษะให้สอดคล้อง<br />
กับอาชีพและตำแหน่งงานของบุคลากร<br />
3. ปลูกฝังความภาคภูมิใจ และความเป็นเจ้าของสถานศึกษาที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อ<br />
ผู้เรียนและการบริการ รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคม<br />
ระดับสถานศึกษา<br />
1. การมีวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่ชัดเจน ปฏิบัติได้โดยได้รับการยอมรับจากทุกคน<br />
ในสถานศึกษาที่เป็นเหมือนหลักชัยที่ทุกคนมุ่งมั่นไปให้ถึง<br />
2. จัดโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ เครื่องมือ เครื่องใช้ ประกอบการทำงาน และ<br />
สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ในสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ห้องสมุด<br />
เครือข่ายสื่อสารในสถานศึกษา<br />
3. มีระบบการบริหาร และระบบการทำงานที่ได้มาตรฐานมุ่งเน้นด้านคุณภาพที่จะ<br />
ทำให้สถานศึกษาก้าวหน้าบรรลุวิสัยทัศน์ที่ดีที่กำหนดไว้ เช่น ระบบการวางแผน ระบบการเงิน<br />
ระบบการเรียนการสอน ระบบการพัฒนาบุคลากร ระบบการพัฒนาองค์กรและผู้นำ ระบบการทำงาน<br />
เป็นทีม ระบบการบริหารเชิงคุณภาพรวม<br />
31<br />
2.4.3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
"การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา" หมายถึง การจัดทำแผนอย่างเป็นระบบ<br />
บนพื้นฐานข้อมูลของสถานศึกษา ประกอบด้วยเป้าหมาย ยุทธศาสตร ์ และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน<br />
สมบูรณ์ ครอบคลุมการพัฒนาทุกกิจกรรมที่เป็นส่วนประกอบหลักของการจัดการศึกษา และเป็นที่<br />
ยอมรับร่วมกันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นำไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของแต่ละกิจกรรม<br />
ที่กำหนดอย่างสอดรับกับวิสัยทัศน์และมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาที่ดีจะสร้างความมั่นใจได้ว่า สถานศึกษา<br />
ได้มีการพัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามเป้าหมาย แผนที่ดีควรมี<br />
ลักษณะสำคัญ 9 ประการ ต่อไปนี้<br />
1. องค์ประกอบต่าง ๆ ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ต้องมีความชัดเจนสอดคล้อง<br />
รับกันอย่างสมเหตุสมผล และเป็นระบบ<br />
- วิสัยทัศน์ และภารกิจต้องมีความชัดเจนเป็นที่เข้าใจ และยอมรับร่วมกันจาก<br />
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง<br />
- การวางแผนและการออกแบบกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานศึกษา เช่น การเรียน<br />
การสอน การวัด-ประเมินผล ตลอดจนการบริหารจัดการต้องประสานสัมพันธ์และมีความสอดคล้อง<br />
กัน และต่างมุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างเป็นระบบ<br />
2. ระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร คณาจารย์ คลากรทุกฝ่ายในสถานศึกษา และ<br />
บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องเห็นชอบกับแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา และให้ความสนับสนุน<br />
และร่วมมืออย่างจริงจัง ในการนำแผนสู่การปฏิบัติ<br />
3. เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถาน<br />
ศึกษาต้องเป็นสิ่งที่สังเกตได้และวัดได้ในเชิงบริมาณ<br />
4. ยุทธศาสตร และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการเรียนการสอน การวัด<br />
และประเมินผล ตลอดจนการบริหารจัดการ ต้องตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎี หรือหลักวิชาที่ถูกต้อง<br />
และต้องมีผลการวิจัยเชิงประจักษ์สนับสนุนประสิทธิภาพ และประสิทธิผล<br />
5. แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาต้องกำหนดรูปแบบ และวิธีการ<br />
พัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจตามแผนอย่างได้ผลดี<br />
6. แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ต้องระบุแหล่งวิทยาการภายนอกที่<br />
จะให้ความร่วมมือช่วยเหลือ และสนับสนุนทางวิชาการ<br />
32<br />
7. ผู้ปกครอง และชุมชนต้องมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม และรับบทบาทสำคัญใน<br />
กิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา<br />
8. ต้องมีการประสานสัมพันธ์และระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ เช่น หน่วยงาน<br />
ของรัฐ องค์กรเอกชน สถาบันและมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อนำมาสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา<br />
9. ต้องมีเครื่องมือและระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน<br />
ที่สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน<br />
2.4.4 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
"การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา" หมายถึง การกำกับ ติดตามการ<br />
ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาที่กำหนดไว้ โดยจัดทำ<br />
แผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ครอบคลุมงาน / โครงการของสถานศึกษา<br />
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอย่างรอบด้าน<br />
นั้น นอกจากการวางแผนอย่างดี ถูกต้องตามหลักวิชาการ การกำหนดยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพแล้ว<br />
จะต้องมีการปฏิบัติตามแผน และการประเมินแผน มิฉะนั้นแผนที่จัดทำอย่างดีก็จะไร้ประโยชน์ ดังนั้น<br />
สถานศึกษาควรกำหนดแนวทางในการนำแผนสู่การปฏิบัติ ขั้นตอนนี้จึงเป็นทั้งการสร้างความร่วมมือ<br />
และทิศทางการนำแผนไปปฏิบัติ ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินงานได้ ดังนี้<br />
1. การสรา้ งการยอมรบั แผน ในขนั้ ตอนนี้ สถานศึกษาโดยคณะกรรมการวางแผน<br />
ควรนำแผนฉบับร่างสุดท้ายให้บุคลากรของสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน เขตพื้นที่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่<br />
สามารถช่วยในการดำเนินงานของสถานศึกษาได้ร่วมให้ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น ว่ายังมีส่วนประกอบ<br />
ใดที่ควรจะเพิ่มเติมเพื่อให้การวางแผนเป็นไปด้วยความรอบคอบ รอบรู้ และรอบด้านอย่างแท้จริง<br />
2. การมอบหมายการปฏิบัติอย่างเป็นทางการ ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ<br />
สถานศึกษา ได้ระบุการมอบหมายความรับผิดชอบให้หน่วยงาน/บุคคลแล้ว ฉะนั้น ควรมีการส่งมอบ<br />
แผนให้กับหัวหน้ากลุ่มวิชา หัวหน้าระดับชั้น ตามสายการบังคับบัญชา ตลอดจนทีมงานอย่างเป็น<br />
ทางการด้วย เพื่อผู้ปฏิบัติจักได้ทราบหน้าที่และขอบข่ายงานที่ต้องทำ<br />
3. การทำความเข้าใจแผน ผู้ปฏิบัติทำความเข้าใจส่วนต่าง ๆ ของแผน ได้แก่<br />
1) เจตนารมณ์ของสถานศึกษา : วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย<br />
33<br />
2) เป้าหมายการพัฒนา ยุทธศาสตร เทคนคิ วิธีการใหม่ที่กำหนดไว้ในแผน<br />
ซึ่งหากยากต่อการทำความเข้าใจ และปฏิบัติสถานศึกษาต้องจัดให้มีการอบรม ชี้แจงก็จะช่วยให้<br />
การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
3) แผนปฏิบัติการรายปี ทำความเข้าใจกิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
แนวทางการประเมินความสำเร็จ และเตรียมขั้นตอนการดำเนินการในรายละเอียดยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นว่า<br />
ทำอย่างไรจึงจะให้สำเร็จได้ตามกำหนดเวลาที่ระบุในแผน และจะมีการประเมินผลและรายงานผล<br />
การปฏิบัติงาน เป็นระยะอย่างไร<br />
4) การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผล<br />
สำเร็จตามแผน<br />
2.4.5 การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
"การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา" หมายถึง การตรวจสอบและทบทวน<br />
ภายใน โดยบุคลากรในสถานศึกษาดำเนินการและกาตรวจสอบและทบทวนจากหน่วยงานต้นสังกัด<br />
การตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเป็นกระบวนการ<br />
ประเมินตนเองของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบดำนินการอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของบุคลากร<br />
ในสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป้าหมาย จุดเน้น และทิศทางการพัฒนาสถาน<br />
ศึกษา โดยจำแนกได้ ดังนี้<br />
1. การตรวจสอบ เป็นการรวบรวมข้อมูลการดำเนินงาน และผลการดำเนินงานของ<br />
สถานศึกษาสำหรับนำไปเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานตามแผนพัฒนา<br />
คุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของบุคลากรในสถานศึกษา<br />
2. การทบทวนเป็นการนำข้อมูลการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของสถานศึกษา<br />
ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วมาพิจารณาเปรียบเทียบว่า เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด<br />
และหาสาเหตุตลอดจนแนวทางแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนา เพื่อให้เกิดความมั่นใจในคุณภาพและ<br />
ประสิทธิภาพของสถานศึกษา<br />
วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา<br />
1. เพื่อให้สถานศึกษาสามารถติดตามรวบรวมข้อมูลความก้าวหน้าของการดำเนินงาน<br />
และการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง<br />
2. เพื่อรวบรวมจัดระบบข้อมูลสารสนเทศ และนำไปใช้ในการวางแผนเพื่อพัฒนา<br />
คุณภาพสถานศึกษาให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด<br />
34<br />
3. เพื่อปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา<br />
และเป็นที่ยอมรับเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง<br />
2.4.6 การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
"การประเมินคุณภาพการศึกษา" หมายถึง การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนใน<br />
ระดับชั้นที่เป็น ประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในวิชาแกนร่วม โดยใช้แบบ<br />
ทดสอบมาตรฐานโดยหน่วยงานส่วนกลางร่วมกับต้นสังกัด (เขตพื้นที่) ดำเนินการ<br />
เป็นการเน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในระดับชั้นที่เป็นตัวประโยค ได้แก่<br />
ประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในวิชาแกนร่วม โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน<br />
โดยหน่วยงานส่วนกลางร่วมกับต้นสังกัด(เขตพื้นที่) ดำเนินการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเทียบเคียงกับเกณฑ์<br />
มาตรฐานกลางและยกระดับคุณภาพของสถานศึกษา<br />
2.4.7 การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
"การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี" หมายถึง การนำข้อมูลผลการประเมิน<br />
มาตรฐานคุณภาพการตรวจสอบ และทบทวนภายใน และภายนอกมาประมวลรายงานผลการพัฒนา<br />
คุณภาพประจำปีการศึกษา ซึ่งจะนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาคุณภาพต่อไป<br />
วัตถุประสงค์ของการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
1. เพื่อแสดงภาระความรับผิดชอบในผลการจัดการศึกษา ตามแผนพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาของสถานศึกษาต่อหน่วยงานต้นสังกัด สาธารณชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสิ้นปี<br />
การศึกษา<br />
2. เพื่อให้สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนา<br />
คุณภาพการศึกษาในปีต่อไป<br />
3. เพื่อให้สถานศึกษามีข้อมูลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา<br />
เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการประเมิน และรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของสถาน<br />
ศึกษา โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
ขั้นตอนการดำเนินการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี มีดังนี้<br />
1. กำหนดเป้าหมายผู้รับรายงาน วางแผนการจัดทำรายงาน และกำหนดรูปแบบ<br />
การรายงาน ซึ่งประเด็นการกำหนดจะเป็นไปตามนโยบายหรือแนวปฏิบัติของสถานศึกษา ดังนี้<br />
35<br />
1) กลุ่มเป้าหมายผู้รับรายงานให้เป็นไปตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติ<br />
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งประกอบด้วย<br />
√ ผู้บริหาร/กรรมการสถานศึกษา<br />
√ นักเรียน<br />
√ ผู้ปกครอง<br />
√ ชุมชน<br />
√ หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน<br />
2) วางแผนการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของ ในเรื่องเกี่ยวกับ<br />
การกำหนดช่วงเวลาจัดทำรายละเอียดการรายงาน ตลอดจนการแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ<br />
ต่าง ๆ<br />
3) กำหนดรูปแบบการรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี ให้เหมาะสมกับ<br />
กลุ่มเป้าหมาย<br />
2. แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำรายงานผลคุณภาพการศึกษาประจำปี สถานศึกษาควร<br />
แต่งตั้งคณะทำงานจากบุคคลผู้รับผิดชอบในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาประกอบด้วย<br />
1) ผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการ หัวหน้าแผนงาน/งานวิชาการของสถานศึกษา<br />
2) บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา<br />
3. รวบรวม วิเคราะห์ แปลผล และนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินการพัฒนาคุณภาพ<br />
การศึกษาในรอบปี ดังนี้<br />
1) รวบรวมนำข้อมูลสารสนเทศการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตาม<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา(ISP)และแผนปฏิบัติงานประจำปีรวมทั้งนโยบายเร่งด่วน/<br />
พิเศษของหน่วยงานต้นสังกัด และกระทรวงศึกษาธิการ ที่ครอบคลุมผลการตรวจสอบและทบทวน<br />
คุณภาพภายในสถานศึกษา ผลการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยเขตพื้นที่ รวมทั้งผล<br />
การประเมินมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนโดยใช้แบบวัดมาตรฐาน ซึ่งสถานศึกษาเก็บไว้ในระบบ<br />
สารสนเทศ<br />
2) ออกแบบการนำเสนอรายงานฯ ตามสาระสำคัญ ให้ครอบคลุมการดำเนิน<br />
งานพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในรอบปี<br />
3) เขียนรายงานคุณภาพสถานศึกษาประจำปี โดยนำเสนอสภาพการดำเนิน<br />
งานและสรุปผลการดำเนินงานพร้อมแนวทางการพัฒนาในปีการศึกษาต่อไป<br />
4 เขียนรายงานและจัดทำเอกสารรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
36<br />
5. นำเสนอคณะผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาให้ความเห็นชอบ<br />
6. เผยแพร่สู่กลุ่มเป้าหมายผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษา<br />
7. ติดตามผล และรับข้อมูลย้อนกลับจากกลุ่มเป้าหมายผู้รับรายงานคุณภาพการศึกษา<br />
ประจำปี ซึ่งได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณ<br />
ชนเพื่อรับทราบความคิดเห็น ความพึงพอใจและข้อเสนอแนะที่มีต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนและ<br />
นำผลไปเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาต่อไป<br />
2.4.8 การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
"การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา" หมายถึง กลไกส่วนหนึ่งของระบบ<br />
ประกันคุณภาพภายใน เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการส่งเสริมพัฒนา และประเมินประสิทธิภาพของ<br />
การดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพ<br />
เป็นกลไกส่วนหนึ่งของระบบประกันคุณภาพภายใน เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการ<br />
ส่งเสริมพัฒนา และประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพ เป็นการนำผลจาก<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาไปใช้ ซึ่งมีรายละเอียดของข้อมูล สถาน<br />
ศึกษาโดยภาพรวมในด้านนโยบาย เป้าหมาย จุดเน้น ผลการดำเนินงานในรอบปี จุดเด่นและจุดด้อยของ<br />
สถานศึกษา รวมถึงสรุปผลและข้อเสนอแนะแนวทางวิธีการในการพัฒนา เพื่อเสริมจุดเด่นและแก้ไข<br />
จุดด้อย ซึ่งข้อมูลนี้สามารถนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำเสนอต่อผู้เกี่ยวข้องในระดับต่าง ๆ<br />
สรุป ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย สถานศึกษาทบทวน<br />
การจัดระบบบริหาร ว่าสามารถรองรับการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติหรือไม่<br />
จะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างไรให้เหมาะสมขึ้น การจัดระบบสารสนเทศ เน้นให้เกิดการ<br />
บันทึก การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบที่สมบูรณ์ ครอบคลุม ตรวจสอบได ้ นำมาใช้ในการ<br />
ตัดสินใจเชิงนโยบายได้ การจัดทำมาตรฐานการศึกษาระดับสถานศึกษา โดยที่การจัดการศึกษาของ<br />
สถานศึกษาจะต้องพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นข้อ<br />
กำหนดที่สถานศึกษาต้องดำเนินการ การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา เป็นหัวใจของการดำเนิน<br />
งานพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา แผนนี้จะฉายภาพรวมของการดำเนินงานทั้งหมดของสถานศึกษา<br />
ตามช่วงระยะเวลาที่สถานศึกษากำหนด ดังนั้นในขั้นตอนนี้จะต้องมี การกำกับ ติดตาม นิเทศอย่าง<br />
ต่อเนื่อง บันทึกผลการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ถูกต้องและสมบูรณ์ การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพ<br />
การศึกษาของสถานศึกษา เป็นหัวใจของการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา โดยมี<br />
จุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบและทบทวนประสิทธิภาพการดำเนินงานว่าวิธีการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในแผน<br />
37<br />
มีการนำมาปฏิบัติ การประเมินคุณภาพการศึกษา เป็นการที่สถานศึกษาจัดให้ผู้เรียนในชั้น ป.3 ป.6 ม.3<br />
และ ม.6 ได้รับการประเมินผลสัมฤทธิ์ในวิชาแกนหลักและคุณลักษณะสำคัญด้วยเครื่องมือมาตรฐานมี<br />
จุดมุ่งหมายเพื่อเทียบเคียงกับเกณฑ์มาตรฐานกลางและยกระดับคุณภาพของสถานศึกษา การรายงาน<br />
คุณภาพการศึกษาประจำปี เป็นการแสดงภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษา โดยมีการรายงาน<br />
ความก้าวหน้าผลการปฏิบัติ ผลการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาตามแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา<br />
ให้ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบการผดุงระบบประกันคุณภาพอย่างต่อเนื่องภารกิจ<br />
ข้างต้นเป็นกระบวนการที่เอื้อต่อการผลักดันให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
2.5 การประเมินผลภายใน<br />
การประเมินผลภายใน (สุวิมล ว่องวาณิช 2543ก : 10) คือ กระบวนการประเมินผลการ<br />
ดำเนินงานของหน่วยงานที่กระทำโดยบุคลาการในหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้<br />
ข้อมูลที่ช่วยในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด ถือเป็นกระบวนการ<br />
ตรวจสอบการทำงานของตนเอง และควรจำเป็นกิจกรรมหนึ่งในขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง<br />
สรุป ลักษณะสำคัญของการประเมินผลภายในของโรงเรียน คือ โรงเรียนประมินตนเองอย่าง<br />
ต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงตนเอง และพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบจาก<br />
การประเมินภายนอกอีกด้วย<br />
2.5.1 ความสำคัญและจำเป็นของการประเมินตนเอง<br />
1. เพื่อทราบจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง<br />
2. เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงการดำเนินงานของตนเอง<br />
3. เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากชุมชน<br />
4. เพื่อรายงานผลการประเมินให้สาธารณชนทราบ และได้ข้อมูลที่ช่วยในการวางแผน<br />
พัฒนาหน่วยงานต่อไป<br />
2.5.2 มโนทัศน์เกี่ยวกับการประเมินผลภายใน<br />
มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการประเมินผลภายใน 10 ประการ<br />
1) การประเมินเป็นการจับผิดการทำงานของบุคคลในหน่วยงาน<br />
2) การประเมินเป็นการทำงานเสริมนอกเหนืองานประจำและเพิ่มภาระ<br />
3) การประเมินเป็นการทำงานเฉพาะกิจเพียงครั้งคราว<br />
38<br />
4) การประเมินเป็นการทำงานเพื่อสร้างผลงานของคนใดคนหนึ่ง<br />
5) การประเมินเป็นการทำงานเพื่อหวังผลทางการเมือง<br />
6) การประเมินเป็นการทำงานเพราะถูกบังคับให้ทำ<br />
7) การประเมินเป็นกระบวนการที่ให้ใครมาทำก็ได้<br />
8) การประเมินเป็นการทำงานในกลุ่มคนที่ได้รับมอบหมายโดยเฉพาะ<br />
9) การประเมินเป็นการทำงานที่ไม่ได้หวังเอาผลไปใช้ประโยชน์<br />
10) การประเมินเป็นการทำแล้วเก็บไว้รู้ผลการประเมินเฉพาะในกลุ่มคนทำ<br />
มโนทัศน์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประเมินผลภายใน 10 ประการ<br />
1) การประเมินเป็นการให้ข้อมูลที่ช่วยให้มีการปรับปรุงตนเองให้ทำงานได้ดีขี้น<br />
2) การประเมินเป็นงานที่ต้องทำในวงจรการทำงานอยู่แล้ว ไม่ใช่การเพิ่มภาระ<br />
3) การประเมินเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง<br />
4) การประเมินเป็นงานของทุกคน ไม่ใช่การสร้างผลงานทางวิชาการของใคร<br />
5) การประเมินเป็นงานที่ต้องทำด้วยใจเป็นกลาง สะท้อนผลตามความเป็นจริง<br />
6) การประเมินเป็นงานที่ต้องทำด้วยความเต็มใจและอยากทำ<br />
7) การประเมินเป็นงานที่ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักวิธีการ ผู้ทำต้องมีความรู้<br />
ในการประเมิน<br />
8) การประเมินเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันทำให้สำเร็จ<br />
9) งานที่ต้องเอาผลไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง<br />
10) การประเมินเป็นงานที่ต้องเผยแพร่ผลการประเมินให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบ<br />
สรุป การประเมินผลภายใน เป็นการประเมินตนเองซึ่งต้องอาศัยบุคลากรในหน่วยงานเป็น<br />
ผู้ร่วมกันดำเนินการ ดังนั้น การมีจิตสำนึกและตระหนักถึงคุณค่าของการประเมินตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่<br />
ผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้ที่รับผิดชอบด้านการประเมินผลภายในจะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้<br />
เกิดขึ้นกับบุคลากรในหน่วยงานทุกฝ่าย ให้ได้รับรู้มโนทัศน์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประเมินผลภายใน<br />
2.5.3 ขั้นตอนการประเมินผลภายใน<br />
1) ศึกษาหรือกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของสถานศึกษา เพื่อใช้เป็น<br />
เป้าหมายของการประเมินผล<br />
39<br />
2) ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานด้านการประเมินผลภายใน ซึ่งประกอบด้วย<br />
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา ได้แก่ ชุมชนบริเวณโรงเรียน ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษา<br />
ทั้งครูอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ นักเรียน และกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน<br />
3) วางแผนการประเมินผลภายใน<br />
3.1) กำหนดเป้าหมายของการประเมิน<br />
3.2) กำหนดวิธีการประเมิน<br />
3.3) เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน<br />
3.4) วางแผนการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ สรุปและรายงานผล<br />
4) ลงมือทำการประเมินผล<br />
5) กระตุ้นกำกับการประเมินผลให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้<br />
6) รายงานผลการประเมิน สรุปจุดแข็งและจุดอ่อนของสถานศึกษาและนำมาเผยแพร่<br />
ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ เช่น ผู้บริหาร ครูอาจารย์ ชุมชนบริเวณโรงเรียน นักเรียน เป็นต้น<br />
7) วางแผนการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาในส่วนที่เป็นจุดอ่อน<br />
8) ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแนวทางที่เลือกใช้<br />
9) ตรวจสอบผลการดำเนินงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการบรรลุผลหรือไม่ ซึ่ง<br />
เป็นการย้อนกลับไปทำงานขั้นตอนที่ 3-9 ใหม่<br />
การดำเนินงานในโรงเรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ มีการทำงาน 4 ขั้นตอน คือ การวาง<br />
แผนการทำงา การลงมือปฏิบัติงาน การตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน และการแก้ไขปรับปรุงการทำงาน<br />
(วรภัทร์ ภู่เจริญ 2542) ซึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน นี้ยังมีวงจรการทำงานที่เป็นแบบ<br />
PDCA คือ มีการวางแผน การประเมิน การลงมือทำการประเมิน การตรวจสอบผลการประเมิน และ<br />
การแก้ไขปรับปรุงผลการดำเนินงานหลังจากรู้ผลการประเมินว่ามีจุดบกพร่องในเรื่องใด<br />
2.5.4 มาตรฐานของการประเมินผลภายใน<br />
การดำเนินการประเมินผลภายในจะต้องมีกระบวนการดำเนินงานที่ได้มาตรฐาน ซึ่ง<br />
ผู้ประเมินต้องออกแบบการประเมินให้ได้คุณภาพตามเกณฑ์ (Stufflebeam 1998, Online)ต่อไปนี้<br />
1) มาตรฐานด้านประโยชน์จากการประเมิน ผลการประเมินต้องให้ข้อมูลตรงตามที่<br />
ผู้ใช้ผลการประเมินอยากรู้ ( เช่น ผู้บริหาร ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ) และนำไป<br />
ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานได้จริง โดยเฉพาะถ้าสามารถให้ข้อมูลมีส่วนช่วย<br />
ในการปรับปรุงตนเองได้ในระดับบุคคล(นักเรียน ครู ผู้บริหาร) ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้น<br />
40<br />
2) มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ วิธีการที่ใช้ในการประเมินจะต้องมีความเป็นไปได้<br />
ในทางปฏิบัติจริง ประหยัด คุ้มค่าและเหมาะสม<br />
3) มาตรฐานด้านความเหมาะสม วิธีการที่ใช้ในการประเมินต้องไม่ส่งผลกระทบต่อ<br />
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน ไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายกับผู้ให้ข้อมูล<br />
4) มาตรฐานด้านความถูกต้อง วิธีการที่ใช้ในการประเมินต้องมีความถูกต้อง ให้ข้อมูล<br />
ที่เชื่อถือได้ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสามารถวัดตัวบ่งชี้ที่ต้องการวัดได้จริง มีความครบถ้วน<br />
สมบูรณ์ตามตัวบ่งชี้ที่ต้องการวัด แหล่งผู้ให้ข้อมูลเชื่อถือได้ ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง วิธีการ<br />
วิเคราะห์และการเสนอผลการประเมินมีความเป็นปรนัย<br />
สรุป การประเมินผลภายในหรือการประเมินตนเองเป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหารจัดการ<br />
การศึกษา ซึ่งจะทำให้ได้สารสนเทศที่สะท้อนการปฏิบัติงานของสถานศึกษา อันจะนำไปสู่การพัฒนา<br />
และปรับปรุงตนเองให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนด ดังนั้นหากสถานศึกษาได้มี<br />
การประเมินผลตนเองครบทุกมาตรฐาน ก็จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของตนเองว่ายังมีจุดที่<br />
ต้องแก้ไขปรับปรุงตนเองในด้านใดบ้าง<br />
2.6 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
ได้แก่<br />
ผลงานวิจัยในประเทศ<br />
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2531) ได้ศึกษาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ ปัจจัยเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง<br />
ได้แก่ การนิเทศ และติดตามผล การใช้เงินนอกงบประมาณ อุปกรณ์การเรียน และการบริหารงาน<br />
ของผู้บริหารโรงเรียน ปัจจัยด้านผู้บริหาร ได้แก่ การปฏิบัติงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับผู้อื่น<br />
วยั ประสบการณ์ วฒุ ิ และระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ปัจจัยด้านคร ู ได้แก ่ คุณลักษณะของคร ู (วฒุ ิ<br />
ประสบการณ์) ภารกิจ และการปฏิบัติหน้าที่ (ปริมาณงานในความรับผิดชอบ ทักษะการสอนการใช้<br />
เวลา) ขวัญและกำลังใจ ความสัมพันธ์ของครูกับผู้อื่น ปัจจัยด้านชุมชน ได้แก่ ความเจริญแบบเมือง<br />
บทบาทของผู้นำชุมชน และการให้ความร่วมมือแก่โรงเรียน ปัจจัยด้านผู้ปกครอง และนักเรียน ได้แก่<br />
ค่าใช้จ่าย ทัศนคติและอาชีพ ปัจจัยด้านนักเรียน ได้แก่ พื้นฐานความรู้เดิม การทำการบ้าน และ<br />
การขาดเรียน ปัจจัยด้านการเรียนการสอน และการวัดผล ได้แก่ การเตรียมการสอน เป้าหมายใน<br />
41<br />
การสอน เทคนิคเวลาในการสอน วิธีวัดผล ซึ่งปัจจัยด้านนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์<br />
ทางการเรียนของนักเรียน<br />
จากการศึกษาของ วันชัย ศิริชนะ (2537) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาระดับอุดมศึกษาสำหรับการศึกษาอุดมศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย พบว่า ระบบ<br />
การประกันคุณภาพการศึกษาของทุกประเทศที่ศึกษาได้เน้นถึงหลักการในเรื่องความเป็นอิสระ<br />
(Autonomy) ควบคู่ไปกับความพร้อมที่ได้รับการตรวจสอบจากภายนอก (Accountability) ของ<br />
สถาบันอุดมศึกษา ทั้งนี้โดยแต่ละประเทศมีกลไกการดำเนินการและวิธีการในรายละเอียดที่แตกต่าง<br />
กันออกไปตามประสบการณ และจารีตนิยมของตน สำหรับรูปแบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ในระดับอุดมศึกษาสำหรับสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยที่พัฒนาขึ้น ได้ใช้กระบวน<br />
การรับรองวิทยฐานะ โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 แบบ แบบที่ 1 ใช้ระบบการตรวจสอบกลไก<br />
ควบคุมคุณภาพทางวิชาการ ภายในที่สถาบันได้จัดให้มีขึ้น โดยลักษณะนี้จะใช้กับสถาบันอุดมศึกษา<br />
หรือหลักสูตรที่เปิดปิดดำเนินการไปแล้ว และเป็นระยะที่เป็นโดยความสมัครใจ แบบที่ 2 ใช้ระบบ<br />
การตรวจสอบผลการดำเนินการสำหรับสถาบันหรือหลักสูตรที่ขอจัดตั้งหรือเปิดดำเนินการขึ้นใหม่<br />
เมื่อเห็นว่ามาตรการและเกณฑ์การดำเนินการเหมาะสมก็ให้การรับรองวิทยฐานะ ซึ่งทั้งสองระบบ<br />
มุ่งเน้นการกระตุ้นในสถาบันอุดมศึกษามีอิสระในการกำกับดูแลตนเอง โดยการสร้างระบบควบคุม<br />
คุณภาพติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของตนด้วยตนเอง<br />
สัมฤทธิ์ วิรัตน์ตนะ (2537)ได้ทำการศึกษามาตรฐานคุณภาพการศึกษาตามสภาพความเป็นจริง<br />
ของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา ในเขตการศึกษา<br />
12 ในด้านความพร้อมของทรัพยากรและคุณภาพการจัดการศึกษาโดยตัวชี้มาตรฐานคุณภาพการศึกษา<br />
ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้ด้านสถานศึกษา มีปรัชญา/เป้าหมาย ความเชื่อ คติพจน์หรือคำขวัญเขียนไว้<br />
เป็นลายลักษณ์อักษร สถานศึกษามีการจัดชั้นเรียนและจัดกลุ่มวิชาเลือกสนองความต้องการของผู้เรียน<br />
สถานศึกษามีบุคลากรที่มีคุณภาพในการที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ความเชื่อ ค่านิยม<br />
ตลอดจนบุคลิกลักษณะของผู้บริหารการศึกษาส่งผลให้บุคลากรในสถานศึกษาปฏิบัติได้สำเร็จ<br />
ผู้บริหารการศึกษาแสดงความสามารถในการนำสถานศึกษาของตน รู้เป้าหมายที่วางไว้ สถานศึกษามี<br />
และใช้หลักสูตรเป็นเครื่องกำหนดการเรียนการสอน สถานศึกษามีหลักสูตร และจัดประสบการณ์ที่<br />
ทำให้เด็กมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็น และนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถานศึกษามีหลักสูตรและจัด<br />
ประสบการณ์ให้นักเรียนเจริญงอกงามในด้านความรู้ ความเข้าใจ และซาบซึ้งในตนเองและผู้อื่น<br />
สถานศึกษามีงบประมาณ และนิเทศการใช้หลักสูตร ครูวางแผน และจัดการสอบอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
จนบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายของสถานศึกษา นักเรียนรู้จักเรียนและรู้คุณค่าของการเรียน สถาน<br />
42<br />
ศึกษามีแผนการสอนที่ทำให้เกิดผลในการดำเนินงาน สถานศึกษามีผู้บริหารที่มีคุณวุฒิสูง และปฏิบัติ<br />
งานเต็มเวลา สถานศึกษามีโครงการพัฒนาคณะผู้ร่วมงาน สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาเอื้ออำนวย<br />
และมุ่งเน้นที่ความสามารถและคุณค่าของแต่ละบุคคล การใช้ข้อมูลจากการประเมินผล ปรับปรุง<br />
โครงการของสถานศึกษา การจัดและประเมินผลของนักเรียน อาศัยจุดประสงค์การเรียนรู้ของหลัก<br />
สูตรเป็นพื้นฐาน สถานศึกษามีวิธีการติดตามและประเมินผลของครูอย่างเป็นระบบ และยุติธรรม มีวิธี<br />
การติดตาม และประเมินผลงานของผู้บริหารการศึกษาอย่างเป็นระบบ จากตัวอย่างบ่งชี้มาตรฐาน<br />
คุณภาพการศึกษาเหล่านี้ พบว่า โรงเรียนมัธยมศึกษาทั้ง 3 ขนาดปฏิบัติได้ในระดับปรากฏเป็นบางส่วน<br />
ยกเว้นบางข้อในแต่ละด้านที่มีการปฏิบัติได้ในระดับสม่ำเสมอ<br />
สงบ ลักษณะ (2538) ได้ศึกษาเชิงสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้จังหวัด<br />
ดำเนินงานพัฒนาและประเมินผลคุณภาพการศึกษา โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริหารหน่วยงานการจัด<br />
การศึกษาในภูมิภาค พบว่า 1) ลักษณะขององค์กรที่ควรรองรับการกระจายอำนาจการพัฒนา และ<br />
ประเมินคุณภาพการศึกษา คือ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ด้วยเหตุผลว่าตรงกับพระราชกฤษฎีกา<br />
แบ่งส่วนราชการที่กำหนดให้ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นหน่วยงานกลางของกระทรวงศึกษา<br />
ธิการรับผิดชอบประสานงานการจัดการศึกษาของทุกสังกัด ทุกระดับ ทุกประเภทในจังหวัด 2) ด้าน<br />
ศักยภาพของหน่วยงานต่างๆ มีบุคลากรในองค์กรรองรับงานพัฒนาและประเมิน มีความสามารถใน<br />
การวางแผนแบบครบวงจร และมีความสามารถในการระดมทรัพยากรเพื่อการพัฒนาและการประเมิน<br />
มีศักยภาพลดหลั่นกันไปในหน่วยงานต่างๆ โดยสูงสุดในระดับเวลารองลงมาคือสำนักงานการประถม<br />
ศึกษาจังหวัด สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด และต่ำสุดคือ สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด 3)ในสภาพ<br />
ปัจจุบันองค์กรระดับจังหวัดยังไม่สามารถรองรับการดำเนินการประเมินคุณภาพการศึกษาได้ครบถ้วน<br />
ยังคงต้องอาศัยระบบ เครื่องมือประเมินและทรัพยากรจากส่วนกลาง แต่องค์กรระดับจังหวัดสามารถ<br />
รับร่างประสานการดำเนินงานประเมินคุณภาพการศึกษาในขั้นตอนรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล<br />
รายงานและนำผลไปใช้ สำหรับข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ 3.1) กรมวิชาการควรรับผิดชอบพัฒนา<br />
เครื่องมือมาตรฐาน เพื่อการวัดการประเมินทั้งระบบร่วมมือกับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ในการวาง<br />
แผนใช้เครื่องมือและเทคนิควิธีการประเมินแบบต่าง ๆ เพื่อให้มีการรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำ และ<br />
ครอบคลุมต่อเนื่อง 3.2) มอบอำนาจให้องค์กรในจังหวัด ผนึกกำลังทุกองค์กรในลักษณะคณะ<br />
กรรมการรับผิดชอบวางแผนพัฒนา และประเมินคุณภาพการศึกษาของตนเองตามกรอบมาตรฐาน<br />
คุณภาพโดยกระทรวงสนับสนุนทรัพยากร ให้เน้นการพัฒนาและประเมินที่ตอบสนองต่อลักษณะ<br />
ท้องถิ่น และนำผลการประเมินมาใช้ประโยชน์สูงสุด 3.3) กรมวิชาการประสานงานระบบสารสนเทศ<br />
คุณภาพการศึกษาระดับประเทศต่อเนื่องทุกปีครอบคลุมทุกองค์ ประกอบนำมาใช้เป็นพื้นฐานของ<br />
43<br />
การกำหนดนโยบาย กำหนดมาตรฐาน นวัตกรรม การจัดสรรทรัพยากร และส่งเสริมการปฏิบัติ<br />
เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพการจัดการศึกษาในทุกด้าน 3.4)กรมวิชาการและกรมต้นสังกัดของโรงเรียน รวมถึง<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการควรวางแผนพัฒนาศักยภาพความพร้อมขององค์กร และบุคลากร<br />
ในระดับจังหวัดให้สามารถดำเนินงานประเมินคุณภาพการศึกษาได้ด้วยตนเองทั้งระบบทุกขั้นตอน<br />
รวมถึงมีการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานด้านการกระจายอำนาจการศึกษาอย่างจริงจัง<br />
จุไรรัตน์ สุดรุ่ง (2539) ทำการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน<br />
วิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพใน<br />
การดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนประกอบด้วย องค์ประกอบ 4 ด้าน คือ องค์ประกอบด้านสภาพ<br />
ทั่วไปของโรงเรียน องค์ประกอบด้านผู้บริหาร องค์ประกอบด้านครู และองค์ประกอบด้านผู้ปกครอง<br />
โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านผู้ปกครอง พบว่ามีตัวแปรที่สำคัญ 2 ประการ คือ การให้ความร่วมมือ<br />
ของผู้ปกครองในด้านการเรียนการสอน ทำให้สามารถแก้ปัญหาเรื่องการเรียนของนักเรียนได้ดีขึ้น<br />
ด้วยการร่วมมือกับครู และการให้การสนับสนุนช่วยเหลือของสมาคมผู้ปกครอง และครูได้ให้<br />
การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมวิชาการโดยให้<br />
ความช่วยเหลือทั้งด้านการเงิน วัสดุอุปกรณ์ และการสนับสนุนโครงการต่างๆ ทำให้โรงเรียนสามารถ<br />
พัฒนาไปได้อย่างดี โดยไม่ต้องรองบประมาณจากทางราชการ<br />
ธเนศ คิดรุ่งเรือง (2540) ได้ทำการศึกษาการประกันคุณภาพในการบริหารงานวิชาการของ<br />
โรงเรียนเอกชนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องกับโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ โดยสอบถามความคิดเห็น<br />
ของผู้บริหารโรงเรียน เกี่ยวกับการจัดหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้วิธีการสอน<br />
และการใช้สื่อการเรียนการสอน การวัดผลการเรียนการสอน พบว่า โรงเรียนเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ<br />
มีการบริหารงานวิชาการในแนวทาง และวิธีการประกันคุณภาพมากกว่าโรงเรียนที่ไม่ได้เข้าร่วม<br />
โครงการ และโรงเรียนจะเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอันดับแรก และการใช้วิธีการสอน<br />
และการใช้สื่อการสอนเป็นอันดับสุดท้ายโดย เฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่มีการปฏิบัติมากกว่าโรงเรียน<br />
ขนาดกลาง<br />
เข็มทอง ศิริแสงเลิศ (2540) ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ระบบประกันคุณภาพการศึกษาของ<br />
โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบที่โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน<br />
ใช้ประกันคุณภาพการศึกษา คือระบบประกันคุณภาพที่เน้นการควบคุม การปฏิบัติงานตามสาย<br />
การบังคับบัญชาและใช้ปฏิทินการศึกษาเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จในการปฏิบัติงาน มีการวางแผน<br />
ปฏิบัติงานระยะ 1 ปี มากที่สุด ส่วนการกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานของงาน ตลอดจนการทบทวนและ<br />
ปรับปรุงการปฏิบัติงานยังไม่พบแบบแผนที่ชัดเจน 2) ระบบประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
44<br />
อาชีวศึกษาเอกชนขาดปัจจัยสำคัญตามแนวทางของระบบประกันคุณภาพการศึกษาตามทฤษฎีทั้ง3<br />
ระบบย่อย คือ (1) ระบบการวางแผน บุคลากรมีส่วนร่วมน้อย และไม่มีเป้าหมายมาตรฐาน และ<br />
เกณฑ์การจัดที่ชัดเจน (2) ระบบการควบคุมคุณภาพ ขาดการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก<br />
(3) ระบบการทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติงานที่ใช้อยู่ บุคลากรไม่มีส่วนร่วมในการทบทวนผล<br />
การปฏิบัติงาน 4) ประสิทธิผลของระบบประกันคุณภาพการศึกษา 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพของ<br />
กระบวนการบริหารโรงเรียน ด้านคุณภาพของนักเรียน และด้านคุณภาพของการบริการ ไม่พบ<br />
ว่า โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งใดมีประสิทธิผลครบทั้ง 3 ด้าน<br />
อาภรณ์ พลเยี่ยม (2542) ได้ศึกษาระดับการดำเนินการตามนโยบายการประกันคุณภาพการ<br />
ศึกษาระดับอุดมศึกษา และปัญหาการดำเนินการตามนโยบายการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดม<br />
ศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า ระดับการดำเนินการตามนโยบายการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
รวมทุกด้านมีการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีการดำเนินการอยู่<br />
ในระดับปานกล่างค่อนข้างมากมี 2 ด้าน คือ ด้านการเรียนการสอนและด้านปรัชญา ปณิธาน วัตถุ<br />
ประสงค์ และแผนการดำเนินงาน ส่วนด้านที่มีการดำเนินงานในระดับปานกลางค่อนข้างน้อยมี 2 ด้าน<br />
คือ ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และงานระบบกลไกการประกันคุณภาพการศึกษา ส่วนปัญหาใน<br />
การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา ปัญหาที่พบคือ 1) ด้านการเรียนการสอน ระบบสรรหา<br />
และการธำรงรักษาไว้ซึ่งอาจารย์ที่มีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ คุณธรรม จริยธรรม<br />
ยังไม่ดีเท่าที่ควร 2) คณาจารย์ที่ไม่ดำรงตำแหน่งทางวิชาการสูงขึ้นถึงร้อยละ 52 หน่วยงานที่ให้<br />
ความรับผิดชอบในการให้คำปรึกษาในการประกอบอาชีพยังไม่เพียงพอ 3) การหางานทำให้แก่<br />
นักศึกษานั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ 4) การส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาโดยมีอาคารสถานที่<br />
ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนแบบศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองไม่เพียงพอ และ 5) ด้านกิจกรรมการ<br />
พัฒนานิสิตนักศึกษา หน่วยงานรับผิดชอบการให้คำปรึกษาไม่เพียงพอ การพัฒนานักศึกษาด้านสังคม<br />
เป็นผู้มีระเบียบวินัย รักประชาธิปไตย รู้จักรักษ์สิ่งแวดล้อม มีคุณธรรม จริยธรรมยังไม่เหมาะสม<br />
นอกจากนี้งานวิจัยของ สัญชาติ ตาลชัย (2542) ได้ทำการศึกษาปัญหาการปฎิบัติงานตาม<br />
เกณฑ์มาตรฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษา การวิจัยพบว่า 1) ข้าราชการครู จำแนกตามสถานภาพ<br />
ตำแหน่ง มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า งานการบริหารทั่วไป<br />
งานธุรการ งานวิชาการ งานบริการโรงเรียนกับชุมชน และการบริหารอาคารสถานที่ มีปัญหาอยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง งานปกครองนักเรียนอยู่ในระดับมาก ยกเว้นผู้บริหารมีปัญหางานด้านปกครองอยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง 2) เมื่อเปรียบเทียบระดับปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานของโรงเรียนตาม<br />
ขนาดโรงเรียนต่างกัน มีปัญหาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สอดคล้องกับงานวิจัยของ<br />
45<br />
ทำเนียบ มหาพรหม (2543) ศึกษาเกี่ยวกับการติดตามการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา พบว่า สภาพการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษา ด้านผลผลิต<br />
เมื่อนักเรียนจบหลักสูตรแต่ละระดับแล้ว พบว่านักเรียนมีการพัฒนาตนเองอยู่ในระดับปานกลางด้าน<br />
กระบวนการในภาพรวมของการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษา พบว่า มีการ<br />
พัฒนาครูและบุคลากรอื่นได้มีความร ู้ ความสามารถ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม เพื่อให้สามารถปฏิบัติงาน<br />
ในหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ ด้านปัจจัย ครูมีคุณธรรมและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ผู้บริหารสถานศึกษา<br />
มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ มีภาวะผู้นำ มนุษยสัมพันธ์และวิสัยทัศน์ ส่วนปัญหา<br />
การปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง<br />
จากการสำรวจความพร้อมของสถานศึกษาในช่วงปลายปี 2541 ของโครงการวิจัยเพื่อพัฒนา<br />
ระบบการประเมินผลภายในสถานศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้รับความร่วม<br />
มือจาก รศ.ดร.สุวิมล ว่องวาณิช และคณะ (2543) ในการดำเนินการนั้น ปรากฏว่า จากสถานศึกษา 65<br />
แห่ง มีสถานศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งมิได้รับการประเมินผลภายใน และไม่ได้ใช้การประเมินผลภายใน<br />
ให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการ เพื่อพัฒนาคุณภาพให้เป็นไปตามเป้าหมาย และมาตรฐาน<br />
การศึกษา สำหรับสถานศึกษาที่ทำการประเมินผลภายในนั้น ส่วนใหญ่ประเมินผลตามมาตรฐานด้าน<br />
ปัจจัย มากกว่ามาตรฐานด้านกระบวนการและด้านผู้เรียน โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน<br />
มีการประเมินน้อยมากในด้านความพร้อมของบุคลากรนั้น ถึงแม้ว่าทัศคติและแรงจูงใจในการประเมิน<br />
ผลภายในอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยครอู าจารยม์ ากกวา่ รอ้ ยละ 95 ยินดีและเต็มใจที่จะเรียนรู้และ<br />
ดาํ เนนิ การในเรอื่ งนี้ แต่ผลจากการวิจัย พบว่า มีครูประมาณร้อยละ 31 ที่รู้สึกกังวลในการทำงานน ี้<br />
ส่วนความรู้และทักษะในการประเมิน มีเพียงร้อยละ 53 ที่เคยผ่านการฝึกอบรมด้านการประเมิน<br />
ร้อยละ 21 คิดว่าสามารถทำการประเมินผลภายในได้ ร้อยละ 11 คิดว่าสามารถสร้างเครื่องมือใน<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูลได้ร้อยละ 17 คิดว่ามีความรู้เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล และร้อยละ 32 สามารถใช้<br />
คอมพิวเตอร์ได้<br />
บุญทิพย์ สุริยวงศ์ ( 2544) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับ<br />
มาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 ของโรงเรียนมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษาพบว่า 1) การบริหาร<br />
งานวิชาการมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านแผนปฏิบัติงาน<br />
ด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร ด้านการวัดและประเมินผล ด้านการนิเทศและการพัฒนาและด้านสื่อการ<br />
เรียนการสอน 2) มาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ<br />
ด้านระบบคุณภาพ ด้านการบันทึกควบคุมคุณภาพ ด้านการทบทวน ข้อตกลงเบื้องต้น ด้านการแสดง<br />
ผลการทดสอบ ด้านความรับผิดชอบ ด้านการบริหาร ด้านการเคลื่อนย้าย การเก็บ การบรรจุ<br />
46<br />
รักษาและการส่งมอบงาน ด้านการติดตามคุณภาพภายใน ด้านการควบคุมผลิตภัณฑ์ ไม่เป็นไปตาม<br />
ข้อกำหนด ด้านการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ส่งมอบโดยลูกค้า ด้านการควบคุมเอกสาร และข้อมูล ด้าน<br />
การควบคุมกระบวนการ ด้านการตรวจสอบ และการทดสอบ ด้านการบ่งชี้และการตอบกลับ ด้าน<br />
การแก้ไข และการป้องกัน ด้านการจัดซื้อ ด้านการฝึกอบรม ด้านการบริการ ด้านเทคนิคการใช้สถิติ<br />
และด้านการควบคุมเครื่องมือตรวจสอบและเครื่องมือทดสอบ เป็นต้น 3) การบริหารงานวิชาการกับ<br />
มาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 มีความสัมพันธ์กัน 4) จากการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้บริหาร<br />
โรงเรียน ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ หัวหน้างานแผนงาน และหัวหน้าหมวดวิชา พบว่า การบริหารงานวิชาการ<br />
และมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 มาใช้ในโรงเรียนให้ได้ประสิทธิภาพนั้น ผู้บริหารโรงเรียน<br />
ต้องเป็นผู้นำและให้การสนับสนุน ส่วนบุคลากรในโรงเรียนทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ และมี<br />
ความรู้ความเข้าใจในระบบงานของมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 ผลดีจากการบริหารงานวิชา<br />
การตามมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9002 คือ การดำเนินงานเป็นระบบมีความเป็นปัจจุบัน และมี<br />
ความต่อเนื่อง มีการจัดระบบเอกสารเกี่ยวกับงานต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ และมีการตรวจสอบ<br />
ตลอดระยะเวลา การดำเนินงานเพื่อหาแนวทางแก้ไขปรับปรุง พัฒนางานตามวัตถุประสงค์ หรือตาม<br />
ข้อตกลงที่กำหนดไว้<br />
ผลงานวิจัยต่างประเทศ<br />
อีกลอฟ(Egloff 1982) ได้ศึกษาถึงการขยายหน้าที่การงานของบุคลากรในโรงเรียน<br />
เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น ได้แก่ การมอบหมายหน้าที่ของบุคลากรฝ่ายประจำ<br />
และฝ่ายชั่วคราว ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิเทศ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารการศึกษาใน<br />
ท้องถิ่นเมืองเจเนสัน รัฐมิชิแกน สรุปให้เห็นความต้องการอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล<br />
โดยโรงเรียนในท้องถิ่นต้องการความช่วยเหลือในเรื่องต่อไปนี้ คือ กระบวนการปูนบำเหน็จ กระบวน<br />
การประเมินผล และกระบวนการปฏิบัติงานทั่วๆ ไป<br />
แพททิเซีย (Pattricia 1994) ที่ได้ทำการศึกษาการประเมินการก้าวไปสู่การประกันคุณภาพ<br />
การศึกษา และการควบคุมการปฏิบัติในประเทศเยอรมัน สวีเดน ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย<br />
จากผลการวิจัยพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ในระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
นั้น กลไกทางสังคมช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในประเทศเยอรมันมีการเปลี่ยนแปลงจากจังหวัด<br />
หนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง การประกันคุณภาพการศึกษาและควบคุมการประเมิน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่<br />
ครูต้องรับผิดชอบต่ออาชีพของตนซึ่งต้องดำเนินไปอย่างมีเหตุผล และกระบวนการที่ชัดเจน ใน<br />
ประเทศสวีเดนเกิดการเปลี่ยนแปลงในการประกันคุณภาพการศึกษา จนถึงการประเมินครูในสถาน<br />
ศึกษาจึงเกิดการพัฒนาอย่างชัดเจน ในประเทศฝรั่งเศสให้ความสำคัญ และเชื่อถือกับการใช้ข้อสอบ<br />
47<br />
ภายนอก โรงเรียนมีการควบคุมจากส่วนกลางในประเทศนิวซีแลนด์ให้ความสำคัญกับการประเมินจาก<br />
บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา นำเอาระบบการสอบมาตรฐานกลางซึ่งอ้างอิงไปสู่การยอม<br />
รับที่เป็นมาตรฐาน และในประเทศออสเตรเลียมีการนำเอาระบบการประเมินผลโดยการใช้ข้อสอบ<br />
มาตรฐาน มีการเตรียมการอย่างมีแบบแผนสู่การควบคุมคุณภาพ และการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ในระดับมัธยมศึกษา และการศึกษาชั้นสูงต่อไป<br />
เบอกกัสท์ (Bergguist 1995) ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง การรับรู้ของอาจารย์ต่อการปรับปรุงคุณภาพ<br />
อย่างต่อเนื่อง : การศึกษา 3 สถาบันหลังระดับมัธยมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความเข้าใจ<br />
ของอาจารย์ในสถานศึกษาที่มีต่อการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องที่สถานศึกษาได้บูรณาการใช้ใน<br />
สถานศึกษา และเพื่อติดตามความสำเร็จด้านกลยุทธ์ของผู้บริหารในการส่งเสริมและสนับสนุนให้<br />
อาจารย์ตระหนักถึงความสำคัญของการประกันคุณภาพของสถาบัน ผลการวิจัยพบว่า อาจารย์รับรู้ถึง<br />
การประกันคุณภาพที่นำมาบูรณาการใช้ในสถานศึกษาไม่เหมือนกัน การรับรู้ของผู้บริหาร อาจารย์ ที่<br />
ได้ทำสัญญาต่าง ๆ แล้วมีนัยสำคัญ และอาจารย์ที่ใช้เครื่องมือประกันคุณภาพการศึกษาในการสอน<br />
ในห้องเรียน มีความพึงพอใจต่อประโยชน์ของการประกันคุณภาพมากกว่าอาจารย์ที่ไม่ได้ใช้อย่างมีนัย<br />
สำคัญ นอกจากนี้อาจารย์มีความพึงพอใจมากที่สุดเกี่ยวกับแนวคิดของการประกับคุณภาพในด้าน<br />
การบริการผู้เรียน โปรแกรมการศึกษาที่จัดในสถาบัน คุณภาพในการจัดกิจกรรมและติดต่อสื่อสารของ<br />
ผู้บริหาร อาจารย์มีความพึงพอใจน้อยที่สุดต่อหัวข้อการประเมินคุณภาพในด้านการใช้แหล่งทรัพยากร<br />
มนุษย์ คุณภาพของสารสนเทศ และการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้อาจารย์ผู้หญิงมีความรู้<br />
โดยส่วนตัวเกี่ยวกับการประกันคุณภาพมากกว่าอาจารย์ผู้ชายและยังตระหนักถึงความสำคัญ<br />
และมีทัศคติที่ก้าวหน้าของการใช้ระบบการประกันคุณภาพของสถาบัน<br />
บรุคส์ (Brooks 1999) ทำการศึกษาการประกันคุณภาพและการสุ่งเสริมกระบวนการวางแผน<br />
ทางการศึกษาพิเศษ แก่นักเรียนในรัฐอิลินอยส์ พบว่า การศึกษาทดสอบวัตถุประสงค์ของการประกัน<br />
คุณภาพ และการส่งเสริมกระบวนการวางแผนทางการศึกษาพิเศษแก่นักเรียนในรัฐอิลินอยส์โดยมี<br />
วัตถุประสงค์ในการส่งเสริมแผนงานเป็นรูปแบบพิเศษของนักเรียน เพื่อให้ได้ผลด้านการประกัน<br />
คุณภาพ และการส่งเสริมกระบวนการในการวางแผน<br />
นิวตัน เจ (Newton J. 1999) ทำการวิจัยเรื่อง การประเมินผลกระทบในการตรวจสอบคุณภาพ<br />
ภายนอก ของสถาบันอุดมศึกษาในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี 1993 ถึง 1998 ผลการวิจัยพบว่า การใช้<br />
ข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพที่ได้จากการวัดการปฏิบัติ หรือการดำเนินงานโดยองค์กรภายนอก<br />
เช่น รายงานการตรวจสอบและการประเมิน Scottish Higher Education Founding Council (SHEFC)<br />
และ Higher Education Quality Council (HEQC) และการตรวจสอบและประเมินภายใน โดยคณะ<br />
48<br />
กรรมการตามการรับรู้และประสบการณ์ทำให้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ดังนี้ 1) วัตถุประสงค์ของ<br />
ระบบคุณภาพ และวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบและประเมินชี้ให้เห็นว่า ระบบการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและประเมินทั้งโดยภายในและภายนอก การตรวจสอบและ<br />
ประเมินสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ 2) การปรับปรุงคุณภาพสำหรับบุคลากร มี<br />
ขอบเขตที่กว้าง ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกส่วนของการปรับปรุงให้เป็นอิสระ ออกจากระบบการประกัน<br />
คุณภาพได้ 3) การปรับปรุงคุณภาพสำหรับผู้เรียนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งกว่าการปรับปรุงและ<br />
พัฒนาบุคลากร 4) ควรจะมีการเพิ่มหรือขยายการดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพออกไปอย่าง<br />
กว้างขวางเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ<br />
ไนเลอร์ (Nailor 2000) ทำการศึกษาการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนในอนาคต พบว่า<br />
การปฏิรูปโรงเรียนมีเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความสำเร็จแก่นักเรียน ครูแนะแนว ควรใช้ให้เห็นบทบาทของ<br />
การปฏิรูปด้านการศึกษา เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมภูมิศาสตร์การเรียนในโรงเรียน การแสดงการศึกษา<br />
ของนักเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับครอบครัว การบริหารส่วนบุคคลของนักเรียน<br />
ตัวแทนต่าง ๆ<br />
สรุป จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษา<br />
ด้านรูปแบบ ลักษณะการปฏิบัติงาน และปัจจัยที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้วิธี<br />
การประเมิน และส่วนหนึ่งเป็นการศึกษามาตรฐานการศึกษา แต่สำหรับการวิจัยในเรื่องนี้จะมีความ<br />
แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ที่เคยศึกษามา เพราะเป็นการศึกษาถึงสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพ<br />
ภายใน ตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปฐมวัย<br />
ของกระทรวงศึกษาธิการ ผลการวิจัยที่ได้รับจึงน่าจะมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนิน<br />
งานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาต่อไป<br />
บทที่ 3<br />
วิธีดำเนินการวิจัย<br />
การดำเนินการวิจัย เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา<br />
ภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษาในกรุงเทพมหานคร มีวิธีการดำเนินการวิจัย<br />
ดังนี้<br />
3.1 ประชากร<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาส่วนกลาง<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ทั้งหมด 116 คน จากจำนวนโรงเรียน 116 โรงเรียน โดยจำแนกตามขนาด<br />
ของโรงเรียน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ 52 โรงเรียน โรงเรียนขนาดใหญ่<br />
39 โรงเรียน และ โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก 25 โรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียนต่อไปนี้<br />
ตารางที่ 3 รายชื่อโรงเรียนโดยจำแนกตามขนาดของโรงเรียน<br />
รายชื่อโรงเรียน<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
1. สวนกุหลาบวิทยาลัย<br />
2. สตรีวิทยา<br />
3. เบญจมราชาลัย<br />
4. โยธินบูรณะ<br />
5. มัธยมวัดหนองจอก<br />
6. สตรีวัดมหาพฤตารามใน<br />
พระบรมราชูปถัมภ์<br />
7. บางกะปิ<br />
8. เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า<br />
9. เทพศิรินทร์<br />
10. พระโขนงพิทยาลัย<br />
11. วชิรธรรมสาธิต<br />
12. สตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ<br />
1. วัดราชาธิวาส<br />
2. วัดราชบพิธ<br />
3. ราชวินิตมัธยม<br />
4. พุทธจักรวิทยา<br />
5. รัตนโกสินทรสมโภชน์<br />
บางเขน<br />
6. เทพลีลา<br />
7. มัธยมวัดบึงทองหลาง<br />
8. สายปัญญาในพระบรม<br />
ราชินูปถัมภ์<br />
9. รัตนโกสินทร์สมโภช<br />
ลาดกระบัง<br />
10. เจ้าพระยาวิทยาคม<br />
1. วัดบวรนิเวศ<br />
2. มัธยมวัดมกุฎกษัตริย์<br />
3. วัดสังเวช<br />
4. วัดเบญจมบพิตร<br />
5. วัดน้อยนพคุณ<br />
6. บดินทรเดชา (สิงห์<br />
สิงหเสนี 4)<br />
7. วัดสระเกศ<br />
8. มัธยมวัดดาวคนอง<br />
9. ฤทธิรงค์รอน<br />
10. สุวรรณพลับพลาพิทยาคม<br />
11. วัดน้อยใน<br />
12. วัดปากน้ำวิทยาคม<br />
50<br />
รายชื่อโรงเรียน<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
13. เศรษฐบุตรบำเพ็ญ<br />
14. พรตพิทยพยัต<br />
15. เทพศิรินทร์ร่มเกล้า<br />
16. นนทรีวิทยา<br />
17. สามเสนวิทยาลัย<br />
18. ศึกษานารี<br />
19. ทวีธาภิเศก<br />
20. ประชาราษฎร์อุปถัมภ์<br />
21. โพธิสารพิทยากร<br />
22. รัตนโกสินทร์สมโภช<br />
บางขุนเทียน<br />
23. วัดนวลนรดิศ<br />
24. สตรีวัดอัปสรสวรรค์<br />
25. มัธยมวัดหนองแขม<br />
26. บางปะกอกวิทยาคม<br />
27. สุรศักดิ์มนตรี<br />
28. นวมินทราขูทิศ<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
29. บดินทร์เดชา<br />
(สิงห์ สิงหเสนี2)<br />
30. วัดสุทธิวราราม<br />
31. สตรีศรีสุริโยทัย<br />
32. ยานนาเวศวิทยาคม<br />
33. หอวัง<br />
34. สารวิทยา<br />
35. ราชดำริ<br />
36. สายน้ำผึ้ง<br />
37. เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ<br />
38. มัธยมวัดสิงห์<br />
11. ไตรมิตรวิทยาลัย<br />
12. วัดอินทราราม<br />
13. ธนบุรีวรเทพีพลารักษ์<br />
14. วัดประดู่ในทรงธรรม<br />
15. จันทร์หุ่นบำเพ็ญ<br />
16. ชิโนรสวิทยาลัย<br />
17. สตรีวัดระฆัง<br />
18. สุวรรณารามวิทยาคม<br />
19. มัธยมวัดดุสิตาราม<br />
20. วัดรางบัว<br />
21. จันทร์ประดิษฐารามวิทยาคม<br />
22. วิมุตยารามพิทยากร<br />
23. กุนนทรีรุทธารามวิทยาคม<br />
24. ศีลาจารพิพัฒน์<br />
25. ราชนันทาจารย์สามเสน<br />
วิทยาลัย 2<br />
26. ปทุมคงคา<br />
27. วัดราชโอรส<br />
28. บางมดวิทยา "สีสุกหวาด<br />
จวนอุปถัมภ์"<br />
29. สีกัน (วัฒนานันท์อุปถัมภ์)<br />
30. สันติราษฎร์วิทยาลัย<br />
31. ลาดปลาเค้าพิทยาคม<br />
32. มัธยมวัดธาตุทอง<br />
33. ราชนิวิตบางแคปานขำ<br />
34. ศรีพฤฒา<br />
35. นวมินทราชินูทิศ<br />
เบญจมราชาลัย<br />
13. มหรรณพาราม<br />
14. มัธยมวัดนายโรง<br />
15. สวนอนันต์<br />
16. พิทยาลงกรณ์พิทยาคม<br />
17. ทวีธาภิเศก 2<br />
18. ไชยฉิมพลีวิทยาคม<br />
19. แจงร้อนวิทยา<br />
20. วัดบวรมงคล<br />
21. บางกะปีสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์<br />
22. สุวรรณสุทธารามวิทยา<br />
23. มักกะสันพิทยา<br />
24. ทวีวัฒนา<br />
25. นวลนรดิศวิทยาคม<br />
รัชมังคลาภิเศก<br />
51<br />
รายชื่อโรงเรียน<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
39. ดอนเมืองทหารอากาศบำรุง<br />
40. ดอนเมืองจาตุรจินดา<br />
41. ศรีอยุธยา<br />
42. สตรีวิทยา 2<br />
43. สตรีวิทยา 2 ในพระบรม<br />
ราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรี<br />
นครินทราบรมราชชนนี<br />
44. ปัญญาวรคุณ<br />
45. ราชวินิตบางเขน<br />
46. ฤทธิยวรรณาลัย<br />
47. เตรียมอุดมศึกษา<br />
48. นวมินทราชินูทิศ<br />
เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า<br />
49. บดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)<br />
50. นวมินทราขินูทิศบดินทรเดชา<br />
51. นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา<br />
พุทธมณฑล<br />
52. ศึกษานารี<br />
36. นวมินทราชินูทิศ สรีวิทยา 2<br />
มีนบุรี<br />
37. วัดพุทธบูชา<br />
38. อิสลามวิทยาลัย<br />
แห่งประเทศไทย<br />
39. สิริรัตนาธร<br />
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
3.2.1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ<br />
ในการสร้างเครื่องมือผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้<br />
1) ศึกษาขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามจากตำรา เอกสาร และผลงานวิจัยที่<br />
เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
2) กำหนดกรอบแนวคิด และขอบข่ายในการสร้างเครื่องมือให้สอดคล้องกับ<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
3) สร้างเครื่องมือ โดยเขียนเป็นแบบสอบถาม ในส่วนที่ 1 เขียนในลักษณะแบบ<br />
ตรวจตอบ และส่วนที่ 2 เขียนในลักษณะแบบเลือกตอบ<br />
52<br />
4) นำเครื่องมือที่สร้างเสร็จแล้ว เสนออาจารย์ที่ปรึกษา และให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน<br />
5 ท่าน เป็นผู้ตรวจสอบเพื่อหาความเที่ยงตรง ของเครื่องมือ ได้แก่ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของ<br />
แบบสอบถาม ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญดังต่อไปนี้<br />
-อาจารย์ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียน<br />
มัธยมสาธิตสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
- ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์สถาบัน<br />
ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
- ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จ<br />
เจ้าพระยา<br />
- ดร.สาธิต สินนะกิจ ผู้อำนวยการอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย<br />
- นายสวัสดิ์ เกิดศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช<br />
บางขุนเทียน<br />
5) นำเครื่องมือที่ได้รับการตรวจสอบ และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยว-<br />
ชาญแล้วเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา<br />
6) นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ กับประชากรกลุ่มตัวอย่างในกลุ่มที่มีลักษณะ<br />
ใกล้เคียงกับกลุ่มที่จะศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาส่วนกลาง จำนวน<br />
30 ราย หลังจากนั้นนำแบบสอบถามทั้งหมดที่ได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อหาความเชื่อมั่นโดยใช้วิธี<br />
การหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ของ ครอนบาค (Cronbach อ้างใน พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 125)<br />
ได้ค่าเท่ากับ 0.98<br />
7) นำแบบสอบถามที่หาค่าความเที่ยงตรง และความเชื่อมั่นแล้ว แล้วไป<br />
ดำเนินการจัดพิมพ์เป็นแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป<br />
3.2.2 ลักษณะของเครื่องมือ<br />
เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ซึ่งผู้วิจัยได้<br />
สร้างขึ้น โดยมีลักษณะของเครื่องมือแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้<br />
ตอนที่ 1 สอบสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม คำถามที่ใช้ครอบคลุมเกี่ยวกับ เพศ<br />
อายุ วุฒิทางการศึกษา ระยะเวลาปฏิบัติงาน และสถานที่ปฏิบัติงาน จำนวน 6 ข้อ<br />
ตอนที่ 2 สอบถามสภาพและปัญหาการดำเนินงาน ตามมาตรฐานการประกันคุณภาพ<br />
การศึกษาภายในโรงเรียน ในช่วงปีการศึกษา 2543 - 2544 ซึ่งมีลักษณะคำถามที่ใช้เป็นแบบมาตร<br />
ประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 49 ข้อ<br />
53<br />
เกณฑ์การให้คะแนน<br />
เกณฑ์ในการให้คะแนนสำหรับแบบสอบถาม ตอนที่ 2 และตอนที่ 3 กำหนดเกณฑ์<br />
การให้คะแนนดังนี้<br />
ความหมาย เกณฑ์<br />
มีการดำเนินงาน/ปัญหาอยู่ในระดับ มากที่สุด 5<br />
มีการดำเนินงาน/ปัญหาอยู่ในระดับ มาก 4<br />
มีการดำเนินงาน/ปัญหาอยู่ในระดับ ปานกลาง 3<br />
มีการดำเนินงาน/ปัญหาอยู่ในระดับ น้อย 2<br />
มีการดำเนินงาน/ปัญหาอยู่ในระดับ น้อยที่สุด 1<br />
ตารางที่ 4 เกณฑ์การให้คะแนนของแบบสอบถามตอนที่ 2<br />
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้<br />
1) ขอความร่วมมือจากบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ทำหนังสือ<br />
ถึงผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร 116 โรงเรียน ขออนุญาตเก็บข้อมูล<br />
ในการทำวิทยานิพนธ์<br />
2) นำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยพร้อมสำเนาหนังสืออนุญาตให้เก็บข้อมูลจากคณะบดี ส่ง<br />
ไปยังผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 116 ชุด<br />
3) ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง และทางไปรษณีย์ ได้รับคืน 101 ชุด<br />
คิดเป็นร้อยละ 87.06 ดังตารางที่ 5<br />
ตารางที่ 5 แสดงจำนวนและร้อยละของแบบสอบถามที่ส่งไปและได้รับกลับคืนมา<br />
ลาํ ดบั ที่ โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา จำนวนแบบสอบถาม<br />
จำแนกตามขนาด ส่งไป ได้รับคืน<br />
ร้อยละ<br />
1.<br />
2.<br />
3.<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ<br />
โรงเรียนขนาดใหญ่<br />
โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก<br />
52<br />
39<br />
25<br />
42<br />
35<br />
24<br />
80.77<br />
89.74<br />
96.00<br />
รวม 116 101 87.06<br />
54<br />
4) เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม จัดหมวดหมู่ จำแนกข้อมูล และตรวจสอบข้อมูล<br />
ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยต่อไป<br />
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่รวบรวมได้มาตรวจสอบขั้นต้น โดยทำการตรวจสอบข้อมูล (Editing)<br />
ตรวจดูความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถาม และมีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม<br />
คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS/FW ( Statistical Package for Social Science/ For Windows) ดังนี้<br />
1) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่<br />
และค่าร้อยละ<br />
2) วิเคราะห์สภาพและปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
โดยหาค่าเฉลี่ย และคำนวณหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายขั้นตอน ได้นำ<br />
เสนอข้อมูลในรูปตารางประกอบคำบรรยาย โดยการกำหนดค่าน้ำหนักของคะแนน จากคำตอบ<br />
มาตรประมาณค่า 5 ระดับ การแปลความหมายของระดับค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์การแปลค่า ดังนี้<br />
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.50 - 5.00 หมายความว่า ระดับการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด<br />
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.50 - 4.49 หมายความว่า ระดับการประเมินอยู่ในระดับมาก<br />
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.50 - 3.49 หมายความว่า ระดับการประเมินอยู่ในระดับปานกลาง<br />
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.50 - 2.49 หมายความว่า ระดับการประเมินอยู่ในระดับน้อย<br />
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 - 1.49 หมายความว่า ระดับการประเมินอยู่ในระดับน้อยที่สุด<br />
3) วิเคราะห์เปรียบเทียบสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันุคณภาพภายใน จำแนก<br />
ตามขนาดของโรงเรียน โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (ANOVA) แยกวิเคราะห์เป็นราย<br />
ข้อทั้ง 8 ขั้นตอน หากพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทำการทดสอบความ<br />
แตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ จะทำการทดสอบโดยวิธีของ เชฟเฟ่(Scheffe')<br />
4) วิเคราะห์เกี่ยวกับข้อเสนอแนะ วิเคราะห์โดยใช้วิธีสรุป และเรียงลำดับความสำคัญ<br />
ตามความถี่ของความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนั้น ๆ<br />
บทที่ 4<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลผลข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกัน<br />
คุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
ในการวิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูล ผู้วิจัยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS/FW(Statistical<br />
Package for Social Sciences For Windows) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามโดยหาค่า<br />
ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย(Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) และF-test ในการเปรียบเทียบ<br />
ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยความคิดเห็นตามขนาดของโรงเรียน นำเสนอในรูปตารางประกอบ<br />
คำบรรยาย ตามลำดับดังนี้<br />
4.1 ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
4.2 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
4.3 ผลการศึกษาปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
4.4 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
4.5 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียน<br />
มัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามขนาดโรงเรียน<br />
4.6 ผลการศึกษาข้อเสนอแนะสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน<br />
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
56<br />
4.1 ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ผู้ตอบแบบสอบถามเพื่อการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญ<br />
ศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ดังรายละเอียดในตารางที่ 6 ดังนี้<br />
ตารางที่ 6 ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ข้อที่ ข้อมูลทั่วไป จำนวน<br />
(คน)<br />
ร้อยละ<br />
1 เพศ<br />
1) ชาย<br />
2) หญิง<br />
รวม<br />
68<br />
31<br />
101<br />
67.30<br />
32.70<br />
100.00<br />
2 อายุ<br />
1) 40 - 50 ปี<br />
2) 50 - 60 ปี<br />
3) ไม่ตอบ<br />
รวม<br />
35<br />
65<br />
1<br />
101<br />
34.70<br />
64.30<br />
1.00<br />
100.00<br />
3 วุฒิทางการศึกษา<br />
1) ปริญญาตรี<br />
2) ปริญญาโท<br />
3) ปริญญาเอก<br />
รวม<br />
19<br />
79<br />
3<br />
101<br />
18.80<br />
78.20<br />
3.00<br />
100.00<br />
4 ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร<br />
1) 1 - 10 ปี<br />
2) 10 - 20 ปี<br />
3) 20 ปีขึ้นไป<br />
4) ไม่ระบุ<br />
รวม<br />
61<br />
18<br />
11<br />
11<br />
101<br />
60.40<br />
17.80<br />
10.90<br />
10.90<br />
100.00<br />
57<br />
ตารางที่ 6 (ต่อ)ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ข้อที่ ข้อมูลทั่วไป จำนวน<br />
(คน)<br />
ร้อยละ<br />
5 ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในโรงเรียนปัจจุบัน<br />
1) 1 - 2 ปี<br />
2) 3 - 4 ปี<br />
3) 4 ปีขึ้นไป<br />
4) ไม่ระบุ<br />
รวม<br />
68<br />
18<br />
6<br />
9<br />
101<br />
67.40<br />
17.80<br />
5.90<br />
8.90<br />
100.00<br />
6 ขนาดของโรงเรียนที่สังกัดอยู่<br />
1) ขนาดใหญ่พิเศษ<br />
2) ขนาดใหญ่<br />
3) ขนาดกลางและเล็ก<br />
รวม<br />
42<br />
35<br />
24<br />
101<br />
41.60<br />
34.70<br />
23.80<br />
100.00<br />
จากตารางที่ 6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดจำนวน 101 คน เป็นผู้บริหารเพศชาย<br />
จำนวน 68 คน คิดเป็นร้อยละ 67.30 เป็นผู้บริหารเพศหญิง จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 32.70<br />
ส่วนใหญ่จบการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ 78.20 ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง<br />
ผู้บริหาร 1-10 ปี คิดเป็นร้อยละ 60.40 ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งของผู้บริหารในโรงเรียนปัจจุบัน<br />
1-2 ปี จำนวน 68 คน คิดเป็นร้อยละ 67.40 และขนาดของโรงเรียนที่สังกัดอยู่ส่วนใหญ่เป็นขนาดใหญ่<br />
พิเศษ จำนวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 41.60<br />
58<br />
4.2 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร<br />
สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ใน<br />
กรุงเทพมหานคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมและรายขั้นตอน รวมทุกข้อ<br />
ปรากฏผลดังแสดงไว้ในตารางที่ 7 ถึง ตารางที่ 15<br />
ตารางที่ 7 แสดงผลการศึกษาสภาพดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม<br />
สามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานครเป็นรายขั้นตอนและรวมทุกข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
8 ขั้นตอน X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
8<br />
การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ<br />
การพัฒนามาตรฐานการศึกษา<br />
การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา<br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา<br />
การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี<br />
การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา<br />
3.79<br />
4.03<br />
3.86<br />
3.91<br />
3.59<br />
3.81<br />
3.67<br />
3.70<br />
.65<br />
.66<br />
.64<br />
.62<br />
.74<br />
.72<br />
.78<br />
.83<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.80 .60 มาก<br />
จากตารางที่ 7 พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามมาตรฐานระบบการประกัน<br />
คุณภาพภายใน 8 ขั้นตอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ "มาก" ( X = 3.80) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุก<br />
ข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านการพัฒนามาตรฐานการศึกษา มากเป็นอันดับที่ 1<br />
( X = 4.03) รองลงมาคือ การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษามากเป็นอันดับที่ 2 ( X =<br />
3.91) และการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา น้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 3.59)<br />
59<br />
ตารางที่ 8 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 1 :การจัดระบบ<br />
บริหารและสารสนเทศ โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
8<br />
9<br />
มีการกำหนดโครงสร้างและระบบการบริหารที่สอดคล้อง<br />
กับภารกิจของโรงเรียน<br />
มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ และขอบข่ายงานของบุคลากร<br />
แต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน<br />
มีระบบการบริหารโดยใช้แบบโรงเรียนเป็นฐาน(SBM)<br />
มีการจัดวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้ในการวาง<br />
แผนและการตัดสินใจ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียน<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศการบริหารวิชาการ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ<br />
มีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงาน<br />
4.15<br />
4.21<br />
3.64<br />
3.63<br />
3.78<br />
3.62<br />
3.79<br />
3.75<br />
3.57<br />
.74<br />
.77<br />
.87<br />
.88<br />
.88<br />
.89<br />
.79<br />
.88<br />
.88<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.79 .65 มาก<br />
จากตารางที่ 8 พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามระบบการประกันคุณภาพ<br />
ขั้นตอนที่ 1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศโดยภาพรวมอยู่ในระดับ"มาก" ( X = 3.79) และเมื่อ<br />
พิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับมาก เมื่อพิจาณาในรายละเอียด มีการกำหนดอำนาจหน้าที่และ<br />
ขอบข่ายงานของบุคลากรแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน อยู่ในระดับ"มาก"( X = 4.21)เป็นอันดับที่ 1 รอง<br />
ลงมา คือ มีการกำหนดโครงสร้างและระบบการบริหารที่สอดคล้องกับภารกิจของโรงเรียนมาก<br />
เป็นอันดับ 2 ( X = 4.15) และมีการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการรายงานน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ ( X =<br />
3.57)<br />
60<br />
ตารางที่ 9 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 2:<br />
การพัฒนามาตรฐานการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
มีการแจ้งให้บุคลากรทุกคนรับทราบและเข้าใจในการตัดสิน<br />
ใจครั้งสำคัญ ๆ ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ<br />
มีการพัฒนาทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้<br />
สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่ง<br />
มีการปลูกฝังความภาคภูมิใจ และความเป็นเจ้าของสถาน<br />
ศึกษาที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อผู้เรียน และความรับผิดชอบ<br />
ต่อสังคมแก่บุคลากร<br />
มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ปฏิบัติได้และได้รับการยอมรับจาก<br />
ทุกคนในโรงเรียน<br />
มีการจัดโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการ<br />
เรียนรู้ในโรงเรียน<br />
มีระบบการบริหารและระบบการทำงานที่มุ่งคุณภาพที่จะทำ<br />
ให้ก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาที่<br />
กำหนดไว้<br />
3.99<br />
3.95<br />
4.13<br />
4.05<br />
4.04<br />
4.08<br />
.85<br />
.84<br />
.86<br />
.88<br />
.76<br />
.76<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 4.03 .66 มาก<br />
จากตารางที่ 9 พบว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 2การพัฒนามาตรฐาน<br />
การศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับ"มาก" ( X = 4.03) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับ<br />
มาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในมีการปลูกฝังความภาคภูมิใจ<br />
และความเป็นเจ้าของสถานศึกษาที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อผู้เรียน และความรับผิดชอบต่อสังคมแก่<br />
บุคลากรมากกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 4.13) และมีการพัฒนาทักษะ และความสามารถของบุคลากรให้<br />
สอดคล้องกับหน้าที่และตำแหน่งน้อยกว่าอันดับอื่น ๆ( X = 3.95)<br />
61<br />
ตารางที่ 10 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 : การจัด<br />
ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
การจัดองค์ประกอบต่างๆ ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา<br />
ของโรงเรียนมีความชัดเจนสอดคล้องกันอย่างสมเหตุสมผล<br />
มีระบบการสนับสนุนภายใน ผู้บริหาร บุคลากรทุกฝ่าย<br />
ในโรงเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
บุคลากรทุกคนให้ความสนับสนุนและร่วมมือในการนำ<br />
แผนสู่การปฏิบัติ<br />
มีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผน<br />
พัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่สังเกตและวัดได้ใน<br />
เชิงปริมาณ<br />
มีการใช้ยุทธศาสตร์ และเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวน<br />
การเรียนการสอน การวัดและการประเมิน ตลอดจนการ<br />
บริหารจัดการ ตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎีหรือหลักวิชาที่<br />
ถูกต้อง และมีผลการวิจัยเชิงประจักษ์ สนับสนุนประ<br />
สิทธิภาพ และประสิทธิผล<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมีการกำหนดรูป<br />
แบบ และวิธีการพัฒนาบุคลากรและสามารถปฏิบัติภารกิจ<br />
ตามแผนอย่างได้ผลดี<br />
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนระบุแหล่งวิทยา<br />
การภายนอกที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทาง<br />
วิชาการ<br />
4.00<br />
4.07<br />
3.93<br />
4.14<br />
3.73<br />
3.85<br />
3.48<br />
.76<br />
.79<br />
.80<br />
.71<br />
.88<br />
.73<br />
.90<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
มาก<br />
ปานกลาง<br />
62<br />
ตารางที่ 10 (ต่อ) แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 3 : การจัด<br />
ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
8<br />
9<br />
ผู้ปกครอง และชุมชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมและรับบท<br />
บาทสำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาคุณภาพการ<br />
ศึกษาของโรงเรียน<br />
มีการประสานสัมพันธ์และระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ<br />
เช่น หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน สถาบันและมูลนิธิ<br />
ต่างๆ นำมาสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณ<br />
ภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
3.77<br />
3.80<br />
.87<br />
.94<br />
มาก<br />
มาก<br />
รวม 3.86 .64 มาก<br />
จากตารางที่ 10 พบได้ว่าการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด<br />
กรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ด้านการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ใน<br />
ระดับ"มาก"( X = 3.86) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อทุกข้ออยู่ในระดับมากโดยมี ด้านการกำหนด<br />
เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวบ่งชี้ในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่สังเกตและวัดได้<br />
ในเชิงปริมาณมากกว่าอันดับอื่น ๆ ( X = 4.14) ยกเว้นด้านแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน<br />
ระบุแหล่งวิทยาการภายนอก ที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สนับสนุนทางวิชาการอยู่ใน อยู่ในระดับ<br />
"ปานกลาง"( X = 3.48)<br />
63<br />
ตารางที่ 11 แสดงผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนมัธยมศึกษา<br />
สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ขั้นตอนที่ 4 :<br />
การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมและรายข้อ<br />
ข้อที่ การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน ระดบั การดาํ เนนิ การ<br />
ขั้นตอนที่ 4การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา X SD. การแปลความ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_14.html">ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_14.html">ศึกษาสภาพและปัญหาการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16046880/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-30029566637083188622011-08-12T14:11:00.002-07:002011-08-12T14:14:02.970-07:00ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 1)<a href="http://www.ziddu.com/download/16030698/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ<br />
ของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค<br />
ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
นายราเมศ จ่างผล<br />
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาการบริหารการศึกษา<br />
ปีการศึกษา 2546<br />
ISBN : 974–373–262-4<br />
ลิขสิทธิ์ของสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
STATUS AND NEEDS ON ACADEMIC INTERNAL SUPERVISION OF<br />
INDUSTRIAL TEACHERS IN TECHNICAL COLLEGE<br />
OF INDUSTRIAL TRADE OF VOCATIONAL<br />
CENTRAL PART 6<br />
MR. RAMET JANGPON<br />
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements<br />
for the Master of Education (Educational Administration)<br />
at Rajabhat Institute Bansomdejchaopraya<br />
Academic Year 2003<br />
ISBN : 974–373–262-4<br />
วิทยานิพนธ์ การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครูประเภทวิชา<br />
ช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
โดย นายราเมศ จ่างผล<br />
สาขา การบริหารการศึกษา<br />
ประธานกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร<br />
กรรมการ รศ.เกริก วยัคฆานนท์<br />
กรรมการ ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง<br />
บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อนุมัติให้วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่ง<br />
ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต<br />
.......................................................... คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย<br />
(ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร)<br />
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
…….................................................. ประธานกรรมการ<br />
(ศาสตราจารย์ ดร.สายหยุด จำปาทอง)<br />
.…..…............................................... กรรมการ<br />
(ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร)<br />
…..........................................…........ กรรมการ<br />
(รองศาสตราจารย์ เกริก วยัคฆานนท์)<br />
…........................................….......... กรรมการ<br />
(ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง)<br />
....…................................................. กรรมการ<br />
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อินทิรา บุญยาทร)<br />
...........................................……...... กรรมการและเลขานุการ<br />
(รองศาสตราจารย์ สมชาย พรหมสุวรรณ)<br />
4<br />
นายราเมศ จ่างผล. (2546) การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษา ภาคกลาง 6.<br />
วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จ<br />
เจ้าพระยา. คณะกรรมการควบคุม : ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร, รศ.เกริก วยัคฆานนท์,<br />
ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง<br />
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการ<br />
ของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ใน 5<br />
ด้านคือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมใน<br />
วิทยาลัยเทคนิค รวม 3 แห่ง คือ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม และ<br />
วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม จำนวน 189 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม<br />
เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน<br />
52 ข้อ มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.94 วิเคราะห์สภาพและความต้องการ<br />
การนิเทศภายในด้านวิชาการ โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (ℵ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (∅) และการ<br />
แจกแจงความถี่<br />
ผลการวิจัยพบว่า<br />
1. สภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง<br />
6 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน<br />
เรียงตามลำดับดังนี้ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านการพัฒนา<br />
บุคลากร และด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
2. ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครูปะเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับดังนี้ ด้านหลักสูตร ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน และด้านการวัดและประเมินผล<br />
5<br />
RAMET JANGPON (2003) : STATUS AND NEEDS ON ACADEMIC INTERNAL<br />
SUPERVISION OF INDUSTRIAL TEACHERS IN TECHNICAL COLLEGE<br />
OF INDUSTRIAL TRADE OF VOCATIONAL CENTRAL PART 6 : GRADUATE<br />
SCHOOL, RAJABHAT INSTITUTE BANSOMDEJ CHAO PRAYA. ADVISOR<br />
COMMITTEE : DR.SARAYUTH SETHAKHAJORN ; SST.PROF.KRERK<br />
WAYAKANON ; DR.PREMSUREE CHUAMTHONG<br />
The purposes of the research study were to study the status and needs on<br />
academic internal supervision of industrial teachers in the three technical colleges of<br />
industrial trade of vocational central part 6 in five areas : curriculum, learning and<br />
teaching, teaching aids, personnal development, and measurement and evaluation.<br />
The population in this study consisted of all 189 industrial teachers in three<br />
technical colleges which is the amount of 3 colleges total 189 persons.<br />
Questionnaire was the tool to collect data which analysized by percentage, mean,<br />
standard deviation and frequency.<br />
Findings of the study revealed the following :<br />
1. Levels of academic internal supervision on five areas were the moderate level<br />
: measurement and evaluation, curriculum, learning and teaching, personnal development,<br />
teaching aids.<br />
2. Needs for academic internal supervision in technical college of industrial trade<br />
of vocational central part 6 of all dependent variables and each dependent were found to<br />
be at high level : curriculum, personal development, learning and teaching, teaching<br />
aids, measurement and evaluation.<br />
ฉ<br />
ประกาศคุณูปการ<br />
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก ดร.สรายุทธ์ เศรษฐขจร ประธาน<br />
ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ ที่กรุณาให้การแนะนำ ช่วยเหลือ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วย<br />
ความเอาใจใส่อย่างดียิ่งมาโดยตลอด รวมทั้ง รศ.เกริก วยัคฆานนท์ และ ดร.เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง<br />
ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำและตรวจแก้ไขเพื่อให้วิทยานิพนธ์มีความถูกต้อง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ<br />
เป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้<br />
ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ ดร.สายหยุด จำปาทอง ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อินทิรา บุญยาทร และ รองศาสตราจารย์ สมชาย พรหมสุวรรณ กรรมการสอบ<br />
วิทยานิพนธ์ ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ และตรวจแก้ไขวิทยานิพนธ์ให้<br />
ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทงั้ ดร.วิโรจน วัฒนานิมิตกูล อาจารยท์ วศี กั ด์ิ จงประดับเกียรติ<br />
ผช.สมศักดิ์ สังข์แก้ว และ อาจารย์เพ็ญศรี วงศ์แสนเจริญดี ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือ<br />
ทุกท่าน ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการสร้างเครื่องมือการวิจัย<br />
ขอขอบพระคุณบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลังที่สนับสนุนให้การทำวิทยานิพนธ์ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วย<br />
ดี คือเพื่อนร่วมงาน และคณะครูช่างอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีว<br />
ศึกษาภาคกลาง 6 ทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ในการเก็บข้อมูล และตอบแบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
ในครั้งนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคุณนิตยา จ่างผล และ ด.ช.จิรเมธ จ่างผล ที่เป็นกำลังใจ และ<br />
สนับสนุนด้วยดีตลอดมา<br />
ราเมศ จ่างผล<br />
7<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………… ง<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ……………………………………………………………………………... จ<br />
ประกาศคุณูปการ………………………………………………………………………………..… ฉ<br />
สารบัญ…………………………………………………………………………………………..… ช<br />
สารบัญตาราง……………………………………...…………………………………….………… ญ<br />
สารบัญแผนภาพ………………………………………………………………………………..…. ฎ<br />
บทที่ 1 บทนำ<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………………………... 1<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย………………….……………………………………………… 3<br />
ขอบเขตการวิจัย………………………………………….……………………………….. 3<br />
นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………….………………………………. 4<br />
กรอบแนวคิดในการวิจัย…………………………………….……………………………. 6<br />
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ………………………………………………………………. 8<br />
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
การนิเทศการศึกษา………………………………………………………………………… 9<br />
การนิเทศภายใน………………………………………………………………………….. 16<br />
ขอบเขตของงานนิเทศภายใน…………………………………………………………….. 28<br />
งานหลักสูตร…………………………………………………………………….. 30<br />
งานการเรียนการสอน……………………………………………………………. 32<br />
งานสื่อการเรียนการสอน………………………………………………………… 35<br />
งานพัฒนาบุคลากร………………………………………………………………. 38<br />
งานวัดผลและประเมินผล……………………………………………….………. 40<br />
สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 …………………………………………………………… 45<br />
การปฏิบัติงานและปัญหาเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา……………….. 48<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………51<br />
8<br />
สารบัญ (ต่อ)<br />
หน้า<br />
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย<br />
ประชากร………………………………………………………………………………….. 56<br />
ตัวแปรที่ศึกษา…………………………………………………………………….………. 57<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………….……….………. 58<br />
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………….. 59<br />
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย………………………………..…………….. 60<br />
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ……………………..………. 61<br />
ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ………….……………. 63<br />
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ…………………………………..…….…………79<br />
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย.....................................................………………………………. 84<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย.....................................................………………………………. 84<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.....................................................………………………….……. 85<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล.....................................................…………………………………. 85<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................…………………………………….. 86<br />
สรุปผลการวิจัย.....................................................………………………………………… 86<br />
อภิปรายผลการวิจัย.....................................................……………………………..……… 89<br />
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย.....................................................…………………………….… 96<br />
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป.....................................................…………………………98<br />
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………….. 99<br />
9<br />
สารบัญ (ต่อ)<br />
หน้า<br />
ภาคผนวก<br />
ภาคผนวก ก แบบสอบถามเพื่อการวิจัย .....................................................……………. 106<br />
ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ …………………………………….117<br />
ภาคผนวก ค หนังสือราชการที่เกี่ยวข้อง ..............................................………......…… 119<br />
ประวัติผู้วิจัย ...........................................................……….……………………....…… 123<br />
10<br />
สารบัญตาราง<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 1 สรุปแนวคิดขอบเขตของการนิเทศภายใน…………………………………..……..… 30<br />
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนประชากร........................................................................................…….. 56<br />
ตารางที่ 3 ค่าร้อยละของข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม.……………………. 61<br />
ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพ และความต้องการการนิเทศภาย<br />
ในด้านวิชาการ ……………………………………………………………...….…….. 63<br />
ตารางที่ 5 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร…………………………………………..….…………….. 64<br />
ตารางที่ 6 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ด้านการเรียนการสอน………………………………………..…………. 67<br />
ตารางที่ 7 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ด้านสื่อการเรียนการสอน…………………………..……………………. 70<br />
ตารางที่ 8 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาบุคลากร………………………………………………….. 73<br />
ตารางที่ 9 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ด้านการเรียนการสอน……………………………….………..…………. 76<br />
ตารางที่ 10 แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการ<br />
การนิเทศภายใน……………………………………………………………….……… 79<br />
11<br />
สารบัญแผนภาพ<br />
หน้า<br />
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย................................……………..........................……... 7<br />
แผนภาพที่ 2 เครือข่ายสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6………………………………………….. 46<br />
บทที่ 1<br />
บทนำ<br />
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา<br />
จากแนวคิดและทิศทางการพัฒนาประเทศ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ<br />
ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 -2544) ได้มุ่งเน้นการพัฒนาคนเป็นจุดหมายหลักของการพัฒนาประเทศ<br />
เพราะสังคมปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม กิจกรรมและผลผลิตด้านอุตสาหกรรมเข้ามามีอิทธิพล<br />
ต่อการดำรงชีวิต กรมอาชีวศึกษาได้กำหนดนโยบายและเป้าหมายการพัฒนาการจัดอาชีวศึกษา เพื่อ<br />
เป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้สำเร็จ<br />
การศึกษามีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม<br />
โดยได้กำหนดจุดเน้นและเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญคือ สร้างมาตรฐาน และพัฒนาระบบการผลิต<br />
กำลังคนอาชีวศึกษาให้เป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงาน ส่งเสริมผลักดันให้ครู – อาจารย์ได้รับการฝึก<br />
อบรมและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มากขึ้น ปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความยืดหยุ่น<br />
หลากหลาย มีความเชื่อมโยงระหว่างหลักสูตรในระบบ และนอกระบบ เป็นต้น (กองแผนงาน กรม<br />
อาชีวศึกษา 2543)<br />
การจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และสามารถผลิตกำลังคนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของ<br />
หลักสูตร ตลอดจนสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติได้อย่างแท้จริงนั้นต้องอาศัย<br />
ครู ที่มีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในการสอน หากครูขาดคุณธรรม ขาดความรู้ความสามารถ<br />
และแนวคิดใหม่ ๆในการสอนแล้ว กำลังคนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาก็จะไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย<br />
ที่กำหนดไว้ ซึ่งจะส่งผลทำให้การศึกษาขาดประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพของ<br />
ครูให้มีคุณภาพสูง ซึ่งวิธีการที่จะช่วยพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ มีคุณภาพสูง เพื่อที่จะส่งผล<br />
ให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม<br />
และกระแสโลกาภิวัตน์ ดังนั้นจึงต้องมีการนิเทศการศึกษา เพราะการนิเทศการศึกษาเป็นงานที่ช่วยแก้<br />
ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในการเรียนการสอนเพื่อให้การเรียนการสอนพัฒนาขึ้น และระบบการ<br />
นิเทศการศึกษาเป็นกลไกที่จะใช้รักษามาตรฐานการศึกษาของประเทศไว้ได้ (กิติมา ปรีดีดิลก<br />
2532 : 263)<br />
การนิเทศการศึกษาจึงเป็นหัวใจของการพัฒนาครูให้มีคุณภาพและส่งผลให้เกิดการพัฒนา<br />
การเรียนการสอน เป็นการพัฒนาผู้เรียน ซึ่งเป็นผลผลิตทางการศึกษาให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ การ<br />
นิเทศการศึกษาที่ดีจะก่อให้เกิดประโยชน์กับครูด้านการพัฒนาตนเอง เพราะการนิเทศการศึกษาเป็น<br />
กิจกรรมที่ส่งเสริม เช่นแก้ไขข้อบกพร่องในการจัดการเรียนการสอน ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและ<br />
2<br />
อุปสรรคในการบริหารหลักสูตร รู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือนวัตกรรมทางการศึกษา ส่งเสริมการ<br />
ศึกษาค้นคว้า วิจัย และหาสิ่งที่เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอน แต่การนิเทศส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุ<br />
ตามเป้าหมายและยังมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ครูผู้สอนมีความรู้สึกว่า การนิเทศเป็นการเพิ่มปัญหา<br />
แก่ครูผู้สอนมากกว่าจะเป็นการช่วยแก้ปัญหา เพราะการนิเทศเป็นลักษณะที่เป็นการวัดผลการสอน<br />
การตรวจดูผลงานมากกว่า ทำให้ครูผู้สอนรู้สึกหวาดกลัว ประหม่า ขาดความเชื่อมั่น ไม่ชอบใจ เพราะ<br />
เกิดความรู้สึกว่าผู้นิเทศก์จะมาจับผิด และความต้องการในการนิเทศโดยทั่ว ๆ ไปนั้นเป็นความ<br />
ต้องการของศึกษานิเทศก์ที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ มากกว่าเป็นความต้องการของคร ู ที่จะขอรับการ<br />
นิเทศการสอน (นิพนธ์ ไทยพานิช 2529 : 13)<br />
แม้ว่ากรมอาชีวศึกษาจะได้พยายามพัฒนาคุณภาพการศึกษาควบคู่ไปกับการขยายด้านปริมาณ<br />
มาตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ถึงขั้นมาตรฐานอย่างทั่วถึง จากการศึกษางาน<br />
วิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพด้านอาชีวศึกษาระหว่างปี พ.ศ. 2530-2536 พบว่า ด้านหลักสูตร มีปัญหา<br />
ด้านการขาดแคลนอัตรากำลังครู ความไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ และทัศนคติต่อการเป็นครู บางรายวิชา<br />
ยังไม่สามารถจัดให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้สอนได้ ด้านการเรียนการสอน ครูยังใช้วิธีการ<br />
สอนแบบบรรยาย ครูยังมีความรู้ ความสามารถในวิชาการสอนและการวางแผนการสอนอยู่ในระดับ<br />
ปานกลาง ด้านสื่อการเรียนการสอน ครูมีความสามารถในการใช้สื่อและอุปกรณ์การสอนอยู่ในระดับ<br />
ปานกลางและมีปัญหาในการจัดทำสื่อการเรียนการสอน ด้านการวัดผลและประเมินผล ครูไม่สามารถ<br />
ดำเนินการวัดผลตรงตามจุดประสงค์ของหลักสูตรอย่างครบถ้วน และด้านการพัฒนาบุคลากร ครูได้<br />
รับข่าวสารเป็นไปอย่างล่าช้า มีภาระการสอนมากทำให้ไม่มีเวลาพอในการเข้าร่วมการพัฒนาวิชาชีพ<br />
ได้อย่างสม่ำเสมอ (รายงานการศึกษาสภาพการจัดอาชีวศึกษา 2543 : 45-52)<br />
สภาพปัจจุบันและปัญหาของการนิเทศการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา ด้านการนิเทศภายในยัง<br />
ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น ผู้บริหารและครู-อาจารย์ไม่เห็นความสำคัญ<br />
และความจำเป็นของการนิเทศการศึกษา ผู้นิเทศก์จัดโครงการนิเทศไม่สอดคล้องกับความจำเป็นและ<br />
ความต้องการของผู้รับการนิเทศในด้านต่าง ๆ ผู้รับการนิเทศมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้ารับการนิเทศใน<br />
ด้านต่าง ๆ นโยบายและแผนงานด้านการนิเทศไม่ได้กำหนดไว้ในแผนงานอย่างชัดเจน<br />
(บุญเลิศ ภพลาภ ม.ป.ป. : 41 - 43) และเป็นที่ทราบกันดีว่าการนิเทศภายในจะช่วยปรับปรุงสถาน<br />
ศึกษาให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ครูเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการศึกษา และพัฒนาการสอนของตนอีกทั้งช่วย<br />
ชี้แนวทางให้ครูมีความพร้อมอยู่เสมอรวมทั้งช่วยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทำงานร่วมกันเพื่อ<br />
ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการศึกษา จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่นักบริหาร นักวิชาการ<br />
ด้านอาชีวศึกษาจะต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อพัฒนาการศึกษา ด้านอาชีวศึกษา<br />
ให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นเพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา โดยเฉพาะในสาขา<br />
การผลิต ด้านอุตสาหกรรม ที่มีการขยายตัวอย่างมาก และมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการผลิต<br />
3<br />
แรงงานเพื่อสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน จะต้องมิใช่เพียงการเรียนรู้ทฤษฎีและพอจะ<br />
ทำงานได้เท่านั้นแต่จะต้องเป็นแรงงานที่สามารถทำงานได้และสามารถนำความรู้ทางวิชาการไป<br />
พัฒนางานทางด้านอุตสาหกรรมได้ (รายงานการศึกษาสภาพการจัดอาชีวศึกษา 2543 : 60) ซึ่งผู้วิจัย<br />
นอกจากเป็นครูผู้สอนประจำวิชา ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม แล้วยังปฏิบัติงานอยู่ในสายงานของ<br />
ฝ่ายวิชาการจึงมีความสนใจที่จะศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 เพื่อจะได้นำข้อ<br />
มูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผน ปรับปรุงและพัฒนางานนิเทศภายใน สำหรับผู้บริหารวิทยาลัย<br />
เทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 และเป็นข้อมูลสำหรับกรมอาชีวศึกษา ในการวางแผน<br />
ปรับปรุง และพัฒนาเพื่อส่งเสริมการนิเทศภายในของวิทยาลัยเทคนิคต่อไป<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
1. เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
2. เพื่อศึกษาความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครูประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
ขอบเขตของการวิจัย<br />
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ดา้ นวชิ าการของคร ู ประเภท<br />
วิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ที่เปิดสอนระดับ<br />
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยมีขอบเขตของ<br />
การวิจัยดังนี้<br />
1. ประชากร ได้แก่ ครูผู้สอน ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบัน<br />
อาชีวศึกษาภาคกลาง 6 รวม 3 วิทยาลัย คือ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม<br />
และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม จำนวน 189 คน<br />
2. ตัวแปรที่ศึกษาได้แก่ สภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม 5 ด้าน คือ<br />
4<br />
2.1 ด้านหลักสูตร<br />
2.2 ด้านการเรียนการสอน<br />
2.3 ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
2.4 ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
2.5 ด้านการวัดและประเมินผล<br />
นิยามศัพท์เฉพาะ<br />
ผู้วิจัยนิยามศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเพื่อความเข้าใจตรงกันดังนี้<br />
ครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในวิทยาลัยเทคนิค สถานศึกษา<br />
ในสังกัดกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้เป็นครูถูกต้องตามระเบียบ<br />
ของกระทรวงศึกษาธิการ และมีหน้าที่สอนประจำวิชา ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัย<br />
เทคนิคสมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม และวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่<br />
อยู่ในกลุ่มของ สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
วิทยาลัยเทคนิค หมายถึง สถานศึกษา ที่เปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)<br />
และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม คือ วิทยาลัยเทคนิค<br />
สมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่อยู่ในกลุ่ม<br />
ของ สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 หมายถึง กลุ่มของสถานศึกษา หน่วยงานที่จัดการศึกษา<br />
ด้านอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพทั้งภาครัฐ เอกชน และสถานประกอบการเพื่อสร้างความเข้มแข็ง<br />
และความมีเอกภาพในการบริหารจัดการ การระดมทรัพยากร รวมทั้งการประสานความร่วมมือในการ<br />
สร้างมาตรฐาน การพัฒนาบุคลากรด้านวิชาชีพให้มีคุณภาพ<br />
การนิเทศภายใน หมายถึง กระบวนการในการปฏิบัติงานที่ผู้บริหารและครูร่วมมือกันจัดทำ<br />
ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนอันนำมาซึ่งประสิทธิผลทาง<br />
การเรียนของนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากยิ่งขึ้น<br />
การนิเทศภายในด้านวิชาการ หมายถึง การทำงานร่วมกันของบุคลากรในสถานศึกษา โดย<br />
การแนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของครู และกิจกรรม<br />
สนับสนุนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีประสิทธิผล ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ<br />
เรียนสูง และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรกำหนด ในการศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาการนิเทศ<br />
ภายใน ด้านวิชาการ 5 ด้านคือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้าน<br />
การพัฒนาบุคลากร และ ด้านการวัดผลและประเมินผล<br />
5<br />
สภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการ หมายถึง สิ่งที่เป็นอยู่หรือเกิดขึ้นในปัจจุบันของการนิเทศ<br />
ภายในด้านวิชาการ ในปัจจุบันของครูผู้สอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของ<br />
สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ หมายถึง สิ่งที่ปรารถนาให้เป็นหรือเกิดขึ้นของครู<br />
ผู้สอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 จะได้รับ<br />
การนิเทศภายในด้านวิชาการ จากผู้มีหน้าที่ในการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />
ด้านหลักสูตร หมายถึง สำรวจปัญหาการใช้หลักสูตร การแนะนำในด้านการใช้และการ<br />
พัฒนาหลักสูตร การวิเคราะห์หลักสูตร การสร้างความเข้าใจให้แก่ครูเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของหลัก<br />
สูตร แนะนำการใช้เอกสารหลักสูตรและการปรับปรุงใบงาน การจัดทำแผนการสอนและบันทึกการ<br />
สอนให้ตรงตามหลักสูตร การควบคุมการสอนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร การส่งเสริม<br />
กิจกรรมเสริมหลักสูตร การวัดผลและการประเมินผลการใช้หลักสูตร<br />
ด้านการเรียนการสอน หมายถึง การจัดประชุมครูเพื่อวางแผนการเรียนการสอน ส่งเสริม<br />
การทำโครงการสอน/แผนการสอนและบันทึกการสอน การพัฒนาการสอนด้านเทคนิคและวิธีการ<br />
สอน การบริการเอกสารทางวิชาการ การจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือและเครื่องจักร การจัดสภาพ<br />
ห้องเรียน/อาคารเรียน และการติดตามดูแลการเรียนการสอน<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
ส่งเสริมการใช้อุปกรณ์/สื่อการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหาวิชา ส่งเสริมการสร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
การจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัสดุอุปกรณ์/โสตทัศนูปกรณ์ จัดอบรมด้านเทคโนโลยีที่ใช้<br />
สร้างสื่อการเรียนการสอน การแนะนำให้ครูใช้ห้องสมุดเป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
การประเมินผลการใช้สื่อการเรียนการสอน<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร หมายถึง การสำรวจความต้องการเข้ารับการอบรม การส่งเสริม<br />
ให้ผู้ผ่านการอบรมนำความรู้มาเผยแพร่ การจัดทัศนศึกษา การส่งเสริมให้ครูศึกษาต่อ การเสริม<br />
ประสบการณ์ทางวิชาชีพแก่ครู ส่งเสริมการพัฒนาผลงานทางวิชาการ การมีส่วนร่วมและบริการ<br />
ชุมชน การติดตามและประเมินผลการฝึกอบรม<br />
ด้านการวัดผลและประเมินผล หมายถึง การจัดทำปฏิทิน/แผนการการวัดผลประจำปี การ<br />
แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมินผล การจัดทำเอกสารความรู้ด้าน<br />
การวัดผลเผยแพร่แก่ครูผู้สอน จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการ<br />
วัดผล การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลให้ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้<br />
การติดตามและประเมินผลการวัดผลการเรียนการสอนของครู<br />
6<br />
กรอบแนวคิดในการวิจัย<br />
จากการศึกษาแนวคิดของนักการศึกษา เกี่ยวกับงานการนิเทศภายในสถานศึกษา ที่มีลักษณะ<br />
ที่ครอบคลุมงานการนิเทศภายในด้านวิชาการ ซึ่งมีนักการศึกษาเช่น แฮร์ริส (Harris. 1985 : 10-12)<br />
กล่าวถึงงานนิเทศที่ปฏิบัติอยู่มี 10 ประการคือ 1)การพัฒนาหลักสูตร 2)การจัดระบบการสอน<br />
3)การคัดเลือกบุคลากรผู้สอน 4)การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก 5)การจัดวัสดุอุปกรณ์การสอน<br />
6)การจัดอบรมครูประจำการ 7)การปฐมนิเทศครูใหม่ 8)การจัดบริการด้านอื่น ๆ 9)การสร้างความ<br />
สัมพันธ์กับชุมชน 10)การประเมินผล สำหรับ กลิ๊คแมน (Clickman. 1985 : 255) ได้กล่าวถึงงาน<br />
นิเทศไว้ 5 งานดังนี้ 1)การให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง 2)การเสริมสร้างประสบการณ์ทาง<br />
วิชาชีพ 3)การพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่ม 4)การพัฒนาหลักสูตร 5)การวิจัยเชิงปฏิบัติการใน<br />
ชั้นเรียน และผู้วิจัยได้นำ มาปรับให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานนิเทศภายใน ด้านวิชาการ ในวิทยาลัย<br />
เทคนิค 5 ด้านคือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนา<br />
บุคลากร ด้านการวัดผลและประเมินผล ดังแสดงไว้ในแผนภาพที่ 1<br />
7<br />
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย<br />
สภาพและความต้องการการ<br />
นิเทศภายในด้านวิชาการของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม 5 ด้าน<br />
- ด้านหลักสูตร<br />
- ด้านการเรียนการสอน<br />
- ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
- ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
- ด้านการวัดผลและประเมินผล<br />
การนิเทศภายในตามแนวคิดของ<br />
เบน เอ็ม ฮาริส (Ben M. Harris)<br />
- การพัฒนาหลักสูตร<br />
- การจัดระบบการสอน<br />
- การคัดเลือกบุคลากรผู้สอน<br />
- การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก<br />
- การจัดวัสดุอุปกรณ์การสอน<br />
- การจัดอบรมครูประจำการ<br />
- การปฐมนิเทศครูใหม่<br />
- การจัดบริการด้านอื่น ๆ<br />
- การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน<br />
- การประเมินผล<br />
การนิเทศภายในโรงเรียน 5 ด้าน ตาม<br />
แนวคิดของ กลิ๊คแมน กอร์ดอน และ<br />
โรส กอร์ดอน (Glickman, Gordon<br />
and Rose-Gordon)<br />
- การให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง<br />
- การเสริมสร้างประสบการณ์ทาง<br />
วิชาชีพ<br />
- การพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่ม<br />
- การพัฒนาหลักสูตร<br />
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน<br />
8<br />
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />
1. เป็นข้อมูลให้ผู้บริหารและผู้นิเทศก์ได้พัฒนา ปรับปรุง และดำเนินการ การนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ให้<br />
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตามความต้องการของผู้สอน<br />
2. เป็นแนวทางสำหรับผู้นิเทศก์ภายใน เพื่อที่จะช่วยให้ผู้สอนได้ปรับปรุงการสอนให้บรรลุ<br />
ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร และเป็นไปตามมาตรฐานอาชีวศึกษา<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภท<br />
วิชาช่างอุตสาหกรรม 5 ด้าน คือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้าน<br />
การพัฒนาบุคลากร ด้านการวัดผลและประเมินผล ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี และผลงาน<br />
วิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ประกอบการศึกษาครั้งนี้ โดยนำเสนอเนื้อหาตามลำดับดังนี้<br />
1. การนิเทศการศึกษา<br />
2. การนิเทศภายใน<br />
3. สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
4. การปฏิบัติงานและปัญหาเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา<br />
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
1. การนิเทศการศึกษา<br />
1.1 ความหมายของการนิเทศการศึกษา<br />
ได้มีนักการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ดังนี้<br />
กู๊ด (Good. 1973 : 539) ได้ให้ความหมายของ การนิเทศการศึกษาไว้ว่า เป็นความพยายาม<br />
ทุกอย่างของเจ้าหน้าที่ผู้จัดการศึกษา ในการแนะนำครูหรือบุคคลอื่นที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษาให้รู้วิธี<br />
การเกี่ยวกับการปรับปรุงงานสอน การนิเทศการศึกษาจะช่วยให้เกิดความงอกงามในวิชาชีพการศึกษา<br />
และช่วยพัฒนาครู ช่วยในการเลือกและปรับปรุงวัตถุประสงค์ทางการศึกษาช่วยเลือกและปรับปรุง<br />
เนื้อหาของการสอน ช่วยเลือกและปรับปรุงวิธีสอนและช่วยเลือกและปรับปรุงการประเมินการสอน<br />
กลิ๊คแมน กอร์ดอนและโรส กอร์ดอน (Glickman Gordon and Ross Gordon. 1998 : 295) ได้<br />
ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาว่า หมายถึง หน้าที่ของทางโรงเรียนที่จะต้องปรับปรุงการสอน<br />
รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง การเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิชาชีพ การพัฒนาทักษะการ<br />
ทำงานกลุ่ม การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน<br />
แฮร์ริส (Harris. 1975 : 13) กล่าวถึงความหมายของการนิเทศการศึกษาว่า หมายถึง สิ่ง<br />
ที่บุคลากรในโรงเรียนกระทำต่อบุคคล หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจะคงไว้หรือ<br />
เปลี่ยนแปลงปรับปรุงการดำเนินการเรียนการสอนในโรงเรียน มุ่งให้เกิดประสิทธิภาพในด้านการ<br />
สอนเป็นสำคัญ<br />
10<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 262) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาหมายถึง กระบวนการชี้แนะ<br />
แนะนำ และให้ความร่วมมือต่อกิจกรรมของครู ในการปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อให้ได้ผลตาม<br />
จุดมุ่งหมายที่วางไว้<br />
สนอง เครือมาก และวิสิฐ วงศ์จิตรทร (2532 : 276) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการ<br />
ศึกษาว่า หมายถึง การร่วมมือของบุคลากรในโรงเรียน ในอันที่จะปรับปรุง แก้ไข หรือพัฒนาการสอน<br />
ของครู เพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 12) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาคือกระบวนการทำงานร่วมกับครู<br />
และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลสัมฤทธิ์สูงสุดในการเรียนของนักเรียน<br />
สนั่น มีสัตย์ธรรม (2538 : 198) ให้ความหมายว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการ<br />
ทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศก์ กับผู้รับการนิเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โดยผ่านตัวกลางคือ<br />
ครูและบุคลากรทางการศึกษา<br />
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน (2536 : 3) ให้ความเห็นว่าเป็นกระบวนการของผู้นิเทศก์ที่มุ่งจะ<br />
ปรับปรุง และพัฒนาการสอนในสถานศึกษา โดยมุ่งที่พฤติกรรมของครูที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมของ<br />
ผู้เรียน<br />
จากความหมายของ การนิเทศการศึกษาที่นักการศึกษาได้แสดงทัศนะไว้ดังกล่าว พอสรุปได้<br />
ว่าการนิเทศการศึกษาหมายถึง ความร่วมมือหรือประสานงานกันของบุคลกากรที่เกี่ยวข้องกับการ<br />
ศึกษา ในอันที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครูให้มีประสิทธิภาพสูงสุด<br />
อันจะส่งผลไปถึงคุณภาพของการจัดการศึกษาให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ แก่ตัวนักเรียนและนักศึกษา<br />
1.2 ความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษา<br />
นักการศึกษาหลายท่านได้แสดงความเห็นและได้กำหนดความมุ่งหมาย ของการนิเทศการ<br />
ศึกษาไว้ดังนี้<br />
กู๊ด (Good. 1973 : 539) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษามีจุดม่งหมายเพื่อช่วยให้มีความ<br />
เจริญงอกงามทางวิชาชีพ ช่วยพัฒนาความสามารถของครู ช่วยให้เลือกและปรับปรุงวัตถุประสงค์ของ<br />
การศึกษา ช่วยเหลือและจัดสรรเครื่องอุปกรณ์การศึกษา ช่วยเหลือและปรับปรุงวิธีสอน<br />
วิโรจน์ ศรีโภคา (2536 : 417) ได้เสนอความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ 4 ประการ<br />
1. เพื่อพัฒนาคน การนิเทศการศึกษาเป็นการให้คำแนะนำช่วยเหลือให้คนในองค์กรนั้น ๆ มี<br />
ความรู้ ความสามารถในการทำงานให้มากขึ้น<br />
2. เพื่อพัฒนางาน การนิเทศการศึกษาเพื่อการสร้างวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
11<br />
3. เพื่อประสานสัมพันธ์ การนิเทศการศึกษา เพื่อการสร้างความร่วมมือ สร้างความเข้าใจใน<br />
การทำงานร่วมกัน ตลอดจนความเข้าใจระหว่างกลุ่มคนกับสังคมโดยส่วนรวม<br />
4. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ การนิเทศการศึกษาเป็นการสร้างความมั่นใจ ความสบายใจ<br />
และมีกำลังใจในการทำงาน<br />
ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์ (2538 : 14) กล่าวโดยสรุปว่า การนิเทศการสอนเป็นกระบวนการที่มุ่งให้<br />
ความช่วยเหลือครูในการปรับปรุงการสอน เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามแก่นักศึกษา และสังคม ซึ่ง<br />
ในปัจจุบันสังคม และเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ประกอบกับมีโรงเรียน<br />
เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของความต้องการในสิ่งต่าง ๆ ที่มี<br />
ความแตกต่างกัน การนิเทศการสอนเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหา และสนองความต้องการได้<br />
ในขณะที่มีโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น ครูมีจำนวนมากขึ้น ผู้นิเทศก์ที่เป็นศึกษานิเทศก์ก็มีจำนวนไม่เพียงพอ<br />
ต่อจำนวนครู ดังนั้นทางโรงเรียนจึงต้องจัดดำเนินการนิเทศการสอนกันเอง เพื่อให้มีความสอดคล้อง<br />
และทันท่วงทีต่อสภาพปัญหาในสถานการณ์นั้น ๆ โดยนำครูผู้สอนที่มีวุฒิสูงขึ้น มีความรู้และทักษะ<br />
เฉพาะสาขาวิชามาช่วยเหลือ แนะนำซึ่งกันและกัน<br />
สุกานดา ตปนียางกูร (2537 : 6) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของการนิเทศไว้ดังนี้<br />
1. ช่วยให้ครูเห็นและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการศึกษา<br />
2. ช่วยให้ครูเห็นและเข้าใจในความต้องการ และปัญหาต่าง ๆ ของเยาวชน เพื่อจะได้วัด<br />
สนองความต้องการของเยาวชนอย่างดีที่สุด<br />
3. ช่วยส่งเสริมให้ครูมีลักษณะแห่งความเป็นผู้นำ และมีความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่น ปรัชญา<br />
การศึกษา หลักสูตรและการประมวลการสอน การประเมินผล เป็นต้น<br />
4. ช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คณะครู<br />
5. ช่วยเสริมสร้างและนำศักยภาพของครูมาใช้ให้มากที่สุด<br />
6. ช่วยเหลือครูใหม่ให้เข้าใจงานในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นในการปฏิบัติงาน<br />
เพื่อให้ความช่วยเหลือและประสานงานในทางวิชาการแก่กรมเจ้าสังกัด โดยความมุ่งหมาย<br />
ของงานนิเทศการศึกษาตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยศึกษานิเทศก์ กรมอาชีวศึกษา พ.ศ.<br />
2533 กำหนดไว้ว่า<br />
1. เพื่อพัฒนา และควบคุมมาตรฐานทางบริหาร และวิชาการของ สถานศึกษาตามที่กรม<br />
อาชีวศึกษากำหนด<br />
2. เพื่อให้การบริการทางวิชาการแก่สถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษา และหน่วยงานที่<br />
เกี่ยวข้อง<br />
3. เพื่อสำรวจ วิเคราะห์ วิจัย ติดตาม และประเมินผลเพื่อปรับปรุงคุณภาพ และมาตรฐาน<br />
กรมอาชีวศึกษา<br />
12<br />
4. เพื่อพัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐาน และเอกสารทางวิชาการ<br />
ให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็น<br />
5. เพื่อพัฒนาบุคลการในสถานศึกษาให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์อันจำเป็นที่จะ<br />
นำไปใช้ในการเรียนการสอน การจัดการศึกษาทั้งให้สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยประสานงาน<br />
กับหน่วยงานทางการศึกษาอื่น ๆ ของกรมอาชีวศึกษาเพื่อมิให้ทำงานซ้ำซ้อนกัน<br />
6. เพื่อประสานงานทางวิชาการ จริยธรรม วัฒนธรรม การบริการชุมชนระหว่าง สถาน<br />
ศึกษา กลุ่มสถานศึกษา กรมอาชีวศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การ<br />
ระหว่างประเทศ<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 265) มีความเห็นว่า การนิเทศการศึกษามุ่งที่จะช่วยเหลือ และ<br />
ประสานงานในด้านวิชาการในโรงเรียนเพื่อพัฒนาหลักสูตร ปรับปรุงการเรียนการสอนของครูให้มี<br />
ประสิทธิภาพ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพของการศึกษาของโรงเรียน ปรับปรุงและประเมินผลการ<br />
เรียนการสอน ตลอดจนช่วยให้เกิดความงอกงามทางวิชาชีพครู และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 6) ได้สรุปจุดมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ดังนี้<br />
1) เพื่อพัฒนาคน<br />
2) เพื่อพัฒนางาน<br />
3) เพื่อประสานสัมพันธ์<br />
4) เพื่อสร้างขัวญและกำลังใจ<br />
สรุปว่า การนิเทศการศึกษามีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาหลักสูตร เพื่อปรับปรุงการเรียนการ<br />
สอนของคร ู เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมทั้งแก้ไข ป้องกันปัญหาทางการศึกษา เพอื่ เสรมิ สรา้ ง<br />
ความเชื่อมั่นและกำลังใจให้แก่ครู และมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้สอน ผู้ซึ่ง<br />
ต้องการปรับปรุง พัฒนาการเรียนการสอนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งนี้เพื่อตอบสนอง<br />
ความต้องการของสังคมได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนิเทศการสอน<br />
1.3 ความจำเป็นของการนิเทศการศึกษา<br />
ได้มีนักการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวถึงความจำเป็นของการนิเทศการศึกษาไว้ เช่น<br />
ชาญชัย อาจินสมาจาร (2531 : 5) ให้ความเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการนิเทศการศึกษาไว้<br />
ดังนี้<br />
1. มีความจำเป็นในการให้บริการทางวิชาการแก่ครูจำนวนมาก ที่มีความรู้ความสามารถต่าง<br />
กัน ซึ่งต่างก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือกัน<br />
2. การนิเทศการศึกษา มีความจำเป็นต่อความเจริญงอกงามของครูแม้ว่าครูจะได้รับการฝึกฝน<br />
มาแล้วเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ครูก็จะต้องปรับปรุงฝึกฝนอยู่เสมอในขณะทำงานในสถานการณ์จริง<br />
13<br />
3. การนิเทศการศึกษา มีความจำเป็นต่อการช่วยเหลือครูในการเตรียมการสอน<br />
4. การนิเทศการศึกษามีความจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีอยู่ ทำให้เกิดการ<br />
พัฒนา การทางการศึกษา ทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ<br />
5. การนิเทศการศึกษา มีความจำเป็นต่อภาวะผู้นำทางวิชาชีพแบบประชาธิปไตย จะได้<br />
ประโยชน์ทางสร้างสรรค์<br />
อุทัย ธรรมเดโช (2531 : 80) ได้กล่าวถึงความจำเป็นของการนิเทศการศึกษาไว้ดังนี้<br />
ปัจจุบัน สภาพแวดล้อมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงไป<br />
อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการศึกษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านหลักสูตร<br />
เนื้อหาและวิธีการสอน วัสดุอุปกรณ์ (สื่อการสอน) และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางการศึกษา เมื่อมีการ<br />
เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าครูจะมีประสบการณ์ในการสอนมานานปีก็ตาม ถ้าไม่มีความสนใจใฝ่หา<br />
ความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมอยู่เสมอ ก็อาจจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน<br />
ต่ำลง ดังนั้นการนิเทศการศึกษาจึงมีความจำเป็น และมีบทบาทอันสำคัญที่จะเป็นตัวแนะนำ กระตุ้น<br />
ให้มีความตื่นตัวให้ทันต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังทำให้ครูรู้ถึงกลวิธีการสอน<br />
เพื่อนำเอาเทคนิควิธีการใหม่ ๆ ไปใช้ปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้น และการนิเทศการศึกษายังทำให้<br />
ผู้บริหารได้รู้สภาพการเรียนการสอนว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าโรงเรียนหรือครูต้องการอะไร และถ้ามีปัญหา<br />
หรือ อุปสรรคอะไรจะได้หาทางแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น<br />
สรุปว่า การนิเทศการศึกษามีความจำเป็นในด้าน การปรับปรุง การพัฒนาการเรียนการสอน<br />
ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งนี้การสอนของผู้สอนจะสนองตอบ หรือสอดคล้องกับความ<br />
ต้องการของสังคมได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนิเทศการศึกษา<br />
1.4 หลักการนิเทศการศึกษา<br />
ในการปฏิบัติงานนอกจากจะมีจุดมุ่งหมายแล้ว ยังจะต้องมีหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อยึด<br />
เป็นแนวปฏิบัติ การนิเทศการศึกษาเป็นงานที่มุ่งพัฒนาความเจริญงอกงามในทุก ๆ ด้าน จึงจำเป็นต้อง<br />
มีหลักการปฏิบัติงานและคำว่าหลักการในที่นี้ หมายถึง การสรุปข้อความโดยทั่วไปซึ่งเป็นที่ยอมรับ<br />
กันในลักษณะของข้อเท็จจริงพื้นฐานหรืออาจจะหมายถึง กฎเกณฑ์พื้นฐาน คำสั่ง นโยบาย หรือความ<br />
เชื่อ ซึ่งควบคุมการกระทำในรูปแบบต่าง ๆ ของมนุษย์ สำหรับเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะหลักการน่าจะ<br />
หมายถึงปรัชญา ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดและประเมินค่าจุดหมาย ทัศนคติการปฏิบัติและผลิตผล<br />
ยังมีการอ้างคำกล่าวของ เบอตั้น และ บรัคเนอร์ (Burton and Bruckner. 1965) ซึ่งได้กำหนด<br />
หลักการนิเทศการศึกษาไว้ 4 ประการ คือ<br />
1. การนิเทศการศึกษาควรมีความถูกต้องตามหลักวิชา<br />
1.1 การนิเทศการศึกษาควรจะเป็นไปตามค่านิยม วัตถุประสงค์ และนโยบายซึ่งเกี่ยวข้อง<br />
อยู่กับการนั้นโดยเฉพาะ<br />
14<br />
1.2 การนิเทศการศึกษา ควรจะเป็นไปตามความเป็นจริง และตามกฎเกณฑ์ของเรื่อง<br />
นั้น ๆ มีเป้าหมายและนโยบายที่แน่นอน<br />
2. การนิเทศการศึกษาควรจะเป็นวิทยาศาสตร์<br />
2.1 การนิเทศการศึกษา ควรเป็นไปอย่างมีลำดับ มีระเบียบ และวิธีการในการศึกษา<br />
ปรับปรุงและประเมินผลสิ่งต่าง ๆ ภายในขอบเขตของงานนั้นรวมทั้งด้านกระบวนการนิเทศและ<br />
อุปกรณ์ที่ใช้ในการนิเทศ<br />
2.2 การนิเทศการศึกษา ควรได้มาจากการรวบรวมและสรุปผล จากข้อมูลอย่างเป็น<br />
ปรนัยมีความถูกต้องแน่นอนเป็นที่เชื่อถือได้<br />
3. การนิเทศการศึกษา ควรเป็นประชาธิปไตย<br />
การนิเทศการศึกษาจะต้องเคารพในบุคคล และความแตกต่างของแต่ละบุคคล และ<br />
พยายามส่งเสริมการแสดงออกของแต่ละบุคคลอย่างเต็มที่<br />
4. การนิเทศการศึกษา ควรจะเป็นการสร้างสรรค์<br />
4.1 การนิเทศการศึกษาควรจะแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล แล้วเปิด<br />
โอกาสให้ได้แสดงออกและพัฒนาความสามารถนั้นอย่างสูงสุด<br />
4.2 การนิเทศการศึกษา ควรจะมีส่วนในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เพื่อ<br />
ให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานให้มากที่สุด<br />
จากหลักการนิเทศการศึกษาดังที่กล่าวมาแล้ว พอสรุปได้ว่าหลักการนิเทศการศึกษานั้น ควร<br />
จะตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ หรือ<br />
ทำงานเป็นขั้นตอนมีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ มีความเป็นประชาธิปไตย และเปิดโอกาสให้<br />
ทุกคนได้แสดงความสามารถในการสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ทั้งด้านความคิดเห็นและการกระทำ ส่ง<br />
เสริมบำรุงขวัญและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีแก่ผู้ปฏิบัติ<br />
1.5 กระบวนการนิเทศการศึกษา<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 265) หมายถึง การดำเนินการในการนิเทศให้ได้รับความสำเร็จ และ<br />
มีขั้นตอนของกระบวนการนิเทศการศึกษาดังนี้<br />
1. ขั้นวางแผน ได้แก่ ความคิด การตั้งวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ล่างหน้า การกำหนด<br />
ตารางงาน การค้นหาวิธีปฏิบัติงาน และการวางโปรแกรมงาน<br />
2. ขั้นการจัดโครงการ ได้แก่ การตั้งเกณฑ์มาตรฐาน การรวบรวมทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งคน<br />
และวัสดุปกรณ์ ความสัมพันธ์แต่ละชั้น การมอบหมายงาน การประสานงาน การกระจายอำนาจตาม<br />
หน้าที่ โครงสร้างขององค์การ และการพัฒนานโยบาย<br />
15<br />
3. ขั้นการนำเข้าสู่การปฏิบัติ ได้แก่ การตัดสินใจ การเลือกสรรบุคคล การจูงใจให้มีกำลังใจ<br />
คิดริเริ่มอะไรใหม่ ๆ การสาธิต และให้คำแนะนำ การสื่อสาร การกระตุ้นส่งเสริมกำลังใจ การแนะนำ<br />
นวัตกรรมใหม่ ๆ และให้ความสะดวกในการทำงาน<br />
4. ขั้นการควบคุม ได้แก่ การสั่งการ การลงโทษ การให้โอกาส การตำหนิ การไล่ออก และ<br />
การบังคับให้กระทำการ<br />
5. ขั้นประเมินผล ได้แก่ การตัดสินการปฏิบัติงาน การวิจัย และการวัดผลการปฏิบัติงาน<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 87-91) ได้เสนอแนะไว้โดย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้<br />
ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P)<br />
ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I)<br />
ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D)<br />
ขั้นที่ 4 สร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R)<br />
ขั้นที่ 5 ประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E)<br />
สรุปว่า กระบวนการการนิเทศการศึกษา เป็นการทำงานอย่างมีแผนโดยเริ่มจากการวิเคราะห์<br />
งานการเรียนการสอนของครู เพื่อจะได้ทราบถึงปัญหา จัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่จะต้องรีบ<br />
แก้ไขปรับปรุงก่อนหลัง แล้ววางแผนที่จะดำเนินการโดยหาทางเลือกที่จะแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ต่อจาก<br />
นั้นก็ดำเนินการตามลำดับ จนถึงขั้นการประเมินผลการปฏิบัติงาน แล้วจึงนำผลการปฏิบัติไปปรับปรุง<br />
แก้ไขต่อไป<br />
1.6 รูปแบบของการนิเทศการศึกษา<br />
บุญเลิศ ภพลาภ (ม.ป.ป : 24) ได้อธิบายว่า การนิเทศการศึกษาระดับกรมเป็นหน้าที่ของ<br />
ศึกษานิเทศก์ ที่จัดนิเทศผู้บริหารและครู-อาจารย์ในสถานศึกษา แบ่งเป็น 2 แบบคือ การนิเทศโดยตรง<br />
และการนิเทศทางอ้อม เพื่อให้เกิดการนิเทศในสถานศึกษา การนิเทศทั้ง 2 แบบ มีเทคนิควิธีการนิเทศ<br />
ที่เหมาะสมหลายวิธี การนิเทศการศึกษาระดับสถานศึกษาเป็นการนิเทศภายในสถานศึกษา ผู้รับการ<br />
นิเทศ และผู้นิเทศก์อยู่ในสถานศึกษาเดียวกัน ยกเว้นในบางกรณีสถานศึกษาอาจเชิญบุคคลภายนอกมา<br />
เป็นผู้นิเทศก์ก็ได้ รูปแบบการนิเทศเป็นการนิเทศโดยตรง<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (2531 : 3) ได้ พิจารณาแบ่ง<br />
ลักษณะของการนิเทศออกเป็น 2 ประการ คือ<br />
1. พิจารณาในแง่ผู้นิเทศก์ แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่<br />
1.1 การนิเทศทางตรง ผู้นิเทศก์ดำเนินการโดยตรงกับครูไม่ผ่านสื่อนิเทศ เช่น การสังเกต<br />
การสอน และการให้คำปรึกษา เป็นต้น<br />
1.2 การนิเทศทางอ้อม ผู้นิเทศก์ดำเนินการนิเทศโดยผ่านสื่อนิเทศ เช่น การใช้วิทยุ<br />
เอกสาร และเทปบันทึกเสียง เป็นต้น<br />
16<br />
2. พิจารณาในแง่ของผู้รับการนิเทศ แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่<br />
2.1 การนิเทศเป็นรายบุคคล ผู้รับการนิเทศจะอยู่กับผู้นิเทศก์ทีละคน เช่น การสังเกต<br />
การสอนของครู และการให้คำปรึกษา เป็นต้น<br />
1.2 การนิเทศเป็นกลุ่ม ผู้รับการนิเทศจะอยู่กับผู้นิเทศก์ทีละกลุ่ม เช่นการประชุม<br />
การปฐมนิเทศ และการประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น<br />
สรุปว่า รูปแบบของการนิเทศการศึกษา แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือการนิเทศการศึกษาระดับ<br />
กรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ และการนิเทศการศึกษาระดับสถานศึกษา หรือการนิเทศภายใน<br />
สถานศึกษาด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การนิเทศทางตรง การนิเทศทางอ้อม การนิเทศเป็นรายบุคคล<br />
การนิเทศเป็นกลุ่มชี้แนะให้คำแนะนำ และการให้ความช่วยเหลือแก่ครู ในการปรับปรุงการสอนให้มี<br />
ประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นต้น<br />
2. การนิเทศภายใน<br />
ปัจจุบันงานนิเทศการศึกษามีความสำคัญมากขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า<br />
ทางการศึกษา การขยายตัวในด้านจำนวนสถานศึกษาและขนาดของสถานศึกษา ทำให้จำนวนบุคลากร<br />
ในสถานศึกษาเพิ่มมากขึ้นดังนั้นจึงต้องอาศัยวิธีการนิเทศการศึกษาอีกแบบหนึ่ง การนิเทศงานวิชาการ<br />
ภายในสถานศึกษา ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคลากรในสถานศึกษาคิดขึ้นเพื่อพัฒนาความรู้ทักษะ ในด้านต่าง<br />
ๆ จึงจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้าให้ทราบในรายละเอียดที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้<br />
2.1 ความหมายของการนิเทศภายใน<br />
ได้มีนักการศึกษาให้ความหมายไว้หลายแนวคิดดังนี้<br />
กู๊ด (Good. 1973 : 539) ได้กล่าวว่า การนิเทศภายในคือ ความพยายามทุกชนิดของเจ้าหน้า<br />
ที่ฝ่ายการศึกษาที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นิเทศการศึกษา ในการแนะนำครู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับ<br />
การศึกษาให้สามารถปรับปรุงการสอนของตนให้ดีขึ้น ช่วยให้เกิดความเจริญงอกงามในด้านวิชาชีพ<br />
และช่วยพัฒนาความสามารถของครู<br />
จุรี จันทร์เจริญ (2539 :17) ได้กล่าวไว้ว่า การนิเทศภายใน หมายถึง การทำงานร่วมกัน<br />
ของ บุคลากรในโรงเรียน โดยการแนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุนการปฏิบัติงาน เกี่ยวกับการจัดการ<br />
เรียนการสอนของครู และกิจกรรมสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ<br />
ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่หลักสูตรกำหนด<br />
จินตนา สวินทร (2536 : 11) กล่าวว่า การนิเทศภายในเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง<br />
บุคลากรทางการศึกษาภายในโรงเรียน โดยเน้นงานวิชาการเป็นหลักเพื่อพัฒนาการสอนของครูให้<br />
ดีขึ้นซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพทางการศึกษาของนักเรียนให้สูงขึ้น<br />
17<br />
จุลมาศ จำปา (2542 : 16) ได้ให้ความหมายการนิเทศภายในว่า หมายถึง กระบวนการทำงาน<br />
ร่วมกันระหว่างผู้บริหารโรงเรียนและคณะครูทุกคนในโรงเรียน ในการพัฒนาการเรียนการสอนให้<br />
เกิดประสิทธิภาพอันจะส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียน<br />
วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์ (2530 : 1) การนิเทศการภายใน คือการที่ผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้แก่<br />
ผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ หัวหน้าคณะวิชา หัวหน้างาน หรือหัวหน้าแผนกวิชาต่าง ๆ โดยความ<br />
ร่วมมือกับคณะครูภายในปรึกษาหารือ เพื่อทำการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล วางแผนการ<br />
ปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งทางสถานศึกษาอาจเชิญวิทยากรและศึกษานิเทศก์ร่วมมือด้วย<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 118) ได้กล่าวว่า การนิเทศภายใน เป็นกระบวนการทำงานของ<br />
ผู้บริหาร เพื่อผู้ที่ได้รับมอบหมายในการพัฒนาคุณภาพการทำงานของบุคลากรในโรงเรียนเพื่อให้ได้<br />
มาซึ่งสัมฤทธิ์ผลสูงสุดในการเรียนของนักเรียน<br />
สรุปว่า การนิเทศภายใน หมายถึง กระบวนการการทำงานร่วมกันของผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับ<br />
มอบหมายหน้าที่แทนและครูผู้สอนภายในโรงเรียนเพื่อหาข้อบกพร่องในการทำงานของแต่ละคนเพื่อ<br />
จะหาทางแก้ไขปรับปรุงให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลแก่นักเรียน<br />
มากที่สุด โดยมีการดำเนินการเป็นขั้นตอนเพื่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน<br />
การสอนภายในโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น<br />
2.2 ความมุ่งหมายของการนิเทศภายใน<br />
อำภา บุญช่วย (2537 : 111) ได้เสนอความมุ่งหมายของการนิเทศภายในไว้หลายประการ<br />
ดังนี้<br />
1. เพื่อช่วยให้ทราบถึงสภาพปัญหาปัจจุบัน และความต้องการของโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูล<br />
ในการวางแผนพัฒนางานบริหารและงานวิชาการ<br />
2. เพื่อให้ผู้สอนได้จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ถูกต้อง ตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้<br />
3. เพื่อให้ผู้สอนได้ตระหนักถึงปัญหาในการจัดประสบการณ์ ทั้งให้สามารถแก้ปัญหาได้<br />
4. เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และให้กำลังใจแก่ผู้สอน<br />
5. เพื่อมุ่งให้เกิดความร่วมมือ และประสานงานกันเป็นอย่างดีภายในระบบงาน<br />
6. เพื่อควบคุมมาตรฐาน และพัฒนางานด้านการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
วิโรจน์ ศรีโภคา (2536 : 417) ได้เสนอความมุ่งหมายไว้ 4 ประการ ดังนี้<br />
1. เพื่อพัฒนาคน การนิเทศภายในเป็นการให้คำแนะนำ ช่วยเหลือให้คนในองค์การนั้น ๆ มี<br />
ความรู้ ความสามารถในการทำงานให้มากขึ้น<br />
2. เพื่อพัฒนางาน การนิเทศภายในเป็นการสร้างวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
3. เพื่อประสานสัมพันธ์ การนิเทศภายในเป็นการสร้างความร่วมมือ สร้างความเข้าใจในการ<br />
ทำงานร่วมกัน ตลอดจนความเข้าใจระหว่างกลุ่มคนกับสังคมส่วนรวม<br />
18<br />
4. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ การนิเทศภายในเป็นการสร้างความมั่นใจ ความสบายใจ และ<br />
มีกำลังใจในการทำงาน<br />
วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์ (2530 : 3) กำหนดความมุ่งหมายของ การนิเทศภายใน เพื่อให้ผู้นิเทศ<br />
ได้ยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องไว้ว่า เป็นการช่วยเหลือครูในการพัฒนา ปรับปรุงตนเอง<br />
ส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร ให้ครูมีความสนใจในอุปกรณ์การสอน ช่วยครูในการทำ<br />
ความเข้าใจกับเด็กให้ดีขึ้น และช่วยให้ครูประสบความสำเร็จ มีความรู้สึกมั่นคงในอาชีพ<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 306) กล่าวว่า การนิเทศภายในเมื่อนิเทศแล้วจะต้องได้ผลตามจุด<br />
มุ่งหมายของการนิเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการนิเทศ 4 ประการคือ<br />
1. พัฒนาคน การนิเทศเป็นการให้คำแนะนำช่วยเหลือเมื่อนิเทศแล้วบุคลากรในหน่วยงาน<br />
ได้รับความรู้ และมีความสามารถในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น<br />
2. พัฒนางาน การนิเทศเป็นการสร้างสรรค์วิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น<br />
3. ประสานสัมพันธ์ การนิเทศเป็นการร่วมมือ สร้างความเข้าใจในการทำงานร่วมกัน<br />
4. การสร้างขวัญและกำลังใจ การนิเทศเป็นการสร้างความมั่นใจ ความสบายใจ และมี<br />
กำลังใจในการทำงาน<br />
จากแนวความคิดที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า ความมุ่งหมายหลักของการนิเทศภายใน คือ มุ่งที่จะ<br />
ช่วยเหลือ และประสานงานในด้านวิชาการภายในโรงเรียน เพื่อพัฒนาหลักสูตร ปรับปรุงการเรียนการ<br />
สอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งเสริมและรักษาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ประเมินผลการเรียน<br />
การสอน ตลอดจนช่วยให้เกิดความงอกงามทางวิชาชีพครู ฉะนั้นการนิเทศภายในจึงต้องปฏิบัติอย่างมี<br />
ขั้นตอนอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย เพื่อต้องการจะพัฒนาพฤติกรรมของครูผู้สอน และ<br />
บุคลากรในโรงเรียนให้ทำงานประสบผลสำเร็จ ในด้านการเรียนการสอนและการทำงานอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
2.3 ความจำเป็นของการนิเทศภายใน<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 116-117) ได้เน้นให้เห็นถึงความจำเป็นของการนิเทศภายในไว้ดังนี้<br />
1. ศึกษานิเทศก์โดยตำแหน่งมีจำนวนจำกัด จึงไม่สามารถสนองความต้องการทางการนิเทศ<br />
การศึกษาของโรงเรียนต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง<br />
2. สภาพปัญหาและความต้องการของโรงเรียนแต่ละแห่งไม่เหมือน กันจึงเป็นการยากที่<br />
ศึกษานิเทศก์ซึ่งอยู่ภายนอกจะรู้สภาพปัญหา และความต้องการที่แท้จริงของโรงเรียนได้ การสนอง<br />
ความต้องการจึงเป็นไปได้ยาก<br />
3. สภาพปัจจุบัน บุคลากรในโรงเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ และบางคน<br />
ยังมีความชำนาญในเฉพาะสาขาอีกด้วย จึงควรจะใช้ทรัพยากรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และ<br />
ยังเป็นการสร้างการยอมรับซึ่งกันและกันอีกด้วย<br />
19<br />
4. เป็นการสอดคล้องกับปรัชญา หลักการ และวิธีการนิเทศสมัยใหม่ที่สุด ที่ว่าการนิเทศ<br />
สมัยใหม่จะเกิดขึ้นโดยความร่วมมือและช่วยเหลือกันและกัน ไม่ใช่จะต้องมีคนคอยชี้แนะให้ทำงาน<br />
อยู่ตลอดเวลา<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 306-317) กล่าวว่า การนิเทศภายในเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและ<br />
ต้องจัดให้มีขึ้นภายในโรงเรียน จะช่วยให้เกิดผลดีในการดำเนินงานหลายประการคือ<br />
1. เป็นการช่วยเหลือส่งเสริมกำลังของศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร<br />
2. การนิเทศโดยบุคลากรในโรงเรียน ทำให้บรรยากาศในการนิเทศเป็นไปแบบกันเอง<br />
3. สามารถรับรู้ปัญหา และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่าคนภายนอกมานิเทศ<br />
4. สามารถติดตามการปฏิบัติงานหรือผลการนิเทศได้ตลอดเวลา<br />
5. สภาพปัจจุบัน ความเข้าใจเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษา และเจตคติหรือท่าทีต่อการนิเทศ<br />
ของบุคคลต่าง ๆ อยู่ในระดับดีขึ้น<br />
สุเทพ เมฆ (2541 : 38-39) ได้กล่าวถึงความจำเป็นของการนิเทศภายในว่า มีความจำเป็น<br />
ต่อการจัดการศึกษาภายในโรงเรียนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม เพราะถ้าผู้บริหารและ<br />
ครูไม่ดำเนินการนิเทศเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ การปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการศึกษาก็ไม่อาจ<br />
ทันต่อการปรับเปลี่ยนของเศรษฐกิจ และสังคมได้ โดยเฉพาะการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันต้อง<br />
ดำเนินการให้นักเรียนสามารถเผชิญกับสถานการณ์ด้านต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา เพราะ<br />
ฉะนั้น การนิเทศภายในจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาครูผู้สอนให้เกิดการศึกษาและ<br />
พัฒนางานด้านการวิเคราะห์หลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน พัฒนาให้เกิดนวัตกรรม และ<br />
เทคโนโลยีทางการศึกษาขึ้น และยังเป็นการรักษามาตรฐานคุณภาพทางการศึกษา อันเนื่องมาจากครู<br />
ผู้สอนได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการนิเทศอย่างต่อเนื่องจนมีความร ู้ ความสามารถช่วยให้การ<br />
ปฏิบัติหน้าที่มีศักยภาพขึ้นมา<br />
ตลอดจนการนิเทศภายในยังสามารถทำให้ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ เพิ่ม<br />
ขึ้น เพราะต้องศึกษาวิชาการใหม่ ๆ เพื่อนำไปจัดการเรียนการสอนให้ทันกับวิชาการใหม่ ๆ<br />
สรุปว่า การนิเทศภายในมีความจำเป็นต่อการศึกษาเพราะจะเห็นได้ว่า ระบบการศึกษาได้มี<br />
การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร เนื้อหาหรือวิธีการสอน ดังนั้นจึงควรให้ครูได้มีการ<br />
ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนเองให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา โดยมีการชี้<br />
แนะจากผู้นิเทศก์ในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะได้นำไปปรับปรุง และพัฒนาตนเอง<br />
2.4 หลักการนิเทศภายใน<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 120-121) ได้อธิบายถึงหลักการสำคัญสำหรับการจัดการนิเทศภาย<br />
ในไว้ในสภาพรวมว่าการนิเทศภายในจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้บริหาร<br />
20<br />
ผู้นิเทศก์ และผู้รับการนิเทศ ซึ่งทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความเข้าใจว่าการนิเทศภายเป็นการพัฒนา<br />
เพื่อนร่วมงานให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานสูงขึ้น ต้องยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและ<br />
กัน เข้าใจตรงกันว่า การนิเทศเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการในการ<br />
ยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน นอกจากนี้ การสร้างเสริมกำลังใจโดยผู้บริหารจะส่งผลต่อ<br />
สัมฤทธิ์ผลของการนิเทศภายในอีกด้วย<br />
สมาน อัศวภูมิ (ม.ป.ป : 3-6) ได้เสนอหลักการที่นำมาใช้กับการนิเทศภายใน ดังนี้<br />
1. ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีการดำเนินงานอย่างมีระบบ วิธีการ และอาศัยข้อมูล<br />
2. เป็นประชาธิปไตย<br />
3. ให้ความสำคัญในความแตกต่างระหว่างบุคคล<br />
4. เริ่มจากสภาพปัญหาปัจจุบัน<br />
5. สร้างความรู้สึกมั่นคง ให้ความเชื่อมั่นในตนเองแก่ครู<br />
6. ตั้งอยู่บนรากฐานของการพัฒนาวิชาชีพมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล<br />
7. สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง รวมทั้งความเข้าใจและความไว้วางใจ<br />
8. เป็นการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน<br />
9. ยึดหลักการสร้างสรรค์และให้อิสระในการปฏิบัติงานภายใน นโยบาย และเป้าหมายของ<br />
โรงเรียน<br />
ไฉน ยังละออ (2540 : 18) ได้กล่าวว่า การนิเทศภายในมีหลักการ คือต้องยึดหลักความ<br />
ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีหลักการวางแผนในการดำเนินงานอย่างเป็นลำดับขั้นตอน มุ่งบรรยากาศที่<br />
เป็นกันเองตามหลักประชาธิปไตย ให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานโดยส่งเสริม บำรุงขวัญให้<br />
บุคลากรมีความก้าวหน้าในอาชีพ และเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงาน<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2529 : 4-5) ได้กล่าวถึงการนิเทศภายในว่ามีหลักการที่<br />
ใช้ยึดในการปฏิบัติ 7 ประการดังนี้<br />
1. มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ หมายถึง ควรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และนโยบายที่<br />
วางไว้ตลอดถึงสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ปัจจุบันควรเป็นไปตามความจริงตามกฏเกณฑ์ที่แน่นอน<br />
2. เป็นวิทยาศาสตร์ หมายถึง การทำงานอย่างมีระบบ มีวิธีการ มีการศึกษาปรับปรุง และ<br />
ประ เมินผล โครงการนิเทศภายในจะเกิดมาจากการวิเคราะห์ การรวบรวมข้อมูลและสรุปผลอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพเป็นที่เชื่อถือได้<br />
3. เป็นประชาธิปไตย หมายถึง จะต้องเคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นความร่วม<br />
มือในการทำงาน และรู้จักใช้ความสามารถในการปฏิบัติงาน เพื่อให้งานนั้นดำเนินไปสู่เป้าหมายที่<br />
ต้องการ<br />
21<br />
4. เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของครู และนำไปสู่การเพิ่มพูนประสิทธิภาพ<br />
ในการทำงานของครูให้สูงขึ้น<br />
5. เป็นการสร้างสรรค์ หมายถึง เป็นการแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล แล้ว<br />
เปิดโอกาสให้ได้แสดงออก และพัฒนาความสามารถเหล่านั้นอย่างเต็มที่<br />
6. เป็นการตั้งอยู่บนรากฐานของการพัฒนาวิชาชีพมากกว่าที่จะเป็นความสัมพันธ์ ในแต่ละ<br />
บุคคล<br />
7. มุ่งสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง การกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน และช่วยให้ครู<br />
เกิดความรู้สึกว่าพบวิธีที่ดีกว่าเดิมในการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์<br />
สตูปส์ (Stoops. 1978 : 5-6) ได้กำหนดหลักการเบื้องต้นของการนิเทศภายในไว้ดังนี้<br />
1. การนิเทศภายใน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่รับผิดชอบ<br />
2. การนิเทศภายใน เป็นการปรับปรุง ซึ่งผู้สอนหรือผู้รับการนิเทศเป็นผู้รับใช้บริการ<br />
3. การนิเทศภายใน ต้องสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของครูและโรงเรียน<br />
4. การนิเทศภายใน ควรเป็นการสร้างสรรค์ความคิด เจตคติ และความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
ผู้นิเทศก์กับผู้รับการนิเทศ<br />
5. การนิเทศภายใน ควรเน้นให้เห็นความสำคัญของงานวิจัย และจะต้องพยายามหาแนวทาง<br />
ให้ครูผู้เกี่ยวข้องศึกษางานวิจัย และนำมาใช้ให้มากขึ้น<br />
6. การนิเทศภายใน ควรยึดหลักการประเมินผลการนิเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้นิเทศก์และผู้รับ<br />
การนิเทศ<br />
สรุปว่า หลักการนิเทศภายในจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้ง 3 ฝ่ายได้แก่ ผู้บริหาร<br />
ผู้นิเทศก์ และผู้รับการนิเทศ ซึ่งจะต้องยึดหลักการนิเทศภายใน คือ จะต้องเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์<br />
เป็นประชาธิปไตย ส่งเสริมความเชื่อมั่นให้แก่ครู อยู่บนรากฐานของการพัฒนาวิชาชีพมากกว่าความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีบรรยากาศเป็นกันเอง ปฏิบัติงานตามนโยบายและเป้าหมายของโรงเรียน<br />
และเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนการสอน<br />
2.5 ลักษณะการนิเทศภายใน<br />
กลิ๊คแมน (Glickman. 1985 : 254-255) ได้เสนองานนิเทศภายในโรงเรียนไว้ 5 ด้าน คือ<br />
1. การช่วยเหลือครูโดยตรง เป็นงานเกี่ยวกับการสังเกต การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ครูโดย<br />
ตรงในการปรับปรุงการสอน การช่วยเหลือครูเกี่ยวกับการเรียนการสอนภายในชั้นเรียน<br />
2. การพัฒนาหลักสูตร เป็นงานเกี่ยวกับการพิจารณา ทบทวน และปรับปรุงเนื้อหาสาระใน<br />
บทเรียน การวางแผนการเรียนการสอน การจัดวัสดุอุปกรณ์ในชั้นเรียน<br />
22<br />
3. การฝึกอบรมครูประจำการ เป็นงานบริการเกี่ยวกับการสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้<br />
แก่คณะครูในโรงเรียน เพื่อจัดหาคณะทำงานที่เหมาะสม รวมถึงการให้โอกาสแก่คณะครูในการรับรู้<br />
เกี่ยวกับการลงโทษ การสนับสนุนตามกฎ ระเบียบของโรงเรียน<br />
4. การพัฒนากลุ่ม เป็นงานเกี่ยวกับให้คณะครูได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียน<br />
การสอนในโรงเรียน การทดสอบความรู้ รวมทั้งทักษะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาวิชาชีพครูและการฝึกให้รู้จัก<br />
การทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
5. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นงานเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและ<br />
โรงเรียนอย่างเป็นระบบ โดยคณะทำงาน เพื่อนำไปสู่จุดประสงค์ในการเรียนการสอน และการมี<br />
ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของโรงเรียน<br />
สมาน อัศวภูมิ (ม.ป.ป. : 8) ได้แบ่งลักษณะของการนิเทศภายในโรงเรียนออกเป็น<br />
2 ลักษณะ ได้แก่ การนิเทศแบบเป็นทางการ หมายถึง การจัดทำโครงการและแผนปฏิบัติงานไว้<br />
ล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าจะมีการทำอะไร เมื่อไร อย่างไร นับเป็นการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาทาง<br />
วิชาการที่เกิดขึ้นกับบุคลากรส่วนใหญ่ของโรงเรียน หรือหมวดวิชาโดยส่วนรวม ในการดำเนินงาน<br />
นั้นผู้นิเทศก์ต้องพิจารณาเลือกสรรกิจกรรมการนิเทศที่ตอบสนองความต้องการ ความจำเป็น และ<br />
เป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรในแต่ละเรื่อง นำเทคนิคการนิเทศมาบรรจุลงในกิจกรรมที่นำมาใช้ให้<br />
เหมาะสมต่อไป อีกประการหนึ่ง คือ การนิเทศแบบไม่เป็นทางการจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยไม่มี<br />
โครงการเป็นการดำเนินงานอย่างกระทันหันตามโอกาส และปัญหาการดำเนินงานนั้นผู้นิเทศก์ต้อง<br />
นึกและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมในการดำเนินงานร่วมกับผู้รับการนิเทศในการแก้ปัญหา หรือพัฒนา<br />
ครูในแต่ละด้านให้เหมาะสม<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (ม.ป.ป. : 3) ได้พิจารณาแบ่ง<br />
ลักษณะของการนิเทศออกเป็น 2 ประการ คือ<br />
1. พิจารณาในแง่ผู้นิเทศก์ แบ่งเป็น 2 แบบได้แก่<br />
1.1 การนิเทศทางตรง ผู้นิเทศก์ดำเนินการโดยตรงกับครูไม่ผ่านสื่อนิเทศ เช่น การ<br />
สังเกตการสอน และการให้คำปรึกษา เป็นต้น<br />
1.2 การนิเทศทางอ้อม ผู้นิเทศก์ดำเนินการนิเทศโดยผ่านสื่อนิเทศ เช่น การใช้วิทยุ<br />
เอกสาร และเทปบันทึกเสียง เป็นต้น<br />
2. พิจารณาในแง่ของผู้รับการนิเทศ แบ่งเป็น 2 แบบได้แก่<br />
2.1 การนิเทศเป็นรายบุคคล ผู้รับการนิเทศจะอยู่กับผู้นิเทศก์ทีละคน เช่นการสังเกต<br />
การสอนของครู และการให้คำปรึกษา เป็นต้น<br />
2.2 การนิเทศเป็นกลุ่ม ผู้รับการนิเทศจะอยู่กับผู้นิเทศก์ทีละกลุ่ม เช่น การประชุม<br />
การปฐมนิเทศ และการประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น<br />
23<br />
สรุปว่า รูปแบบของการนิเทศการศึกษา แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การนิเทศการศึกษาระดับ<br />
กรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ และการนิเทศการศึกษาระดับสถานศึกษา หรือการนิเทศภายใน<br />
สถานศึกษาด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การนิเทศทางตรง การนิเทศทางอ้อม การนิเทศเป็นรายบุคคล<br />
การนิเทศเป็นกลุ่มชี้แนะให้คำแนะนำ และการให้ความช่วยเหลือแก่ครูในการปรับปรุงการสอนให้มี<br />
ประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นต้น<br />
2.6 กิจกรรมการนิเทศภายใน<br />
แฮร์ริส (Harris. 1975 : 70-80) กล่าวว่ากิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่สำคัญต่อการนิเทศ<br />
เพื่อการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสอนของผู้สอนได้ดังนี้ 1)การบรรยาย เป็นกิจกรรมที่ใช้<br />
อย่างกว้างขวาง ใช้สำหรับการถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิกทั้งที่เป็นกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ 2)การใช้<br />
สื่อประกอบการบรรยาย เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วยให้การบรรยายดีขึ้น เพราะ<br />
จะช่วยให้ครูผู้สอนได้รับประสบการณ์ด้านการสอนสูงขึ้น 3)การสังเกตการสอนในชั้นเรียน เป็นการ<br />
สังเกตการสอนที่มีระบบ ผู้สังเกตควรมีการบันทึกข้อมูลเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชั้นเรียน เพื่อนำข้อมูลมา<br />
วิเคราะห์ข้อดี และข้อบกพร่องแล้วร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไข 4)การเยี่ยมเยียน และการสาธิต<br />
เป็นกิจกรรมที่มีการกระทำเช่นเดียวกับการสังเกตการสอนในชั้นเรียน 5)การใช้เครื่องมือการทดสอบ<br />
เป็นกิจกรรมที่ใช้แบบสอบถาม แบบสำรวจ แบบแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อมูลในสถานการณ์<br />
ต่าง ๆ<br />
อาคม จันทสุนทร (ม.ป.ป. : 42) กล่าวว่า ผู้นิเทศก์งานวิชาการภายในโรงเรียน จำเป็นต้อง<br />
เลือกกิจกรรมที่ดีและเหมาะสมสำหรับผู้รับการนิเทศ เพื่อให้ผู้รับการนิเทศได้มีแนวคิด และสามารถ<br />
พัฒนากระบวนการเรียนการสอนได้เต็มความสามารถ การวางแผนงานิเทศจะต้องเป็นกระบวนการที่<br />
ผสมผสาน ระหว่างจุดประสงค์ในการจัดประสบการณ์ที่ต้องการ และจำนวนบุคลากรในกลุ่มกับ<br />
กิจกรรมที่จัดให้กลมกลืนกันมากที่สุด สิ่งที่ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงการกำหนดทรัพยากรและเวลาการ<br />
จัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน จึงจะบรรลุเป้าหมายของกิจกรรมการ<br />
นิเทศตามที่กำหนด<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 125-131) กล่าวว่า การจัดการนิเทศภายในสามารถดำเนินการได้<br />
อย่างเป็นขั้นตอน 5 ขั้น ดังนี้<br />
ขั้นที่ 1 การวางแผนการนิเทศ เริ่มจากการรับรู้สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการร่วมกัน<br />
ของบุคลากรภายในโรงเรียน จากนั้นก็นำเอาปัญหามาวิเคราะห์หาสาเหตุกำหนดจุดประสงค์ กำหนด<br />
ทางเลือกในการแก้ปัญหาและมอบหมายงานให้บุคลากรฝ่ายต่าง ๆ รับผิดชอบ<br />
ขั้นที่ 2 การให้ความรู้ก่อนดำเนินการนิเทศ อาจดำเนินการโดยบุคลากรภายในโรงเรียนที่<br />
มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจจะเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอก<br />
24<br />
ขั้นที่ 3 ดำเนินการปฏิบัติงานนิเทศการศึกษา ในขณะที่ผู้รับการนิเทศได้ลงมือปฏิบัติงาน<br />
ตามที่ได้รับความรู้มาแล้ว ผู้นิเทศก์ก็จะทำหน้าที่นิเทศการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนส่วนผู้บริหาร<br />
ก็จะคอยสนับสนุนการปฏิบัติงานนิเทศให้มีประสิทธิภาพ<br />
ขั้นที่ 4 การสร้างเสริมกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสริม<br />
กำลังใจ คือ ผู้นิเทศก์จะทำการสร้างเสริมกำลังใจแก่ผู้รับการนิเทศ และอีกผู้หนึ่งคือ ผู้บริหารซึ่ง<br />
จะต้องสร้างกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศทั้งผู้ให้และผู้รับ<br />
ขั้นที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ การดำเนินการประเมินผลผลิต กระบวนการและปัจจัย<br />
ป้อนเข้า โดยให้ความสำคัญมากที่สุดในผลผลิต กระบวนการทำงาน และปัจจัยป้อนเข้าตามลำดับ<br />
อาคม จันทสุนทร. (ม.ป.ป.. : 42-43) กล่าวว่า กิจกรรมการนิเทศมีดังต่อไปนี้ การบรรยาย<br />
การบรรยายโดยใช้สื่อประกอบ การประชุมกลุ่ม การดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ การฟังเทป วิทยุ<br />
หรือเครื่องบันทึกเสียง การจัดนิทรรศการ อุปกรณ์ และสื่อต่าง ๆ การสังเกตการสอนในชั้นเรียนการ<br />
สาธิต การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การสัมภาษณ์ทางอ้อม การอภิปราย การอ่าน การวิเคราะห์<br />
และการคาดคะเน การระดมสมอง การบันทึกวีดีทัศน์และการถ่ายภาพ การใช้เครื่องมือทดสอบ<br />
การประชุม ทัศนศึกษา การเยี่ยมเยือน การแสดงบทบาทสมมติ การเขียน การฝึกปฏิบัติจริง<br />
สรุปว่าการนิเทศภายในโรงเรียนต้องมีลักษณะเป็นกระบวนการที่เริ่มจากการสำรวจหรือ<br />
ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการของโรงเรียนครู และนักเรียนมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง<br />
เพื่อให้ข้อมูลประกอบการวางแผนและตัดสินใจกำหนดทางเลือก จากนั้นก็หาวิธีที่จะนิเทศที่ดีมาใช้ได้<br />
ตรงกับสภาพปัญหา การสร้างสื่อและเครื่องมือที่จะใช้นิเทศการปฏิบัติการนิเทศอย่างถูกต้อง และ<br />
ต่อเนื่อง ติดตามผลโดยตรง ในชั้นสุดท้ายสามารถประเมินผลการปฏิบัติงานและสรุปผลที่เกิดว่า<br />
สำเร็จหรือมีปัญหาอย่างไรหรือไม่<br />
2.7 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศภายใน<br />
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2530 : 3) ได้อธิบายไว้ว่า ผู้เกี่ยวข้องการนิเทศงาน<br />
วิชาการภายในโรงเรียน หมายถึง บุคลากรที่อยู่ภายในโรงเรียน เช่นผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยฝ่าย<br />
วิชาการ หัวหน้าหมวดวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงครูผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถ ความชำนาญและ<br />
ประสบการณ์ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งที่โรงเรียนให้คัดเลือกหรือแต่งตั้ง เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือครู<br />
ในการพัฒนาการสอนให้ดีขึ้น ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้<br />
1. ผู้ให้การนิเทศ หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาที่มีความสามารถพัฒนา ความรู้เกี่ยว<br />
กับการเรียนการสอนให้แก่ครู<br />
2. ผู้รับการนิเทศ หมายถึง ครูในโรงเรียนซึ่งรวมทั้งครูปฏิบัติการสอน ครูสนับสนุนการ<br />
สอน และครูที่ปฏิบัติงานบริหารธุรการทุกคน<br />
25<br />
3. ผู้สนับสนุนการนิเทศ หมายถึง หัวหน้าสถานศึกษา และบุคลากรภายนอก เช่น<br />
ศึกษานิเทศก์ กลุ่มโรงเรียน สำนักงานศึกษานิเทศจังหวัด และแหล่งวิทยากร<br />
2.8 บทบาทและหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในการนิเทศภายใน<br />
ในการจัดการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนจะประสบผลสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความ<br />
ร่วมมือจากบุคลากรหลายฝ่าย คือ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และ<br />
ครู - อาจารย์ ซึ่งบุคลากรดังกล่าวควรมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการนิเทศ ผู้ให้การนิเทศและ ผู้รับ<br />
การนิเทศ ตามลำดับ<br />
จากการสัมมนาของนิสิตปริญญาโท สาขาวิชานิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรปีการศึกษา<br />
2527 ได้กล่าวถึงบทบาทและหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวได้ดังต่อไปนี้<br />
ผู้บริหาร ในฐานะหัวหน้าสถานศึกษามีหน้าที่และบทบาท ดังนี้<br />
1. ส่งเสริมให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนอย่างแท้จริง<br />
2. เป็นผู้ประสานงานระหว่างผู้นิเทศก์ภายในโรงเรียนกับครู<br />
3. เป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์<br />
4. ติดตามและประเมินผลการจัดการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียน<br />
5. เป็นผู้นิเทศก์ภายในโรงเรียน<br />
6. ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้นิเทศก์ภายในโรงเรียนและครู<br />
7. ร่วมประชุมวางแผนการจัดการนิเทศภายในโรงเรียนกับผู้นิเทศก์ภายในโรงเรียนและครู<br />
ผู้นิเทศก์ภายใน ประกอบด้วย ผู้บริหาร ผู้ช่วยผู้บริหาร หัวหน้าหมวด และครูอื่นที่มีความรู้<br />
ความสามารถ มีประสบการณ์ ซึ่งผู้บริหารแต่งตั้งบุคลากรดังกล่าวมีบทบาทเป็นผู้นิเทศก์ภายในซึ่ง<br />
ทำหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />
1. ให้คำปรึกษาแก่ครูผู้สอนเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการจัดทำ<br />
สื่อการสอน<br />
2. นิเทศติดตามผลการปฏิบัติงานของครู<br />
3. ส่งเสริมให้ครูศึกษา และทำความเข้าใจหลักสูตรให้ถ่องแท้ เพื่อที่ครูจะได้จัดกิจกรรม<br />
การเรียนการสอนได้ตรงจุดมุ่งหมายของหลักสูตร<br />
4. เผยแพร่ความรู้ทางวิชาและเทคโนโลยีทางการศึกษาให้แก่ครูอยู่เสมอ<br />
5. กระตุ้นให้ครูมีความตื่นตัวอยู่เสมอในด้านวิชาการ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้ดี<br />
ยิ่งขึ้น<br />
6. ประสานงานเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านวิชาการระหว่างหมวดวิชาต่าง ๆ ภายใน<br />
โรงเรียน<br />
7. ประสานงานกับคณะกรรมการนิเทศของกลุ่มโรงเรียน<br />
26<br />
8. ร่วมประชุมวางแผนกับคณะครูในโรงเรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของ<br />
โรงเรียน<br />
ครู-อาจารย์ ในฐานะผู้รับการนิเทศจึงมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการนิเทศภายในโรงเรียนเป็น<br />
อย่างยิ่ง การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนจะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าผู้รับการนิเทศไม่รู้บทบาท<br />
หน้าที่ของตนเอง<br />
2.9 บทบาทและหน้าที่ของผู้รับการนิเทศภายใน<br />
1. ยอมรับบทบาทของผู้นิเทศก์ โดยรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ให้ความเชื่อถือ<br />
มีเหตุผลเพียงพอ ไม่ยึดถือแต่ความเชื่อของตนเองเป็นใหญ่<br />
2. ร่วมปรึกษากับผู้บริหารและผู้นิเทศก์งานภายใน ในเรื่องของการเลือกปัญหาทางการ<br />
จัดการศึกษาภายในโรงเรียน โดยแสดงความคิดเห็นและอภิปรายในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่<br />
3. ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความจริงจัง<br />
4. ให้ความร่วมมือกับผู้นิเทศก์เป็นอย่างดีในการติดตามประเมินผลและการปฏิบัติงาน<br />
5. เมื่อพบปัญหาในการปฏิบัติงาน ควรร่วมปรึกษากับครูอื่น ๆ และผู้นิเทศก์ เพื่อหาทาง<br />
แก้ไข (นิสิตปริญญาโท สาขานิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร. 2527 : 37-38)<br />
ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการนิเทศงานวิชาการภายในโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นผู้ให้การนิเทศ<br />
ผู้รับการนิเทศ และผู้สนับสนุนการนิเทศต่างก็มีหน้าที่และบทบาท และจำเป็นต้องศึกษาและฝึกฝน<br />
เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานด้านการนิเทศภายในโรงเรียนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และผู้เกี่ยวข้อง<br />
ในทุกหน้าที่ต้องรับผิดชอบงานตามความสามารถเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโรงเรียน<br />
2.10 ความรู้และทักษะของผู้นิเทศก์ภายใน<br />
ในการนิเทศภายในสถานศึกษา บุคคลผู้ทำหน้าที่นิเทศควรจะมีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจาก<br />
บุคคลอื่น โดยคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่นิเทศภายในสถานศึกษาควรมีดังนี้<br />
1. มีความรู้ และมีความเข้าใจตัวนักเรียนและนักศึกษาเป็นอย่างดี<br />
2. มีความรู้ และมีความเข้าใจวิธีให้ความรู้แก่นักเรียนและนักศึกษาเป็นอย่างดี<br />
3. มีความรู้ และมีความเข้าใจสภาพสังคมของสถานศึกษา ครู นักเรียนและนักศึกษาที่ตน<br />
รับหน้าที่ไปนิเทศเป็นอย่างดี<br />
4. มีความรับผิดชอบต่องานนิเทศการศึกษา ซึ่งมีความมุ่งหมายสำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้<br />
อย่างกว้างขวาง และอย่างถ่องแท้ในหมู่นักเรียนและนักศึกษา<br />
5. ใช้วิธีนิเทศด้วยเหตุผล และสติปัญญาที่ปฏิบัติจริงได้ และผู้ทำการนิเทศยังควรเป็นผู้ที่<br />
มีลักษณะตามแนวความคิดของบุคคลต่าง ๆ คือ ทักษะความเป็นผู้นำ ทักษะในด้านมนุษย์สัมพันธ์<br />
ทักษะในด้านกระบวนการหมู่พวก และทักษะในด้านการประเมินผล<br />
27<br />
นอกจากนั้น ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นิเทศก์ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในเชิงวิชาการสูง ความ<br />
เข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมองค์การ และมีมนุษยสัมพันธ์ ดังนั้นผู้นิเทศก์จึงควรเป็นผู้ที่มี<br />
ทักษะ 4 ประการ ได้แก่ ทักษะเชิงธุรการ ทักษะเชิงวิชาการ ทักษะเชิงมนุษย์ และทักษะเชิงบริหาร<br />
(หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา, 2530)<br />
ทักษะเชิงธุรการ ผู้นิเทศก์ภายในจะต้องเก่งงานจัดการทางธุรการเป็นพื้นฐานไว้ก่อนงาน<br />
ธุรการคือ การทำทุกสิ่งให้มีความถูกต้อง รัดกุม ถูกแบบแผน มีหลักฐานทำแล้วมีระเบียบ เช่น จะจัด<br />
อบรมก็ต้องรู้จัก จัดพิมพ์โครงการ การบันทึกเสนอขออนุญาต ผู้บังคับบัญชาให้จัดดำเนินการเป็น<br />
หลักฐานถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอน การแต่งตั้งคนปฏิบัติงานก็ต้องจัดทำคำสั่งให้ถูกต้องตามระเบียบ<br />
งานสารบรรณการทำหนังสือราชการเชิญคนเป็นวิทยากรการแจ้งผู้เข้าอบรมการเบิกจ่ายเงิน การเขียน<br />
รายงานผล สิ่งเหล่านี้เป็นงานธุรการซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้การทำงานเกิดความรัดกุมถูกต้องและมี<br />
ระเบียบ คนซึ่งเป็นผู้นิเทศก์จึงต้องเรียนรู้และสร้างทักษะพวกนี้ ให้เกิดขึ้นในตนถึงแม้ว่าทักษะเชิง<br />
ธุรการจะไม่ใช่ทักษะที่ส่งผลต่อเนื้องาน แต่ก็มีความสำคัญและการเรียนรู้ทักษะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก<br />
ไม่ต้องใช้ความคิดมากเพียงแต่ทำตามระเบียบแบบแผนที่มีอยู่บ่อย ๆ ก็จะเก่งไปเอง นอกจากทักษะ<br />
ด้านงานหนังสือราชการตามระเบียบแล้ว ยังหมายถึง งานธุรการที่เกี่ยวกับการจัดพิมพ์ อัดสำเนา การ<br />
ทำเอกสาร การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในงานธุรการ รวมทั้งความคล่องตัวที่จะรู้ในขั้นตอน<br />
การปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน เช่น รู้ว่าการพาครูหรือนักเรียนไปศึกษาดูงานนอกสถานศึกษาจะทำ<br />
อย่างไรบ้าง การจัดอบรมจะทำอย่างไร มีงานและขั้นตอนอะไรบ้าง การดำเนินการเพื่อให้มาซึ่งวัสดุ<br />
อุปกรณ์ของหมวดจะต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นต้น ผู้นิเทศก์ซึ่งมีทักษะด้านนี้จึงนับว่าเป็นผู้มีความ<br />
สามารถที่จะทำงานได้รัดกุมมีระเบียบแบบแผนและจะทำให้งานคล่องตัวขึ้น<br />
ทักษะเชิงวิชาการ ได้แก่ ความเก่ง ความสามารถในเรื่องที่จะให้ครูจัดการเรียนการสอนหรือ<br />
นักเรียนให้รับการศึกษาให้เป็นไปตามหลักสูตร ผู้นิเทศก์จึงต้องมีความสามารถที่จะจัดการในเรื่อง<br />
ของหลักสูตร คู่มือครู แผนการสอน แบบเรียนอุปกรณ์เครื่องมือและสื่อการเรียนการสอน รวมทั้งเรื่อง<br />
ของเนื้อหาวิชาและการประเมินผลผู้มีทักษะจะต้องเป็นผู้ที่<br />
1. มีความรอบรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ลึกซึ้งในเรื่องนี้<br />
2. จัดดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ได้คล่องตัวและถูกต้อง<br />
ดังนั้น ผู้นิเทศก์จึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนเรื่องเหล่านี้ให้มาก เพราะเป็นเนื้องานนิเทศโดยตรง<br />
ผู้นิเทศก์จะต้องมีความสามารถในวงกว้างและครอบคลุมงานวิชาการดังกล่าวแล้ว<br />
ทักษะเชิงมนุษย์ คือ ความสามารถที่ผู้นิเทศก์จะทำตนเองให้เป็นคนดี คนน่านับถือและ<br />
ศรัทธาคนที่บุคลิกภาพส่วนตัวดี และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จูงใจคนให้<br />
ทำงานได้ผล มีมนุษยสัมพันธ์ การทำงานกลุ่ม หรือสามารถทำให้คนใช้ศักยภาพการทำงาน จนเกิด<br />
ประโยชน์สูงสุด รวมทั้งทำบรรยากาศของการทำงานร่วมกันของบุคคลในหน่วยงานเป็นไปในทางที่<br />
28<br />
น่าชื่นชมยินดี คนร่วมมือร่วมใจกันทำงานดี เราอาจจำแนกเป็น ทักษะในการเป็นผู้นำ ทักษะในด้าน<br />
มนุษยสัมพันธ์ ทักษะในการจูงใจ ทักษะในการทำงานกลุ่ม ทักษะในการสื่อข้อความ<br />
ผู้นิเทศก์ที่มีทักษะเชิงมนุษย์จะสามารถในการนำบุคลากรผู้รับการนิเทศให้ทำงานได้ผล และ<br />
บรรยากาศการทำงานหรือกระบวนการทำงานก็เป็นไปในทางบวกน่ายินดี และร่วมมือร่วมใจกัน<br />
ทักษะในด้านนี้นับว่าสำคัญมาก และฝึกฝนสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทั้งในด้านความรู้สึก จิตใจ<br />
และบุคลิกภาพต้องเกิดแนวการปรับตัวและปรับพฤติกรรมให้ได้ผลซึ่งยากกว่าการเรียนรู้ในทักษะเชิง<br />
ธุรการและวิชาการที่ได้กล่าวมาแล้ว<br />
ทักษะเชิงบริหาร คือ ความสามารถที่จะดำเนินการในหน่วยงานของตน ในลักษณะกว้าง<br />
ครอบคลุม และมีระบบ คือ ความสามารถที่จะจัดระบบหน่วยงานที่ผู้นิเทศก์รับผิดชอบนิเทศอยู่นั้นให้<br />
ดีดำเนินงานของหน่วยงานไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หัวหน้าคณะวิชาบริหารคณะวิชาของตนให้<br />
ได้ผลดีทักษะเชิงบริหาร ประกอบด้วยความสามารถในด้านต่าง ๆ คือ<br />
1. ความสามารถในการวางแผน มองภาพรวมของงานที่จะปฏิบัติล่างหน้าอย่างมีระบบรัดกุม<br />
2. ความสามารถในการจัดองค์การ คือ สามารถจัดสายปฏิบัติงานในหน่วยงาน ของตนได้<br />
เหมาะสม จัดคนเข้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดแบ่งงาน กำหนดหน้าที่ความสัมพันธ์ในงาน<br />
ต่าง ๆ เป็นไปได้ดี<br />
3. ความสามารถในการประสานงานและอำนวยการคือ การจัดให้คนในองค์การดำเนินงาน<br />
ตามหน้าที่และแผนงานอย่างได้ผล<br />
4. ความสามารถในการประเมิน ติดตามผลงานของหน่วยงานว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์<br />
และแผนงานหรือไม่เพียงใด<br />
ผู้นิเทศก์ซึ่งมีทักษะในด้านนี้ จะสามารถทำให้หน่วยงาน และองค์การที่ตนเองเป็นผู้นิเทศก์<br />
นั้นทำงานได้ดี และทำให้มองภาพการทำงานที่มีระบบ เห็นงานครอบคลุมและดำเนินงานอย่างมี<br />
หลักการได้ผลชัดเจน<br />
สรุปว่าความรู้และทักษะของผู้นิเทศก์ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะส่งผลให้ผู้รับการ<br />
นิเทศให้ความร่วมมือร่วมใจ เชื่อถือศรัทธา และนำข้อนิเทศไปปฏิบัติให้เกิดผลตามความมุ่งหมาย<br />
อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
2.11 ขอบเขตของงานนิเทศภายใน<br />
แฮร์ริส (Harris. 1975 : 13-14) เสนอขอบเขตของการนิเทศภายในไว้ดังนี้<br />
1. การพัฒนาหลักสูตร เป็นงานเกี่ยวกับการออกแบบหลักสูตรหรือ ปรับปรุงหลักสูตรที่<br />
จะนำมาสอนให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงบุคลากร การจัดทำมาตรฐานทางวิชาการ การพัฒนาแผนการ<br />
สอนและบทเรียน การจัดหาเอกสารและบรรจุหน่วยกิตวิชาต่าง ๆ<br />
29<br />
2. การจัดระบบการสอน เป็นการการวางแผน วิธีการสอน การจัดระบบการเรียนการสอน<br />
ให้เหมาะสมกับการนำหลักสูตรไปใช้ การแบ่งกลุ่มนักเรียน การจัดตารางสอน<br />
3. การคัดเลือกบุคลากรผู้สอน เป็นการเลือกสรรครูผู้สอนให้เหมาะกับรายวิชา การสรรหา<br />
การคัดเลือก และการเก็บทะเบียนเกี่ยวกับตัวบุคลากร<br />
4. การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นการออกแบบ และจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้<br />
แก่ผู้สอน ระบบการติดต่อสื่อสาร การจัดวางแผนอาคารเรียนที่ถูกต้อง<br />
5. การจัดวัสดุอุปกรณ์การสอน การตรวจและเลือกวัสดุ / อุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ให้เพียงพอ<br />
ส่งเสริมการผลิตอุปกรณ์ และสื่อการสอน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน<br />
6. การจัดอบรมครูประจำการ เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ การจัดอบรมสัมมนา<br />
ทางวิชาการ ส่งเสริมความก้าวหน้าเพื่อประสิทธิภาพทางด้านวิชาการ<br />
7. การปฐมนิเทศครูใหม่ การให้ความรู้และให้คำปรึกษา เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่จำเป็นต่อ<br />
การปฏิบัติงาน จัดอบรมสัมมนาทางวิชาการเพื่อลดอุปสรรคและสามารถทำงานให้ได้ผลสำเร็จ<br />
8. การจัดบริการด้านอื่น ๆ การสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน การจัดบริการพิเศษเกี่ยว<br />
กับการสอนรวมทั้งบริการต่าง ๆ จัดให้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารและเผยแพร่ผลงาน<br />
9. การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน การแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวทางการศึกษาให้ชุมชน<br />
ทราบ แสวงหาความช่วยเหลือจากชุมชน ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสถานศึกษา<br />
กับชุมชน<br />
10. การประเมินผล การวางแผนจัดระบบผลการปฏิบัติงาน ความก้าวหน้าทางการเรียน<br />
การสอน การประเมินผลงานโดยการนิเทศการศึกษาภายในและการรายงานผลการดำเนินงานทั้ง<br />
หมดของสถานศึกษา<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 34-35) กล่าวว่า งานบริหารการศึกษามีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ที่<br />
คุณภาพของนักเรียนซึ่งเป็นผลผลิตของการจัดการศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่มีคุณภาพนั้น<br />
ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีงาน 2 อย่าง คือ งานบริหารและงานนิเทศสำหรับงานนิเทศนั้นยังจำแนกออก<br />
เป็น 2 ลักษณะ คือ งานนิเทศทั่วไป ได้แก่ งานที่เป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถในการ<br />
ปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การเรียนการสอน เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถในการจัดห้อง<br />
วิชาการ การพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถในการให้บริการนักเรียน ความสามารถในการทำงาน<br />
ร่วมกับชุมชน ฯลฯ เป็นต้น และงานนิเทศการสอน เป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ<br />
เกี่ยวกับหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การใช้สื่อและนวัตกรรมทางการศึกษา การวัดและ<br />
ประเมินผล ซึ่งงานเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการสอนอันเป็นงานหลักของโรงเรียนนั่นเอง<br />
30<br />
จากแนวคิดของนักการศึกษาที่ได้ให้ขอบเขตของการนิเทศภายในไว้ พอจะสรุปเป็นตารางได้<br />
ดังนี้<br />
ตารางที่ 1 สรุปแนวคิดขอบเขตของการนิเทศภายใน<br />
ลำดับ ขอบเขตการนิเทศภายใน<br />
สงัด<br />
อุทรานันท์<br />
กิติมา<br />
ปรีดีดิลก<br />
แฮร์ริส<br />
(Harris)<br />
กลิ๊คแมน<br />
(Glickman)<br />
1 ด้านหลักสูตร <br />
2 ด้านการเรียนการสอน <br />
3 ด้านสื่อการเรียนการสอน <br />
4 ด้านการพัฒนาบุคลากร <br />
5 ด้านการวัดและประเมินผล <br />
จากขอบเขตของงานนิเทศภายในตามที่นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึง และสภาพปัญหา<br />
เกี่ยวกับคุณภาพด้านอาชีวศึกษาศึกษา ของกรมอาชีวศึกษา ผู้วิจัยจึงได้กำหนดขอบเขตของงานนิเทศ<br />
ภายใน เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการของครูช่างอุตสาหกรรม ใน<br />
วิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตร ด้าน<br />
การเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการวัดและประเมินผล<br />
2.11.1 งานหลักสูตร<br />
ความหมายของหลักสูตร<br />
กู๊ด (Good. 1973 : 157) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ 3 นัย ดังนี้<br />
1. หลักสูตร หมายถึง หัวข้อวิชาการต่าง ๆ ที่จัดหมวดหมู่เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก<br />
ให้เหมาะสมกับระดับความเจริญงอกงามและสติปัญญาของเด็ก<br />
2. หลักสูตร หมายถึง ประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการศึกษา<br />
3. หลักสูตร หมายถึง เค้าโครงการศึกษาที่ทางโรงเรียนวางไว้อย่างกว้าง ๆ เพื่อจัดสอนให้<br />
เด็กในแต่ละขั้นแต่ละตอน<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 60) ได้กล่าวว่า หลักสูตรหมายถึง เอกสารที่กำหนดโครงการ<br />
ศึกษาของผู้สอน โดยกำหนดความมุ่งหมายของการศึกษาเนื้อหาของความรู้และประสบการณ์ ที่จะจัด<br />
ให้กับผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอน และการประเมินผล<br />
เปรื่อง กิจรัตนี (2536 : 13) ได้กล่าวว่า หลักสูตรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการศึกษา<br />
เพราะหลักสูตรจัดเป็นแนวทางและเกณฑ์มาตรฐานในการจัดการศึกษา เป็นแนวทางและเป็นแผนการ<br />
31<br />
ปฏิบัติงานของครูผู้สอนและผู้บริหาร เพราะหลักสูตรจะระบุจุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ เวลาเรียน และ<br />
การประเมินผลไว้เป็นแนวทางกว้าง ๆ อยู่แล้ว<br />
พงศ์ หรดาล (2531 : 44) ได้กล่าวว่า หลักสูตรหมายถึง มวลประสบการณ์ต่าง ๆ จัดให้ผู้<br />
เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อจะนำประสบการณ์นั้นไปใช้ ให้เป็น<br />
ประโยชน์ต่อไป<br />
อำนาจ จันทร์แป้น (2532 : 3) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ดังนี้<br />
1. หลักสูตรในฐานะที่เป็นวิชาและเนื้อหา หลักสูตรจึงเป็นวิชา และเนื้อหาวิชาที่ครูจะ<br />
ต้องสอนนักเรียนและนักเรียนจะต้องเรียน<br />
2. หลักสูตรในฐานะที่เป็นประสบการณ์ หลักสูตรจึงหมายถึง ประสบการณ์ทั้งมวลที่<br />
ผู้เรียนได้รับภายใต้การแนะแนวของโรงเรียนทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน<br />
3. หลักสูตรในฐานะที่เป็นโอกาสของการเรียนร ู้ หลักสูตรที่สมบูรณ์ควรจะประกอบด้วย<br />
แผนการหรือ เจตนารมย์ ซึ่งจุดเน้นจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่จุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ แต่ยังรวมถึง<br />
องค์ประกอบอื่น ๆ ของหลักสูตร อันได้แก่ การนำหลักสูตรไปใช้ หรือการสอนและการประเมินผล<br />
4. หลักสูตรเป็นศาสตร์สาขาหนึ่ง ซึ่งการนำหลักสูตรไปใช้ต้องดำเนินเป็นกระบวนการ<br />
โดยตระหนักในความสำคัญของผู้เรียน และให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นให้มากที่สุด<br />
มนัส สายโกสุม (2541 : 12) ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่า หมายถึงการจัด<br />
ประสบการณ์ต่าง ๆ ขึ้นในโรงเรียน โยครูและผู้บริหารโรงเรียน เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้<br />
สูงขึ้น โดยใช้เอกสารหลักสูตรเป็นแม่บท การนำหลักสูตรไปใช้จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของโรงเรียน ผู้<br />
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนจึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องทราบ และให้ความสำคัญในการนำหลักสูตรไปใช้<br />
เพื่อที่จะนำหลักสูตรไปแปลงเป็นการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล<br />
จากความหมายดังกล่าว สรุปว่า หลักสูตร หมายถึง แผนการจัดประสบการณ์เกี่ยวกับการ<br />
ศึกษาของผู้สอนให้แก่ผู้เรียน ทั้งภายในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ซึ่งประกอบไปด้วย การกำหนด<br />
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ เวลาเรียนและประเมินผล ซึ่งการจัดประสบการณ์เหล่านี้จะจัด<br />
ให้แตกต่างกันตาม ระดับความสนใจของนักเรียนแต่ละคน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระราช<br />
บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ<br />
ลักษณะงานหลักสูตร<br />
พงศ์ หรดาล (2531 : 43-44) ครูผู้สอนวิชาอุตสาหกรรมศึกษามีภาระกิจค่อนข้างมาก<br />
นอกจากต้องทำหน้าที่สอนแล้วยังต้องเป็นครูแนะแนวในวิชาชีพ และต้องศึกษาความก้าวหน้าของ<br />
เทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพราะงานทางด้านอุตสาหกรรมมีความเจริญอย่างรวดเร็ว ครูผู้สอนจึงต้องมี<br />
การวิเคราะห์หลักสูตร และวางแผนการเรียนการสอนเพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่<br />
ตลอดเวลา ครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่คุ้นเคยและมีประสบการณ์จึงจะสามารถวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดี คือ<br />
32<br />
ครูจะต้องทราบว่าเป็นหลักสูตรระดับใด มีจุดมุ่งหมายอย่างไร เนื้อหาควรจะจัดอย่างไร จะใช้ยุทธวิธี<br />
การสอนชนิดใด สิ่งเหล่านี้ครูผู้สอนจะต้องมีการวางแผน เพื่อจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียน<br />
การสอน<br />
วิชัย แหวนเพชร (2530 : 158) กล่าวว่า ในการศึกษาหลักสูตร ครูผู้สอนควรทำความเข้าใจ<br />
หลักสูตรเสียก่อนที่จะมีการวิเคราะห์เพราะหลักสูตรนั้นถือเป็นว่ากิจกรรมหรือประสบการณ์ทั้งหลาย<br />
ที่โรงเรียนจัดให้ผู้เรียนครูผู้สอนจะต้องผ่านกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ไม่เช่นนั้น<br />
จะทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุจุดประสงค์ของหลักสูตรที่ได้วางไว้ เพื่อให้การเรียนการสอน<br />
สอดคล้องกับหลักสูตร ครูผู้สอนจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจกับหลักสูตรเสียก่อน ดังมีขั้นตอนดัง<br />
ต่อไป<br />
1. ศึกษาองค์ประกอบของหลักสูตร หลักสูตรจะมีส่วนประกอบใหญ่ ๆ 4 ส่วน คือ<br />
1.1 วัตถุประสงค์<br />
1.2 เนื้อหาที่ได้คัดเลือกและจัดระเบียบไว้อย่างเหมาะสม<br />
1.3 มีการจัดการเรียนและบริหารหลักสูตร<br />
1.4 คำแนะนำในการประเมินผล<br />
2. ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของหลักสูตร เช่น จำนวนหน่วยกิต ระดับชั้นของผู้เรียน<br />
เป็นต้น ในแต่ระดับการศึกษาจะกำหนดจุดมุ่งหมาย รายละเอียดของเนื้อหาวิชาแตกต่างกันออกไป<br />
สรุปว่า งานหลักสูตร ผู้บริหารจะต้องส่งเสริม สนับสนุน ชี้แจง แนะนำ แก่ครูเกี่ยวกับเรื่อง<br />
ทำความเข้าใจกับหลักสูตร การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร การศึกษารายละเอียดต่าง ๆ<br />
ของหลักสูตร การจัดเตรียมความพร้อมของบุคลากร สถานที่ และการดำเนินการสอนให้ตรงจุด<br />
ประสงค์ของหลักสูตร เป็นต้น<br />
2.11.2 งานการเรียนการสอน<br />
ความหมายของงานการเรียนการสอน<br />
แฮร์ริส (Harris. 1975 : 13) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนว่า หมายถึง การนำ<br />
หลักสูตรที่วางไว้มาใช้ ได้แก่ การจัดกลุ่มนักเรียน การจัดชั้นเรียน การจัดตารางสอน การจัดครูประจำ<br />
วิชา ผลของการจัดการเรียนการสอนจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นความสำเร็จในการดำเนินงานของโรงเรียน<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 6) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอน เป็นการเน้นการจัดความรู้<br />
และคุณสมบัติอื่นที่ต้องการให้แกผู้เรียนอย่างถูกต้อง เหมาะสม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนทั้งภาค<br />
ทฤษฎีและปฏิบัติ เนื้อหาที่สอนยืดหยุ่นตามเหตุการณ์ สภาพท้องถิ่นและความสนใจของผู้เรียน<br />
บุญชม ศรีสะอาด (2535 : 1-2) กล่าวว่าการเรียนการสอนต้องอาศัยการสอน ซึ่งเป็นกิจกรรม<br />
ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ส่วนการเรียนหมายถึง การจัดดำเนินการของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิด<br />
การเรียนรู้ โดยที่ผู้เรียนจะต้องทำกิจกรรมด้วยตนเอง<br />
33<br />
สงัด อุทรานันท์ (2530 : 238) ได้ให้ความหมายของงานการเรียนการสอนว่า หมายถึง การ<br />
จัดองค์ประกอบของการเรียนการสอนให้มีความสัมพันธ์กัน เพื่อสะดวกต่อการนำไปสู่จุดหมายปลาย<br />
ทางของการเรียนการสอนที่กำหนดไว้<br />
ในขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534 ข : 19) ได้ชี้จุด<br />
เน้นในการจัดการเรียนการสอนที่เอื้อต่อหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง<br />
พ.ศ. 2533) ดังนี้<br />
1. ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ<br />
2. การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการจัดการเรียนการสอนที่<br />
หลากหลายโดยเน้นกระบวนการเรียนรู้<br />
3. ครูต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การสอน และเลือกกระบวนการสอนที่เหมาะสมสอดคล้อง<br />
กับจุดประสงค์การเรียนรู้<br />
4. ครูควรคิด ค้นคว้า และแสวงหาแนวทางวิธีการใหม่ ๆ มาใช้จัดการเรียนการสอน<br />
5. ทักษะกระบวนการเรียนต่าง ๆ เน้นสิ่งที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัย และสามารถ<br />
นำไปเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ต่อไป<br />
วิโรจน์ ศรีโภคา (2536 : 406) ได้กล่าวว่า การเรียนการสอนเป็นกิจกรรมที่ครู และเด็กร่วม<br />
กันทำ ถ้าจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือการเรียน คือ กิจกรรมที่เด็กทำและการสอน คือ กิจกรรมที่ครูทำ<br />
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งสองอย่างต้องทำไปพร้อม ๆ กัน จึงจะเรียกว่าการเรียนการสอน<br />
พงษ์ศักดิ์ อินทรามะ (2536 : 25) ที่กล่าวไว้ว่า การสอนคือ การจัดให้เกิดการเรียนรู้ตาม<br />
วัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ การสอนเป็นพฤติกรรมของผู้สอน การเรียนเป็นพฤติกรรม<br />
ของผู้เรียน การเรียนอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่มีการสอนก็ได้ และการสอนอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนก็<br />
ได้<br />
สรุปว่า งานการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์ในการเรียนรู้ของครูให้<br />
แก่ผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามหลักสูตร เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการไปตามเป้าหมายของหลัก<br />
สูตร และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเนื้อหาที่สอนยืดหยุ่นตามเหตุการณ์<br />
สภาพท้องถิ่นและความสนใจของผู้เรียน<br />
ลักษณะงานการเรียนการสอน<br />
การนำเอาวิธีการสอนเชิงระบบมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน เป็นการช่วยให้<br />
ระบบการเรียนการสอนของครู-อาจารย์ ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าองค์ประกอบของระบบมี<br />
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ถ้าหากองค์ประกอบส่วนใดมีการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้องค์ประกอบ<br />
ส่วนอื่นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงนี้จึงทำให้เกิดความใหม่อยู่เสมอ ด้วยเหตุที่ว่า การ<br />
สอนเชิงระบบนี้เป็นวิธีคล้ายกับวิธีสอนสืบสวนสอบสวนทางวิทยาศาสตร์จำต้องมีการวิเคราะห์<br />
34<br />
คัดเลือกหายุทธวิธีใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนที่จะเป็นตัวช่วยในการเตรียมหรือวางแผน เพื่อให้<br />
การเรียนการสอนมีคุณภาพและให้บรรลุจุดประสงค์ตามที่วางไว้ องค์ประกอบที่สำคัญที่จะใช้สำหรับ<br />
การวางแผนเพื่อการเรียนการสอนอุตสาหกรรมศึกษา คือ<br />
1. วิเคราะห์ขอบเขตและข้อจำกัดของแต่ละโปรแกรมการเรียนการสอน<br />
2. พิจารณาเนื้อหา<br />
3. กำหนดจุดประสงค์<br />
4. เทคนิคการสร้างบทเรียน<br />
5. เทคนิควิธีการสอน<br />
6. เทคนิคการทำใบช่วยสอน<br />
7. เทคนิคการทำโครงการสอนและแผนการสอน<br />
8. เทคนิคการเลือกสื่อการสอน<br />
9. เทคนิคการวัดผลและประเมินผล<br />
พงศ์ หรดาล (2531 : 17) ถ้าครู-อาจารย์นำเอาวิธีการสอนเชิงระบบไปใช้จะทำให้การเรียน<br />
การสอน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือ วิธีการนี้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ตลอดเวลา เพื่อให้การเรียน<br />
การสอนทันต่อความต้องการของสังคม ตลาดแรงงาน และเทคโนโลยีได้ตามต้องการในสภาพการ<br />
เรียนการสอนอาชีวศึกษานั้น ผู้บริหารควรที่จะพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างจากการเรียนในห้องเรียน<br />
โดยทั่ว ๆ ไป เมื่อมาพิจารณาดูแล้วตัวแปรทีสำคัญที่ผู้บริหารควรที่จะต้องนำมาคิดและหาทางช่วย<br />
เหลือ เพื่อให้การเรียนการสอนอาชีวศึกษามีประสิทธิภาพที่ดีจะประกอบไปด้วย 3 ลักษณะ<br />
1. สภาพห้องเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง และโรงฝึกงาน เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้<br />
การเรียนได้ผลดีหรือด้วยกว่าที่ต้องการได้ การจัดวางแผนผังจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะ<br />
ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง หรือโรงฝึกงาน จะต้องเป็นแหล่งฝึกอบรมนักเรียนจำนวนมาก และ<br />
มีการประกอบกิจกรรมอยู่ภายในนั้นเป็นเวลานานหลาย ๆ ชั่งโมงในแต่ละวัน ฉะนั้น จึงจำเป็นที่<br />
จะต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายเป็นสำคัญ เช่น การถ่ายเทของอากาศ การจัดสภาพที่นั่ง และบริเวณ<br />
ปฏิบัติงาน แสงสว่าง และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นต้น<br />
2. เครื่องมือ อุปกรณ์ และวัสดุฝึก เครื่องมือเหล่านี้เป็นอุปกรณ์อันสำคัญที่จำเป็นจะต้องใช้<br />
ในการปฏิบัติงาน ผู้เรียนจำเป็นจะต้องใช้เป็นประจำเพื่อให้เกิดทักษะและความชำนาญ การเรียนการ<br />
สอนและเสียเวลาไปโดยใช่เหตุได้ ถ้าเกิดความบกพร่องในการเตรียมเครื่องมือ ความล่าช้าในการจ่าย<br />
เครื่องมือ โดยเฉพาะยิ่งผู้เรียนมีจำนวนมากด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าของเวลาได้<br />
3. ผู้สอน ผู้สอนที่เตรียมการสอนดี มีบันทึกการสอนเป็นแผนงานในการดำเนินการสอน<br />
จะทำให้ผู้สอนมีความสามารถที่จะทำการสอนอย่างมีประสิทธิภาพได้มาก เพราะมีลำดับขั้นตอน<br />
การสอนตามกำหนดเวลาไว้พอเหมาะ ผู้สอนจะมีความคล่องตัวและรู้วัตถุประสงค์ มีความพร้อม<br />
35<br />
ทุกด้านที่จะทำให้เกิดการเรียนโดยสมบูรณ์ จะเป็นการช่วยให้สภาพการเรียนดีขึ้นมาก ผลสำเร็จใน<br />
การเรียนก็ย่อมจะเกิดกับผู้เรียนอย่างเต็มที่ (พงศ์ หรดาล. 2531 : 107-108)<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 6) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนที่ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติ ได้แก่<br />
การจัดแผนการเรียน การจัดตารางสอน การจัดชั้นเรียน การจัดครูเข้าสอน การจัดแบบเรียน การจัด<br />
ห้องสมุดและการจัดทำคู่มือครู<br />
สรุปว่า งานการเรียนการสอน ผู้บริหารจะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ครูในด้านต่าง ๆ ที่<br />
เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เช่น มีการวางแผนเกี่ยวกับการเรียนการสอน การส่งเสริมพัฒนา สภาพ<br />
ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ โรงฝึกงาน เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์วัสดุฝึก และการพัฒนาการสอน<br />
ของครู เป็นต้น<br />
2.11.3 งานสื่อการเรียนการสอน<br />
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน<br />
กิดานันท์ มลิทอง (2531 : 76) กล่าวว่าสื่อการสอนหมายถึง สิ่งที่ช่วยนำและถ่ายทอด<br />
ความรู้จากครูผู้สอน หรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์<br />
การเรียนที่ตั้งไว้<br />
พงศ์ หรดาล (2531 : 195) กล่าวว่า สื่อการเรียนการสอน คือตัวกลางที่ช่วยให้การนำความรู้<br />
จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ตามต้องการ<br />
ของครูผู้สอน<br />
วนดิ า จึงประสิทธ ิ์ (2532 : 7) กล่าวว่า สอื่ การสอน หมายถึง สิ่งที่นำความรู้ไปสู่ผู้เรียน อยู่<br />
ในรูปของสิ่งพิมพ์หรือไม่ใช่สิ่งพิมพ์ก็ได้สื่อการสอนที่ไม่ใช่สิ่งพิมพ์ก็คือ สื่อประเภทโสตทัศนูปกรณ์<br />
หมายรวมถึงวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์ และวิธีการทางโสตทัศนศึกษา<br />
สรุปว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง สิ่งที่ใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ<br />
และเจตคติ จากผู้สอนไปยังผู้เรียนอาจจะเป็นสิ่งพิมพ์หรือไม่ใช่สิ่งพิมพ์ก็ได้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้<br />
ตามวัตถุประสงค์<br />
ประเภทของสื่อการเรียนการสอน<br />
สื่อการเรียนการสอนประกอบด้วยอุปกรณ์ เครื่องมือ เอกสารตำรา แหล่งวิทยากร<br />
ตลอดจน นวัตกรรมต่าง ๆ อย่างสื่อการสอนในวิชาอุตสาหกรรมศึกษา ได้แก่<br />
1. สถานประกอบการ เช่น การนำนักเรียนเยี่ยมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็น<br />
ประสบการณ์ที่ดีกว่าการบอก อธิบาย ใช้ภาพ หรือแผนภูมิ<br />
2. เครื่องบันทึกเสียง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่ช่วยให้นักเรียนได้ฟังทบทวนหรือ<br />
บทเรียนประกอบภาพ<br />
36<br />
3. ของจริงและของตัวอย่าง ครูจะต้องจัดหามาให้เรียนรู้จากของจริง บางครั้งครูไม่<br />
สามารถนำสิ่งนั้นมาได้ก็เพียงเอาของตัวอย่างก็ได้<br />
4. หุ่นจำลอง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีค่าในวิชาอุตสาหกรรมศึกษาผู้เรียนจะเห็นสิ่ง<br />
ที่เหมือนของจริง หุ่นจำลองบางชนิดย่อส่วนให้เล็กลง เช่น บ้าน รถยนต์ หุ่นจำลอง บางชนิดก็ขยาย<br />
ให้ใหญ่ขึ้น เช่น คอนเดนเซอร์ หลอดไฟ เป็นต้น ลักษณะของหุ่นจำลองที่ดีควรมีลักษณะดังนี้<br />
1.1 เป็นรูปสามมิติ จับต้องได้ และบางชนิดเคลื่อนไหวได้<br />
1.2 มีขนาดตามสัดส่วนไม่ว่าจะย่อหรือขยายส่วน<br />
1.3 หุ่นจำลองสามารถทำงานได ้ เชน่ เดยี วกบั ของจรงิ ในกรณที ตี่ อ้ งใชส้ อื่ การเรยี นรู้<br />
ร่วมกัน<br />
4.4 ถอดชิ้นส่วนประกอบและแยกออกจากกันได้ เพื่อศึกษาระบบการทำงานภายใน<br />
ได้<br />
4.5 การสร้างหุ่นจำลอง เป็นงานที่นักเรียนช่วยกันทำหรือ ต่างคนต่างทำก็ได้ หรือ<br />
ทำให้การเรียนรู้ในเนื้อหาดีขึ้น<br />
5. แผนภูมิแสดงขั้นตอนในการทำงาน จะมีลักษณะเป็นภาพและเส้นเชื่อมโยงประกอบ<br />
ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเป็นลำดับขั้น เช่น ลำดับขั้นของการเชื่อมโลหะแผ่นด้วยแก๊ส เป็นต้น<br />
6. โทรทัศน์เพื่อการศึกษา ประกอบไปด้วยโทรทัศน์วงจรปิด เทปโทรทัศน์ แต่สื่อ<br />
ประเภทนี้จะต้องลงทุนสูงเหมาะสมกับโรงเรียนขนาดใหญ่มากกว่าโรงเรียนขนาดเล็ก<br />
7. ภาพยนตร์ ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้อย่างแพร่หลาย ครูจะสามารถยืมจากสถาบันหรือ<br />
องค์การ ห้างร้าน เนื้อหาที่ควรเรียนรู้ร่วมกันเป็นอย่างดี ได้แก่ เรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน<br />
8. สื่อการเรียนการสอนอื่น ๆ ได้แก่ ฟิล์มสตริป สไลด์ เครื่องฉายข้ามศีรษะ ภาพนิ่ง<br />
เครื่องฉายทึบแสง เป็นต้น<br />
นอกจากนั้นแล้ว ครูอุตสาหกรรมศึกษาควรหาทางนำแหล่งวิทยาการมาใช้ประโยชน์ในการ<br />
เรียนการสอนให้มากที่สุด นอกจากสถานประกอบการแล้วก็ยังมีสถาบันและองค์การต่าง ๆ ตลอดจน<br />
บุคคลที่มีความรู้ในชุมชน เป็นต้น (เปรื่อง กิจรัตนี. 2532 : 94-95)<br />
ลักษณะงานสื่อการเรียนการสอน<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 69) ได้กล่าวว่า ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ส่งเสริมและ<br />
สนับสนุนให้มีการใช้สื่อการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางในการจัดสื่อการสอนในโรงเรียนให้<br />
ได้ผลดีควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้<br />
1. ควรจัดตั้งศูนย์บริการสื่อการสอน เพื่อช่วยให้การจัดหาและให้ความสะดวกในการใช้<br />
2. แบ่งแยกสื่อเป็นประเภท ๆ และเป็นรายวิชา เพื่อสะดวกแก่การใช้<br />
3. จัดหาสื่อที่ทันสมัย และปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ใช้การได้<br />
37<br />
4. สำรวจ วิเคราะห์ความต้องการสื่อการสอนของรายวิชาต่าง ๆ<br />
5. ฝึกอบรมครูและนักเรียนสนใจการใช้สื่อเพื่อการเรียนการสอนได้มากยิ่งขึ้น<br />
6. กระตุ้นให้ครูและนักเรียนสนใจการใช้สื่อเพื่อการเรียนการสอนได้มากยิ่งขึ้น<br />
7. สถานที่ควรจัดให้เพียงพอกับประเภทของสื่อ<br />
8. ควรมีสื่อทุกประเภทจัดเตรียมไว้<br />
9. ควรมีบุคลากรเพื่อรับผิดชอบในการจัดหา และบริการให้มีประสิทธิภาพ<br />
10. จัดสอนให้รู้จักทำสื่อการสอนประเภทที่สามารถทำขึ้นเอง<br />
ระเบียบกรมอาชีวศึกษา ว่าด้วยการบริหารสถานศึกษา พ.ศ. 2529 (พัชรี สว่างทรัพย์. ม.ป.ป.<br />
: 23-24) ได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของหัวหน้างานสื่อการเรียนการสอนไว้ดังต่อไปนี้<br />
1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ความร่วมมือ และอำนวยความสะดวกแก่ครู - อาจารย์ ที่ประสงค์<br />
จะจัดทำเอกสารประกอบการสอน ตำราเรียน<br />
2. รวบรวมผลงานของแต่ละวิชาให้เป็นรูปเล่ม จัดทำแผ่นปลิวจุลสาร หรือวารสารทาง<br />
วิชาการ เพื่อเป็นการส่งเสริมงานทางด้านวิชาการ และเป็นการเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่<br />
3. เสนอแนะหนังสือที่มีคุณค่าต่อการสอน เผยแพร่เอกสารหรือตำราที่ดีเด่นของผู้สอนแต่ละ<br />
สาขาวิชาให้เป็นที่รู้จักทั่งไป<br />
4. จัดวัสดุ อุปกรณ์ทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา เพื่อใช้ในการเรียนการสอนตามความ<br />
เหมาะสม<br />
5. บริการสื่อการเรียนการสอนแก่ครู - อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ<br />
ของสถานศึกษา<br />
6. รับผิดชอบเก็บ รวบรวม ดูแล บำรุงรักษาวัสดุอุปกรณ์โสตทัศนศึกษา<br />
7. ให้คำแนะนำ ข้อคิดเห็น แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการใช้วัสดุอุปกรณ์โสตทัศนศึกษา<br />
8. เสนอโครงการปฏิบัติงานตามลำดับขั้น<br />
9. รายงานการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามลำดับขั้น<br />
10. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย<br />
สรุปว่า สื่อการเรียนการสอนเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการถ่ายทอดความรู้จากครูแก่ผู้เรียน<br />
ดังนั้นผู้บริหารควรให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริมสนับสนุนการใช้สื่อการเรียนการสอน เช่น จัดบริการ<br />
สื่อการเรียนการสอนแก่ครู ให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตและการใช้สื่อการเรียนการสอน มีการศึกษา<br />
ความต้องการใช้สื่อการเรียนการสอนของครู เป็นต้น<br />
38<br />
2.11.4 งานพัฒนาบุคลากร<br />
ความหมายของการพัฒนาบุคลากร<br />
สุเมธ เดียวอิศเรศ (2531 : 144) ได้ให้ความเห็นว่า การพัฒนาบุคลากรเป็นกระบวน<br />
การเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ ประสบการณ์ อุปนิสัย ทัศนคติ ในการทำงานอันเป็น<br />
ผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 118) ได้กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรเป็นกรรมวิธีที่มุ่งจะเพิ่มพูน<br />
ความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ให้กับคุคลากรเป็นกรรมวิธีที่มุ่งจะเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญ<br />
ประสบการณ์ให้กับบุคลากรในองค์การ ตลอดจนพัฒนาทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปใจทางที่ดี<br />
มีความรับผิดชอบต่องานอันจะทำให้งานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />
จิรา อ่อนไสว (2532 : 9) ได้กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรเป็นกระบวนการหรือวิธีการที่หน่วย<br />
งานจัดขึ้นเพื่อให้บุคลากรมีความรู้ ตลอดจนมีทักษะและเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน อันจะส่งผลต่อ<br />
ประสิทธิภาพของงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต<br />
สรุปว่า การพัฒนาบุคลากร หมายถึง กระบวนการเพิ่มพูนความร ู้ ความสามารถ ความชำนาญ<br />
ประสบการณ์ อุปนิสัย ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปทางที่ดีอันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของ<br />
งานทั้งในปัจจุบันและอนาคต<br />
คุณลักษณะของครูอุตสาหกรรม<br />
เปรื่อง กิจรัตนี (2536 : 52-53) ได้สรุปผลการศึกษาคุณลักษณะของครูอุตสาหกรรม<br />
ศึกษาที่แตกต่างไปจากครูวิชาอื่น ๆ ดังนี้<br />
1. เข้าใจบทบาทของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และนำมาช่วยพัฒนาการเรียนการสอนใน<br />
โปรแกรมวิชาต่าง ๆ ของสาขาอุตสาหกรรมศึกษาได้เหมาะสม<br />
2. มีอุดมการณ์และปรัชญาของตนเกี่ยวกับการเรียนการสอนอุตสาหกรรมศึกษา เพื่อ<br />
ประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรและเพิ่มพูนทักษะการสอนให้ดีขึ้น<br />
3. เข้าใจบทบาทของสถาบันอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของ<br />
มนุษย์และสังคม<br />
4. มีความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและหน่วยงานอุตสาหกรรม<br />
5. มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการจัดเนื้อหาความรู้ใหม่ ๆ สามารถออกแบบประสบการณ์การ<br />
เรียนรู้ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์มากที่สุด<br />
6. ต้องวางแผนและทำสอนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธีสอนหลาย ๆ แบบ และใช้<br />
กิจกรรมหลาย ๆ ชนิด<br />
7. ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ และยังทำหน้าที่ปฏิบัติการงาน<br />
วิจัยได้ด้วย<br />
39<br />
8. รักษาความปลอดภัยและมีความสามารถทางช่างเทคนิคเป็นอย่างดี<br />
9. มีความรู้สึกในสาขาวิชาที่ตนสอนและจะต้องหาความรู้เพิ่มเติมในสาขาที่ตนสอนอยู่<br />
เสมอ<br />
นอกจากคุณลักษณะของครูอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมาแล้ว คุณสมบัติของครูอุตสาหกรรม<br />
ศึกษาควรจะประกอบไปด้วยคุณลักษณะกว้าง ๆ 2 ประการ คือ เข้าใจในกระบวนการศึกษา และเข้าใจ<br />
ในกระบวนการอุตสาหกรรม ความเข้าใจในกระบวนการอุตสาหกรรม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครู<br />
อุตสาหกรรมศึกษา ทั้งนี้ เพราะว่าเนื้อหาความรู้ในหลักสูตรจะเกี่ยวข้างกับอุตสาหกรรม นอกจากนี้<br />
ครูอุตสาหกรรมศึกษาจะต้องมีความรู้เฉพาะทางด้าน ช่างที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม<br />
ปัจจุบัน สำหรับความเข้าใจในกระบวนการศึกษาที่สำคัญเช่นกัน เพราะครูอุตสาหกรรมศึกษาที่ดี<br />
จะต้องเป็นผู้มีความรู้ดีเลิศ ทั้งเนื้อหาและประสบการณ์ เป็นผู้มีคุณธรรมซึ่งรวมทั้งความรู้ผิดชอบใน<br />
หน้าที่ ความเป็นผู้มีน้ำใจ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นนักพัฒนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแก่ผู้เรียน<br />
และสังคม เป็นผู้มีความคิดริเริ่มที่ดี ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียน เป็นผู้ประสานงาน<br />
บุคคลทุกระดับได้ดี และเป็นผู้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพของตน ตลอดจนหาทางพัฒนาอาชีพการสอนให้มี<br />
คุณภาพอยู่เสมอ<br />
สรุปว่า ในการพัฒนาครูช่างอุตสาหกรรมจะต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรม<br />
และ เทคโนโลยี ทั้งนี้ เพื่อครูช่างอุตสาหกรรมจะได้นำความรู้ ความเข้าใจมาใช้จัดการเรียนการสอน<br />
ให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง<br />
ลักษณะงานพัฒนาบุคลากร<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 118-119) ในการพัฒนาบุคลากรมีจุดมุ่งหมายที่จะเพิ่มพูนและ<br />
ปรับปรุงคุณภาพของผู้ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ เพื่อผลงานของสถาบันและเพื่อสนอง<br />
ความต้องการที่จะก้าวหน้าของผู้ปฏิบัติงาน จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้บริหารที่จะต้องพยายามหา<br />
ทางให้ผู้ปฏิบัติงานได้เจริญก้าวหน้าไม่เท่าที่ความสามารถจะอำนวยประโยชน์ทำกระบวนการพัฒนา<br />
บุคลากรตามขั้นตอน ดังนี้<br />
1. กำหนดขอบเขตและทิศทางของการพัฒนาบุคลากรเพื่อจะได้พัฒนาได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย<br />
2. วางแผนพัฒนาบุคลากรตามกำหนดขอบเขต หรือนโยบายของหน่วยงานนั้น ๆ<br />
3. จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาบุคคลในทางปฏิบัติ ได้แก่<br />
3.1 การปฐมนิเทศ<br />
3.2 การสอนงาน<br />
3.3 การมอบอำนาจให้ปฏิบัติงาน ให้รู้จักรับผิดชอบ<br />
3.4 การสับเปลี่ยนโยกย้ายหน้าที่<br />
3.5 การหาพี่เลี้ยงเพื่อช่วยสอนงานได้<br />
40<br />
3.6 ให้ทำหน้าที่ผู้ช่วยงาน<br />
3.7 การให้รักษาการแทน<br />
3.8 พาไปสังเกตการณ์ทำงานในบางโอกาส<br />
3.9 ส่งไปศึกษาดูงาน<br />
3.10 จัดประชุมสัมมนาและฝึกอบรม<br />
3.11 ส่งเข้าประชุมเรื่องที่เกี่ยวกับงาน<br />
3.12 จัดเอกสารทางวิชาการให้เพียงพอ<br />
3.13 การอ่านแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ฟังปาฐกถาทางวิชาการ<br />
3.14 ให้ทำการทอลอง วิจัย โดยเฉพาะวิจัยในงานที่ทำอยู่เป็นประจำ<br />
3.15 ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน<br />
3.16 ให้มีการปรึกษางานก่อนเปิดโรงเรียน<br />
3.17 การนิเทศของครูใหญ่<br />
4. ประเมินผลการพัฒนาบุคลากร โดยพิจารณาดูผลของการปฏิบัติงานว่า มีประสิทธิภาพ<br />
เพียงใด โดยดูจากผลที่เกิดแก่ผู้รับการฝึกอบรมว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปมากน้อยเพียงใด<br />
ดูผลที่เกิดแก่ตำแหน่งงานว่าทางปฏิบัติงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่กลับไปทำงานในตำแหน่งเดิม<br />
ของคนนั้นดีขึ้นเพียงไร และผลที่เกิดขึ้นแก่โรงเรียนว่าการฝึกอบรมนั้นทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถ<br />
ปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายขององค์การนั้น ๆ ดีขึ้นเพียงไร คุ้มกับค่าใช้จ่ายและทุนที่ลงไปแล้วเพียงใด<br />
สรุปว่า งานพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารควรจะให้ความสำคัญต่อการ<br />
พัฒนาครูให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านวิชาการและทางด้านเทคโนโลยี ดังนั้น ผู้บริหารควร<br />
จะมีการสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาครูด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและโอกาสที่จะ<br />
กระทำได้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิชาการ<br />
2.11.5 งานวัดผลและประเมินผล<br />
ความหมายของการวัดผลและประเมินผล<br />
กู๊ด (Good. 1973 : 338) ได้ให้คำจำกัดความของการวัดผลการศึกษาว่า หมายถึงการ<br />
ศึกษาค้นคว้าโดยทั่วไปด้วยการทดสอบมาตราส่วนประเมินค่า การตีค่ากระบวนการที่วัดได้ รวม<br />
ทั้งทฤษฏีของข้อทดสอบและการสร้างมาตราส่วนประเมินค่า การทำให้มีเหตุผลใช้ได้ และการทำให้<br />
เป็นมาตรฐาน การแปลความหมายผลของการทดสอบ รวมทั้งการใช้วิธีการทางสถิติ เพื่อแปล<br />
ความหมายผลจากการวัดแล้วนำผลชิ้นสุดท้ายที่ได้จากการนำเอาปริมาณการวัดไปใช้กับกระบวนการ<br />
ทำงานทางการศึกษา หรือกับบุคคลที่ถูกวัด<br />
พนัส หันนาคินทร์ (2529 : 199-200) ได้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการประเมินผล<br />
การวัดผล ว่าการวัดผล หมายถึง การเปรียบเทียบผลที่ได้จากการเรียนกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ยึดถือกัน<br />
41<br />
อยู่ การวัดผลมีลักษณะเป็นรูปธรรมมักแสดงผลออกมาเป็นตัวเลข ส่วนการประเมินผล หมายถึง การ<br />
พิจารณากำหนดคุณค่าจากคะแนนที่เราได้จากการวัดนั้น เช่น ดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่ง การประเมิน<br />
ผลมีลักษณะเป็นปรัชญา<br />
กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 72) ได้ให้คำนิยามว่า การวัดผลเป็นการเปรียบเทียบผลที่ได้จากการ<br />
เรียนกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ยึดถืออยู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม คือจะแสดงผลของการวัดออกมาเป็น<br />
ตัวเลข เพื่อแสดงให้รู้ว่านักเรียนมีความรู้มากน้อยเพียงใด และอาจบอกได้ว่านักเรียนได้คะแนนเท่าไร<br />
โดยนำผลที่นักเรียนทำได้ไปเปรียบเทียบกับคำตอบที่ครูทำไว้ ส่วนการประเมินผลเป็นการกำหนดค่า<br />
หรือคะแนนที่เราได้จากการวัดผลนั้น เช่น เก่งหรือไม่เก่ง ดีหรือไม่ดี โดยเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ใน<br />
ห้องเดียวกัน<br />
เสริม ทัศศรี (2536 : 9) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนดจำนวนหรือ<br />
สัญลักษณ์ให้กับคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการจะจัด อย่างมีกฎเกณฑ์ที่เชื่อถือได้ โดยใช้เครื่องมือเป็น<br />
หลักในการวัด และการประเมินผล หมายถึง กระบวนการในการตัดสินใจ ตีราคา ลงสรุปหรือหา<br />
คุณค่าของคุณลักษณะ โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์และใช้วิจารณาญาณ<br />
ประกอบการพิจารณา<br />
สรุปว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนดจำนวนหรือสัญลักษณ์ซึ่งมีลักษณะเป็น<br />
รูปธรรม ให้กับคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการจะวัด โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ยึดถืออยู่<br />
และการประเมินผล หมายถึง กระบวนการพิจารณากำหนดคุณค่า ลงสรุปหรือหาคุณค่าของสิ่งที่<br />
ต้องการจะวัด<br />
ลักษณะงานวัดผลและประเมินผล<br />
การเรียนการสอนในสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษาก็เหมือน ๆ กับการเรียนการสอนใน<br />
วิชาอื่น ๆ นั่นคือ เมื่อมีการเรียนการสอนก็ต้องมีการประเมินผลการเรียนการสอน เช่นกัน แต่อาจจะ<br />
แตกต่างกันที่วัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินการ<br />
การประเมินผลนั้นมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนมาก เนื่องจากผล<br />
ของการประเมินนั้นจะให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวครู และต่อผู้เรียนด้วยเหตุนี้ การ<br />
ประเมินผลจึงได้มองเป็น 2 ลักษณะ คือ<br />
1. การประเมินผลการสอน ได้แก่ การประเมินตัวผู้สอน<br />
2. การประเมินผลการเรียน ได้แก่ การประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียน<br />
การประเมินผลผู้สอนนั้น ต้องอาศัยพฤติกรรมการสอนของครูมาเป็นตัวบ่งชี้ โดย<br />
เฉพาะอย่างยิ่งด้านบุคลิกภาพในการเป็นครู แต่นั้นเป็นเพียงตัวประกอบหนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีขึ้น<br />
ตัวบ่งชี้จึงมีหลายทางดังนี้<br />
42<br />
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน<br />
2. เทคนิควิธีการสอน<br />
3. บุคลิกลักษณะของผู้สอน<br />
4. บรรยากาศภายในห้องเรียน<br />
5. ความสนใจและเจตคติของผู้เรียน<br />
สำหรับผู้ประเมินผลการสอนนั้นควรจะได้ข้อมูลมาจากบุคคลเหล่านี้<br />
1. ตัวนักเรียน<br />
2. ตัวครู<br />
3. เพื่อนครู และผู้บริหาร<br />
4. ศิษย์เก่า<br />
ในด้านเทคนิควิธีการที่จะได้ข้อมูลนั้นอาจจะใช้เทคนิคต่อไปนี้<br />
1. การสังเกต<br />
2. การสัมภาษณ์<br />
3. การใช้แบบสอบถาม<br />
การประเมินผลการเรียน ถือว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการสอน จำไว้เสมอว่าเมื่อ<br />
สอนแล้วต้องมีการประเมินผลผู้เรียน ไม่เช่นนั้นไม่เรียกว่า การเรียนการสอน เป้าหมายของการ<br />
ประเมินผลการเรียนนั้นก็เพื่อ<br />
1. วัดความก้าวหน้าของผู้เรียน<br />
2. ดูความสนใจ ความถนัดของผู้เรียนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการแนะแนว<br />
3. เพื่อช่วยหาข้อบกพร่องและหาทางแก้ไขได้ตรงจุด<br />
4. ต้องการรายงานผลการเรียน<br />
สิ่งที่ครูต้องวัดผลประเมินผลในตัวผู้เรียนนั้น ได้แก่<br />
1. ความรู้หรือทฤษฎีทางช่าง<br />
2. ความสามารถและทักษะทางช่าง<br />
ในการรวบรวมข้อมูลนั้นจะรวบรวม 2 ระยะ คือในระหว่างภาคเรียน และ ตอนปลาย<br />
ภาคเรียน<br />
สำหรับเทคนิคการวิเคราะห์คะแนนเพื่อรายงานผลนั้นนิยมใช้กัน คือ มี 2 เทคนิควิธี ได้แก่<br />
1. การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม<br />
2. การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์<br />
ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง 2 วิธีการ ขึ้นอยู่กับลักษณะเนื้อหาวิชา และลักษณะ<br />
ของผู้เรียนด้วย (วิชัย แหวนเพชร. 2530 : 339-340)<br />
43<br />
ชารี มณีศรี (ม.ป.ป. : 67-68) ได้เสนอวิธีการประเมินผลที่ผู้บริหารโรงเรียนอาจทำได้คือ<br />
1. จัดทำตู้หรือกล่องรับฟังความคิดเห็นของครูภายในโรงเรียน<br />
2. จัดให้นักเรียนอภิปรายปัญหาต่าง ๆ ของโรงเรียน<br />
3. จัดกล่องรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน<br />
4. ทำการวิจัยเชิงปฏิบัติเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น วิจัยผลการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร วิจัย<br />
ประมวลการสอนที่ใช้อยู่ในโรงเรียนและหาทางปรับปรุง<br />
5. ช่วยครูให้ประเมินผลการสินของตนเอง อาจทำให้ด้วยการสังเกต การเรียนการสอน<br />
ของนักเรียน พฤติกรรมของนักเรียนใช้แบบสอบถาม ให้นักเรียนตอบ ให้นักเรียนเขียนแสดงความ<br />
คิดเห็นเมื่อเรียนวิชาต่าง ๆ ในภาคเรียนหนึ่ง ๆ แล้ว<br />
6. ช่วยครูให้รู้จักประเมินผลการเรียนและความก้าวหน้าของนักเรียน เช่น ครูควรจะ<br />
ได้ทราบหลักเกณฑ์และความมุ่งหมายในการประเมินผล การเตรียมโครงการประเมินผล การสร้าง<br />
ข้อสอบต่าง ๆ และเทคนิคในการประเมินผลอื่น ๆ<br />
อุทัย บุญประเสริฐ และชโลมใจ ภิงคารวัฒน์ (2528 : 40) ได้กล่าวว่า การนิเทศงาน<br />
วิชาการด้านการวัดผลประเมินผลในโรงเรียนควรจะนิเทศในเรื่องต่อไปนี้<br />
1. จัดให้มีการติดตาม ตรวจสอบผลการเรียนของเด็กนอกเหนือไปจากการวัด และ<br />
ประเมินผลตามปกติตามระเบียบ เพื่อจะได้ทราบระดับมาตรฐานและสถานภาพทางวิชาการของ<br />
โรงเรียน<br />
2. จัดให้มีการประเมินผลการจัดกิจกรรมนักเรียน ว่าส่งผลต่อการพัฒนาเด็ก ตามหลัก<br />
การศึกษามากน้อยเพียงใด<br />
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2536 : 200-201) กล่าวว่า ผู้บริหารโรงเรียนมีหน้าที่รับผิด<br />
ชอบในการวัดผลประเมินผล คือ<br />
1. กำหนดนโยบายทั่วไปเกี่ยวกับการวัดผลและการเมินผลในเรื่อง<br />
1.1 ประเภทของข้อสอบที่ใช้วัดผล<br />
1.2 ระยะเวลาที่ใช้ในการสอบจำนวนครั้งที่สอบและการเก็บคะแนนสอบแต่<br />
ละครั้ง<br />
1.3 มาตรฐานในการวัดผล<br />
1.4 การเตรียมแบบฟอร์มสำหรับรายงานผลการสอนแก่ผู้ปกครอง<br />
2. จัดหาวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการสอน เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่อง<br />
โรเนียว ตลอดจนเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก<br />
44<br />
3. พยายามส่งเสริมครู - อาจารย์ให้มีความรู้ทางการวัดผลและประเมินผลโดยการจัดฝึก<br />
อบรม การประชุมปฏิบัติการในด้านเทคนิค การออกข้อสอบ การให้คะแนน การประเมินผลข้อสอบ<br />
ตลอดจนการรายงานผลการสอบ<br />
4. การจัดตารางสอน ห้องสอบ และระเบียบในการสอนและการคุมสอบ<br />
5. ควรมีการประเมินผลการสอน หากมีการบกพร่องจะได้หาทางแก้ไขต่อไป หรือ<br />
เสนอแนวทางในกานำไปปรับใช้ต่อไป<br />
ระเบียบกรมอาชีวศึกษา ว่าด้วยการบริหารสถานศึกษา พ.ศ. 2529 (พัชรี สว่างทรัพย์. ม.ป.ป.<br />
: 24) กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของหัวหน้างานวัดผลและประเมินผลไว้ดังต่อไปนี้<br />
1. จัดหาแบบพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลและประเมินผลการเรียน<br />
2. จัดหาเอกสาร จัดหาข่าวสารที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการวัดผล และประเมินผล<br />
การเรียน เพื่อเผยแพร่ให้ครู-อาจารย์ได้ทราบทั่วกัน<br />
3. ศึกษาระเบียบ คำถาม ความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้าทางวิชาการเกี่ยวกับ<br />
การวัดผลและประเมินผลการเรียนอยู่เสมอ<br />
4. ดูแลให้ครู - อาจารย์ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมินผลการเรียน<br />
5. พิจารณาตัดสินปัญหาเกี่ยวกับการโอนผลการเรียน การวัดผลและประเมินผล<br />
การเรียน<br />
6. ส่งเสริมให้คร-ู อาจารย์ที่ผ่านการอบรมหรือศึกษามาทางการวัดผล และประเมินผล<br />
การเรียนได้มีบทบาทในการพัฒนาการวัดผลและประเมินผลการเรียน<br />
7. ตรวจสอการให้ระดับคะแนนของครู-อาจารย์ ก่อนที่จะส่งไปยังผู้บริหารสถาน<br />
ศึกษาเพื่ออนุมัติผลการสอน<br />
8. ดำเนินการวิเคราะห์ข้อทดสอบและจัดทำข้อสอบมาตรฐาน<br />
9. เก็บรักษาเอกสารและหลักฐานการประเมินผลการเรียน และเอกสารอื่นตามความ<br />
จำเป็นที่ต้องใช้เกี่ยวกับงานวัดผลและประเมินผลการเรียน<br />
10. ดำเนินการเกี่ยวกับการทำลายเอกสาร การวัดผลและประเมินผลที่หมดความจำเป็น<br />
11. ดูแล บำรุงรักษา และรับผิดชอบทรัพย์สินของสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมาย<br />
12. เสนอโครงการปฏิบัติงานตามลำดับชั้น<br />
13. รายงานการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามลำดับชั้น<br />
14. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย<br />
45<br />
สรุปว่า งานวัดผลและประเมินผลจะต้องบ่งชี้ถึงคุณภาพของการเรียนการสอนของครู<br />
และผู้เรียน ดังนั้น ผู้บริหารควรมีการสนับสนุน ส่งเสริม ชี้แจงแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการวัดผลและ<br />
ประเมินผล เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล การจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่<br />
ใช้ในการวัดผลและประเมินผล มีการติดตามและประเมินผลของครูและผู้เรียน เป็นต้น<br />
3. สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
3.1 ความเป็นมา<br />
ด้วยร่างพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษาอยู่ระหว่าง การนำเสนอเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนซึ่ง<br />
ได้มีการกำหนดให้ปรับเปลี่ยน โครงสร้าง ระบบบริหารจัดการอาชีวศึกษาที่สำคัญคือ การจัดให้<br />
สถานศึกษาในสังกัด กรมอาชีวศึกษา รวมกลุ่มกันเป็น สถาบันการอาชีวศึกษา โดยเบื้องต้นได้กำหนด<br />
ไว้ 28 สถาบัน ทั้งนี้เพื่อให้มีการประสานงานกันระหว่างสถานศึกษา ในการดำเนินงานให้มีคุณภาพ<br />
และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การเกื้อกูล ความเชี่ยวชาญ<br />
ด้านวิชาการ การสร้างความต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันของการอาชีวศึกษา เพื่อให้สามารถเปิดสอนได้ถึง<br />
ระดับปริญญาสายปฏิบัติ หรือเทคโนโลยี ดังนั้น เพื่อสนับสนุนแนวคิดการรวมกลุ่มสถานศึกษาเพื่อ<br />
จัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษา จึงได้กำหนดให้สถานศึกษาเร่งรัดดำเนินงาน ในรูปสถาบันการ<br />
อาชีวศึกษาขึ้น 28 แห่ง ทั่วประเทศ โดยให้มีการทบทวน และดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่องนับตั้งแต่<br />
ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นไป<br />
สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค เขตภาคกลางประกอบด้วยสถาน<br />
ศึกษาของ กองวิทยาลัยเทคนิค กองการศึกษาอาชีพ วิทยาลัยสารพัดช่าง และวิทยาลัยอาชีวศึกษา ซึ่ง<br />
เป็นสถานศึกษาในสังกัด กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รวมสถานศึกษาทั้ง หมด 11 แห่ง<br />
ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสงคราม ดัง<br />
แผนภูมิแสดงเครือข่ายของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
46<br />
คณะ ก ร ร มก า ร<br />
ส ถ า บัน ก า ร อ า ชี ว<br />
ส ถ า บัน ก า ร อ า<br />
นค ร ป ส มุท ร ส มุท<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ิ<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย เ ทคนิค<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย เ ทคนิค<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย อ า ชีว<br />
ศึก ษ า<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ก า ร<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ส า ร พัด<br />
ช่่่่า ง<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ก า ร<br />
อ า ชี พ<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ส า ร พัด<br />
ช่่่่า ง<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ก า ร<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ก า ร<br />
วิ ท ย า ลั<br />
ย ก า ร<br />
47<br />
แผนภาพที่ 3 เครือข่ายสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
3.2 หลักการของสถาบัน<br />
3.2.1 เพื่อสร้างคุณภาพมาตรฐานการอาชีวศึกษา<br />
การอาชีวศึกษามุ่งที่จะจัดการศึกษาให้มีมาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด<br />
แรงงาน และการประกอบอาชีพอิสระ จึงมีการกำหนดมาตรฐานการอาชีวศึกษาขึ้นโดยมีความหมาย<br />
ดังนี้ กรมอาชีวศึกษา (มาตรฐานการอาชีวศึกษา ฉบับปรับปรุง 2545 : บทนำ)<br />
มาตรฐานการอาชีวศึกษาหมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ กระบวนการ<br />
ดำเนินงานของสถานศึกษา และปัจจัยสนับสนุนที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา เพื่อพัฒนาผู้เรียน<br />
ให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ในงานอาชีพตามที่กำหนดในหลักสูตร และ<br />
มาตรฐานวิชาชีพในสาขาที่เรียน และเพื่อให้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับการตรวจประเมิน การ<br />
กำกับดูแล และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านวิชาชีพ ประกอบด้วย 12 มาตรฐาน จำแนก<br />
เป็น มาตรฐานด้านผู้จบการศึกษาและผู้เรียน 3 มาตรฐาน มาตรฐานด้านกระบวนการ 5 มาตรฐาน และ<br />
มาตรฐานด้านปัจจัย 4 มาตรฐาน (มาตรฐานการอาชีวศึกษา ฉบับปรับปรุง 2545 : บทนำ)<br />
3.2.2 เพื่อขยายโอกาสการอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพ ให้เข้าถึงกลุ่มบุคคลได้กว้างขวางขึ้น<br />
จัดสรรโอกาสให้บุคคลที่มีความถนัด ความสนใจ และความสามารถ ได้รับการศึกษาทางด้านวิชาชีพ<br />
อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ การจัดสรรโอกาสด้านอาชีวศึกษา ต้องให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่<br />
บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม โดยคำนึงถึงความสามารถ<br />
ของแต่ละบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการจัดการอาชีวศึกษาสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ทำการ<br />
สอน ทำการวิจัย และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม<br />
3.2.3 ร่วมมือกันระหว่างสถานศึกษาด้านทรัพยากร วิชาการ เพื่อเตรียมความพร้อมใน<br />
การเปิดสอนระดับปริญญาตรี<br />
มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยประสานความร่วมมือ ในการใช้ทรัพยากรให้เกิด<br />
ประโยชน์สูงสุด การเกื้อกูล ความเชี่ยวชาญด้านวิชาการ การระดมสรรพกำลัง เพื่อคุณภาพและความ<br />
เป็นเลิศทางวิชาชีพ ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพการอาชีวศึกษาชั้นสูง สรา้ งความร่วมมือกับภาค<br />
เอกชนให้เข้มแข็งให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ยกระดับมาตรฐานการอาชีวศึกษาเพื่อคุณภาพและ<br />
ความเป็นเลิศทางวิชาชีพ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การประกอบอาชีพอิสระ<br />
การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสร้างความต่อเนื่องเชื่อมโยงของ<br />
กรมอาชีวศึกษา ให้สามารถเปิดสอนได้ถึงระดับปริญญาในสายปฏิบัติการหรือเทคโนโลยี<br />
48<br />
4. การปฏิบัติงานและปัญหาเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา<br />
4.1 สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับตัวผู้รับการนิเทศ ตัวผู้นิเทศก์ และระบบการนิเทศของ<br />
กรมอาชีวศึกษา<br />
สภาพการเรียนการสอนตามหลักสูตร ในระบบประกอบด้วยหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชา<br />
ชีพ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิคนั้น ครู -<br />
อาจารย์แต่ละคนมีชั่วโมงสอนเป็นสองเท่าของการสอนตามปกติ ในสัปดาห์หนึ่ง ครู-อาจารย์คนหนึ่ง<br />
จะมีชั่วโมงสอนระหว่าง 30 - 36 ชั่วโมง ในขณะที่เกณฑ์ของคุรุสภากำหนดให้สอนสัปดาห์ละ 15<br />
ชั่วโมง และจะต้องช่วยทำงานด้านธุรการ เช่น งานการเงิน การบัญชี การพัสดุ และงานกิจกรรม<br />
อื่น ๆ ที่สถานศึกษามอบหมาย นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการขาดครู – อาจารย์ เนื่องจากลาออกจาก<br />
ราชการไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งมีรายได้ดีกว่า จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการนิเทศการศึกษาของ<br />
กรมอาชีวศึกษาทั้งระดับกรมและระดับสถานศึกษา ซึ่งสรุปได้ 3 ประเด็นดังต่อไปนี้<br />
4.1.1 ผลกระทบเกี่ยวกับตัวผู้รับการนิเทศการศึกษา<br />
ผลกระทบมีทั้งระดับกรม และระดับสถานศึกษานั้นมีหลายวิธีแล้วแต่ผู้นิเทศก์จะเลือกใช้<br />
ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์และเนื้อหาการนิเทศ บางเรื่องกิจกรรมการนิเทศจะจัดอยู่ในสถานศึกษา<br />
ของผู้รับการนิเทศ แต่ในบางเรื่องผู้รับการนิเทศจะต้องเดินทางไปเข้าร่วมในโครงการนิเทศนอก<br />
สถานศึกษา เช่น โรงแรม สถานศึกษาแห่งอื่นหรือสถานที่อื่น ๆ ที่เจ้าของโครงการกำหนด บางครั้งก็<br />
ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกับสถานศึกษาอยู่ บางครั้งก็เดินทางไปไกลข้ามจังหวัดข้ามภาคก็มีปัจจัยสำคัญที่<br />
เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ เวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ยิ่งเดินทางไกลมากเท่าใด จะเสียเวลาและ<br />
ค่าใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผลที่เกิดตามมาจะเกี่ยวข้องกับการสอนของครู – อาจารย์นั้น นักเรียน<br />
ที่ครู – อาจารย์ผู้นั้นสอนจะไม่ได้เรียน เมื่อครู - อาจารย์ผู้นั้นกลับจากเข้ารับการนิเทศจะต้องสอน<br />
ชดเชย เป็นภารกิจที่ครู-อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ชอบนักเพราะต้องหาเวลานอกไปสอนบางครั้งจึงไม่สอน<br />
ชดเชย ผลเสียจึงตกอยู่กับนักเรียน - นักศีกษาที่ไม่ได้เรียนตรงตามหลักสูตร สถานศึกษาจึงมักส่ง<br />
ครู-อาจารย์ที่ไม่ได้สอนไปเข้ารับการนิเทศแทน ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป<br />
เข้ารับการนิเทศนั้น มักจะมีผลกระทบต่อสถานศึกษาที่มีขนาดเล็ก ซึ่งได้รับงบประมาณน้อย เมื่อมี<br />
โครงการนิเทศให้ครู - อาจารย์ ผู้บริหารอาจจะไม่ส่งครู-อาจารย์เข้าไปรับการอบรม<br />
4.1.2 ผลกระทบเกี่ยวกับตัวผู้นิเทศก์<br />
ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะหาผู้สมัครใจมาเป็นศึกษานิเทศก์น้อยลง นอกจากผู้ที่มีความ<br />
49<br />
จำเป็นในทางส่วนตัวหรือทางราชการส่งมาให้เป็นศึกษานิเทศก์ เหตุผลสำคัญที่ ครู - อาจารย์ ไม่นิยม<br />
มาเป็นศึกษานิเทศก์ เนื่องจากแรงจูงใจในการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งสู่ตำแหน่งครู - อาจารย์ ได้ และ<br />
ไม่มีเงินค่าสอนพิเศษเหมือนครู – อาจารย์ที่ได้ค่าสอนพิเศษตามเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดให้<br />
นอกจากนั้นอัตรากำลังของศึกษานิเทศก์ก็มีจำนวนน้อย ไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนคร–ู อาจารยท์ เี่ พมิ่ ขนึ้<br />
ทุกปี จำนวนศึกษานิเทศก์ที่มีอยู่ยังถูกมอบหมายให้ไปทำงานในหน้าที่อื่น ๆ ของกรม เช่น ตำแหน่ง<br />
ผู้ตรวจราชการกรม ตำแหน่งที่ปรึกษากรมและงานโครงการพิเศษ เป็นต้น จึงมีศึกษานิเทศก์ประจำ<br />
การน้อยลงไปอีก<br />
4.1.3 ผลกระทบต่อระบบการนิเทศ<br />
ระบบการนิเทศการศึกษาในกรมอาชีวศึกษาประกอบด้วย การนิเทศการศึกษาระดับกรม<br />
ดำเนินการโดยศึกษานิเทศก์ มีหน่วยศึกษานิเทศก์กรมเป็นองค์กรรับผิดชอบ แบ่งเป็นหน่วยงานย่อย<br />
ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อร่วมมือกันจัดการนิเทศการศึกษาให้ทั่วถึงทั่วประเทศ หน่วยงาน<br />
ย่อยในส่วนกลางมีสำนักงานอยู่ในกรมส่วนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นฝ่ายส่งเสริมการศึกษา และอีกส่วน<br />
หนึ่งรับผิดชอบในการนิเทศวิชาสามัญและสัมพันธ์หน่วยงานที่ตั้งอยู่นอกกรม ทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัย<br />
และพัฒนา แบ่งเป็น 5 ศูนย์ ตามประเภทวิชา คือ ช่างอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ศิลปหัตถกรรม<br />
คหกรรม และเกษตรกรรมในส่วนภูมิภาคมีศูนย์นิเทศอาชีวศึกษาประจำภาคทั้ง 5 ภาค ภาคละ 1 ศูนย์<br />
มีหน้าที่เผยแพร่ผลการวิจัยและพัฒนาของศูนย์พัฒนาทั้ง 5 ศูนย์ และขยายผลการประชุมอบรมการ<br />
นิเทศระดับกรมให้มีสัมมนาของฝ่ายส่งเสริมการศึกษาและคณะวิชา สามัญสัมพันธ์ ไปสู่การปฏิบัติ<br />
ของ ครู-อาจารย์ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล จะต้องได้รับความร่วมมือและประสานการนิเทศกับ<br />
ระดับสถานศึกษาอย่างใกล้ชิด<br />
สรุปว่า ปัจจุบันการจัดการนิเทศในระดับสถานศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการนิเทศ<br />
การศึกษาของกรมอาชีวศึกษา ยังมีรูปแบบและองค์กรรับผิดชอบในสถานศึกษาไม่ชัดเจน และไม่มี<br />
กระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษาอย่างจริงจัง ปัญหาที่สำคัญในการนิเทศการศึกษาภายในสถาน<br />
ศึกษาอีกประการหนึ่ง คือ การมีเวลาจำกัดและผู้รับการนิเทศไม่ศรัทธา ผู้นิเทศก์ซึ่งเป็นเพื่อนครู<br />
โรงเรียนเดียวกันจึงทำให้ระบบการนิเทศภายในสถานศึกษาของกรมอาชีวศึกษาไม่สามารถสนับสนุน<br />
ส่งเสริมการนิเทศการศึกษาระดับกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
4.2 ปัญหาเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา<br />
สถาพปัจจุบันและปัญหาของการนิเทศการศึกษา ของกรมอาชีวศึกษา ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 2<br />
ระดับ คือ การนิเทศการศึกษาระดับกรมและการนิเทศภายในสถานศึกษานั้น ประเด็นหลัก ได้แก่ การ<br />
นิเทศการศึกษาระดับกรม หน่วยศึกษานิเทศก์ไม่มีศักยภาพที่จะทำการนิเทศคร ู - อาจารย์ได้ทั่วถึง<br />
ทุกคน และทุกเรื่องที่เป็นความจำเป็นและความต้องการของสถานศึกษา ส่วนการนิเทศภายใน<br />
50<br />
สถานศึกษายังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนต่างคนต่างทำขาดประสิทธิภาพ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากสาเหตุหลาย<br />
ประการ อาจสรุปได้ดังนี้<br />
4.2.1 ผู้บริหารการศึกษาและครู-อาจารย์ ไม่เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการ<br />
นิเทศการศึกษา จึงไม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังในการ วางแผนอัตรากำลังของศึกษานิเทศก์<br />
แผนการสรรหา บรรจุและแต่งตั้งศึกษานิเทศก์ แผนการพัฒนา และส่งเสริมคุณภาพมาตรฐานและ<br />
ความก้าวหน้าของศึกษานิเทศก์ การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมเพียงพอ จึงมีผลกระทบต่อ<br />
จำนวนอัตราของศึกษานิเทศก์ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนของครู-อาจารย์ที่เพิ่มขึ้น ศึกษานิเทศก์ไม่ได้<br />
รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถเท่าที่ควร และไม่ได้รับแรงจูงใจในการเป็นศึกษานิเทศก์ ตลอดจน<br />
ไม่ได้รับงบประมาณการนิเทศที่จะทำการนิเทศการศึกษาได้ทั่วถึงเพียงพอ<br />
4.2.2 ผู้นิเทศก์จัดโครงการนิเทศไม่สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของผู้รับ<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_9754.html"><br />
ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_9986.html">ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16030698/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1124525703773701472.post-91493809788281452542011-08-12T14:11:00.000-07:002011-08-12T14:14:24.690-07:00ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 2)<a href="http://www.ziddu.com/download/16030698/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a><br />
<br />
การนิเทศในด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />
1. หลักสูตรวิธีการและเวลาในการนิเทศไม่ตรงกับความต้องการของผู้รับการนิเทศ<br />
2. กระบวนการและวิธีการนิเทศเน้นเนื้อหาสาระมากกว่ากระบวนการเชิงระบบที่มุ่ง<br />
ให้รับการนิเทศ คิดและวิเคราะห์แก้ปัญหาด้วยตนเอง<br />
3. กระบวนการนิเทศไม่ได้เน้นการมีส่วนร่วมของผู้รับการนิเทศ ทำให้ผู้รับการ<br />
นิเทศและสถานศึกษาไม่สนใจที่จะเข้าโครงการโดยไม่ส่งครู-อาจารย์ เข้ารับการนิเทศหรือส่งตัวแทน<br />
ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ารับการนิเทศแทน<br />
4. ผู้รับการนิเทศมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้ารับการนิเทศในด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />
5. มีภารกิจการสอนและงานด้านอื่น ๆ ของถานศึกษามาก จึงไม่มีเวลาที่เข้ารับ<br />
การนิเทศ หรือเมื่อเข้ารับการนิเทศแล้ว แต่ไม่มีเวลาเตรียมการในการพัฒนางานตามที่ได้รับการนิเทศ<br />
6. สถานศึกษาขาดงบประมาณส่งครู-อาจารย์ เข้ารับการนิเทศ<br />
7. ผู้บังคับบัญชาของตัวผู้รับการนิเทศไม่เห็นความสำคัญของการนิเทศการศึกษา จึง<br />
ไม่ส่งครู-อาจารย์เข้ารับการนิเทศหรือส่งตัวแทนซึ่งไม่ตรงกับงานที่จะพัฒนา<br />
8. ตัวผู้รับการนิเทศมักจะคิดว่าตนเองมีความผิดหรือบกพร่องในหน้าที่ จึงถูกบังคับ<br />
หรือเรียกเข้ารับการนิเทศ จึงไม่เต็มใจที่จะเข้าโครงการพิเศษ<br />
9. นโยบายและแผนงานด้านการนิเทศการศึกษาไม่ได้กำหนดไว้ในแผนอย่างชัดเจน<br />
เป็นเหตุให้รูปแบบการจัดระบบและองค์กรการบริหารไม่ชัดเจน ไม่มีกฎหมายรองรับจึงมีผลกระทบ<br />
ต่อการบริหารบุคลากร การเงินและการพัสดุ<br />
10. รูปแบบการประสานงานของฝ่ายต่าง ๆที่ร่วมกันจัดการนิเทศการศึกษาไม่ชัดเจน<br />
51<br />
เช่น การประสานงาน การนิเทศระหว่างหน่วยศึกษานิเทศก์กรม กับสถานศึกษาผู้จัดการนิเทศภายใน<br />
สถานศึกษา (บุญเลิศ ภพลาภ, ม.ป.ป. : 37-42)<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />
งานวิจัยในประเทศ<br />
พัชรินทร์ ชั้นบุญ (2542 : 74-77) วิจัยเรื่องความต้องการการนิเทศการสอนของครูโรงเรียน<br />
เอกชนอาชีวศึกษา ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในกรุงเทพมหานคร มีผลดังนี้ 1)ด้านหลักสูตรและ<br />
เนื้อหาวิชา พบว่าครูมีความต้องการการนิเทศการสอนด้านหลักสูตรและเนื้อหาวิชา ลำดับแรกคือ<br />
แนะนำชี้แจงเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย หลักการ และโครงสร้างของหลักสูตรที่กำลังใช้อยู่แก่ครูผู้สอน เพื่อ<br />
ให้มีความเข้าใจตรงกัน ร้อยละ 52.16 ลำดับที่สอง คือ แนะนำให้ครูผู้สอนจัดทำจุดประสงค์การเรียนรู้<br />
ในแต่ละรายวิชาให้สัมพันธืกับเนื้อหา ร้อยละ 35.98 และลำดับสาม คือ แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์<br />
หลักสูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบจุดมุ่งหมายและแนวทางในการปฏิบัติ ร้อยละ 26.62 นอกจาก<br />
นี้ยังพบว่าครูประเภทช่างอุตสาหกรรมไม่มีวุฒิทางครูถึง ร้อยละ 51.44 ซึ่งขาดความรู้เกี่ยวกับหลัก<br />
สูตรและการสอน จึงทำให้ครูมีความต้องการด้านการนิเทศด้านหลักสูตรมาก 2)ด้านวิธีการสอนและ<br />
บรรยากาศการเรียนการสอน พบว่า ครูมีความต้องการการนิเทศการสอนด้านวิธีการสอนและ<br />
บรรยากาศการเรียนการสอน ลำดับแรก คือ จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียมงานด้านการสอนก่อนเปิด<br />
ภาคเรียน ร้อยละ 43.16 ลำดับที่สอง คือ จัดประชุมชี้แจงวิธีการทำแผนการสอน บันทึกการสอน<br />
การจัดตารางสอน ร้อยละ 38.85 และลำดับที่สาม คือ จัดโครงการให้ครูผู้สอนใช้วิธีการสอนและ<br />
การทดลองการสอนแบบใหม่ ๆ ร้อยละ 37.41 นอกจากนี้ยังพบว่าครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนเอกชน<br />
อาชีวศึกษา ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม มีประสบการณ์ในการเป็นครูน้อยกว่า 5 ปี มีถึงร้อยละ<br />
47.76 3)ด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่าครูมีความต้องการการนิเทศการสอนด้านสื่อการเรียนการ<br />
สอน ลำดับแรกคือ แนะนำการใช้เครื่องมือช่างในการสอนภาคปฏิบัติ ร้อยละ 43.16 ลำดับที่สองคือ<br />
แนะนำการใช้อุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนประเภทชุดสาธิตต่าง ๆ ร้อยละ 20.50 และลำดับที่สาม<br />
คือ การชี้แนะการทำสื่อเป็นตัวอย่าง ร้อยละ 34.53 เนื่องจากการสอนด้านสาขาช่างอุตสาหกรรม ใน<br />
ส่วนของอาคารสถานที่ เครื่องจักร เครื่องมือ และสื่อการเรียนการสอน ต้องมีการลงทุนค่อนข้างสูงทำ<br />
ให้เกิดปัญหาไม่เพียงพอส่งผลให้สัดส่วนของจำนวนนักศึกษาต่อเครื่องมือ เครื่องจักร ไม่เหมาะสม<br />
4)ด้านการวัดและประเมินผล พบว่า ครูมีความต้องการการนิเทศการสอนด้านการวัดและประเมินผล<br />
ลำดับแรก คือ จัดอบรมวิธีการวัดผลและประเมินผลให้ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่องที่สอน ร้อยละ 50.72<br />
ลำดับที่สอง คือ จุดมุ่งหมายของการวัดผลและประเมินผล ร้อยละ 37.05 และลำดับสาม คือ ชี้แจง<br />
หลักการและระเบียบการประเมินผลการเรียน ร้อยละ 32.37 ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการวัดผลและ<br />
52<br />
ประเมินผลตามหลักสูตรใหม่ แตกต่างไปจากหลักสูตรเดิมครูจึงมักจะประสบปัญหาในการวัดและ<br />
ประเมินผล<br />
เกรียงศักดิ์ ปานคล้าย (2539 : 174 - 180) ได้ศึกษาเรื่อง ความต้องการการนิเทศภายในของ<br />
ครูช่างอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิค สังกัดกรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 12 ผลการวิจัยพบว่า ความ<br />
ต้องการการนิเทศภายในของครูช่างอุตสาหกรรม จำแนกตามวุฒิการศึกษาและคณะวิชาโดยส่วนรวม<br />
ของทุกงาน พบว่า ครูช่างอุตสาหกรรมที่ปฏิบัติการสอนในคณะวิชาช่างก่อสร้าง คณะวิชาเทคโนโลยี<br />
อุตสาหกรรม คณะวิชาช่างยนต์ คณะวิชาช่างกล และคณะวิชาช่างไฟฟ้ามีความต้องการการนิเทศ<br />
ภายในอยู่ในระดับมากทุกงาน เมื่อพิจารณาตามลำดับความต้องการการนิเทศภายในตามขอบเขตของ<br />
งานนิเทศภายในพบว่า ทุกวุฒิการศึกษา และทุกคณะวิชา มีความต้องการการนิเทศภายในด้านงาน<br />
หลักสูตรเป็นอันดับแรก และงานวัดผลและประเมินผลเป็นอันดับสุดท้าย ส่วนงานอื่น ๆ ให้ลำดับ<br />
ความต้องการแตกต่างกันไป ส่วนความต้องการและผลการเปรียบเทียบความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ของครูช่างอุตสาหกรรม จำแนกตามวุฒิการศึกษา และคณะวิชา มีผลดังนี้ 1)งานหลักสูตร พบว่าครู<br />
ช่างอุตสาหกรรมที่มีวุฒิปริญญาตรีหรือสูงกว่า และวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี ครูช่างอุตสาหกรรมที่ปฏิบัติ<br />
การสอนในคณะวิชาช่างก่อสร้าง คณะวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิชาช่างยนต์ คณะวิชาช่างกล<br />
และคณะวิชาช่างไฟฟ้า มีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านงานหลักสูตร โดยส่วนรวมอยู่ในระดับ<br />
มาก และมีความต้องการไม่แตกต่างกัน 2)งานการเรียนการสอน พบว่าครูช่างอุตสาหกรรมที่มีวุฒิ<br />
ปรญิ ญาตรหี รอื สงู กวา่ และวุฒิต่ำกว่าปริญญาตร ี ครูช่างอุตสาหกรรมที่ปฏิบัติการสอนในคณะวิชา<br />
ช่างก่อสร้าง คณะวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิชาช่างยนต์ คณะวิชาช่างกล และคณะวิชาช่าง<br />
ไฟฟ้า มีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านงานการเรียนการสอน โดยส่วนรวมอยู่ในระดับมาก และมี<br />
ความต้องการไม่แตกต่างกัน 3) งานสื่อการเรียนการสอน พบว่าครูช่างอุตสาหกรรมที่มีวุฒิปริญญาตรี<br />
หรอื สงู กวา่ และวุฒิต่ำกว่าปริญญาตร ี ครูช่างอุตสาหกรรมที่ปฏิบัติการสอนในคณะวิชาช่างก่อสร้าง<br />
คณะวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิชาช่างยนต์ คณะวิชาช่างกล และคณะวิชาช่างไฟฟ้า มีความ<br />
ต้องการการนิเทศภายใน ด้านงานสื่อการเรียนการสอน โดยส่วนรวมอยู่ในระดับมาก และครูที่มีวุฒิ<br />
ต่างกัน มีความต้องการการนิเทศภายในด้านการเรียนการสอนไม่แตกต่างกัน 4) งานวัดผลและ<br />
ประเมนิ ผล พบว่าครูช่างอุตสาหกรรมที่มีวุฒิปริญญาตรีหรือสูงกว่า และวุฒิต่ำกว่าปริญญาตร ี ครชู า่ ง<br />
อุตสาหกรรมที่ปฏิบัติการสอนในคณะวิชาช่างก่อสร้าง คณะวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิชา<br />
ช่างยนต์ คณะวิชาช่างกล และคณะวิชาช่างไฟฟ้า มีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านงานวัดผลและ<br />
ประเมินผล โดยส่วนรวมอยู่ในระดับมาก และมีความต้องการไม่แตกต่างกัน 5) งานพัฒนาบุคลากร<br />
พบว่า ครูช่างอุตสาหกรรมที่มีวุฒิปริญญาตรีหรือสูงกว่าและวุฒิต่ำกว่าปริญญาตร ี ครูช่างอุตสาหกรรม<br />
ที่ปฏิบัติการสอนในคณะวิชาช่างก่อสร้าง คณะวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิชาช่างยนต์ คณะ<br />
53<br />
วิชาช่างกล และคณะวิชาช่างไฟฟ้า มีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านงานพัฒนาบุคลากร โดยส่วน<br />
รวมอยู่ในระดับมาก และมีความต้องการไม่แตกต่างกัน<br />
กิตติมา เฉลิมพงษ (2543 : 59) ได้ศึกษาเรื่อง การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศ<br />
การสอน ในโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา เขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ<br />
ศึกษา และเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อสภาพ และความต้องการการนิเทศการสอน 6 ด้าน คือด้าน<br />
หลักสูตร ด้านเนื้อหาวิชา ด้านกิจกรรมการเรียนการสอนและเทคนิคการสอน ด้านสื่อการเรียน<br />
การสอน ด้านการวัดผลและประเมินผล และด้านการฝึกงานอาชีพ ผลการวิจัยพบว่า 1) ทั้งผู้บริหาร<br />
โรงเรียนและผู้สอนมีความคิดเห็นต่อสภาพการนิเทศการสอน ทั้ง 6 ด้านโดยรวมอยู่ในระดับปาน<br />
กลาง เมื่อพิจารณารายด้าน สรุปได้ดังนี้ ด้านหลักสูตร ด้านเนื้อหาวิชา และด้านการฝึกงานอาชีพ<br />
ผู้บริหารมีความคิดเห็นต่อสภาพการนิเทศการสอนอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้สอนมีความคิดเห็น อยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง ส่วนด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และเทคนิคการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
และด้านการวัดผลและประเมินผล ผู้บริหารมีความคิดเห็น อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนผู้สอนมีความ<br />
คิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 2) พบว่าผู้บริหารโรงเรียนและผู้สอนมีความต้องการการนิเทศการสอน<br />
ที่สอดคล้องกันนั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก 3) ผู้สอนที่มีวุฒิทางการศึกษาแตกต่างกัน และผู้สอนใน<br />
โรงเรียนขนาดต่างกัน มีความต้องการการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกันในทุก ๆ ด้าน คืออยู่ในระดับ<br />
มาก ส่วนผู้สอนที่มีประสบการณ์ด้านการสอนต่างกัน ได้แก่ ผู้สอน 0-5 ปี มีความต้องการการนิเทศ<br />
การสอน อยู่ในระดับปานกลางทั้ง 6 ด้าน ส่วนผู้สอนตั้งแต่ 6-10 ปี และมากกว่า 10 ปี มีความต้องการ<br />
การนิเทศการสอนที่อยู่ในระดับมากทุกด้าน<br />
สุธาทิพย์ เจริญสุข (2536 : 140) วิจัยเรื่อง “ความต้องการการนิเทศการสอนของครูโรงเรียน<br />
เอกชน อาชีวศึกษา ประเภทพาณิชยกรรม ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความ<br />
ต้องการในการนิเทศการสอนของครูโรงเรียนเอกชน อาชีวศึกษา ประเภทพาณิชยกรรม ในเขต<br />
กรุงเทพมหานคร และเปรียบเทียบความต้องการการนิเทศการสอนของครูโรงเรียนเอกชน อาชีวศึกษา<br />
ทางวุฒิวิชาชีพครู อายุ และประสบการณ์ในการสอน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ครูโรงเรียนเอกชน<br />
อาชีวศึกษา ประเภทพณิชยกรรม มีความต้องการการนิเทศการสอน ด้านหลักสูตรมาก คือ การจัดหา<br />
คู่มือครูให้กับผู้สอนทุกรายวิชาก่อนเปิดภาคเรียน ชี้แจงให้ครูเข้าใจจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการ<br />
จัดหาเอกสารหลักสูตรเพื่อการค้นคว้า ผลการวิจัยนี้มีความสอดคล้องกับการวิจัยของ สมศร ี มัชฌ<br />
เศรษฐ์ (2538 : 2) ซึ่งทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูอาจารย์ เกี่ยวกับการ<br />
พัฒนาบุคลากรในโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา ประเภทพณิชยกรรม ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี<br />
วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูอาจารย์ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากร ด้านการ<br />
พัฒนาคุณภาพตนเอง ด้านการพัฒนาทักษะและความสามารถเฉพาะหน้าที่ และด้านการพัฒนาเจตคติ<br />
ท่าที และพฤติกรรม ผลการวิจัยสรุปได้ว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีเอกสารประกอบการสอนไม่เพียงพอ<br />
54<br />
จากผลการศึกษางานวิจัยในประเทศ สรุปได้ว่า การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศ<br />
การสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่สภาพของการนิเทศภายใน พบว่าด้านหลักสูตร ด้านเนื้อหาวิชา และ<br />
ด้านการฝึกงานอาชีพ ผู้บริหารมีความคิดเห็นต่อสภาพการนิเทศการสอนอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้สอน<br />
มีความคิดเห็น อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และผู้สอนต่อความ<br />
ต้องการการนิเทศการสอน สรุปได้ว่า ผู้บริหารโรงเรียนและผู้สอนมีความต้องการการนิเทศการสอนที่<br />
สอดคล้องกันทุกด้านอยู่ในระดับมาก<br />
งานวิจัยต่างประเทศ<br />
ทิลาฮัน (สมจิตร อุดม. 2532 : 44 ;อ้างอิงมาจาก Tilahun. 1983 : 2168-A) ได้ทำการวิจัย<br />
เรื่อง การจัดกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนที่พึงประสงค์ของการพัฒนาประเทศ เอธิโอเปีย กลุ่ม<br />
ตัวอย่างได้แก่ ครู ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการ ผลจากการวิจัยสรุปได้ว่า<br />
1. ครู ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า กิจกรรมที่ใช้นิเทศภายใน<br />
โรงเรียน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ การฝึกอบรมแนะนำ การฝึกอบรมปฏิบัติการ การสาธิต<br />
การสอนโดยศึกษานิเทศก์ การประชุมกลุ่มย่อยของครู การเยี่ยมชั้นเรียน และสังเกตการสอน<br />
2. ครู ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจัดกิจกรรมการนิเทศ<br />
ภายในโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง<br />
3. ครู ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การนิเทศในลักษณะร่วมมือ<br />
กันปฏิบัติงานนิเทศการศึกษา จะก่อให้เกิดผลดีกว่าการนิเทศการศึกษาในลักษณะที่ใช้อำนาจและการ<br />
บังคับ<br />
แอนเดอร์สัน และดีบรา (Anderson and Debra. 1992 : Abstract) ได้ศึกษาเรื่อง การ<br />
วิเคราะห์คุณภาพของรูปแบบการนิเทศการสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูในสถาบันการศึกษา<br />
จำนวน 197 คนผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 86.8 ของสถาบันการศึกษามีการเปลี่ยน<br />
แปลงรูปแบบการนิเทศการสอนประมาณร้อยละ 16.8 ของสถาบันการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง<br />
รูปแบบการนิเทศทุก 5 ปีในเรื่องของกฏระเบียบของการนิเทศการศึกษาในมหาวิทยาลัยยังคงปฏิบัติ<br />
กันสืบเนื่องมาตลอด<br />
แวมบอลดท์ และคนอื่น ๆ (Wamboldt and Others. 1993 : Abstract) ได้ศึกษาเรื่อง การ<br />
สำรวจปีแรกและปีที่สามของครูและศึกษานิเทศก์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูจำนวน 830 คน ศึกษา<br />
55<br />
นิเทศก์จำนวน 1,049 คน โดยศึกษาในด้าน ความรู้ของเนื้อหาวิชา ความรู้และประโยชน์ของการสอน<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้ การวางแผนและการจัดการของหลักสูตรและการสอน การจัดชั้นเรียน เทคนิคการ<br />
สอนและติดต่อ วัสดุการสอน การให้ความช่วยเหลือ การติดต่อและความร่วมมือกับผู้ปกครองและ<br />
ทีมงาน ผลการวิจัยพบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของครูอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกด้าน ยกเว้นด้านการจัด<br />
ชั้นเรียน ครูจำนวนมากยังไม่มีการเตรียมความพร้อมที่เพียงพอ<br />
สรุปได้ว่า ความต้องการที่อยู่ในระดับมากคือ ความต้องการที่จะมีความสามารถในการ<br />
ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการนิเทศ และการประเมินผล ตลอดจนความต้องการปรับปรุงการจัดการเรียน<br />
การสอนและการพัฒนาหลักสูตร และจากผลการวิจัยยังพบว่า ผู้นิเทศก์การศึกษาไม่ได้ปฏิบัติงาน<br />
นิเทศด้านการเรียนการสอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร การ<br />
เผยแพร่ข่าวสารแก่ครู ช่วยเหลือในการตัดสินใจของครู ไม่ใช่ผู้ตรวจตราคอยจับผิดครูแต่เพื่อให้เกิด<br />
การพัฒนา ด้านความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ เกิดการปรับปรุงด้านการสอนให้ทันสมัย ทันต่อ<br />
สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้าน สังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่กำลังเจริญก้าวหน้าไปอย่าง<br />
รวดเร็ว<br />
บทที่ 3<br />
วิธีดำเนินการวิจัย<br />
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภท<br />
วิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 รวมทั้งหมด 5 ด้าน<br />
คือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้าน<br />
การวัดและประเมินผลนั้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้<br />
1. ประชากร<br />
2. ตัวแปรที่ศึกษา<br />
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย<br />
ประชากร<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในวิทยาลัยเทคนิค ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 รวม 3 วิทยาลัย คือ<br />
1. วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
2. วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม<br />
3. วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม<br />
รวมจำนวนทั้งสิ้น 189 คน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยทำการศึกษากับประชากรทั้งหมด<br />
ดังรายละเอียดในตารางที่ 2 ตารางแสดงจำนวนประชากรแยกตามวิทยาลัย<br />
ที่ สถานศึกษา แผนก ประชากร<br />
1 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร ช่างยนต์ 11<br />
ช่างกลโรงงาน 10<br />
ช่างเชื่อมโลหะ 7<br />
ช่างไฟฟ้ากำลัง 8<br />
ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 14<br />
ช่างก่อสร้าง 5<br />
เทคนิคพื้นฐาน 5<br />
57<br />
ที่ สถานศึกษา แผนก ประชากร<br />
2 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ช่างยนต์ 10<br />
ช่างกลโรงงาน 11<br />
ช่างเขียนแบบเครื่องกล 4<br />
ช่างเชื่อมโลหะ 8<br />
ช่างไฟฟ้ากำลัง 11<br />
ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 13<br />
ช่างก่อสร้าง 7<br />
เทคนิคพื้นฐาน 5<br />
3 วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ช่างยนต์ 11<br />
ช่างกลโรงงาน 9<br />
ช่างเชื่อมโลหะ 8<br />
ช่างไฟฟ้ากำลัง 10<br />
ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 11<br />
ช่างก่อสร้าง 6<br />
เทคนิคพื้นฐาน 5<br />
รวม 189<br />
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนประชากร<br />
ตัวแปรที่ศึกษา<br />
ได้แก่ สภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม 5 ด้าน คือ<br />
1. ด้านหลักสูตร<br />
2. ด้านการเรียนการสอน<br />
3. ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
4. ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
5. ด้านการวัดและประเมินผล<br />
ตารางที่ 2 (ต่อ)<br />
58<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
ลักษณะของเครื่องมือ<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น<br />
เพื่อศึกษาสภาพ และความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ<br />
ตอนที่ 1 เป็นแบบเลือกตอบ เพื่อสอบถามสถานภาพและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบ<br />
ถาม<br />
ตอนที่ 2 เป็นแบบมาตรประมาณค่า แบ่งเป็นระดับการนิเทศภายในด้านวิชาการที่ปฏิบัติ<br />
และระดับการนิเทศภายในด้านวิชาการที่ต้องการ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่<br />
1. ด้านหลักสูตร<br />
2. ด้านการเรียนการสอน<br />
3. ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
4. ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
5. ด้านการวัดผลและประเมินผล<br />
ตอนที่ 3 เป็นความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการ<br />
นิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ที่ต้องการจะเพิ่มเติมในแต่ละด้าน มี<br />
ลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด<br />
การสร้างเครื่องมือ<br />
ในการสร้างเครื่องมือผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้<br />
1. ศึกษาขั้นตอน ศึกษาทฤษฎี ทบทวนวรรณกรรม และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพและ<br />
ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างคำถามในแบบสอบถาม<br />
2. กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย และนิยามความหมาย โดยแยกออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้แก่<br />
ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการ<br />
วัดและประเมินผล<br />
3. สร้างเครื่องมือในการวิจัย โดยการศึกษาค้นคว้าจากตำรา เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ที่<br />
เกยี่ วขอ้ ง ตลอดจนข้อคิดเห็นของบุคคลที่มีความร ู้ ความสามารถและประสบการณ์เกี่ยวกับการนิเทศ<br />
ภายใน อีกทั้งอาศัยประสบการณ์ในการทำงานของผู้วิจัยเอง โดยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับระดับ<br />
การนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ คือ<br />
มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด<br />
59<br />
เกณฑ์การให้คะแนนแบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้<br />
5 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมากที่สุด<br />
4 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมาก<br />
3 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการปานกลาง<br />
2 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อย<br />
1 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อยที่สุด<br />
4. นำแบบสอบถามเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน เพื่อ<br />
ตรวจสอบและให้คำแนะนำต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุง เพื่อให้แบบสอบถามมีความชัดเจน ถูกต้อง<br />
สมบูรณ์ และ ตรงตามวัตถุประสงค์มากที่สุด<br />
5. นำแบบสอบถามไปตรวจสอบคุณภาพ โดยนำไปทดลองใช้กับครูผู้สอนในสถานศึกษา<br />
ที่เปิดสอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ที่ไม่ใช่กลุ่มประชากร เพื่อนำมาหาค่าความเชื่อมั่น<br />
(Reliability) โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของ Cronbach ได้ค่าความเชื่อมั่นของ<br />
แบบสอบถามโดยแยกเป็น สภาพของการนิเทศ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และ ความต้องการ<br />
การนิเทศ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 ส่วนค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .94<br />
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้<br />
1. ขอหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถึงอธิบดี<br />
กรมอาชีวศึกษา เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการแจกแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในการทำ<br />
วิทยานิพนธ์<br />
2. ขอหนังสืออนุญาตจาก อธิบดีกรมอาชีวศึกษา ไปถึง ผู้อำนวยการของวิทยาลัยเทคนิคที่<br />
อยู่ในสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ทั้ง 3 วิทยาลัย เพื่อขออนุญาตและขอความร่วมมือในการตอบ<br />
แบบสอบถาม และการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
3. นำแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ที่ได้รับอนุญาตจาก กรมอาชีวศึกษาและผ่านการ<br />
ตรวจสอบคุณภาพแล้ว จำนวน 189 ฉบับ ส่งไปยังกลุ่มประชากร คือครูที่สอนประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 คือ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ซึ่งผู้วิจัยเดินทางไปเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ด้วยตัวเอง โดยได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาทั้งสิ้น 189 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 ของประชากร<br />
4. นำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์ก่อนนำไปวิเคราะห์ข้อมูลตาม<br />
ขั้นตอนทางสถิติต่อไป<br />
60<br />
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย<br />
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำแบบสอบถามจากประชากรที่ได้รับ<br />
กลับคืนมาทั้งหมด มาวิเคราะห์แบบสอบถามแต่ละตอน ดังนี้<br />
1. การจัดกระทำข้อมูล<br />
1.1 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามได้รับกลับคืนมา แล้วคัดเลือกเอาเฉพาะ<br />
แบบสอบถามที่สมบูรณ์ตามเกณฑ์ มาวิเคราะห์ข้อมูล<br />
1.2 นำข้อมูลที่ได้ ไปวิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อวิเคราะห์หาค่าสถิติตาม<br />
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้<br />
2. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
2.1 วิเคราะห์สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยการแจกแจงความถี่ (Frequency)<br />
และหาค่าร้อยละ (Percentage)<br />
2.2 วิเคราะห์สภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการของคร ู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และส่วนเบี่ยงเบน<br />
มาตรฐาน (∅)<br />
2.3 วิเคราะห์ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และ<br />
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (∅)<br />
การแปลความค่าเฉลี่ย ระดับของสภาพการนิเทศ และความต้องการการนิเทศภายใน โดย<br />
กำหนดเกณฑ์ของคะแนนเฉลี่ยไว้ดังนี้ (ประคอง กรรณสูตร, 2538 : 70)<br />
ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมากที่สุด<br />
ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมาก<br />
ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการปานกลาง<br />
ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อย<br />
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อยที่สุด<br />
61<br />
บทที่ 4<br />
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
การศึกษาสภาพ และความต้องการการนิเทศภายใน ดา้ นวชิ าการของคร ู ประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรมในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถาม<br />
จำนวน 189 ฉบับ ไปยังครูผู้สอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม และได้รับแบบสอบถามกลับคืนมา<br />
จำนวน 189 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 และนำฉบับที่สมบูรณ์ มาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป<br />
SPSS/PC+ ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ตอนดังนี้<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามโดยการแจกแจงความถี่<br />
(Frequency) และหาค่าร้อยละ (Percentage)<br />
ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพ และความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร<br />
ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการวัดและประเมิน<br />
ผล ด้วยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (∅)<br />
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศ<br />
ภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ด้วยการแจกแจงความถี่ (Frequency) และ<br />
การสังเคราะห์<br />
ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 3<br />
ตารางที่ 3 ค่าร้อยละของข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
สถานภาพ จำนวน (คน) ร้อยละ<br />
ชาย 168 88.89<br />
เพศ หญงิ 21 11.11<br />
รวม 189 100.00<br />
ต่ำกว่า 30 ปี 41 21.69<br />
30 – 40 ปี 53 28.04<br />
41 – 50 ปี 81 42.86<br />
51 – 60 ปี 14 7.41<br />
อายุ<br />
รวม 189 100.00<br />
62<br />
สถานภาพ จำนวน (คน) ร้อยละ<br />
ต่ำกว่าปริญญาตรี 6 3.17<br />
ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า 165 87.30<br />
สูงกว่าปริญญาตรี 18 9.52<br />
วุฒิการศึกษาสูงสุด<br />
หรือเทียบเท่า<br />
รวม 189 100.00<br />
มี 167 88.36<br />
ไม่มี 22 11.64<br />
มีวุฒิทางวิชาชีพครู<br />
(ทางการศึกษา)<br />
รวม 189 100.00<br />
น้อยกว่า 5 ปี 31 16.40<br />
5 – 10 ปี 47 24.87<br />
11 – 15 ปี 16 8.47<br />
มากกว่า 15 ปี 95 50.26<br />
ประสบการณ์การ<br />
สอนในประเภทวิชา<br />
ช่างอุตสาหกรรม<br />
รวม 189 100.00<br />
จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่าประชากรทั้งหมด 189 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ<br />
88.89 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 42.86 และรองลงมาอายุระหว่าง 30-40 ปี ร้อยละ 7.41 มี<br />
วุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 87.30 รองลงมาเป็นวุฒิในระดับสูงกว่า<br />
ปริญญาตรี ร้อยละ 9.52 และมีวุฒิทางวิชาชีพครู ร้อยละ 88.36 และส่วนใหญ่ มีประสบการณ์การ<br />
สอนในประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม มากกว่า 15 ปี ร้อยละ 50.26 รองลงมาคือ 5 - 10 ปี<br />
ตารางที่ 3 (ต่อ)<br />
63<br />
ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพ และความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร ด้านการ<br />
เรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการวัดและประเมินผล<br />
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (∅) ได้ผลการวิเคราะห์<br />
ดังตารางที่ 4 - 9 ดังนี้<br />
ตารางที่ 4 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของ สภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยรวมทุกด้าน<br />
ที่ การนิเทศภายในด้านวิชาการ สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1 ด้านหลักสูตร 2.88 1.02 ปานกลาง 4.15 0.85 มาก<br />
2 ด้านการเรียนการสอน 2.85 1.10 ปานกลาง 4.12 0.85 มาก<br />
3 ด้านสื่อการเรียนการสอน 2.70 1.10 ปานกลาง 4.08 0.87 มาก<br />
4 ด้านการพัฒนาบุคลากร 2.76 1.10 ปานกลาง 4.13 0.88 มาก<br />
5 ด้านการวัดและประเมินผล 2.96 1.09 ปานกลาง 4.06 0.85 มาก<br />
รวม 2.83 1.08 ปานกลาง 4.10 0.86 มาก<br />
จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการโดยภาพรวม อยู่ใน<br />
ระดับปานกลาง (ℵ = 2.83, ∅ = 1.08) ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการโดยภาพรวม<br />
อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.10, ∅ = 0.86)<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ อยู่ในระดับปานกลาง<br />
ทุกด้าน โดยเรียงตามลำดับดังนี้ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร และ ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงตามลำดับ<br />
ดังนี้ ด้านหลักสูตร ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน และ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล<br />
64<br />
ตารางที่ 5 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
วิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ด้านหลักสูตร<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านหลักสูตร ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1. การสำรวจความต้องการและ<br />
ปัญหาเกี่ยวกับงานด้านหลักสูตร<br />
2.87 0.97 ปานกลาง 4.10 0.88 มาก<br />
2. แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์หลัก<br />
สูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบ<br />
จุดมุ่งหมายและแนวทางในการ<br />
ปฏิบัติ<br />
2.99 1.01 ปานกลาง 4.19 0.82 มาก<br />
3. การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับจุด<br />
มุ่งหมาย/หลักการและโครงสร้าง<br />
ของหลักสูตร<br />
2.85 0.94 ปานกลาง 4.08 0.86 มาก<br />
4. แนะนำให้ครูปรับปรุงหลักสูตร คู่<br />
มือการเรียนการสอน ใบงาน และ<br />
เอกสารประกอบการสอน ให้มี<br />
ความทันสมัย<br />
2.93 1.08 ปานกลาง 4.23 0.88 มาก<br />
5. แนะนำด้านการจัดกิจกรรมเสริม<br />
หลักสูตรการเรียนการสอนด้าน<br />
วิชาชีพ<br />
2.79 0.99 ปานกลาง 4.12 0.85 มาก<br />
6. จัดเตรียม และแนะนำการใช้<br />
เอกสารประกอบหลักสูตรและคู่<br />
มือครู เพื่อให้สามารถจัดการเรียน<br />
การสอนได้อย่างเหมาะสม<br />
2.94 1.05 ปานกลาง 4.20 0.80 มาก<br />
7. การตรวจสอบและควบคุมการ<br />
เรียนการสอนให้ตรงตามวัตถุ<br />
ประสงค์ของหลักสูตร<br />
2.98 1.00 ปานกลาง 4.11 0.87 มาก<br />
65<br />
ตารางที่ 5 (ต่อ)<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านหลักสูตร ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
8. จัดการสัมมนา/อบรมให้ความรู้<br />
เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรให้<br />
ตรงตามความต้องการของตลาด<br />
แรงงาน<br />
2.79 1.07 ปานกลาง 4.29 0.79 มาก<br />
9. จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย<br />
เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้<br />
หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง<br />
2.78 1.04 ปานกลาง 4.02 0.90 มาก<br />
รวม 2.88 1.02 ปานกลาง 4.15 0.85 มาก<br />
จากตารางที่ 5 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวม พบว่าสภาพของการนิเทศภายใน<br />
ด้านหลักสูตร อยู่ในระดับปานกลาง (ℵ = 2.88, ∅ = 1.02) ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
หลักสูตร อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.15, ∅ = 0.85)<br />
เมื่อพิจารณาสภาพของการนิเทศภายใน ด้านหลักสูตร เป็นรายข้อพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง<br />
ทั้งหมดทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์หลักสูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบจุดมุ่งหมายและแนว<br />
ทางในการปฏิบัติ<br />
2. การตรวจสอบและควบคุมการเรียนการสอนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร<br />
3. จัดเตรียม และแนะนำการใช้เอกสารประกอบหลักสูตรและคู่มือครู เพื่อให้สามารถ<br />
จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม<br />
4. แนะนำให้ครูปรับปรุงหลักสูตร คู่มือการเรียนการสอน ใบงาน และเอกสารประกอบการ<br />
สอน ให้มีความทันสมัย<br />
5. การสำรวจความต้องการและปัญหาเกี่ยวกับงานด้านหลักสูตร<br />
6. การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย/หลักการและโครงสร้างของหลักสูตร<br />
7. แนะนำด้านการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรการเรียนการสอนด้านวิชาชีพ<br />
66<br />
8. จัดการสัมมนา/อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของ<br />
ตลาดแรงงาน<br />
9. จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างต่อ<br />
เนื่อง<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านหลักสูตร เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าอยู่ในระดับ<br />
มากทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. จัดการสัมมนา/อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของ<br />
ตลาดแรงงาน<br />
2. แนะนำให้ครูปรับปรุงหลักสูตร คู่มือการเรียนการสอน ใบงาน และเอกสารประกอบการ<br />
สอน ให้มีความทันสมัย<br />
3. จัดเตรียม และแนะนำการใช้เอกสารประกอบหลักสูตรและคู่มือครู เพื่อให้สามารถจัด<br />
การเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม<br />
4. แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์หลักสูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบจุดมุ่งหมายและแนว<br />
ทางในการปฏิบัติ<br />
5. แนะนำด้านการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรการเรียนการสอนด้านวิชาชีพ<br />
6. การตรวจสอบและควบคุมการเรียนการสอนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร<br />
7. การสำรวจความต้องการและปัญหาเกี่ยวกับงานด้านหลักสูตร<br />
8. การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย/หลักการและโครงสร้างของหลักสูตร<br />
9. จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างต่อ<br />
เนื่อง<br />
67<br />
ตารางที่ 6 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
วิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ด้านการเรียนการสอน<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการเรียนการสอน ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1. จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียม<br />
งานด้านการสอนก่อนเปิดภาค<br />
เรียน<br />
2.97 1.02 ปานกลาง 4.07 0.83 มาก<br />
2. บริการด้านคู่มือ/ เอกสารทางวิชา<br />
การ และหนังสือที่ใช้ประกอบ<br />
การเรียนการสอนให้แก่ครูผู้สอน<br />
อย่างเพียงพอ<br />
2.86 1.22 ปานกลาง 4.36 0.73 มาก<br />
3. การให้บริการ/จัดเก็บ และบำรุง<br />
รักษาสื่อการเรียนการสอน<br />
2.85 1.13 ปานกลาง 4.04 0.96 มาก<br />
4. การแนะนำให้ใช้วิธีสอนที่เน้น<br />
ทักษะ/กระบวนการ เพื่อให้นัก<br />
เรียนเกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจที่<br />
แท้จริง<br />
2.89 1.02 ปานกลาง 4.15 0.78 มาก<br />
5. การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำ<br />
โครงการสอน/แผนการสอน และ<br />
บันทึกการสอน<br />
3.51 1.03 มาก 4.07 0.85 มาก<br />
6. มีการชี้แนะให้จัดสภาพแวดล้อม<br />
ภายในห้องเรียนและพื้นที่ฝึก<br />
ปฏิบัติ ให้เอื้อต่อการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
2.94 1.02 ปานกลาง 4.02 0.82 มาก<br />
7. จัดให้มีการเข้าเยี่ยมชั้นเรียนและ<br />
แนะนำเทคนิคการสอนเป็นราย<br />
บุคคล<br />
2.50 1.08 ปานกลาง 3.97 0.84 มาก<br />
68<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการเรียนการสอน ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
8. จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมา<br />
สาธิตวิธีการสอนและเทคนิคการ<br />
สอนแบบใหม่<br />
2.54 1.25 ปานกลาง 4.22 0.90 มาก<br />
9. ได้รับการแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อ<br />
มูลประจำตัวนักเรียนเป็นราย<br />
บุคคล เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
2.77 1.06 ปานกลาง 3.97 0.93 มาก<br />
10. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และ<br />
เครื่องจักรที่จำเป็นต้องใช้ในการ<br />
เรียนการสอน<br />
2.96 1.17 ปานกลาง 4.37 0.80 มาก<br />
11. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีการประชุม<br />
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชา<br />
การและประสบการณ์การสอน<br />
2.68 1.17 ปานกลาง 4.16 0.86 มาก<br />
12. มีการติดตามดูแล และประเมินผล<br />
การสอนของครูผู้สอน<br />
2.78 1.00 ปานกลาง 4.06 0.86 มาก<br />
รวม 2.85 1.10 ปานกลาง 4.12 0.85 มาก<br />
จากตารางที่ 6 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่า สภาพของการนิเทศภายใน<br />
ด้านการเรียนการสอน อยู่ในระดับปานกลาง (ℵ = 2.85, ∅ = 1.10) ส่วนความต้องการการนิเทศ<br />
ภายใน ด้านการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.12, ∅ = 0.85)<br />
เมื่อพิจารณาสภาพของการนิเทศภายใน ด้านการเรียนการสอนเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับ<br />
มากจำนวน 1 ข้อได้แก่ การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำโครงการสอน/แผนการสอน และบันทึก<br />
การสอน (ℵ = 3.51, ∅ = 1.03) ส่วนข้ออื่นที่เหลือทั้ง 11 ข้อ อยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงตามลำดับ<br />
คะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำโครงการสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน<br />
2. จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียมงานด้านการสอนก่อนเปิดภาคเรียน<br />
ตารางที่ 6 (ต่อ)<br />
69<br />
3. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน<br />
4. มีการชี้แนะให้จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนและพื้นที่ฝึกปฏิบัติ ให้เอื้อต่อการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
5. การแนะนำให้ใช้วิธีสอนที่เน้นทักษะ/กระบวนการ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ความ<br />
เข้าใจที่แท้จริง<br />
6. บริการด้านคู่มือ/ เอกสารทางวิชาการ และหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนให้แก่<br />
ครูผู้สอน<br />
7. การให้บริการ/จัดเก็บ และบำรุงรักษาสื่อการเรียนการสอน<br />
8. มีการติดตามดูแล และประเมินผลการสอนของครูผู้สอน<br />
9. ได้รับการแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อประโยชน์ใน<br />
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
10. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีการประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการและประสบการณ์<br />
การสอน<br />
11. จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาสาธิตวิธีการสอนและเทคนิคการสอนแบบใหม่<br />
12. จัดให้มีการเข้าเยี่ยมชั้นเรียนและแนะนำเทคนิคการสอนเป็นรายบุคคล<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าอยู่<br />
ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน<br />
2. บริการด้านคู่มือ/ เอกสารทางวิชาการ และหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนให้แก่<br />
ครูผู้สอน<br />
3. จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาสาธิตวิธีการสอนและเทคนิคการสอนแบบใหม่<br />
4. จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาสาธิตวิธีการสอนและเทคนิคการสอนแบบใหม่<br />
5. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีการประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการและประสบการณ์<br />
การสอน<br />
6. การแนะนำให้ใช้วิธีสอนที่เน้นทักษะ/กระบวนการ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ความ<br />
เข้าใจที่แท้จริง<br />
7. จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียมงานด้านการสอนก่อนเปิดภาคเรียน<br />
8. การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำโครงการสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน<br />
9. มีการติดตามดูแล และประเมินผลการสอนของครูผู้สอน<br />
10. การให้บริการ/จัดเก็บ และบำรุงรักษาสื่อการเรียนการสอน<br />
70<br />
11. มีการชี้แนะให้จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนและพื้นที่ฝึกปฏิบัติ ให้เอื้อต่อการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
12. ได้รับการแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อประโยชน์ใน<br />
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
ตารางที่ 7 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
วิชาการในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1. การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/<br />
อุปกรณ์ในการสร้างสื่อการเรียน<br />
การสอน<br />
2.76 1.16 ปานกลาง 4.24 0.86 มาก<br />
2. การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไป<br />
สร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
2.83 1.19 ปานกลาง 4.26 0.83 มาก<br />
3. จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืม<br />
สื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่าง<br />
สถานศึกษา<br />
2.43 1.19 น้อย 3.69 1.08 มาก<br />
4. ส่งเสริมให้ครูมีการจัดหาหรือจัด<br />
สร้างสื่อด้วยตนเองเพื่อใช้ในการ<br />
เรียนการสอนทุกรายวิชา<br />
2.76 1.04 ปานกลาง 4.11 0.87 มาก<br />
5. แนะนำและให้คำปรึกษา ในการ<br />
ผลิตสื่อการเรียนการสอนให้สอด<br />
คล้องกับกิจกรรมการเรียนการ<br />
สอนตามแผนการสอน<br />
2.68 1.03 ปานกลาง 4.13 0.79 มาก<br />
6. แนะนำให้ใช้ห้องสมุดเป็นสื่อใน<br />
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
2.71 1.09 ปานกลาง 3.96 0.87 มาก<br />
7. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัสดุ/<br />
อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ในวิชา<br />
ช่างอุตสาหกรรม<br />
2.72 1.08 ปานกลาง 4.08 0.85 มาก<br />
71<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
8. จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียน<br />
การสอนโดยใช้เทคโนโลยี และ<br />
นวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น<br />
คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ<br />
2.81 1.11 ปานกลาง 4.20 0.86 มาก<br />
9. มีการแนะนำหนังสือ วารสารทาง<br />
วิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ เพื่อ<br />
เป็นการเผยแพร่ความรู้<br />
2.62 1.11 ปานกลาง 4.10 0.83 มาก<br />
10. ติดตามและประเมินผลการใช้สื่อ<br />
การเรียนการสอนของครูผู้สอน<br />
2.65 0.98 ปานกลาง 4.02 0.84 มาก<br />
รวม 2.70 1.10 ปานกลาง 4.08 0.87 มาก<br />
จากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่า สภาพของการนิเทศภายใน<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน อยู่ในระดับปานกลาง (ℵ = 2.70, ∅ = 1.10) ส่วนความต้องการการนิเทศ<br />
ภายใน ด้านสื่อการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.08, ∅ = 0.87)<br />
เมื่อพิจารณาสภาพของการนิเทศภายใน ด้านสื่อการเรียนการสอน เป็นรายข้อพบว่าอยู่ใน<br />
ระดับน้อยจำนวน 1 ข้อได้แก่ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถาน<br />
ศึกษา (ℵ = 2.43, ∅ = 1.19) ส่วนข้ออื่นที่เหลือทั้ง 9 ข้อ อยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงตามลำดับ<br />
คะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
2. จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น<br />
คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ<br />
3. การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/อุปกรณ์ในการสร้างสื่อการเรียน<br />
4. ส่งเสริมให้ครูมีการจัดหาหรือจัดสร้างสื่อด้วยตนเองเพื่อใช้ในการเรียนการสอน<br />
ทุกรายวิชา<br />
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัสดุ/อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ในวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
6. แนะนำให้ใช้ห้องสมุดเป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
ตารางที่ 7 (ต่อ)<br />
72<br />
7. แนะนำและให้คำปรึกษา ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับกิจกรรมการ<br />
เรียนการสอนตามแผนการสอน<br />
8. ติดตามและประเมินผลการใช้สื่อการเรียนการสอนของครูผู้สอน<br />
9. มีการแนะนำหนังสือ วารสารทางวิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเป็นการเผยแพร่<br />
ความรู้<br />
10. จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านสื่อการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า<br />
อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
2. การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/อุปกรณ์ในการสร้างสื่อการเรียน<br />
3. จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น<br />
คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ<br />
4. แนะนำและให้คำปรึกษา ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับกิจกรรมการ<br />
เรียนการสอนตามแผนการสอน<br />
5. ส่งเสริมให้ครูมีการจัดหาหรือจัดสร้างสื่อด้วยตนเองเพื่อใช้ในการเรียนการสอนทุกราย<br />
วิชา<br />
6. มีการแนะนำหนังสือ วารสารทางวิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเป็นการเผยแพร่<br />
ความรู้<br />
7. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัสดุ/อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ในวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
8. ติดตามและประเมินผลการใช้สื่อการเรียนการสอนของครูผู้สอน<br />
9. แนะนำให้ใช้ห้องสมุดเป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
10. จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา<br />
73<br />
ตารางที่ 8 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
วิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมใน<br />
การศึกษาต่อ<br />
2.89 1.21 ปานกลาง 4.31 0.85 มาก<br />
2. จัดสำรวจความต้องการของครูใน<br />
การเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนา<br />
เกี่ยวกับกลุ่มประสบการณ์วิชาชีพ<br />
ในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา<br />
2.99 1.13 ปานกลาง 4.33 0.78 มาก<br />
3. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมใน<br />
การฝึกอบรม หรือการประชุมเชิง<br />
ปฏิบัติการ และดูงานนอกสถานที่<br />
2.83 1.23 ปานกลาง 4.34 0.83 มาก<br />
4. การส่งครูผู้สอนไปฝึกงาน/อบรม<br />
ในสถานประกอบการ เพื่อนำ<br />
ความรู้ และทักษะที่ได้รับมา<br />
พัฒนาการเรียนการสอน<br />
2.62 1.12 ปานกลาง 4.28 0.83 มาก<br />
5. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมให้มี<br />
ส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน<br />
2.90 1.00 ปานกลาง 3.92 0.87 มาก<br />
6. ส่งเสริมให้ครูช่างอุตสาหกรรมทำ<br />
การทดลอง การวิจัยเกี่ยวกับงาน<br />
ช่างอุตสาหกรรม<br />
2.62 1.05 ปานกลาง 4.17 0.83 มาก<br />
7. การแนะนำให้จัดทำผลงานทาง<br />
วิชาการเพื่อความก้าวหน้าใน<br />
อาชีพครู<br />
2.81 1.09 ปานกลาง 4.19 0.90 มาก<br />
8. ส่งเสริมผลงานของครูช่างอุตสาห<br />
กรรมโดยการเผยแพร่ผลงานแก่<br />
บุคคลทั่วไป<br />
2.75 1.07 ปานกลาง 4.12 0.87 มาก<br />
74<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
9. จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยน<br />
หน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบ<br />
การณ์ในการทำงาน<br />
2.54 1.08 ปานกลาง 3.76 1.05 มาก<br />
10. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จาก<br />
การประชุม/อบรมมา เผยแพร่แก่<br />
ครูในวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ<br />
2.67 1.10 ปานกลาง 4.06 0.92 มาก<br />
11. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จาก<br />
การประชุมอบรมมาใช้เป็นข้อมูล<br />
ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ<br />
สอน<br />
2.75 1.08 ปานกลาง 4.10 0.88 มาก<br />
12. ติดตามและประเมินผลการพัฒนา<br />
ของครูช่างอุตสาหกรรม<br />
2.70 1.04 ปานกลาง 3.95 0.92 มาก<br />
รวม 2.76 1.10 ปานกลาง 4.13 0.88 มาก<br />
จากตารางที่ 8 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่า สภาพของการนิเทศภายใน<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร อยู่ในระดับปานกลาง (ℵ = 2.76, ∅ = 1.10) ส่วนความต้องการการนิเทศ<br />
ภายใน ด้านการพัฒนาบุคลากร อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.13, ∅ = 0.88)<br />
เมื่อพิจารณาสภาพของการนิเทศภายใน ด้านการพัฒนาบุคลากร เป็นรายข้อพบว่าอยู่ใน<br />
ระดับปานกลางทั้งหมดทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับกลุ่มประสบ<br />
การณ์วิชาชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา<br />
2. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน<br />
3. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการศึกษาต่อ<br />
4. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการฝึกอบรม หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงาน<br />
นอกสถานที่<br />
5. การแนะนำให้จัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพครู<br />
ตารางที่ 8 (ต่อ)<br />
75<br />
6. ส่งเสริมผลงานของครูช่างอุตสาหกรรมโดยการเผยแพร่ผลงานแก่บุคคลทั่วไป<br />
7. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุมอบรมมาใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงและ<br />
พัฒนาการเรียนการสอน<br />
8. ติดตามและประเมินผลการพัฒนาของครูช่างอุตสาหกรรม<br />
9. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุม/อบรมมา เผยแพร่แก่ครูในวิทยาลัยอย่าง<br />
สม่ำเสมอ<br />
10. การส่งครูผู้สอนไปฝึกงาน/อบรม ในสถานประกอบการ เพื่อนำความรู้ และทักษะที่ได้<br />
รับมาพัฒนาการเรียนการสอน<br />
11. ส่งเสริมให้ครูช่างอุตสาหกรรมทำการทดลอง การวิจัยเกี่ยวกับงานช่างอุตสาหกรรม<br />
12. จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการพัฒนาบุคลากร เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า<br />
อยู่ในระดับมากทุกข้อโดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการฝึกอบรม หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงาน<br />
นอกสถานที่<br />
2. จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับกลุ่มประสบ<br />
การณ์วิชาชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา<br />
3. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการศึกษาต่อ<br />
4. การส่งครูผู้สอนไปฝึกงาน/อบรม ในสถานประกอบการ เพื่อนำความรู้ และทักษะที่ได้<br />
รับมาพัฒนาการเรียนการสอน<br />
5. การแนะนำให้จัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพครู<br />
6. ส่งเสริมให้ครูช่างอุตสาหกรรมทำการทดลอง การวิจัยเกี่ยวกับงานช่างอุตสาหกรรม<br />
7. ส่งเสริมผลงานของครูช่างอุตสาหกรรมโดยการเผยแพร่ผลงานแก่บุคคลทั่วไป<br />
8. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุมอบรมมาใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงและ<br />
พัฒนาการเรียนการสอน<br />
9. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุม/อบรมมา เผยแพร่แก่ครูในวิทยาลัยอย่าง<br />
สม่ำเสมอ<br />
10. ติดตามและประเมินผลการพัฒนาของครูช่างอุตสาหกรรม<br />
11. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน<br />
12. จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน<br />
76<br />
ตารางที่ 9 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้าน<br />
วิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ด้านการวัดและประเมินผล<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
1. มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงาน<br />
การวัดผลตลอดภาคเรียนและแจ้ง<br />
ให้ครูผู้สอนทราบ<br />
3.30 1.01 ปานกลาง 4.00 0.86 มาก<br />
2. ชี้แจง และแนะนำเกี่ยวกับการ<br />
ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการวัด<br />
ผลและประเมินผลการเรียนของ<br />
กรมอาชีวศึกษา<br />
3.25 1.08 ปานกลาง 4.04 0.83 มาก<br />
3. จัดทำเอกสาร ข่าวสาร ที่เป็น<br />
ความรู้เกี่ยวกับการวัดผลและ<br />
ประเมินผลเพื่อเผยแพร่แก่ครูผู้<br />
สอน<br />
3.03 1.13 ปานกลาง 4.04 0.84 มาก<br />
4. การแนะนำการประเมินผลก่อน<br />
เรียน ระหว่างเรียน และหลังจบ<br />
บทเรียน<br />
3.08 1.12 ปานกลาง 4.06 0.85 มาก<br />
5. การแนะนำวิธีการสร้างเครื่องมือ<br />
วัดผลทั้งรายวิชาในภาคทฤษฎี<br />
และรายวิชาในภาคปฏิบัติ<br />
2.88 1.02 ปานกลาง 4.01 0.83 มาก<br />
6. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้าง<br />
เครื่องมือวัดจุดประสงค์การเรียน<br />
รู้<br />
2.80 1.11 ปานกลาง 4.08 0.86 มาก<br />
7. จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ และ<br />
จัดทำข้อสอบมาตรฐาน<br />
2.69 1.15 ปานกลาง 4.13 0.90 มาก<br />
8. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำ<br />
เป็นในการประเมินผล<br />
2.76 1.13 ปานกลาง 4.16 0.84 มาก<br />
77<br />
ที่ การนเิ ทศภายใน สภาพของการนิเทศ ความต้องการการนิเทศ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล ℵ ∅ ระดับ ℵ ∅ ระดับ<br />
9. ติดตามและประเมินผลการวัดผล<br />
และประเมินผลการเรียนการสอน<br />
ของครูผู้สอนอย่างต่อเนื่อง<br />
2.82 1.10 ปานกลาง 4.07 0.86 มาก<br />
รวม 2.96 1.09 ปานกลาง 4.06 0.85 มาก<br />
จากตารางที่ 9 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่า สภาพของการนิเทศภายใน<br />
ด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับปานกลาง (ℵ = 2.96, ∅ = 1.09) ส่วนความต้องการการนิเทศ<br />
ภายใน ด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมาก (ℵ = 4.06, ∅ = 0.85)<br />
เมื่อพิจารณาสภาพของการนิเทศภายใน ด้านการวัดและประเมินผล เป็นรายข้อพบว่าอยู่ใน<br />
ระดับปานกลางทั้งหมดทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผลตลอดภาคเรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ<br />
2. ชี้แจง และแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมินผล<br />
การเรียนของกรมอาชีวศึกษา<br />
3. การแนะนำการประเมินผลก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังจบบทเรียน<br />
4. จัดทำเอกสาร ข่าวสาร ที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลเพื่อเผยแพร่แก่ครู<br />
ผู้สอน<br />
5. การแนะนำวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลทั้งรายวิชาในภาคทฤษฎี และรายวิชาในภาค<br />
ปฏิบัติ<br />
6. ติดตามและประเมินผลการวัดผลและประเมินผลการเรียนการสอนของครูผู้สอนอย่าง<br />
ต่อเนื่อง<br />
7. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครื่องมือวัดจุดประสงค์การเรียนรู้<br />
8. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นในการประเมินผล<br />
9. จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบมาตรฐาน<br />
ตารางที่ 9 (ต่อ)<br />
78<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการวัดและประเมินผล เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า<br />
อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงตามลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้<br />
1. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นในการประเมินผล<br />
2. จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบมาตรฐาน<br />
3. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครื่องมือวัดจุดประสงค์การเรียนรู้<br />
4. ติดตามและประเมินผลการวัดผลและประเมินผลการเรียนการสอนของครูผู้สอนอย่างต่อ<br />
เนื่อง<br />
5. การแนะนำการประเมินผลก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังจบบทเรียน<br />
6. ชี้แจง และแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมิน<br />
ผลการเรียนของกรมอาชีวศึกษา<br />
7. จัดทำเอกสาร ข่าวสาร ที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลเพื่อเผยแพร่แก่ครู<br />
ผู้สอน<br />
8. การแนะนำวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลทั้งรายวิชาในภาคทฤษฎี และรายวิชาในภาค<br />
ปฏิบัติ<br />
9. มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผลตลอดภาคเรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ<br />
79<br />
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้าน<br />
วิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ก า ร นิ เ ท ศ ง า น วิ ช า ก า ร เ ป็ น ภ า ร กิ จ<br />
อ ย่ า ง ห นึ่ ง ข อ ง ผู้ บ ริ ห า ร โ ร ง เ รี ย น ใ น ก า ร<br />
ที่ จ ะ พัฒ น า แ ล ะ ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ก า ร จั ด ก า ร<br />
เ รี ย น ก า ร ส อนมีป ร ะ สิท ธิ ภ า พ ทั้ ง นี้<br />
เ พ ร า ะ ผู้ บ ริ ห า ร โ ร ง เ รี ย น อ ยู่ ใ ก ล้ ชิ ด<br />
กั บ ค รู แ ล ะ นั ก เ รี ย น ย่ อ ม เ ข้ า ใ จ ส ภ า พแ ล ะ<br />
ส า เ หตุ ข อ ง ปัญ ห า ไ ด้ ดี ก ว่ า บุ ค ค ล ภ า ย นอ ก<br />
แ ต่ เ มื่ อ นํ า ไ ป ป ฏิ บั ติ แ ล้ ว ป ร า ก ฏ ว่ า ยั ง<br />
มี ปั ญ ห า อุ ป ส ร ร ค อ ยู่ ม า ก จ า ก ก า ร ไ ด้ รั บ<br />
ก า ร นิ เ ท ศ ภ า ย ใ น ดั ง นั้ น ค รู จึ ง ต้ อ ง ก า ร<br />
ที่ จ ะ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ช่ ว ย เ ห ลื อ แ ล ะ แ ก้ ไ ข ใ น<br />
ด้ า น ต่ า ง ๆ ดังนี้<br />
ตารางที่ 10 แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ข้อเสนอแนะ ความถี่<br />
ด้านหลักสูตร<br />
1. ปัจจุบัน หลักสูตรไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 17<br />
2. ควรมีการปรับปรุงเนื้อหารายวิชาให้มีความสอดคล้องกับกระบวนการผลิตใน<br />
โรงงานอุตสาหกรรมให้มากขึ้น<br />
9<br />
3. ควรปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพการทำงานจริง ๆ ในแต่ละสาขาวิชา 15<br />
4. ควรปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันและอนาคต ไม่ควรปรับ<br />
เปลี่ยนเร็วจนเกินไป บางหลักสูตรไม่เอื้ออำนวย หรือไม่สอดคล้องกับการ<br />
ศึกษาต่อ และน่าจะจัดหลักสูตรให้ใกล้เคียงกับสถาบันต่าง ๆ<br />
21<br />
5. ควรปรับให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษา 2542 และควรมีเครือข่าย ที่ช่วยกัน<br />
ทำหลักสูตรเพื่อความเป็นมาตรฐาน<br />
6<br />
6. หลักสูตรควรปรับให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และมีความยืดหยุ่น 13<br />
7. ต้องการให้ปรับปรุงหลักสูตร คู่มือการเรียนการสอนใบงาน และเอกสาร<br />
ประกอบการสอนให้มีความทันสมัย<br />
16<br />
80<br />
8. มีการประชุมชี้แจง แก่ครูผู้สอนก่อนเปิดภาคเรียน 8<br />
9. จัดหลักสูตร เพื่อพัฒนา ด้านทักษะ ความรู้ ความสามารถ ความคิดรวบยอด 5<br />
10. ควรมีการศึกษาวิจัยหลักสูตรก่อนจัดทำ และไม่ควรเปลี่ยนหลักสูตรบ่อย ๆ 13<br />
11. เนื้อหาวิชาค่อนข้างมาก ทำให้สอนไม่ทัน 7<br />
12. ควรมีผู้ชำนาญจริง ๆ มาช่วยในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น 4<br />
13. จัดทำคู่มือ หลักสูตร และแผนการเรียน เป็นรูปเล่มและเป็นระบบ 8<br />
ข้อเสนอแนะ ความถี่<br />
14. หลักสูตรควรมีความยืดหยุ่น หลากหลาย และเลือกให้เหมาะสมกับท้องถิ่น<br />
และความต้องการของชุมชน<br />
12<br />
15. ควรจัดหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับทรัพยากรที่มี 18<br />
16. ควรอ้างอิงหลักสูตรของกรมอื่นบ้าง เช่น หลักสูตรของ ราชมงคล หรือ หลัก<br />
สูตรของพระจอมเกล้า<br />
5<br />
17. รายวิชามีการแยกออกมากเกินไป ทำให้มีความซ้ำซ้อนกัน 8<br />
18. ควรมีการนิเทศหลักสูตร เป็นระยะและต่อเนื่อง ตลอดภาคเรียน 6<br />
ด้านการเรียนการสอน<br />
19. ควรเร่งรัดจัดการอบรมเสริมความรู้ให้แก่บุคลากร และแนะแนวทางการสอน<br />
เพื่อให้ทันเทคโนโลยี<br />
10<br />
20. การเรียนในบางวิชาไม่มีเอกสารประกอบ หาหนังสือไม่ได้ เพราะการจัดทำ<br />
แผนการเรียนบางครั้งไม่ตรงกับหลักสูตร และเนื้อหาบางวิชามีการซ้ำซ้อนกัน<br />
ควรมีการจัดทำแผนการเรียนให้เหมือนกันทุกสถาบัน<br />
6<br />
21. ควนเน้นด้านกระบวนการสอน โดยการจัดการเรียนการสอน ที่พิจารณาผู้สอน<br />
เป็นสำคัญ เช่น ผู้สอนต้องมีการพัฒนาผู้สอนอย่างต่อเนื่อง และการสร้าง<br />
บรรยากาศ การจูงใจต่อผู้เรียน<br />
7<br />
22. เสนอให้มีการเรียนในสถานประกอบการจริง เพื่อเพิ่มความเข้าใจในบทเรียน<br />
ให้มากยิ่งขึ้น<br />
8<br />
23. กิจกรรมการเรียนการสอนไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนเสมอไป 5<br />
24. อัตราส่วนระหว่าง ครู-นักเรียน ควรมีความเหมาะสม และชั่วโมงสอนของครู<br />
ควรปรับให้มีความเหมาะสม<br />
13<br />
25. ควรมีคณะกรรมการ ด้านการจัดการเรียนการสอน เพื่อกำหนดวิธีการเรียนการ 3<br />
ตารางที่ 10 (ต่อ)<br />
81<br />
สอนไปแนวทางเดียวกัน<br />
26. ควรใช้วิธีการสอนที่เน้นทักษะ กระบวนการ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้<br />
ความเข้าใจที่แท้จริง<br />
15<br />
27. ส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการสอน ภาคเรียนละ 1 วิชา 5<br />
28. จัดการเรียนการสอนให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ครูมีทักษะในหลาย ๆ ด้าน 11<br />
.<br />
ข้อเสนอแนะ ความถี่<br />
29. ควรมีทีมงานหรือคณะกรรมการของวิทยาลัย เพื่อทำหน้าที่นิเทศ และคอย<br />
กำกับติดตามดูแล<br />
8<br />
30. จัดครูให้สอนตรงตามความถนัด 11<br />
31. ควรจัดให้นักศึกษามีโอกาสดูงานนอกสถานศึกษา 7<br />
32. ควรปรับลดเวลาเรียน / ชั่วโมง ลง 6<br />
33. จัดให้บุคลากรมีการออกไปศึกษาดูงาน สถานศึกษาที่มีการจัดการเรียน ที่มี<br />
คุณภาพ<br />
5<br />
34. ขาดเอกสารอ้างอิง เช่น คู่มือ ตำรา เครื่องมือ เครื่องจักรชำรุดไม่เพียงพอ 12<br />
35. จัดให้มีการพัฒนารูปแบบ และวิธีการสอน ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง<br />
ทางเทคโนโลยี<br />
17<br />
36. เผยแพร่วิธีการสอน หรือเทคนิคการสอนของครูต้นแบบ หรือครูตัวอย่างให้ครู<br />
ได้ศึกษาหาความรู้<br />
5<br />
37. ผู้บริหารควรติดตามดูแลอย่างจริงจัง และต่อเนื่องอีกทั้งต้องมีรายการติดตาม<br />
และประเมินผลที่เป็นแบบแผนแน่นอน<br />
6<br />
38. จัดวิทยากร / ผู้เชียวชาญสาธิตวิธีการสอน เทคนิควิธีการสอน แบบใหม่ ๆ 10<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
39. ควรมีหน่วยงานรับผิดชอบทำสื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะเพื่อให้มีมาตร<br />
ฐานเท่าเทียมกัน<br />
5<br />
40. ควรมีสื่อให้เพียงพอ (ทุกห้องเรียน) 21<br />
41. ควรมีเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ ทุกห้องเรียน และสามารถเบิกวัสดุที่ใช้ทำสื่อ<br />
เช่น แผ่นใส, ปากกาเขียนแผ่นใส, รวมทั้งมีเครื่องขยายเสียงที่ช่วยในการสอน<br />
ด้วย<br />
11<br />
ตารางที่ 10 (ต่อ)<br />
82<br />
42. ควรให้มีการพัฒนาความรู้ให้ตรงกับวิชาที่สอน อย่างต่อเนื่อง และพัฒนาไปสู่<br />
ความเป็นมาตรฐานการศึกษา<br />
5<br />
43. สื่อควรมีความทันสมัย เช่นการใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ 13<br />
44. ควรจัดพื้นที่ในการเรียนการสอนให้ชัดเจน และจัดทำสื่อโมเดล และอื่น ๆ ที่<br />
เกี่ยวข้องไว้ในพื้นที่เดียวกัน<br />
5<br />
ข้อเสนอแนะ ความถี่<br />
45. ควรมีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบ เพื่อวิจัย พัฒนา สร้างและเผยแพร่สื่อการ<br />
เรียนการสอน ไม่ควรให้ครูซึ่งมีชั่งโมงสอนมากมาทำการพัฒนาสื่อ<br />
5<br />
46. จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอน โดยใช้เทคโนโลยี และนวัฒกรรม<br />
ใหม่ ๆ<br />
17<br />
47. สนับสนุนด้านงบประมาณในการสร้างสื่อ และจัดอบรมการสร้างสื่อ 16<br />
48. ควรส่งเสริมให้ครูทำสื่อเอง และจัดฝึกอบรมการผลิตสื่อก่อนเปิดภาคเรียน 9<br />
49. ควรมีการจัดตั้งศูนย์ สื่อการเรียนการสอนที่สามารถเบิกสื่อไปใช้ได้ 6<br />
50. ควรมีสื่อที่เน้นของจริง เช่น โมเดล 8<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
51. มีการเปิดอบรมอย่างต่อเนื่อง 15<br />
52. ควรมีการพัฒนาแบบยังยืน ไม่ควรพัฒนาแบบเป็นช่วง ๆ 11<br />
53. ควรจัดให้มีศึกษาต่อ และอบรมเกี่ยวกับวิชาการด้านการเรียนการสอนทั้งทาง<br />
ด้านทฤษฏีและปฏิบัติ<br />
12<br />
54. ส่งครูผู้สอนไปอบรมในรายวิชาที่สอนอย่างต่อเนื่อง และพยายามส่งเสริมให้<br />
ครูไปศึกษาต่อ<br />
18<br />
55. ควรมีการอบรมการใช้ Computer และการใช้ Internet และให้ครูสามารถสร้าง<br />
บทเรียนคอมพิวเตอร์ได้<br />
15<br />
56. ควรจัดชั่วโมงสอน / สัปดาห์ ให้เหมาะสมเพื่อให้ครูสามารถแบ่งเวลาเพื่อค้น<br />
คว้า และการออกนอกสถานที่ควรแก้ไขให้มีความคล่องตัว<br />
14<br />
57. จัดฝึกอบรมหรือประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงานนอกสถานที่ 16<br />
58. ควรส่ง บุคลากร เข้าฝึกงานในสถานประกอบการ 6<br />
59. ควรมีการประเมินความสามารถของครูผู้สอนในสาขาวิชาที่ตนเองสอน 4<br />
ตารางที่ 10 (ต่อ)<br />
83<br />
60. ควรพัฒนาผู้บริหารทางด้านวิชาการ 8<br />
61. ส่งเสริมให้ครูศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และควรปรับปรุงด้านค่าใช้จ่ายในการ<br />
ศึกษา<br />
14<br />
62. จัดหาทุนการศึกษาให้แก่ ครู ที่ต้องการศึกษาต่อ เพราะกรมอาชีวศึกษา ขาด<br />
แคลนนักวิชาการ<br />
6<br />
ข้อเสนอแนะ ความถี่<br />
63. มีการประเมินคุณภาพครูผู้สอน อย่างเคร่งครัด 8<br />
64. มีการอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี สมัยใหม่ที่ใช้ในการเรียนการสอน 14<br />
65. ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากร 6<br />
ด้านการวัดและประเมินผล<br />
66. มีการอบรบเรื่องการวิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบมาตรฐานให้มากขึ้น 11<br />
67. ควรจัดให้มีการวัดผลและประเมินผลให้มีมาตรฐานเดียวกัน ทั้งด้านทฤษฏี<br />
และ ปฏิบัติ และให้มีความชัดเจนมากขึ้น<br />
17<br />
68. เน้นการประเมิน ตามสภาพจริง ให้ตรงจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และสร้างความเข้า<br />
ใจและความชัดเจนของการประเมินให้แก่ผู้ประเมิน<br />
18<br />
69. ควรกำหนดมาตรฐาน วิธีการวัดผลที่ชัดเจน ไม่ควรเปลี่ยนไปมา ทำให้เกิด<br />
ความสับสน<br />
15<br />
70. ควรมีแบบทดสอบมาตรฐาน เพื่อประเมินในแต่ละสาขาวิชา และนำผลมา<br />
ประเมินประสิทธิภาพ<br />
8<br />
71. ควรมีระบบการ Retry 12<br />
72. ควรมีการจัดทำคู่มือให้เป็นแนวทางปฏิบัติเดียวกัน 7<br />
73. จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ 10<br />
จากตารางที่ 10 แสดงให้เห็นว่า ครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของ<br />
สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 มีข้อเสนอแนะในแต่ละด้าน มากที่สุดดังนี้ 1) ด้านหลักสูตร คือ ควร<br />
ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันและอนาคต ไม่ควรปรับเปลี่ยนเร็วจนเกินไป บาง<br />
หลักสูตรไม่เอื้ออำนวย หรือไม่สอดคล้องกับการศึกษาต่อ และน่าจะจัดหลักสูตรให้ใกล้เคียงกับ<br />
สถาบันต่าง ๆ 2) ด้านการเรียนการสอน คือ จัดให้มีการพัฒนารูปแบบ และวิธีการสอน ให้สอดคล้อง<br />
กับการเปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยี 3) ด้านสื่อการเรียนการสอน คือ ควรใช้วิธีการสอนที่เน้นทักษะ<br />
กระบวนการ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจที่แท้จริง 4) ด้านการพัฒนาบุคลากร คือ ส่งครู<br />
ตารางที่ 10 (ต่อ)<br />
84<br />
ผู้สอนไปอบรมในรายวิชาที่สอนอย่างต่อเนื่อง และพยายามส่งเสริมให้ครูไปศึกษาต่อ 5) ด้านการวัด<br />
และประเมินผล คือ เน้นการประเมิน ตามสภาพจริง ให้ตรงจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และสร้างความเข้าใจ<br />
และความชัดเจนของการประเมินให้แก่ผู้ประเมิน<br />
บทที่ 5<br />
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภท<br />
วิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 รวมทั้งหมด 5 ด้านคือ<br />
ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล ผู้วิจัยสรุปผลการวิจัย ตามลำดับหัวข้อดังนี้<br />
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
2. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย<br />
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
5. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
6. สรุปผลการวิจัย<br />
7. อภิปรายผลการวิจัย<br />
8. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย<br />
9. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
1. เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
2. เพื่อศึกษาความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ของครู ประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย<br />
ได้แก่ ครูผู้สอนในวิทยาลัยเทคนิค ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ของสถาบันอาชีวศึกษา<br />
ภาคกลาง 6 รวม 3 วิทยาลัย คือ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม<br />
และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม จำนวน 189 คน<br />
85<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น<br />
เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอน เกี่ยวกับสภาพ และความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ<br />
ของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดย<br />
แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ<br />
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับ สถานภาพและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
ได้แก ่ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา วุฒิทางวิชาชีพคร ู ประสบการณ์การสอน จาํ นวน 5 ข้อ โดยเป็นแบบ<br />
เลือกตอบ<br />
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับ ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการ<br />
ในด้านวิชาการ จำนวน 52 ข้อ โดยเป็นแบบมาตรประมาณค่า<br />
ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและ<br />
ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ที่ต้องการจะเพิ่มเติม<br />
ในแต่ละด้าน มีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้<br />
1. ขอหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถึงอธิบดีกรม<br />
อาชีวศึกษา เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการแจกแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์<br />
2. ขอหนังสืออนุญาตจาก อธิบดีกรมอาชีวศึกษา ไปถึง ผู้อำนวยการของวิทยาลัยเทคนิคที่อยู่<br />
ในสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ทั้ง 3 วิทยาลัย เพื่อขออนุญาตและขอความร่วมมือในการตอบแบบ<br />
สอบถาม และการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
3. นำแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ที่ได้รับอนุญาตจาก กรมอาชีวศึกษาและผ่านการตรวจ<br />
สอบคุณภาพแล้ว จำนวน 189 ฉบับ ส่งไปยังกลุ่มประชากร คือครูที่สอนประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 คือ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ซึ่งผู้วิจัยเดินทางไปเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ด้วยตัวเอง โดยได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาทั้งสิ้น 189 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 ของประชากร<br />
4. นำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์ก่อนนำไปวิเคราะห์ข้อมูลตาม<br />
ขั้นตอนทางสถิติต่อไป<br />
86<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำแบบสอบถามจากประชากรที่ได้รับ<br />
กลับคืนมาทั้งหมด มาวิเคราะห์แบบสอบถามแต่ละตอน ดังนี้<br />
1. วิเคราะห์สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) และ<br />
หาค่าร้อยละ (Percentage)<br />
2. วิเคราะห์สภาพการนิเทศภายในด้านวิชาการของคร ู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และส่วนเบี่ยงเบน<br />
มาตรฐาน (∅)<br />
3. วิเคราะห์ความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 โดยการหาค่าเฉลี่ย (ℵ) และส่วนเบี่ยงเบน<br />
มาตรฐาน (∅)<br />
สรุปผลการวิจัย<br />
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภท<br />
วิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 รวมทั้งหมด 5 ด้านคือ<br />
ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการ<br />
วัดและประเมินผล ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้<br />
1. สภาพการนิเทศภายในด้านหลักสูตร ของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม พบว่า อยู่ใน<br />
ระดับปานกลางทั้งหมดทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อของการแนะนำให้ครูผู้สอน<br />
วิเคราะห์หลักสูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบจุดมุ่งหมาย และแนวทางในการปฏิบัติ มีการปฏิบัติ<br />
มากกว่า ในข้ออื่น ๆ และในข้อ จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้<br />
หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง มีการปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร ของครูประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรมพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ จัดการสัมมนา/<br />
อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน มีความ<br />
ต้องการได้รับการนิเทศมากกว่าข้ออื่น ๆ และในข้อ จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตามและ<br />
ประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง มีความต้องการได้รับการนิเทศน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
เมื่อพิจารณาโดยรวมพบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านหลักสูตรอยู่ในระดับ<br />
ปานกลาง และมีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านหลักสูตรอยู่ในระดับมาก<br />
87<br />
2. สภาพการนิเทศภายใน ด้านการเรียนการสอน ของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าอยู่ในระดับมากจำนวน 1 ข้อได้แก่ การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำโครง<br />
การสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน และเป็นข้อที่มีการปฏิบัติมากกว่า ข้ออื่น ๆ ส่วนข้ออื่นที่<br />
เหลืออยู่ในระดับปานกลาง และข้อ จัดให้มีการเข้าเยี่ยมชั้นเรียนและแนะนำเทคนิคการสอนเป็น<br />
รายบุคคล มีการปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการเรียนการสอน พบว่า อยู่ในระดับ<br />
มากทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่<br />
จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน มีความต้องการได้รับการนิเทศมากกว่าข้ออื่น ๆ และในข้อ ได้รับ<br />
การแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรม<br />
การเรียนการสอน มีความต้องการได้รับการนิเทศน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
เมื่อพิจารณาโดยรวม พบว่าสภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการเรียนการสอน<br />
อยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก<br />
3. สภาพการนิเทศภายในด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่าอยู่ในระดับน้อยจำนวน 1 ข้อได้<br />
แก่ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา และเป็นข้อที่มี<br />
การปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ ส่วนข้ออื่นที่เหลืออยู่ในระดับปานกลาง ทั้งหมดทุกข้อ และเมื่อพิจารณา<br />
เป็นรายข้อพบว่า ข้อที่ การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการเรียนการสอน มีการปฏิบัติมากกว่า<br />
ในข้ออื่น ๆ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่า อยู่ในระดับ<br />
มากทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการเรียน<br />
การสอน มีความต้องการได้รับการนิเทศมากกว่าข้ออื่น ๆ และในข้อ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืม<br />
สื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา มีความต้องการได้รับการนิเทศน้อยกว่าข้อ อื่น ๆ<br />
เมื่อพิจารณาโดยรวม พบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านสื่อการเรียนการ<br />
สอน อยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านสื่อการเรียนการสอนอยู่ในระดับ<br />
มาก<br />
4. สภาพการนิเทศภายในด้านการพัฒนาบุคลากร พบว่าอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมดทุกข้อ<br />
และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการอบรม เพื่อ<br />
พัฒนาเกี่ยวกับกลุ่มประสบการณ์วิชาชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา มีการปฏิบัติมากกว่า ในข้ออื่น<br />
ๆ และในข้อ จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน มีการ<br />
ปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
88<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาบุคลากร พบว่า อยู่ในระดับ<br />
มากทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการฝึกอบรม<br />
หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงานนอกสถานที่ มีความต้องการได้รับการนิเทศมากกว่าข้ออื่น ๆ<br />
และในข้อ จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน มีการ<br />
ปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
เมื่อพิจารณาโดยรวม พบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
อยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการพัฒนาบุคลากร อยู่ในระดับมาก<br />
5. สภาพการนิเทศภายในด้านการวัดและประเมินผล พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด<br />
ทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผลตลอดภาค<br />
เรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ มีการปฏิบัติมากกว่า ในข้ออื่น ๆ และในข้อ จัดให้มีการวิเคราะห์<br />
ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบมาตรฐาน มีการปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการวัดและประเมินผล พบว่า อยู่ใน<br />
ระดับมากทุกข้อ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ในข้อ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นใน<br />
การประเมินผล มีความต้องการได้รับการนิเทศมากกว่าข้ออื่น ๆ และในข้อ มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติ<br />
งานการวัดผลตลอดภาคเรียน และแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ มีความต้องการได้รับการนิเทศน้อยกว่าข้อ<br />
อื่น ๆ<br />
เมื่อพิจารณาโดยรวม พบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการวัดและประเมิน<br />
ผล อยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการการนิเทศภายใน ด้านการวัดและประเมินผล อยู่ใน<br />
ระดับมาก<br />
สรุปสภาพการนิเทศภายใน ด้านวิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง<br />
6 ในแต่ละด้าน พบว่าอยู่ในระดับปานกลางทุกด้านและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า ในด้าน<br />
การวัดและประเมินผลมีการปฏิบัติมากกว่าด้านอื่น ๆ และด้านสื่อการเรียนการสอนมีการปฏิบัติน้อย<br />
กว่าด้านอื่น ๆ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการ ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษา<br />
ภาคกลาง 6 ในแต่ละด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า ด้าน<br />
หลักสูตร มีความต้องการได้รับการนิเทศ มากกว่าข้ออื่น ๆ และด้านการวัดและประเมินผล มีความ<br />
ต้องการได้รับการนิเทศน้อยกว่าข้ออื่น ๆ<br />
และเมื่อพิจารณาในภาพรวมของทุกด้านแล้วพบว่า สภาพของการนิเทศภายในด้านวิชาการ<br />
อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ อยู่ในระดับมาก<br />
89<br />
อภิปรายผลการวิจัย<br />
การอภิปรายผลการวิเคราะห์ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยขอเสนอประเด็นที่ควรนำมา<br />
อภิปรายผล ดังนี้<br />
1. ด้านหลักสูตร เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สภาพของการปฏิบัติการนิเทศด้าน<br />
หลักสูตร มีการปฏิบัติในระดับปานกลางทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากสภาพที่มีการปฏิบัติมากที่สุดลงมา<br />
3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก คือ แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์หลักสูตรก่อนทำการสอนเพื่อให้ทราบ<br />
จุดมุ่งหมาย และแนวทางในการปฏิบัติ ลำดับที่สอง คือ การตรวจสอบและควบคุมการเรียนการสอน<br />
ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ลำดับที่สาม คือ จัดเตรียม และแนะนำการใช้เอกสารประกอบ<br />
หลักสูตรและคู่มือครู เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ครูผู้<br />
ปฏิบัติหน้าที่การสอนได้รับการนิเทศจากผู้นิเทศก์ในด้านหลักสูตรอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งอาจเป็น<br />
เพราะผู้นิเทศก์คิดว่าได้ปฏิบัติในระดับสูงแล้ว ดังที่ จุรี จันทร์เจริญ. (2539 : 76) ได้กล่าวถึง ความ<br />
แตกต่างระหว่างทัศนะของผู้บริหารกับครูมักเป็นสิ่งปกติที่ความคิดในการปฏิบัติงานของผู้บริหารกับ<br />
ครูมักแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งพบว่าการนิเทศภายในส่วนใหญ่เป็นการนิเทศแบบไม่เป็น<br />
ทางการ (Informal) แต่จะเป็นลักษณะของการชี้แจงให้คำแนะนำกันเองกับครู เช่นการตรวจสอบและ<br />
ควบคุมการเรียนการสอน ครูมักจะมองว่าเป็นการไปจับผิด จึงอาจทำให้ครูผู้สอนไม่รู้ตัวว่านั่นคือการ<br />
นิเทศ และอีกประการหนึ่งในสถานศึกษาส่วนใหญ่ผู้บริหารหรือผู้มีหน้าที่ในการนิเทศภายใน ไม่เห็น<br />
ความสำคัญของงานวิชาการในสถานศึกษา ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา แต่<br />
มุ่งเน้นไปจัดการบริหารงานด้านอาคารสถานที่ งานธุรการและการเงิน เป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นจาก<br />
ข้อ การจัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง จะ<br />
มีระดับของการปฏิบัติน้อยกว่าข้ออื่น<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านหลักสูตร เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า<br />
อยู่ในระดับมากทุกข้อเมื่อเรียงลำดับจากความต้องการมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก คือ จัด<br />
การสัมมนา/อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน<br />
ลำดับที่สอง คือ แนะนำให้ครูปรับปรุงหลักสูตร คู่มือการเรียนการสอน ใบงาน และเอกสารประกอบ<br />
การสอน ให้มีความทันสมัย ลำดับที่ 3 คือ จัดเตรียม และแนะนำการใช้เอกสารประกอบหลักสูตรและ<br />
คู่มือครู เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ครูผู้ปฏิบัติหน้าที่การ<br />
สอนมีความต้องการที่จะได้รับการนิเทศจากผู้นิเทศก์ในด้านหลักสูตรอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นเพราะว่า<br />
ครูผู้สอนต้องการพัฒนาทางด้านหลักสูตรเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้<br />
90<br />
สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป<br />
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พัชรินทร์ ชั้นบุญ (2542 : 74-77) วิจัยเรื่อง ความต้องการการนิเทศ<br />
การสอนของครูโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในกรุงเทพมหานคร พบว่า<br />
ครูมีความต้องการการนิเทศการสอนด้านหลักสูตรอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้แล้ว<br />
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน (2542 : 72-74) ได้กล่าวถึงบทบาทที่สำคัญของผู้บริหารว่า เปน็ ผนู้ าํ ทางดา้ น<br />
วิชาการ จัดการเรียนการสอน และบริหารหลักสูตรในสถานศึกษา นำเทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการ<br />
ปรับปรุงการทำงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าทางสังคม และเศรษฐกิจ เพราะหลัก<br />
สูตรจัดเป็นแนวทางและเกณฑ์มาตรฐานในการจัดการศึกษา เป็นแนวทางและเป็นแผนการปฏิบัติงาน<br />
ของครูผู้สอนและผู้บริหารเพราะหลักสูตรจะระบุ จุดหมาย เนื้อหาสาระ เวลาเรียน และการประเมิน<br />
ผลไว้เป็นแนวทางกว้าง ๆ นอกจากนี้แล้วงานทางด้านอุตสาหกรรมที่มีความเจริญอย่างรวดเร็ว ครูที่<br />
สอนประเภทวิชาอุตสาหกรรมจะต้องศึกษาความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลา<br />
วิเคราะห์หลักสูตรและวางแผนการเรียนการสอน ดังนั้นผู้บริหาร และครู ควรมีความเข้าใจอย่าง<br />
ถ่องแท้ในเรื่องของหลักสูตร<br />
2. ด้านการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สภาพของการปฏิบัติการนิเทศด้าน<br />
การเรียนการสอน มีการปฏิบัติในระดับมากจำนวน 1 ข้อ ได้แก่ การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำ<br />
โครงการสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน ส่วนข้ออื่นที่เหลืออยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเรียง<br />
ลำดับจากสภาพที่มีการปฏิบัติมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก คือการส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัด<br />
ทำโครงการสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน ลำดับที่สอง คือ จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียม<br />
งานด้านการสอนก่อนเปิดภาคเรียน ลำดับที่สาม คือ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่<br />
จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน ทั้งนี้จากผลการวิจัยเห็นว่าในข้อ การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำ<br />
โครงการสอน/แผนการสอน และบันทึกการสอน มีระดับการปฏิบัติมากกว่าข้ออื่น เพราะในปัจจุบัน<br />
ผู้บริหารได้ให้ความสำคัญต่องานวิชาการโดยเน้นให้ครูเตรียมการสอน เช่น การวิเคราะห์หลักสูตร<br />
การจัดทำแผนการสอน การเตรียมเครื่องมือ วัสดุฝึก ครุภัณฑ์ ที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน<br />
และเพื่อให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ผู้สอนจะต้องจัด<br />
กิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และ บูรณาการตามความเหมาะสมของผู้เรียน<br />
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการ<br />
ปฏิบัติ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนข้อที่มีสภาพของการ<br />
ปฏิบัติในระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ จัดให้มีการเข้าเยี่ยมชั้นเรียน และแนะนำเทคนิคการสอนเป็น<br />
รายบุคคล เนื่องจาก ผู้นิเทศก์ขาดการวางแผนการนิเทศอย่างเป็นทางการ และครูผู้สอนให้การยอมรับ<br />
ต่อผู้นิเทศก์น้อย เนื่องจากผู้นิเทศก์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ<br />
91<br />
การนิเทศการสอนซึ่งมีความสอดคล้องกับข้อ มีการติดตามดูแล และประเมินผลการสอนของครู<br />
ผู้สอน ที่มีสภาพของการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายข้อ พบว่าอยู่ในระดับมากทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากความต้องการมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้<br />
ลำดับแรก คือ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน ลำดับ<br />
ที่สอง คือ บริการด้านคู่มือ/ เอกสารทางวิชาการ และหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนให้แก่ครู<br />
ผู้สอน ลำดับที่สาม คือ จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาสาธิตวิธีการสอนและเทคนิคการสอนแบบใหม่<br />
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพด้านอาชีวศึกษาในส่วนหนึ่งที่พบว่า ครูส่วนใหญ่ยัง<br />
ใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย มีอยู่บ้างที่ใช้วิธีการสอนแบบสาธิต และทดลอง โดยเฉพาะรายวิชาชีพ<br />
ภาคปฏิบัติที่มีความจำเป็นต้องใช้ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่มีความทันสมัย และการ<br />
วางแผนการสอนอยู่ในระดับปานกลาง (กรมอาชีวศึกษา 2537 : 56) และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ<br />
ศิขริน กนะกาศัย (2542 : บทคัดย่อ) ที่วิจัยเรื่อง สภาพและความต้องการนิเทศภายในของครูผู้สอน<br />
โรงเรยี นพณชิ ยการเชยี งใหม ่ ที่พบว่า ครูมีความต้องการในเรื่องของการเชิญวิทยากรมาให้ความร ู้ และ<br />
การสาธิตการสอน อยู่ในระดับมาก ดังนั้น การปรับปรุงการเรียนการสอนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งใน<br />
การบริหารการศึกษา เพราะในปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งวิทยาการและ<br />
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้น ในด้านการศึกษาก็เช่นเดียวกัน เช่น หลักสูตร เนื้อหา วิธีการสอน และ<br />
เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางการศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนา<br />
สิ่งเหล่านี้ให้ทันกับวิทยาการที่ก้าวหน้า ดังนั้นผู้บริหารในฐานะที่รับผิดชอบด้านการจัดการศึกษาจึง<br />
จำเป็นต้องพิจารณาปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น นอกจากนี้แล้วในการพัฒนาการเรียนการสอน<br />
ให้มีประสิทธิภาพที่ดี ผู้บริหารควรที่จะพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนโดย<br />
ทั่ว ๆ ไป เมื่อมาพิจารณาดูแล้วตัวแปรที่สำคัญที่ผู้บริหารควรที่จะต้องนำมาคิดและหาทางแนะนำ<br />
ช่วยเหลือจะประกอบไปด้วย 1) สภาพห้องเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง และโรงฝึกงาน 2) เครื่องมือ<br />
อุปกรณ์ และวัสดุฝึก 3) ครูผู้สอน ส่วนข้อที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการได้รับการนิเทศใน<br />
ระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ ได้รับการแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัวนักเรียนเป็นรายบุคคล<br />
เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารไม่ได้ชี้แจง ทำความ<br />
เข้าใจ หรือจัดอบรมให้ครูผู้สอนเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัวนักเรียนเป็น<br />
รายบุคคล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
92<br />
3. ด้านสื่อการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สภาพของการปฏิบัติการนิเทศ<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน มีการปฏิบัติในระดับน้อยจำนวน 1 ข้อได้แก่ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน<br />
ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา ส่วนข้ออื่นที่เหลืออยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเรียง<br />
ลำดับจากสภาพที่มีการปฏิบัติมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไป<br />
สร้างสื่อการเรียนการสอน ลำดับที่สอง คือ จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี<br />
และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ ลำดับที่สาม คือ การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/<br />
อุปกรณ์ในการสร้างสื่อการเรียน จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันครูยังขาดการสนับสนุน<br />
ทางด้าน วัสดุ/อุปกรณ์ และความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างสื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้<br />
เพราะว่าวิทยาลัยเทคนิคแต่ละแห่งเปิดสอนหลายสาขาวิชา และหลายระดับ จึงทำให้มีสื่อการเรียน<br />
การสอนหลากหลายประเภท และในขณะเดียวกันวิทยาลัยเทคนิคแต่ละแห่งมีบุคลากรที่จบด้านสื่อ<br />
การเรียนการสอนโดยตรงน้อยมาก หรือบางวิทยาลัยไม่มีเลย ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้างานสื่อ<br />
การเรียนการสอนซึ่งต้องทำหน้าที่สอนด้วยทำให้ไม่มีเวลาในการให้คำแนะนำแก่ครู และติดตาม<br />
ประเมินผลการใช้สื่อการสอนเท่าที่ควรนอกจากเรื่องการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอนแล้ว อีกประการคือครูไม่ได้รับการอบรมเรื่องการสร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
ด้วยวิธีการหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงทำให้สื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ล้าสมัยไม่สามารถส่งเสริมการ<br />
เรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพด้านอาชีวศึกษาในส่วนหนึ่งที่<br />
พบว่า ครูมีปัญหาในการจัดทำสื่อการเรียนการสอน ในการสอนของครูจะใช้สื่อประเภทเอกสาร ตำรา<br />
ซึ่งต้องจัดหาด้วยตัวเอง (กรมอาชีวศึกษา. 2537 : 56) ส่วนข้อที่มีสภาพของการปฏิบัติในระดับที่น้อย<br />
กว่าข้ออื่น ๆ คือ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา เนื่อง<br />
จากทางวิทยาลัยเทคนิคยังขาดการขอยืมสื่อการเรียนการสอนระหว่างวิทยาลัย หรือทางวิทยาลัยไม่<br />
ทราบแหล่งที่จะให้ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ได้ ซึ่งการขอยืมสื่อนั้นเป็นการจัดหาสื่อการเรียนการสอน เพื่อ<br />
ให้มีสื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน และทำให้ผลของการเรียนการสอนบรรลุตามเป้าหมายอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านสื่อการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากความต้องการมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้<br />
ลำดับแรก คือ การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการเรียนการสอน ลำดับที่สอง คือ จัดอบรมการ<br />
สร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ ลำดับที่<br />
สาม คือ การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/อุปกรณ์ในการสร้างสื่อการเรียน ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย<br />
ผลการวิจัยของ ศิรินันท์ ชลินทุ (2538 : 182) ที่ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสภาพและความต้องการ<br />
การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา ประเภทพณิชยการ เขตกรุงเทพมหานคร ผล<br />
การวิจัยพบว่าครูมีความต้องการ วัสดุ/อุปกรณ์ และความรู้ในการสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วย<br />
93<br />
เทคโนโลยีอยู่ในระดับมาก เนื่องจากในปัจจุบันการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษามุ่งที่จะให้ผู้เรียนมี<br />
ส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อให้เกิดทักษะและประสบการณ์ตรงทางด้านวิชาชีพมากที่สุด สื่อการสอนจึงมี<br />
บทบาทสำคัญที่จะช่วยครูในการจัดกิจกรรมได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลา<br />
ในการสอน และทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น ดังนั้นการเรียนการสอนด้านช่าง<br />
อุตสาหกรรมที่ต้องใช้ทั้ง อาคารสถานที่ เครื่องจักร เครื่องมือ และสื่อการเรียนการสอนเป็นส่วน<br />
สำคัญที่ช่วยสนับสนุนทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธภาพ แต่การลงทุนทางด้านเครื่องจักร<br />
เครื่องมือ และสื่อการเรียนการสอนบางประเภทราคาค่อนข้างสูง ทำให้เกิดปัญหาไม่พอเพียง ส่งผลให้<br />
สัดส่วนของจำนวนผู้เรียนต่อเครื่องมือ เครื่องจักรไม่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของกอง<br />
แผนงาน กรมอาชีวศึกษา (2543 : 37) ส่วนข้อที่มีความต้องการได้รับการนิเทศในระดับที่น้อยกว่าข้อ<br />
อื่น ๆ คือ จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์การสอนระหว่างสถานศึกษา เนื่องจากการ<br />
ยืมเครื่องมือ เครื่องจักร ค่อนข้างทำได้ยาก เพราะเครื่องจักรส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ และมีความยุ่งยาก<br />
ในการติดตั้ง อีกทั้ง เป็นการยืมชั่วคราวทำให้ไม่คุ้มค่า ดังที่ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2535 : 251)<br />
กล่าวว่า การขอยืมสื่อนั้นเป็นการจัดหาสื่อการสอน เพื่อให้มีสื่อใช้เป็นครั้งคราว ในกรณีที่ทาง<br />
โรงเรียนขาดงบประมาณ หรือสื่อชนิดนั้นหาได้ยาก<br />
4. ด้านการพัฒนาบุคลากร เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สภาพของการปฏิบัติการนิเทศ<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร มีการปฏิบัติในระดับปานกลางทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากสภาพที่มีการปฏิบัติ<br />
มากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก คือ จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการอบรม เพื่อ<br />
พัฒนาเกี่ยวกับกลุ่มประสบการณ์วิชาชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา ลำดับที่สอง คือ ส่งเสริมครู<br />
ช่างอุตสาหกรรมให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน ลำดับที่สาม คือ ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมใน<br />
การศึกษาต่อ จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมให้ครูได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในด้านความรู้<br />
ความสามารถ ทักษะทางวิชาชีพเฉพาะสาขายังมีสภาพที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้เพราะ<br />
ว่าครูผู้สอนในวิทยาลัยเทคนิคมีชั่วโมงสอนค่อนข้างมาก มีจำนวนครูไม่เพียงพอ ได้รับข่าวสารล่าช้า<br />
และขาดการสนับสนุนงบประมาณในการส่งครูเข้ารับการอบรมที่สถานประกอบการ สอดคล้องกับ<br />
รายงานการศึกษาสภาพการจัดอาชีวศึกษา กองแผนงาน กรมอาชีวศึกษา (2543 : 45) ที่กล่าวว่า<br />
จำนวนชั่วโมงการสอนของครู ในวิทยาลัยเทคนิค อยู่ระหว่าง 30-60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เนื่องจากมี<br />
จำนวนนักศึกษามาก โดยทอี่ ตั ราคร-ู อาจารยม์ ไิ ดข้ ยายเพมิ่ เตมิ นอกจากนี้ ครู-อาจารย์ ส่วนใหญ่รับ<br />
ผิดชอบการสอน 3–4วิชาส่วนข้อที่มีสภาพของการปฏิบัติในระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ จัดให้มีการ<br />
โยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งการพัฒนาบุคลากรเป็น<br />
กระบวนการที่สำคัญยิ่งงานหนึ่งของการบริหารงานบุคลากร เพราะเมื่อได้เลือกสรรคนที่มีความรู้<br />
94<br />
ความสามารถเข้าทำงานแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป วิทยาการต่าง ๆ และเทคนิควิธีการทำงานได้เปลี่ยนไป<br />
จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถเหมาะสมกับ<br />
เหตุการณ์ปัจจุบัน และตำแหน่งหน้าที่ เพื่อความก้าวหน้าของสถานศึกษา และความต้องการที่จะก้าว<br />
หน้าของบุคลากรจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้บริหาร ที่จะต้องพยายามหาทางให้บุคลากรได้เจริญก้าว<br />
หน้าไปเท่าที่ความสามารถจะอำนวย (กิติมา ปรีดีดิลก. 2532 : 118)<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาบุคลากร เมื่อพิจารณาเป็นราย<br />
ข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากความต้องการมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับ<br />
แรก คือ ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการฝึกอบรม หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงานนอก<br />
สถานที่ ลำดับที่สอง คือ จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับ<br />
กลุ่มประสบการณ์วิชาชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา ลำดับที่สาม คือ ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรม<br />
ในการศึกษาต่อ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพด้านอาชีวศึกษาในส่วนหนึ่งที่พบ<br />
ว่า ครูได้รับข่าวสารที่ล่าช้า มีภาระมากทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะเข้ารับการพัฒนาวิชาชีพได้อย่าง<br />
สม่ำเสมอ (กรมอาชีวศึกษา. 2537 : 56) จากผลการวิจัยดังกล่าวพบว่าครูต้องการที่จะพัฒนาตนเองทั้ง<br />
การเข้ารับการอบรมทางวิชาชีพ และการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนครูผู้สอนด้าน<br />
ช่างอุตสาหกรรมในปัจจุบันเกือบทุกสาขามีจำนวนไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่ากรมอาชีวศึกษา จะมีนโยบาย<br />
ส่งเสริมให้คร ู - อาจารย์ได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นดังจะเห็นได้จากโครงการความร่วมมือระหว่าง<br />
กรมอาชีวศึกษากับสถาบันที่จัดการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษาในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท<br />
เพื่อส่งครูผู้สอนไปศึกษาต่อ แต่ก็ทำได้ในขอบเขตจำกัด เพราะจำนวนครูผู้สอนและงบประมาณไม่<br />
เพียงพอ ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาครูช่างอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย<br />
ของ ทรงสวัสดิ์ ทิพย์คงคา (2535 : 73) ส่วนข้อที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการได้รับการนิเทศ<br />
ในระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ใน<br />
การทำงาน เนื่องจากครูมีภาระชั่วโมงสอนมากอยู่แล้ว และยังต้องทำหน้าที่พิเศษที่นอกเหนือจากการ<br />
สอน จึงไม่ต้องการสับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็นการเพิ่มภาระงานอีก<br />
5. ด้านการวัดและประเมินผล เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สภาพของการปฏิบัติการนิเทศ<br />
ด้านการวัดและประเมินผล มีการปฏิบัติในระดับปานกลางทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากสภาพที่มีการ<br />
ปฏิบัติมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ ลำดับแรก คือ มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผลตลอดภาค<br />
เรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ ลำดับที่สอง คือ ชี้แจง และแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่า<br />
ด้วยการวัดผลและประเมินผลการเรียนของกรมอาชีวศึกษา ลำดับที่สาม คือ การแนะนำการประเมิน<br />
ผลก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังจบบทเรียน จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติการนิเทศ<br />
ด้านการวัดและประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว ครูจะได้รับการแจ้งหรือ<br />
95<br />
แนะนำในเรื่องการวัดผลก่อนเปิดภาคเรียน หรือสัปดาห์แรกของภาคเรียน แต่ในระหว่างภาคเรียนจะ<br />
ไม่ได้รับการแจ้งหรือแนะนำอีกครั้ง จึงทำให้ครูปฏิบัติการวัดผลผิดพลาดและไม่ตรงวัตถุประสงค์<br />
ของหลักสูตรได้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการวัดผลและประเมินผลตามหลักสูตรใหม่ จะวัดตามจุดประสงค์<br />
การเรียนรู้ โดยจะมีการสอบขณะเรียนหรือหลังเรียนแต่ละจุดประสงค์แทนการสอบรวบยอดปลาย<br />
ภาคเรียน จากการเปลี่ยนแปลงระเบียบและวิธีการวัดผลตามหลักสูตรใหม่นี้เอง ครูจึงมักจะประสบ<br />
ปัญหาในการวัดและประเมินผล เพราะครูไม่เข้าใจหลักการและวิธีการวัดผลที่ถูกต้อง ส่วนข้อที่มี<br />
สภาพของการปฏิบัติในระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบ<br />
มาตรฐาน เนื่องมาจากรายวิชาชีพของช่างอุตสาหกรรมมีความหลากหลายและกระบวนการวิเคราะห์<br />
ข้อสอบต้องใช้เวลา และทางวิทยาลัยยังไม่ได้นำผลที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลมาใช้ปรับปรุง<br />
การสอนอย่างเป็นระบบ ดังนั้นผู้บริหารและครูยังไม่เห็นความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อสอบเท่า<br />
ที่ควร ซึ่งเรื่องนี้จะมีผลโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนโดยตรง<br />
ส่วนความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการด้านการวัดและประเมินผล เมื่อพิจารณาเป็น<br />
รายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ เมื่อเรียงลำดับจากความต้องการมากที่สุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้<br />
ลำดับแรก คือ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นในการประเมินผล ลำดับที่สอง คือ จัดให้มีการ<br />
วิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบมาตรฐาน ลำดับที่สาม คือ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครื่อง<br />
มือวัดจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ศิรินันท์ ชลินทุ (2538 : 210) ที่พบว่า<br />
ผู้สอนมีความต้องการการนิเทศด้านการวัดและประเมินผลในระดับมากและเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ<br />
พบว่ามีความต้องการในเรื่องของการอบรม สัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องเทคนิคการสร้าง วิเคราะห์ข้อ<br />
สอบมาตรฐานอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุรพงษ์ ศรีวินิจ (2539 : 79) ที่<br />
ผู้สอนมีความต้องการการนิเทศเกี่ยวกับระเบียบการวัดผลและประเมินผล ซึ่งจากผลการวิจัยครั้งนี้ยัง<br />
พบว่า ครูยังขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นในการประเมินผล และต้องการวิเคราะห์<br />
ข้อสอบและสร้างเครื่องมือการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ เพราะข้อสอบเป็นเครื่องชี้ถึงคุณภาพการสอน<br />
และพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อให้ผู้สอนรู้ว่าผลการสอนของตนเป็นอย่างไร สอนดีหรือไม่ ผู้เรียน<br />
รู้เรื่องหรือไม่ และควรปรับปรุงการเรียนการสอนในส่วนใดบ้าง เพราะการวัดผลการศึกษานั้นเราไม่<br />
ได้วัดหรือประเมินผลส่วนต่าง ๆ ของตัวบุคคลหรือตัวนักเรียนแต่เราวัดเกี่ยวกับความรู้ความสามารถ<br />
ความสนใจ เจตคติ ตลอดจนทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียน ดังนั้นครูเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้<br />
ไปสู่ผู้เรียนโดยตรง และจะต้องทำหน้าที่ในการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนด้วย รวมทั้ง<br />
ผู้บริหารจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องการวัดผลและประเมินผลด้วย และจะต้องคอยดูแล ส่งเสริม<br />
ให้การวัดผลและประเมินผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ส่วนข้อที่ผู้ตอบแบบสอบถามมี<br />
ความต้องการได้รับการนิเทศในระดับที่น้อยกว่าข้ออื่น ๆ คือ มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผล<br />
96<br />
ตลอดภาคเรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว ครูจะได้รับการแจ้งหรือแนะนำใน<br />
เรื่องการวัดผลก่อนเปิดภาคเรียน หรือสัปดาห์แรกของภาคเรียนอยู่แล้ว<br />
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย<br />
จากการศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่าง<br />
อุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6 ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ข้อเสนอแนะ<br />
ที่ได้จากการวิจัย โดยแยกแต่ละด้านดังนี้<br />
ด้านหลักสูตร<br />
1. ควรปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันคือมีความยืดหยุ่น หลากหลาย<br />
เหมาะสมตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น และรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคต<br />
นอกจากนั้นควรให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และสอดคล้องกับมาตรฐาน<br />
อาชีวศึกษา เพื่อให้เอื้ออำนวยในการศึกษาต่อ<br />
2. ในการจัดทำหลักสูตรควรให้ผู้ที่มีความร ู้ ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การสอน<br />
และควรมีการศึกษา วิจัยหลักสูตร หรือการทดลองใช้หลักสูตรก่อนการนำมาใช้จริง อีกทั้งควรมีการ<br />
สร้างเครือข่ายในการศึกษา และจัดทำหลักสูตร ระหว่างกรม เช่นจัดโครงการความร่วมมือระหว่าง<br />
กรมอาชีวศึกษากับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือหรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เพื่อเป็น<br />
การแลกเปลี่ยน และให้เกิดความสอดคล้องกันในการจัดการศึกษา<br />
3. ควรปรับปรุงด้านเนื้อหาวิชา เช่นยุบรวมรายวิชาที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันให้เป็นรายวิชาใน<br />
หมวดวิชาสัมพันธ์ หรือปรับปรุงเนื้อหาในรายวิชาที่มีเนื้อหามากเกินความจำเป็นจนทำให้สอนไม่ทัน<br />
และควรปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับทัพยากรที่มี เช่นเครื่องมือ เครื่องจักร<br />
ด้านการเรียนการสอน<br />
1. ควรจัดอบรม เสริมความรู้ให้แก่บุคลากรในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนโดยผู้เรียน<br />
เป็นสำคัญ และเน้นการสร้างบรรยากาศและแรงจูงใจให้ผู้เรียนมีความสนใจใฝ่รู้ และควรจัดให้ครู<br />
สอนตรงกับความร ู้ ความสามารถ และตามความถนัด หรอื การเผยแพร ่ วธิ กี ารสอนหรอื เทคนคิ<br />
การสอนของครูต้นแบบให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา เพื่อจะได้นำไปใช้หรือประยุกต์ใช้ให้เกิด<br />
ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน<br />
3. ควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนในรายวิชาชีพได้มีโอกาสออกไปศึกษาดูงาน หรือฝึกงานใน<br />
สถานประกอบการที่ตรงกับสาขาวิชาที่สอน เพื่อให้ครูได้รับประสบการณ์ตรง และนำความรู้และ<br />
ประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพการณ์จริงในสถานประกอบการ<br />
และเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี<br />
97<br />
3. ผู้บริหารควรติดตามดูแลการเรียนการสอนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อีกทั้งต้องมีระบบการ<br />
ติดตาม และประเมินผลที่เป็นแบบแผนเดียวกันทุกสถานศึกษา หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการที่มี<br />
ความรู้ความสามารถให้เป็นคณะกรรมการของสถาบันอาชีว ฯ เพื่อทำหน้าที่ในการนิเทศการสอน<br />
อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
1. ควรจัดอบรม และสนับสนุนงบประมาณให้ครูในเรื่องของการสร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ และการสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสร้างบทเรียนด้วยตนเองโดยใช้<br />
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือการสร้างแผ่นใสด้วยคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเทคนิคและวิธีการสร้างสื่อ<br />
เสมือนจริง เช่น โมเดลจำลอง หรือการสร้างภาพเสมือนจริง (3D Model) โดยสนับสนุนให้ครูเป็นผู้<br />
ผลิตสื่อได้ด้วยตนเอง<br />
2. ควรมีหน่วยงานกลางรับผิดชอบจัดทำ และพัฒนาสื่อการสอน โดยเฉพาะเพื่อให้สื่อการ<br />
สอนมีคุณภาพ ได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน และควรจัดตั้งศูนย์สื่อการสอน เพื่อทำหน้าที่ในการเก็บรักษา<br />
และซ่อมบำรุงสื่อที่ชำรุด รวมทั้งมีสื่อการสอนหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการสอนเช่น เครื่องขยายเสียง<br />
ไมโครโฟน เครื่องฉายข้ามศีรษะ ปากกาเขียนแผ่นใส แผ่นใส ไว้ให้ครูสามารถเบิกไปใช้ได้ และให้<br />
เพียงพอต่อจำนวนห้องเรียน<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
1. ควรมีการจัดอบรมครู และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และเน้นผลสำฤทธิ์ของ<br />
การอบรมที่สามารถนำมาใช้ได้จริง โดยเน้นให้ตรงกับสาขาวิชาที่สอน หรือสอดคล้องกับรายวิชาที่<br />
เปิดสอนตามแผนการเรียนของหลักสูตร และสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมมาใช้ในการสอน<br />
ได้ พร้อมทั้งส่งเสริม และสนับสนุนด้านงบประมาณให้ครูได้ศึกษาต่อ โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่สอน<br />
และการพัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถทางด้านการใช้คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต เพื่อนำมาใช้<br />
ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน<br />
2. ควรมีการประเมินมาตรฐานของครูผู้สอนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้ครู<br />
พัฒนาตนเอง และรักษามาตรฐานการสอนของตน และควรมีการใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างคุ้มค่าโดยมี<br />
โครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างสถานศึกษา หรือการยืมตัวบุคลากรที่มีความสามารถไปช่วย<br />
ราชการยังสถานศึกษาที่ขาดแคลน<br />
ด้านการวัดและประเมินผล<br />
1. ควรกำหนดหลักการ เกณฑ์ และวิธีการวัดผลให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยยึด<br />
ถือปฏิบัติเหมือนกันทั้งสถาบัน ทั้งรายวิชาในภาคทฤษฎี และปฏิบัติ พร้อมทั้งชี้แจง และจัดทำคู่มือ<br />
การวัดผลเผยแพร่ให้ครูทราบก่อนเปิดภาคเรียน<br />
98<br />
2. ควรจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การออกข้อสอบให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ โดย<br />
เน้นการประเมินตามสภาพจริง และวิเคราะห์ข้อสอบ พร้อมกับจัดทำชุดข้อสอบมาตรฐาน และมี<br />
ศูนย์เก็บข้อสอบหรือคลังข้อสอบมาตรฐาน เพื่อให้สามารถใช้ข้อสอบมาตรฐานร่วมกันได้ระหว่าง<br />
สถานศึกษา<br />
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป<br />
1. ควรมีการวิจัยในเรื่องสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ในสถาบันอาชีวศึกษาภาคอื่น ๆ เพื่อเปรียบเทียบ<br />
2. ควรมีการวิจัยศึกษาเปรียบเทียบความต้องการการนิเทศภายใน ระหว่างครูประเภทวิชา<br />
ช่างอุตสาหกรรมกับผู้บริหาร ในวิทยาลัยเทคนิค<br />
3. ควรมีการวิจัยในเรื่องสภาพ และความต้องการการนิเทศภายในด้านอื่น ๆ ของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค<br />
ภาคผนวก<br />
ภาคผนวก ก<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
107<br />
แบบสอบถามเพื่อการวิจัย<br />
เรื่อง การศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการของครู<br />
ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 6<br />
คำชี้แจง แบบสอบถามนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายใน<br />
ด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ในวิทยาลัยเทคนิค ของสถาบันอาชีวศึกษาภาค<br />
กลาง 6 จึงใคร่ขอความกรุณาท่านโปรดตอบแบบสอบถามให้ครบทุกข้อตามความเป็นจริง คำตอบ<br />
ของท่านจะมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ทราบว่าสภาพและความต้องการการนิเทศภายในปัจจุบัน<br />
อยู่ในระดับใด เพื่อเป็นแนวทางแก่สถานศึกษาเพื่อพัฒนาทางด้านการบริหารงานวิชาการ ให้มีประ<br />
สิทธิภาพ และการตอบแบบสอบถามนี้จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการปฏิบัติงานของท่าน ซึ่งแบบ<br />
สอบถามชุดนี้มีทั้งหมด 3 ตอน คือ<br />
ตอนที่ 1 เป็นแบบเลือกตอบ เพื่อสอบถามสถานภาพและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบ<br />
สอบถาม<br />
ตอนที่ 2 เป็นแบบมาตรประมาณค่า แบ่งเป็นระดับการนิเทศภายในด้านวิชาการที่ปฏิบัติ<br />
และระดับการนิเทศภายในด้านวิชาการที่ต้องการ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่<br />
1. ด้านหลักสูตร<br />
2. ด้านการเรียนการสอน<br />
3. ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
4. ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
5. ด้านการวัดผลและประเมินผล<br />
ตอนที่ 3 เป็นความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการ<br />
นิเทศภายในด้านวิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ที่ต้องการจะเพิ่มเติมในแต่ละด้าน มี<br />
ลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด<br />
108<br />
ตอนที่ 1 สถานภาพและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม<br />
คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย ลงใน หน้าข้อความที่ตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวท่าน<br />
1. เพศ<br />
1) ชาย 2) หญิง<br />
2. อายุ<br />
1) ต่ำกว่า 30 ปี 2) 30 - 40 ปี<br />
3) 41 - 50 ปี 4) 51 - 60 ปี<br />
3. วุฒิการศึกษาสูงสุดหรือเทียบเท่า<br />
1) ต่ำกว่าปริญญาตรี 2) ปริญญาตรี หรือเทียบเท่า<br />
3) สูงกว่าปริญญาตรี<br />
4. ท่านมีวุฒิทางวิชาชีพคร ู (ทางการศึกษา) หรือไม่<br />
1) มี 2) ไม่มี<br />
5. ระยะเวลาที่ท่านมีประสบการณ์การสอนในประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
1) น้อยกว่า 5 ปี 2) 5-10 ปี<br />
3) 11-15 ปี 4) มากกว่า 15 ปี<br />
109<br />
ตอนที่ 2 สภาพความเป็นจริงของการนิเทศภายในและความต้องการการนิเทศภายใน ด้านวิชาการ<br />
คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย ลงในช่อง สภาพที่เป็นจริงของการนิเทศ และความต้องการการ<br />
นิเทศ ภายในสถานศึกษาของท่านทั้ง 5 ด้าน โดยขอให้ท่านอ่านข้อความในแต่ละข้อแล้วพิจารณา<br />
ตามความคิดเห็นที่เหมาะสม โดยให้ค่าน้ำหนักการประเมิน 5 ระดับดังนี้<br />
5 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมากที่สุด<br />
4 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการมาก<br />
3 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการปานกลาง<br />
2 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อย<br />
1 หมายถึง ระดับการนิเทศที่ปฏิบัติ และระดับการนิเทศที่ต้องการน้อยที่สุด<br />
110<br />
สภาพของการนิเทศ ความต้องการนิเทศ ลำดับ รายการนิเทศ 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
ด้านหลักสูตร<br />
1. การสำรวจความต้องการและปัญหาเกี่ยวกับงาน<br />
ด้านหลักสูตร<br />
2. แนะนำให้ครูผู้สอนวิเคราะห์หลักสูตรก่อนทำ<br />
การสอนเพื่อให้ทราบจุดมุ่งหมายและแนวทาง<br />
ในการปฏิบัติ<br />
3. การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย/หลัก<br />
การและโครงสร้างของหลักสูตร<br />
4. แนะนำให้ครูปรับปรุงหลักสูตร คู่มือการเรียน<br />
การสอน ใบงาน และเอกสารประกอบการสอน<br />
ให้มีความทันสมัย<br />
5. แนะนำด้านการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรการ<br />
เรียนการสอนด้านวิชาชีพ<br />
6. จัดเตรียม และแนะนำการใช้เอกสารประกอบ<br />
หลักสูตรและคู่มือครู เพื่อให้สามารถจัดการ<br />
เรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม<br />
7. การตรวจสอบและควบคุมการเรียนการสอนให้<br />
ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร<br />
8. จัดการสัมมนา/อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการ<br />
พัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของ<br />
ตลาดแรงงาน<br />
9. จัดประชุมกรรมการของวิทยาลัย เพื่อติดตาม<br />
และประเมินผลการใช้หลักสูตรอย่างต่อเนื่อง<br />
ด้านการเรียนการสอน<br />
10. จัดประชุมครูผู้สอนเพื่อเตรียมงานด้านการสอน<br />
111<br />
ก่อนเปิดภาคเรียน<br />
สภาพของการนิเทศ ความต้องการนิเทศ ลำดับ รายการนิเทศ 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
11. บริการด้านคู่มือ/ เอกสารทางวิชาการ และ<br />
หนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนให้แก่ครู<br />
ผู้สอนอย่างเพียงพอ<br />
12. การให้บริการ/จัดเก็บ และบำรุงรักษาสื่อการ<br />
เรียนการสอน<br />
13. การแนะนำให้ใช้วิธีสอนที่เน้นทักษะ/กระบวน<br />
การ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจที่<br />
แท้จริง<br />
14. การส่งเสริมให้ครูผู้สอนจัดทำโครงการสอน/<br />
แผนการสอน และบันทึกการสอน<br />
15. มีการชี้แนะให้จัดสภาพแวดล้อมภายในห้อง<br />
เรียนและพื้นที่ฝึกปฏิบัติ ให้เอื้อต่อการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
16. จัดให้มีการเข้าเยี่ยมชั้นเรียนและแนะนำเทคนิค<br />
การสอนเป็นรายบุคคล<br />
17. จัดวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาสาธิตวิธีการสอน<br />
และเทคนิคการสอนแบบใหม่<br />
18. ได้รับการแนะนำให้จัดทำแฟ้มข้อมูลประจำตัว<br />
นักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อประโยชน์ในการจัด<br />
กิจกรรมการเรียนการสอน<br />
19. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่จำ<br />
เป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน<br />
20. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีการประชุม แลกเปลี่ยน<br />
ความคิดเห็นทางวิชาการและประสบการณ์การ<br />
สอน<br />
112<br />
21. มีการติดตามดูแล และประเมินผลการสอนของ<br />
ครูผู้สอน<br />
สภาพของการนิเทศ ความต้องการนิเทศ ลำดับ รายการนิเทศรายการนิเทศ 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน<br />
22. การสำรวจความต้องการใช้วัสดุ/อุปกรณ์ในการ<br />
สร้างสื่อการเรียนการสอน<br />
23. การบริการจัดหาวัสดุเพื่อนำไปสร้างสื่อการ<br />
เรียนการสอน<br />
24. จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยน ยืมสื่อ วัสดุอุปกรณ์<br />
การสอนระหว่างสถานศึกษา<br />
25. ส่งเสริมให้ครูมีการจัดหาหรือจัดสร้างสื่อด้วย<br />
ตนเองเพื่อใช้ในการเรียนการสอนทุกรายวิชา<br />
26. แนะนำและให้คำปรึกษา ในการผลิตสื่อการ<br />
เรียนการสอนให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน<br />
การสอนตามแผนการสอน<br />
27. แนะนำให้ใช้ห้องสมุดเป็นสื่อในการจัดกิจ<br />
กรรมการเรียนการสอน<br />
28. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัสดุ/อุปกรณ์โสต<br />
ทัศนูปกรณ์ในวิชาช่างอุตสาหกรรม<br />
29. จัดอบรมการสร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้<br />
เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น<br />
คอมพิวเตอร์ วีดีโอ ฯ<br />
30. มีการแนะนำหนังสือ วารสารทางวิชาการ และ<br />
เทคโนโลยีใหม่ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้<br />
31. ติดตามและประเมินผลการใช้สื่อการเรียนการ<br />
สอนของครูผู้สอน<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร<br />
32. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการศึกษาต่อ<br />
113<br />
33. จัดสำรวจความต้องการของครูในการเข้ารับการ<br />
อบรม เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับกลุ่มประสบการณ์วิชา<br />
ชีพในรายวิชาชีพเฉพาะสาขาวิชา<br />
สภาพของการนิเทศ ความต้องการนิเทศ<br />
ลำดับ รายการนิเทศ 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
34. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมในการฝึกอบรม<br />
หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ และดูงานนอก<br />
สถานที่<br />
35. การส่งครูผู้สอนไปฝึกงาน/อบรม ในสถาน<br />
ประกอบการ เพื่อนำความรู้ และทักษะที่ได้รับ<br />
มาพัฒนาการเรียนการสอน<br />
36. ส่งเสริมครูช่างอุตสาหกรรมให้มีส่วนร่วมในกิจ<br />
กรรมของชุมชน<br />
37. ส่งเสริมให้ครูช่างอุตสาหกรรมทำการทดลอง<br />
การวิจัยเกี่ยวกับงานช่างอุตสาหกรรม<br />
38. การแนะนำให้จัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อ<br />
ความก้าวหน้าในอาชีพครู<br />
39. ส่งเสริมผลงานของครูช่างอุตสาหกรรมโดยการ<br />
เผยแพร่ผลงานแก่บุคคลทั่วไป<br />
40. จัดให้มีการโยกย้าย/สับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อเป็น<br />
การเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน<br />
41. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุม/อบ<br />
รมมา เผยแพร่แก่ครูในวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ<br />
42. การแนะนำให้นำความรู้ที่ได้จากการประชุมอบ<br />
รมมาใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงและพัฒนาการเรียน<br />
การสอน<br />
43. ติดตามและประเมินผลการพัฒนาของครูช่าง<br />
อุตสาหกรรม<br />
ด้านการวัดและประเมินผล<br />
44. มีการกำหนดปฏิทินปฏิบัติงานการวัดผลตลอด<br />
114<br />
ภาคเรียนและแจ้งให้ครูผู้สอนทราบ<br />
สภาพของการนิเทศ ความต้องการนิเทศ ลำดับ รายการนิเทศ 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1<br />
45. ชี้แจง และแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม<br />
ระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมินผลการ<br />
เรียนของกรมอาชีวศึกษา<br />
46. จัดทำเอกสาร ข่าวสาร ที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการ<br />
วัดผลและประเมินผลเพื่อเผยแพร่แก่ครูผู้สอน<br />
47. การแนะนำการประเมินผลก่อนเรียน ระหว่าง<br />
เรียน และหลังจบบทเรียน<br />
48. การแนะนำวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลทั้งราย<br />
วิชาในภาคทฤษฎี และรายวิชาในภาคปฏิบัติ<br />
49. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างเครื่องมือวัดจุด<br />
ประสงค์การเรียนรู้<br />
50. จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ และจัดทำข้อสอบ<br />
มาตรฐาน<br />
51. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จำเป็นในการ<br />
ประเมินผล<br />
52. ติดตามและประเมินผลการวัดผลและประเมิน<br />
ผลการเรียนการสอนของครูผู้สอนอย่างต่อเนื่อง<br />
115<br />
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้าน<br />
วิชาการของครู ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม ที่ต้องการจะเพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />
ด้านหลักสูตร…………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………<br />
ด้านการเรียนการสอน…………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………<br />
ด้านสื่อการเรียนการสอน……………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………<br />
116<br />
ด้านการพัฒนาบุคลากร………………………………………………..………………….…<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
……………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………<br />
ด้านการวัดและประเมินผล……………………………………………...……………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………………………………………<br />
…………………………………………………………………………………………………………<br />
………………………………<br />
ขอบคุณที่กรุณาตอบแบบสอบถาม<br />
ภาคผนวก ข<br />
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ<br />
117<br />
รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจความตรงในเนื้อหา และการใช้ภาษาของแบบสอบถาม<br />
1. ดร.วิโรจน วัฒนานิมิตกูล<br />
ประธานกรรมการบริหารหลักสูตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรและการสอน)<br />
2. นายทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ<br />
รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนสาธิตมัธยม สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
3. นายสมศักดิ์ สังข์แก้ว<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
4. นางเพ็ญศรี วงศ์แสนเจริญดี<br />
หัวหน้างานวัดผลและประเมินผล วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
ภาคผนวก ค<br />
หนังสือราชการที่เกี่ยวข้อง<br />
ประวัติผู้วิจัย<br />
124<br />
ประวัติผู้วิจัย<br />
ชื่อ นายราเมศ จ่างผล<br />
เกิดวันที่ 5 กันยายน พุทธศักราช 2516<br />
สถานที่เกิด ตำบลโพธิ์ม่วงพันธ์ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง<br />
ที่อยู่ปัจจุบัน 8/14 หมู่ 4 ตำบลท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<br />
เริ่มรับราชการ 9 พฤษภาคม พุทธศักราช 2539 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร<br />
อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<br />
ตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบัน อาจารย์ 1 ระดับ 5<br />
สถานที่ทำงานปัจจุบัน วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร<br />
โทรศัพท์ 0-3441-1248<br />
ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2528 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลบ้านกล้วย<br />
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท<br />
พ.ศ. 2531 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม<br />
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท<br />
พ.ศ. 2534 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาช่างกลโรงงาน<br />
วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท<br />
พ.ศ. 2537 ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาเทคนิคการผลิต<br />
วิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์<br />
พ.ศ. 2539 หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.)<br />
สาขาเครื่องมือกล วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก อำเภอเมือง<br />
จังหวัดพิษณุโลก<br />
พ.ศ. 2546 หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา<br />
(ค.ม.) สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา<br />
<br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/1_9754.html"><br />
ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 1)</a><br />
<a href="http://research-all.blogspot.com/2011/08/2_9986.html">ศึกษาสภาพและความต้องการการนิเทศภายในด้านวิชาการของครูประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม (ตอนที่ 2)</a><br />
<br />
<a href="http://www.ziddu.com/download/16030698/_.pdf.html" target="_blank"><img src="http://www.love2gether.com/images/dd.gif"></a>poe2chor@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/06254048062873515663noreply@blogger.com0