วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การก่อเกิดจริยธรรมกรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ตอนที่ 1)



การก่อเกิดจริยธรรม : กรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จาก
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
นางเมรุณี แท่นนิล
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา
ปีการศึกษา 2546
ISBN 974-373-238-1
ลิขสิทธิ์ของสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
THE BUILDING MORAL : A CASE STUDY OF LOANEES IN
THE NATIONAL VILLAGE URBAN COMMUNITY FUND
MRS. MARUNEE TANNIN
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements
for the Master of Arts (Social Sciences Development)
at Rajabhat Institute Bansomdejchaopraya
Academic Year 2003 I
SBN : 974-373-238-1

นางเมรุณี แท่นนิล. (2546). การก่อเกิดจริยธรรม : กรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จาก กองทุนหมู่บ้าน
และชุมชนเมือง. วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต. กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. คณะกรรมการควบคุม : รศ.ดร. สมศักดิ์ ศรีสันติสุข
ดร.ทวิช บุญธิรัศมี ดร.วราภรณ์ พันธุ์วงศ์กล่อม
การศึกษาการก่อเกิดจริยธรรม : กรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชน
เมือง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของสมาชิกผู้ใช้
ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และศึกษาวิถีชีวิตที่ดีงามของสมาชิกผู้ใช้บริการกองทุน
หมู่บ้านและชุมชนเมือง
ประชากรที่นำมาศึกษา เป็นสมาชิกผู้กู้ที่เป็นลูกหนี้ชั้นดีจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ในโซนกรุงธนเหนือ เลือกเฉพาะชุมชนนำร่องที่สามารถจัดตั้งกองทุนได้เป็นกลุ่มแรก 5 ชุมชน กองทุน
ละ 2 คน จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล และ
สัมภาษณ์แบบเจาะลึก ด้านภูมิหลังของบิดามารดา ชีวิตในวัยเด็กและวัยเรียน ชีวิตในวัยทำงาน
สภาพแวดล้อมทางสังคม การดำรงชีวิตในปัจจุบัน และองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดจริยธรรม
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมมาจาก วิธีอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว
สภาพแวดล้อมสังคม บทบาทของครูอาจารย์ ความเชื่อความศรัทธาในหลักธรรม และระเบียบกองทุน
หมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งครอบครัวเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพล ในการพัฒนาจริยธรรมมากที่สุด
และตัวแบบที่มีอิทธิพลในการขัดเกลาทางสังคม ได้แก่ บิดา มารดา ครูอาจารย์

Marunee Tannin. (2003). The Building Moral: A Case Study of Loaness in The National Village
Urban Community Fund. Bangkok: Graduate School, Rajabhat Institute
Bansomdejchaopraya. Advisor committee: Assoc.prof. Dr.Somsak Srisontisuk Dr.Tawit
Boontirasani and Dr.Waraporn Panwongklom
The purposes of the study were to examine factors that building moral of Loaness in
the national village urban community Fund and Life history.
This study was a qualitative research. The sample were 10 Loaness of the national village
urban community Fund in 5 villages in Thonburi-nuae area.
The instrument used for data collection were participation observation and indept interview
about the life history, family treatment, education background, association, way of life, teacher
behavior, faithfulness and social environment.
Results of the study were factors that building moral were family treatment, faithfulness and
teacher behavior. Family treatment was at high level to building moral and Socialization factors were
family model and teacher model.
ประกาศคุณูปการ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของท่าน รองศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ศรีสันติสุข ดร.
ทวิช บุญธิรัศมี ดร.วราภรณ์ พันธ์วงศ์กล่อม ตลอดจนคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ทุกท่านที่ให้ความกรุณา เสีย
สละเวลา ชี้แนะให้คำแนะนำ และแก้ไขจนวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เสร็จสมบรูณ์ตามเนื้อหาทางวิชาการ และมาตรฐานของ
การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.นันทา วิทวุฒิศักดิ์ ที่ได้กรุณาตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขให้มี
ความสมบูรณ์และถูกต้องมากยิ่งขึ้น อีกทั้งให้กำลังใจและแสดงความห่วงใยตลอดมา ผู้วิจัยมีความซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ผู้นำชุมชน และสมาชิกกองทุน ชุมชนวัดเทพากร
ชุมชนพัฒนาซอย 79 ชุมชนฉัตรชัย-เสริมโชค ชุมชนวัดบางขุนนนท์ และชุมชนหมู่ 6 วัดบางระมาด ทุกท่านที่ให้ความ
อนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลอันเป็นประโยชน์ และมีคุณค่ายิ่งต่อการวิจัยครั้งนี้ ตลอดจน เพื่อนๆ และผู้อยู่เบื้อง
หลังทุกท่านที่ให้การสนับสนุน เป็นกำลังใจในการทำวิจัยครั้งนี้จนสำเร็จด้วยดี
หากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย อันนำไปสู่การพัฒนาชุมชนและ
สังคม ผู้วิจัยขอมอบคุณความดีแด่ผู้มีพระคุณทุกท่านที่กล่าวมาข้างต้น
เมรุณี แท่นนิล

สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย ………………………………………………………………………….. ง
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ……………………………………………………………………….. จ
ประกาศคุณูปการ …………………………………………………………………………….. ฉ
สารบัญ ……………………………………………………………………………………. ช
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………….. ฌ
สารบัญภาพ..…………………………………………….………………………………….. ฎ
บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………….. 1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา……………….…………………………….. 1
วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………. 2
ขอบเขตการวิจัย…………………………………………………………………….. 2
นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ……………..………………………………………….……. 4
กรอบแนวคิด………….………………………………………………………………….…… 5
ประโยชน์ของการวิจัย……………………………………………………………..… 6
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………….. 7
แนวคิดเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูบุตร………………………………………………… 7
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว…………………………….11
แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะของพุทธศาสนา.………………………………...12
แนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทย …………………………………………………14
แนวคิดเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม.…………………………………………………………16
แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรม……………………………………………….….………….18
ทฤษฎีการพัฒนาทางจริยธรรม……………..………………………….….…..………21
แนวคิดพื้นฐานการขัดเกลาทางสังคม….……………………………………………..23
นโยบายกองทุนหมู่บ้าน ………………….…………………….……………..24
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………..26

สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย …………………………………………………………… 29
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง……………………………………………………29
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………. 29
การเก็บรวบรวมข้อมูล ……………………….……………………………… 30
การวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………….…………………31
บทที่ 4 การวิเคราะห์ผลการศึกษา……………………………………………….…… 32
ข้อมูลชุมชน………………………………………………………………… 33
การวิเคราะห์การก่อเกิดจริยธรรมจากองค์ประกอบที่กำหนดเป็นรายบุคคล…..63
สรุปผลการวิเคราะห์การก่อเกิดจริยธรรม…………………………..……… 75
บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล…………….………………………………………… 79
สรุปผลการวิจัย……………………………………………………………. 80
สรุปและอภิปรายผลการศึกษาวิจัย………………………………………… 80
ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………… 87
ข้อเสนอแนะในการวิจัยต่อไป ……………………………………………. 88
บรรณานุกรม ………………………………………………………………………. 89
ภาคผนวก ก ……………………………………………………………………… 93
ภาคผนวก ก ข้อมูลชุมชนและประวัติชีวิตของสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จาก
กองทุน…………………………………………………………………………… 94
ภาคผนวก ข ………………………………………..………………………... 135
ภาคผนวก ข สรุปข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของสมาชิกกองทุน……..…..…... 136
ภาคผนวก ค …………………………………………….…………………..……… 146
ภาคผนวก ค กฎระเบียบกองทุนหมู่บ้าน.…………….…….………..……. 147
ประวัติผู้วิจัย………………………………………………………………...…….. 185

สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางสงวนศรี วงศ์ยิ้ม……………………….. 35
2 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนางสงวนศรี วงศ์ยิ้ม…… 36
3 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางวรรณา แม้นเลขา………………………….37
4 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนางวรรณา แม้นเลขา……..38
5 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางพรรณิภา อุ่นแจ่ม…………………………41
6 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนางพรรณิภา อุ่นแจ่ม…….42
7 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางเรณู นำผล…..…………………………… 43
8 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนางเรณู นำผล………..…. 44
9 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางปราณี ปฐพี…………………………….. 47
10 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนางปราณี ปฐพี……..… 48
11 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางเอื้อมเดือน ทุถาวร…………………….…..49
12 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของ
นางเอื้อมเดือน ทุถาวร ……………… ………………………………………..50
13 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางกมลรัตน์ ยามมีสิน..…………………….. 53
14 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของ
นางกมลรัตน์ ยามมีสิน……………………………………………………… 54

สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
15 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางพิทยา รงุ่ เดชารตั น… …………………….. 55
16 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของ
นางพิทยา รงุ่ เดชารตั น… …………………………………………………… 56
17 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนางลัดดา น่วมในชาติ………………. …….. 59
18 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของ
นางลัดดา น่วมในชาติ……………..……………………………………….. 60
19 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนายส้ม กล่ำถนอม…………..……………… 61
20 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบการก่อเกิดจริยธรรมของนายส้ม กล่ำถนอม………62
21 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางสงวนศรี……………………… 63
22 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางวรรณา……………… 64
23 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางพรรณิภา…………….. 65
24 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางเรณู…..………………. 67
25 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางปราณี..……………... 68
26 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางเอื้อมเดือน…….…….. 69
27 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางกมลรัตน… ………….. 70
28 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางพิทยา…..…………….. 71
29 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนางลัดดา………………. .. 72
30 สรุปองค์ประกอบที่ก่อเกิดจริยธรรมของนายส้ม……….………….. 73
31 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการก่อเกิดจริยธรรมของ
สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน…………………………………………… 75
32 สรุปตามลักษณะตัวแปรที่ก่อให้เกิดจริยธรรม…………………….. 146

สารบัญแผนภาพ
แผนภาพที่ หน้า
1 กรอบแนวคิด……………………………………………………………… 5
2 แสดงป้ายชุมชนวัดเทพากร การเคหะแห่งชาติ………………………………. 33
3 แสดงป้ายและทางเข้าชุมชนพัฒนาซอย 79……………………………..…….39
4 แสดงป้ายและทางเข้าชุมชนฉัตรชัยเสริมโชค………………………………. 45
5 แสดงป้ายชุมชนวัดบางขุนนนท์……………………………………………. 51
6 แสดงป้ายชุมชนหมู่ 6 บางระมาด………………….………………………….57
บทที่ 1
บทนำำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
“ถึงแม้เราจะอยู่ในท่ามกลางความเจริญรุดหน้า เท่ายุคปัจจุบันอย่างไร เราก็ทอดทิ้งการ
ศึกษาทางด้านจิตใจและศีลธรรมจรรยาไม่ได้ ตรงกันข้าม เราควรเอาใจใส่สั่งสอนกันให้หนักแน่น
ทั่วถึงกันยิ่งขึ้นเพื่อให้มีความคิดความเข้าใจถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์แวดล้อม ที่วิวัฒนาการ
ไปไม่หยุดยั้ง” พระบรมราโชวาท เนื่องในวโรกาสงานสัปดาห์ส่งเสริมศาสนา และจริยธรรม
ระหว่างวันที่ 3 – 9 ธันวาคม 2533 ณ วิทยาลัยครูพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก (สุขุมาน มาสว่าง
2541: 2) จากพระบรมราโชวาท ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาด้านจิตใจของประชาชน
จำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับด้านอื่น
การพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 7 ทำให้
มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ทั้งดีและด้อยคือ ประสบผลสำเร็จในด้านเศรษฐกิจ
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนที่เป็นเหตุของปัญหาคือ เกิดการหลั่งไหลของกระแส
วัฒนธรรมทางตะวันตก ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทย ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมบริโภคนิยม
คนส่วนใหญ่ มุ่งหาเงินเพื่อความสุขของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องของที่มา ปัญหา
ทุกอย่างแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปัญหาสังคมที่ยังแก้ไขไม่ได้ อาทิ ปัญหายาเสพติด
อาชญากรรม สภาพครอบครัวแตกแยก ทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาความยากจนที่แพร่กระจายไป
ทุกส่วนของประเทศ ทำให้สังคมเกิดความอ่อนแอ ทั้งนี้เกิดจากแนวคิดการพัฒนาที่มุ่งเฉพาะความ
เจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่ความทันสมัย (Modernization) ทำให้เกิดช่องว่าง
หลายด้านซึ่งในการพัฒนาจะต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กันทุกด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ เพื่อให้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ไขปัญหาได้ รวมทั้งต้องพัฒนาในเรื่องของจิตใจให้มีคุณธรรม
และจริยธรรมด้วย
ดังนั้นการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเห็นได้จาก
การปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 พ.ศ.2540 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ เสริมฐานล่างให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาคนในสังคมให้มีคุณภาพ มีจิตสำนึกในหน้าที่ความ
รับผิดชอบต่อสังคม เพราะปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันต้องอาศัยทุกคนเป็นผู้ทำให้สังคม
มีความเจริญและสงบสุข โดยอยู่ภายใต้จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
มีน้ำใจช่วยเหลือต่อกันและอยู่ภายใต้ ระเบียบ กฎเกณฑ์ ของสังคมที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม
2
รัฐบาลภายใต้การนำของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มองเห็นความจำเป็นที่จะต้อง
เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มีผลกระทบจากปัญหาต่าง ๆ ทำให้ประชาชนมี
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ขาดคุณธรรม จริยธรรม จึงมีนโยบายจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน
และชุมชนเมืองขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและส่งเสริมพัฒนาหมู่บ้านและ
ชุมชนเมืองให้มีขีดความสามารถในการจัดระบบและบริหารจัดการเงินทุนของตนเอง ถือเป็นกุศโล
บายของการบริหารที่ต้องการปลูกฝังและพัฒนาให้คนเป็นพลเมืองดีของชาต ิ ด้วยการให้พลเมือง
ของประเทศเป็นผู้ที่มีจริยธรรมสูง รู้จักสิทธิหน้าที่ของตน มีความรับผิดชอบ เห็นแก่ประโยชน์ส่วน
รวมมากกว่าส่วนตน ผู้นำในชุมชนเมือง ที่เป็นผู้มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งเป็นผู้มี
ปัญญาและศักยภาพสูง จึงได้ร่วมกันดำเนินการก่อตั้งเป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ขอรับเงิน
จากคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กองทุนละ 1 ล้านบาท เพื่อนำมาเป็นเงิน
ทุนหมุนเวียนในการพัฒนาหมู่บ้านของตน โดยให้ผู้ที่เป็นสมาชิกของกองทุนกู้ และคืนเงินพร้อม
ดอกเบี้ย ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับของกองทุนชุมชนเมือง เป็นวิธีการบริหารจัดการที่
ทำให้จำนวนเงินในกองทุนหมุนเวียน และทำให้จำนวนเงินในกองทุนเพิ่มขึ้นจากดอกผลที่ได้จาก
สมาชิกผู้กู้ ผู้วิจัยเห็นว่า การที่สมาชิกกองทุน นำเงินคืนกองทุนตามเงื่อนไขโดยไม่มีการคดโกงนั้น
นับได้ว่าเป็นคนดีมีจริยธรรมซื่อสัตย์สุจริต สมควรที่จะนำไปเป็นแบบอย่าง
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสนใจที่จะศึกษาว่า มีองค์ประกอบใดบ้างที่ก่อเกิดจริยธรรมของสมาชิก
ผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุน ซึ่งผู้วิจัยคาดหวังว่า จะนำผลการวิจัยมาใช้เป็นประโยชน์ ในการพัฒนา
ด้านจริยธรรมแก่เยาวชน เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพของสังคมต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพือื่อ่ ศกึกึ ษาองค์ป์ประกอบทีกี่ก่ ่อ่อเกิดิดจริยิยธรรมของสมาชกิกิ ผู้ใู้ใชบ้บ้ ริกิการกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและ
ชมุมุ ชนเมือือง
ขอบเขตการวิจิจยัยั
ดา้า้ นพืนื้น้ ที่ี่ การวจิจิ ัยัยคร้งั้งั น้จี้จี ะศกึกึ ษากองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือือง ในพืนื้น้ ทีี่่ 4 เขต คือือ เขต
บางพลัดัด เขตหนองแขม เขตบางกอกนอ้อ้ ย และเขตตลิงิ่ง่ ชนันั ซึงึ่ง่ จะคัดัดเลือือกเฉพาะชมุมุ ชนนาำํ ร่อ่องทีี่่
สามารถจัดัดตงั้งั้ กองทนุนุ ไดเ้เ้ ปน็น็ กลุมุ่ม่ แรก ประกอบดว้ว้ ย
3
1. ชมุมุ ชนเทพากรร่ว่วมใจ เขตบางพลัดัด
2. ชมุมุ ชนพัฒัฒนาซอย 79 เขตบางพลัดัด
3. ชมุมุ ชนฉัตัตรชยัยั - เสริมิมโชค เขตหนองแขม
4. ชมุมุ ชนวดัดั บางขุนุนนนท์์ เขตบางกอกนอ้อ้ ย
5. ชมุมุ ชนหมู ู่  6 บางระมาด เขตตลิงิ่ง่ ชนันั
ดา้า้ นเน้อื้อื หา เพือื่อ่ ศกึกึ ษาองค์ป์ประกอบทีกี่ก่ ่อ่อเกิดิดจริยิยธรรมในตวัวั ของสมาชกิกิ กองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
และชมุมุ ชนเมือือง จากความสมัมั พันันธต์ต์ า่า่ งๆ ของ องค์ป์ประกอบ บา้า้ น วดัดั โรงเรียียน การบริหิหารจัดัดการของ
คณะกรรมการกองทนุนุ สภาพแวดล้อ้อมทางสงังั คม และพฤตกิกิ รรมการรับับข่า่าวสารของสมาชกิกิ ผู้ใู้ใช้้
ประโยชนจ์จ์ ากกองทนุนุ ดงังั นี้ี้
1. บา้า้ น
- ความสมัมั พันันธภ์ภ์ ายในครอบครัวัว
- วธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดู
2. วดัดั
- ความเชือื่อ่ ความศรัทัทธาในหลักักธรรม
3. โรงเรียียน
- ความสมัมั พันันธก์ก์ ับับครูอูอาจารย์์
4. สภาพแวดล้อ้อมทางสงังั คม
- วถิถิ ีชีชวีวี ติติ ชมุมุ ชน
- เศรษฐกิจิจชมุมุ ชน
- การเลือือกคบเพือื่อ่ น
5. การบริหิหารจัดัดการของคณะกรรมการกองทนุนุ
- ระเบยียี บกองทนุนุ
4
6. พฤตกิกิ รรมการรับับข่า่าวสาร
นยิยิ ามศพัพั ท์เ์เชิงิงปฏบิบิ ตัตั ิกิการ
กองทนุนุ หมู่บู่บา้า้ นและชุมุมชนเมือือง หมายถึงึง กองทนุนุ หมุนุนเวยียี นในชมุมุ ชนเมือือง ทีไี่ไ่ ดร้ร้ ับับเงินิ
อุดุดหนนุนุ จากกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองแห่ง่งชาต ิ กองทนุนุ ละ 1 ล้า้านบาท
กองทนุนุ หมายถึงึง กองทนุนุ ในชมุมุ ชนเมือืองทีไี่ไ่ ดร้ร้ ับับการจัดัดสรรเงินินจากคณะกรรมการกองทนุนุ
หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือือง กองทนุนุ ละ 1 ล้า้านบาท
กองทนุนุ หมู่บู่บา้า้ น หมายถึงึง กองทนุนุ หมุนุนเวยียี นในชมุมุ ชนเมือือง
คณะกรรมการกองทนุนุ หมายถึงึง คณะกรรมการกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นในชมุมุ ชนเมือือง
ชุมุมชนมีคีความพร้อ้อม หมายถึงึง ชมุมุ ชนทีมี่ม่ ีผีผู้นู้นาำํ ทีมี่ม่ ีศีศกักั ยภาพ สามารถจัดัดตงั้งั้ กองทนุนุ ไดห้ห้ รือือ
ชมุมุ ชนทีมี่ม่ ีผีผู้นู้นาำํ ประชาชนทีมี่ม่ ีคีคุณุณภาพทีสี่ส่ ามารถจัดัดตงั้งั้ กองทนุนุ ได้้
ชุมุมชนนาำํ ร่อ่อง หมายถึงึง ชมุมุ ชนทีสี่ส่ ามารถจัดัดตงั้งั้ กองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นไดส้ส้ ำำเร็จ็จเปน็น็ ชดุดุ แรกใน
เขตน้นั้นั
โซนกรุงุงธนเหนอือื หมายถึงึง พืนื้น้ ทีี่่ 7 เขต ประกอบดว้ว้ ย เขตบางพลัดัด 37 ชมุมุ ชน
เขตบางกอกนอ้อ้ ย 37 ชมุมุ ชน เขตบางกอกใหญ่  32 ชมุมุ ชน เขตภาษเีเี จริญิญ 36 ชมุมุ ชน เขตตลิงิ่ง่ ชนันั
28 ชมุมุ ชน เขตหนองแขม 43 ชมุมุ ชน เขตทววีวี ฒัฒั นา 4 ชมุมุ ชน
ผ้ใู้ใู ช้ป้ประโยชนก์ก์ องทนุนุ ชุมุมชนเมือือง คือือ สมาชกิกิ กองทนุนุ ทีเี่เ่ ปน็น็ ลูกูกหน้ขี้ขี องกองทนุนุ
บา้า้ น หมายถึงึง ครอบครัวัวทีมี่ม่ ีคีความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งพ่อ่อแม่ล่ลูกูก และมีวีวธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดบูบู ตุตุ ร
ความสัมัมพนันั ธ์ภ์ภายในครอบครัวัว หมายถึงึง ความสมัมั พันันธข์ข์ องสมาชกิกิ ภายในครอบครัวัว
วัดัด หมายถึงึง ความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งพุทุทธศาสนกิกิ ชนกับับพระสงฆ ์ ความเชือื่อ่ และหลักักธรรม
ความเชื่อื่อ หมายถึงึง ความเชือื่อ่ ในเร่อื่อื งการทำำดไีไี ดด้ด้ ี ทำำชัวั่ว่ ไดช้ช้ ัวั่ว่
ความศรัทัทธา หมายถึงึง ความเชือื่อ่ มันั่น่ และยินินดทีที ีจี่จ่ ะปฏิบิบตัตั ติติ นหรือือเอาแบบอย่า่าง
จริยิยธรรม หมายถึงึง ความรับับผิดิดชอบ และความซือื่อ่ สตัตั ย์ข์ของสมาชกิกิ ผู้ใู้ใชบ้บ้ ริกิการกองทนุนุ
ตอ่อ่ การคืนืนเงินินตรงตามกำำหนดเวลาทีกี่ก่ ำำหนดไวใ้ใ้ นสญัญั ญา
โรงเรียียน หมายถึงึง ความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งครูกูกับับศษิษิ ย์ใ์ในลักักษณะการยึดึดถือือเปน็น็ ตน้น้ แบบของ
การมีคีคุณุณธรรมจริยิยธรรม
ความสัมัมพนันั ธ์ก์กับับครูอูอาจารย์  หมายถึงึง ครูหูหรือืออาจารย์ท์ทีเี่เ่ ปน็น็ ทียี่ย่ อมรับับและยึดึดเปน็น็ แบบอย่า่าง
สภาพแวดล้อ้อมทางสังังคม หมายถึงึง ความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งเพือื่อ่ นบา้า้ น การเลือือกคบเพือื่อ่ นและ
การดาำํ เนนินิ ชวีวี ติติ ในชมุมุ ชน
5
พฤติกิกรรมการรับับข่า่าวสาร หมายถึงึง การเลือือกอ่า่านเน้อื้อื หาในวารสาร เลือือกรับับฟังังรายการ
จากวทิทิ ยุ และเลือือกดรูรู ายการจากโทรทศัศั น์์
กรอบแนวความคิดิด
ผู้วู้วจิจิ ัยัยไดศ้ศ้ กึกึ ษาแนวคิดิดทฤษฎีตีตา่า่ งๆ นาำํ มาวเิเิ คราะห์แ์และสงังั เคราะห์ร์ร่ว่วมกับับหลักักฐาน
เชงิงิ ประจักักษ ์ พัฒัฒนาเปน็น็ กรอบแนวความคิดิดในการวจิจิ ัยัยโดยมีรีรายละเอียียดดงังั แผนภาพทีี่่ 1
แผนภาพที่ี่1 กรอบแนวความคดิดิ
วัดัด
- ความสมัมั พันันธก์ก์ ับับวัดัด
- ความเช่อื่อื ความศรัทัทธา
ในหลักธรรม
จริยิ ธรรมของ
สมาชิกิกกองทุนุนฯ
โรงเรียน
- ความสมัมั พันันธ์์
กับครูอูอาจารย์์
บ้าน
- การสร้า้างความสมัมั พันันธ์์
ภายในครอบครัวัว
- วิธิธกีกี ารอบรมเล้ยี้ยี งดู
สภาพแวดล้อมทางสังคม
- วิถิถีชีชวีวี ิติตชมุมุ ชน
- เศรษฐกิจิจชมุมุ ชน
- การเลือือกคบเพ่อื่อื น
การบริหิ ารจดัดั การของ
คณะกรรมการกองทุนุน
- ระเบยียี บกองทนุนุ
พฤติกรรมการรับข่าวสาร
6
ประโยชนท์ท์ ่จี่จี ะไดร้ร้ ับับ
ไดผ้ผ้ ลการวจิจิ ัยัยทีสี่ส่ ามารถนาำํ ไปสร้า้างแนวทางในการพัฒัฒนาจริยิยธรรมของคน สง่ง่ ผลในการ
พัฒัฒนาให้ส้สงังั คมเมือืองนา่า่ อยู่มู่มีคีความเข้ม้มแข็ง็งและยั่งั่งยืนืน
7
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจิจยัยั ท่เี่เี กี่ยี่ยวข้อ้อง
การศกึกึ ษาสิงิ่ง่ ทีกี่ก่ ่อ่อเกิดิดจริยิยธรรม : กรณศีศี กึกึ ษาสมาชกิกิ ผู้ใู้ใชป้ป้ ระโยชนจ์จ์ ากกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
และชมุมุ ชนเมือือง ผู้วู้วจิจิ ัยัยไดศ้ศ้ กึกึ ษาภายใตแ้แ้ นวคิดิด ทฤษฎี และเอกสารงานวจิจิ ัยัยทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้อง ซึงึ่ง่ จะนาำํ เสนอ
ดงังั นี้ี้
1. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับการอบรมเลียี้ย้ งดเูเู ดก็ก็
2. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับการปฏิสิสมัมั พันันธใ์ใ์ นครอบครัวัว
3. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับการถ่า่ายทอดลักักษณะของพุทุทธศาสนา
4. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับความเชือื่อ่ ของคนไทย
5. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับกฎแห่ง่งกรรม
6. แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับจริยิยธรรม
7. ทฤษฎีกีการพัฒัฒนาทางจริยิยธรรม
8. แนวคิดิดพืนื้น้ ฐานการขัดัดเกลาทางสงังั คม
9. นโยบายกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
10. งานวจิจิ ัยัยทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้อง
1. แนวคิดิดเก่ยี่ยี วกับับการอบรมเล้ยี้ยี งดเูเู ดก็ก็
สถาบนันั ครอบครัวัวเปน็น็ สถาบนันั ทางสงังั คมทีมี่ม่ ีคีความสำำคัญัญตอ่อ่ พัฒัฒนาการของเดก็ก็ อย่า่างยิ่งิ่ง เปน็น็
สิงิ่ง่ แวดล้อ้อมทีมี่ม่ ีอีอิทิทธพิพิ ลตอ่อ่ บคุคุ ลิกิกภาพและพฤตกิกิ รรมของเดก็ก็ มาก และมีอีอยู่ตู่ตลอดไป ซึงึ่ง่ เมือื่อ่ ทารก
เรียียนร้วู้วู า่า่ เมือื่อ่ ตนร้อ้องไห้  จะมีแีแม่ห่หรือือบคุคุ คลอ่นื่นื นาำํ อาหารมาให้  มีคีคนคอยปกปอ้อ้ งสิงิ่ง่ ทีมี่ม่ ารบกวนและ
ทำำอันันตรายแก่ต่ตน ถ้า้าทารกเกิดิดมาในครอบครัวัวทีไี่ไ่ ม่ม่มีใีใครให้ค้ความสนใจ ปล่อ่อยปละละเลย เดก็ก็ จะเกิดิด
ความไม่ม่มันั่น่ คงในตนเอง จะไม่ม่มีคีความไวว้ว้ างใจคนอ่นื่นื ตามมาดว้ว้ ย สิงิ่ง่ เหล่า่าน้จี้จี ะมีผีผลตอ่อ่ พัฒัฒนาการ
ของเดก็ก็ ตอ่อ่ ไป ครอบครัวัวจะมีบีบทบาทมากตอ่อ่ พัฒัฒนาการดา้า้ นบคุคุ ลิกิกภาพของเดก็ก็ ลักักษณะเฉพาะของ
เดก็ก็ แตล่ล่ ะคน เกิดิดจากการเลียียนแบบผู้ใู้ใหญ่  หรือือการทีแี่แ่ สดงพฤตกิกิ รรมออกมา แล้ว้วคนอ่นื่นื ในครอบ
ครัวัวยอมรับับ พอใจ ลักักษณะเชน่น่ น้เี้เี ดก็ก็ จะเรียียนร้แู้แู ละแสดงออกมา เพราะวา่า่ การทีคี่ค่ นอ่นื่นื ยอมรับับน้นั้นั
เปน็น็ การไดร้ร้ ับับรางวลัลั อย่า่างหน่งึ่งึ ของเดก็ก็ ในทีสี่ส่ ดุดุ ลักักษณะเชน่น่ น้กี้กี ลายเปน็น็ ลักักษณะเฉพาะของตนเองไป
ครอบครัวัวจึงึงเปน็น็ สถาบนันั แรกทีมี่ม่ ีคีความสำำคัญัญตอ่อ่ ชวีวี ติติ ของเดก็ก็ ในการสร้า้างลักักษณะนสิสิ ยัยั หรือือบคุคุ ลิกิกภาพ
8
ของเดก็ก็ การอบรมเลียี้ย้ งด ู การสังั่ง่ สอน ตลอดจนความเชือื่อ่ เจตคตขิขิ องบดิดิ ามารดา ผู้ปู้ปกครองหรือือ
ญาตผิผิ ู้ใู้ใหญ่  มีผีผลตอ่อ่ พฤตกิกิ รรมและพัฒัฒนาการของเดก็ก็ ทกุกุ ดา้า้ น
1.1 ความหมายของการอบรมเลี้ยี้ยงดู
ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ (2528 : 17) กล่า่าวถึงึงการอบรมเลียี้ย้ งดวูวู า่า่ หมายถึงึง การทีบี่บ่ ดิดิ ามารดา
ปฏิบิบตัตั ติติ อ่อ่ เดก็ก็ และเรียียกร้อ้องให้เ้เดก็ก็ ปฏิบิบตัตั ติติ อ่อ่ ตนเองและผู้อู้อ่นื่นื ไปในทำำนองตา่า่ งๆ ดงังั น้นั้นั การอบรม
เลียี้ย้ งด ู คือือ การทีผี่ผ่ ู้เู้เลียี้ย้ งดกูกู ับับเดก็ก็ มีกีการตดิดิ ตอ่อ่ เกียี่ย่ วข้อ้องกันัน เปน็น็ ทางให้ผ้ผู้เู้เลียี้ย้ งดสูสู ามารถให้ร้รางวลัลั หรือือ
ลงโทษการกระทำำตา่า่ งๆของเดก็ก็ ได ้ นอกจากน้เี้เี ดก็ก็ ยังังมีโีโอกาสเฝ้า้าสงังั เกตลักักษณะ และการกระทำำ
ตา่า่ งๆ ของผู้เู้เลียี้ย้ งด ู ทำำให้เ้เดก็ก็ เลียียนแบบผู้เู้เลียี้ย้ งดไูไู ดอ้อ้ ีกีกดว้ว้ ย
1.2 รูปูปแบบของการเลี้ยี้ยงดทูทู เี่เี่ หมาะสม
งามตา วนินทานนท์ (2528: 4-12) กล่าวถึงการเลี้ยงดูเด็กว่า เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนา
บุคลิกภาพให้เด็ก ไปในทิศทางใดให้มีคุณภาพ หรือพฤติกรรมอย่างไร จากการประมวลผลการวิจัย
เกี่ยวกับจิตลักษณะของเยาวชน ที่ถูกอบรมเลี้ยงดูมาต่างๆกัน ทำให้เห็นความสำคัญของการอบรม
เลี้ยงดู 5 ประการ ดังนี้
1.2.1 การอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน (งามตา วนินทานนท์ 2528: 4-12 ) หมายถึง
การที่บิดามารดาได้แสดงความรักใคร่เอาใจใส่ สนใจทุกข์สุขบุตรของตนอย่างเพียงพอ มีความ
ใกล้ชิดกับบุตร กระทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับบุตร นอกจากนั้นยังมีความสนิทสนม การสนับสนุน
ช่วยเหลือและการให้ความสำคัญแก่บุตรด้วย การอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนมากนี้ เป็นการให้
ในสิ่งที่บุตรต้องการทั้งสิ้น ฉะนั้นบิดามารดาที่เลี้ยงดูบุตรด้วยวิธีนี้จึงเป็นผู้ที่บุตรรัก และบุตรเป็นผู้
ที่มีความสำคัญของบิดามารดา ซึ่งจะทำให้บุตรยอมรับการอบรมสั่งสอนต่างๆ ของบิดามารดาได้
โดยง่าย ยอมรับบิดามารดาเป็นแบบอย่างโดยไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่าการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน
เป็นพื้นฐานสำคัญของการที่บิดามารดาสามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆไปสู่เด็ก นอกจากนั้น ทฤษฎี
พัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของอีริคสัน (Erikson 1976: 49) ยังกล่าวไว้ว่า ถ้าเด็กทารกได้รับ
ความสุขความพอใจจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของมารดาตั้งแต่เกิดเด็กจะเกิดความรู้สึกไว้วางใจ
มารดา และเมื่อโตขึ้นจะแผ่ขยายความรู้สึกรักใคร่ไว้วางใจ และสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ จะทำให้
เด็กสามารถปรับตัวได้ดีในกาลต่อมาซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพจิตที่ดีของเด็กโดยตรง
9
จึงึงสรุปุปไดว้ว้ า่า่ การถูกูกอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ มากจะพบไดม้ม้ ากในบคุคุ คลทีมี่ม่ ีคีคุณุณธรรม
และจริยิยธรรมสงูงู บคุคุ คลทีมี่ม่ ีสีสขุขุ ภาพจิติตด ี มุงุ่ง่ อนาคตสงูงู และไม่ท่ทำำผิดิดกฎระเบยียี บหรือือ กฎหมายของ
บา้า้ นเมือือง ฉะน้นั้นั การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ มาก จึงึงเปน็น็ วธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดทูทู ีเี่เ่ หมาะสมกับับ
เยาวชนทกุกุ เพศทกุกุ วยัยั
1.2.2 การอบรมเลี้ยี้ยงดแูแู บบใช้เ้เหตุผุผล (งามตา วนนินิ ทานนท  2528: 4-12 ) หมายถึงึง
การทีี่่
บดิดิ ามารดาไดอ้อ้ ธบิบิ ายเหตผุผุ ลให้แ้แก่บ่บตุตุ รในขณะทีมี่ม่ ีกีการสง่ง่ เสริมิมหรือือขัดัดขวางการกระทำำของบตุ ร หรอื
ลงโทษบตุ ร นอกจากนนั้ั้ บดิ ามารดาทใีี่่ ชว้้ ธิ กี ารนยี้ี้ งั ใหร้้ างวลั และลงโทษบตุ รอยา่่ งเหมาะสมกบั การกระทำำของบตุ ร
มากกวา่่ ทจีี่่ ะปฏบิ ตั ติ อ่่ บตุ รตามอารมณข์์ องตนเอง การกระทำำของบดิ ามารดาจะเปน็็ เครอื่ื่ งชว่่ ยใหบ้้ ตุ รไดเ้้รยี นรแูู้้ ละรบั
ทราบถงึ สงิิ่่ ทคีี่่ วรและไมค่่ วรกระทำำ นอกจากนนั้ั้ ยงั ชว่่ ยใหบ้้ ตุ รสามารถทำำนายไดว้้ า่่ ตนจะไดร้้ บั รางวลั หรอื โดนลง
โทษจากบดิ ามารดาหลงั จากทตีี่่ นกระทำำ พฤตกิ รรมตา่่ งๆ แลว้้ มากนอ้้ ยเพยี งใด
สรุปุปไดว้ว้ า่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบใชเ้เ้ หตผุผุ ลเปน็น็ สิงิ่ง่ ทีนี่น่ กักั วชิชิ าการพบวา่า่ มีคีความสำำคัญัญตอ่อ่ จิติตใจ
และพฤตกิกิ รรมของเดก็ก็ มานานแล้ว้ว โดยเฉพาะเกียี่ย่ วข้อ้องกับับลักักษณะทางจริยิยธรรม สขุขุ ภาพจิติต ลักักษณะ
มุงุ่ง่ อนาคตและลักักษณะอ่นื่นื ๆ ของเยาวชน โดยจะพบความสำำคัญัญในวยัยั ร่นุ่นุ เปน็น็ ตน้น้ ไป แม้ผ้ผลเชน่น่ น้จี้จี ะ
ปรากฎในวยัยั ร่นุ่นุ แตก่ก่ ็ค็ควรมีกีการอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบน้มี้มี าตงั้งั้ แตเ่เ่ ดก็ก็ ยังังเล็ก็กอย่า่างสม่ำ่ำเสมอจนเตบิบิ ใหญ่่
1.2.3 การอบรมเลี้ยี้ยงดแูแู บบลงโทษทางจติติ มากกว่า่าทางกาย (งามตา วนนินิ ทานนท  2528: 4-
12)
การลงโทษเปน็น็ วธิธิ ทีที ีพี่พ่ ่อ่อแม่ใ่ใชก้ก้ ับับลูกูกทีมี่ม่ ีพีพฤตกิกิ รรมทีไี่ไ่ ม่พ่พึงึงปรารถนา การลงโทษเดก็ก็ โดยเฉพาะการทำำ
ให้เ้เจ็บ็บกาย เปน็น็ วธิธิ กีกี ารปรับับพฤตกิกิ รรมทีบี่บ่ ดิดิ ามารดามักักจะใชอ้อ้ ย่า่างจงใจ ใชม้ม้ ากและใชบ้บ้ อ่อ่ ยกวา่า่ การ
ให้ร้รางวลัลั เดก็ก็ เมือื่อ่ ทำำความด ี สว่ว่ นการลงโทษอีกีกชนดิดิ เปน็น็ การใชอ้อ้ าำํ นาจบงังั คับับโดยไม่ล่ลงโทษทางกาย
แตเ่เ่ ปน็น็ การใชว้ว้ าจาดวุวุ า่า่ การงดวตัตั ถุสุสิงิ่ง่ ของ การงดแสดงความรักักใคร่เ่เมตตา และการตดัดั สทิทิ ธติติ า่า่ งๆ
เหล่า่าน้เี้เี ปน็น็ การลงโทษทางจิติต อิทิทธพิพิ ลของการลงโทษทางจิติตจะเดน่น่ ชดัดั ขึนึ้น้ เมือื่อ่ ใชค้ค้ วบคูกู่ก่ ับับการอบรม
เลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ แตอ่อ่ ย่า่างไรก็ต็ตามอาจสรุปุปไดว้ว้ า่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบลงโทษทางจิติตน้นั้นั
เหมาะสมกับับการอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบลงโทษทางกายในเดก็ก็ ทังั้ง้ ชายและหญิงิง ทีมี่ม่ ีอีอายุมุมากกวา่า่ 7 ป ี ขึนึ้น้ ไป
1.2.4 การอบรมเลี้ยี้ยงดแูแู บบควบคมุมุ (งามตา วนนินิ ทานนท  2528: 4-12) หมายถึงึง การออก
คำำสังั่ง่ ให้เ้เดก็ก็ ทำำตามแล้ว้วผู้ใู้ใหญ่ค่คอยตรวจตรา ใกล้ช้ชดิดิ วา่า่ เดก็ก็ ทำำตามทีตี่ต่ นตอ้อ้ งการหรือือไม่  ถ้า้าเดก็ก็ ไม่ท่ทำำ
ตามก็จ็จะลงโทษเดก็ก็ ดว้ว้ ยโดยทีกี่ก่ ารอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบควบคุมุมมาก เปน็น็ การบงังั คับับให้เ้เดก็ก็ ทำำตามทีผี่ผ่ ู้เู้เลียี้ย้ ง
10
ด ู เห็น็นดเีเี ห็น็นชอบ โดยการตรวจตราและขูเู่เ่ ข็ญ็ญ สว่ว่ นการควบคุมุมนอ้อ้ ยหมายถึงึงการปล่อ่อยให้เ้เดก็ก็ ร้จู้จู ักักคิดิด
ตดัดั สนินิ ใจเองวา่า่ ควรทำำหรือือไม่ค่ควรทำำสิงิ่ง่ ใด และเปดิดิ โอกาสให้เ้เดก็ก็ เปน็น็ ตวัวั ของตวัวั เองบอ่อ่ ยคร้งั้งั โดยไม่่
เข้า้าไปยุ่งุ่งเกียี่ย่ วกับับเดก็ก็ มากนกักั ผู้ใู้ใหญ่ไ่ไทยมักักเข้า้าใจสบับั สนเกียี่ย่ วกับับการควบคุมุมเดก็ก็ และการทำำตนใกล้ช้ชดิดิ
กับับเดก็ก็ สองวธิธิ นีนี ้ตี้ตี า่า่ งกันัน วธิธิ หีหี ลังังเปน็น็ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ
สรุปุปไดว้ว้ า่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบควบคุมุมมาก เหมาะสมในระยะก่อ่อนวยัยั ร่นุ่นุ และเหมาะสม
สำำหรับับเดก็ก็ หญิงิง สว่ว่ นการอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบควบคุมุมนอ้อ้ ย เหมาะสมในระยะวยัยั ร่นุ่นุ เปน็น็ ตน้น้ ไป และ
เหมาะสมกับับเดก็ก็ ชาย
1.2.5 การอบรมเลี้ยี้ยงดแูแู บบใหพ้พ้ ึงึ่ง่ ตนเอง (งามตา วนนินิ ทานนท  2528: 4-12) หมายถึงึง การ
เปดิดิ โอกาสให้เ้เดก็ก็ ไดท้ท้ ำำกิจิจกรรมตา่า่ งๆ ในชวีวี ติติ ประจาำํ วนันั ดว้ว้ ยตนเอง ภายใตก้ก้ ารแนะนาำํ และการฝึกึกฝน
จากบดิดิ ามารดา หรือือผู้เู้เลียี้ย้ งดอูอู ่นื่นื ๆ ซึงึ่ง่ จะทำำให้เ้เดก็ก็ ชว่ว่ ยตนเองไดเ้เ้ ร็ว็ว และไม่ต่ตอ้อ้ งพึงึ่ง่ พาผู้อู้อ่นื่นื มากหรือือ
นานเกินินไป เชน่น่ การทำำความสะอาดร่า่างกาย การแตง่ง่ กาย การชว่ว่ ยงานเล็ก็กๆนอ้อ้ ยๆในบา้า้ น เพือื่อ่ เปน็น็
การเร่มิ่มิ ฝึกึกให้เ้เดก็ก็ ทำำสิงิ่ง่ ตา่า่ งๆ ภายใตก้ก้ ารดแูแู ลของผู้เู้เลียี้ย้ ง
สรุปุปไดว้ว้ า่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบฝึกึกให้พ้พึงึ่ง่ ตนเองเร็ว็วน้เี้เี กียี่ย่ วข้อ้องกับับการทีเี่เ่ ดก็ก็ มีแีแรงจูงูงใจใฝ่่
สมัมั ฤทธิส์ิส์ งูงู อย่า่างเดน่น่ ชดัดั ลักักษณะตา่า่ งๆทีบี่บ่ ดิดิ ามารดาอบรมเลียี้ย้ งดลูลู ูกูก ย่อ่อมสง่ง่ ผลตอ่อ่ พฤตกิกิ รรมของลูกูก
ทีแี่แ่ สดงออกมาและจะเปน็น็ ลักักษณะเฉพาะตวัวั ของแตล่ล่ ะคน
การอบรบเลียี้ย้ งด ู 5 แบบข้า้างตน้น้ ตา่า่ งก็ม็มีลีลักักษณะก่อ่อให้เ้เกิดิดผลทางคุณุณธรรมของเดก็ก็ ทีแี่แ่ ตก
ตา่า่ ง
กันัน การเลือือกการเลียี้ย้ งลูกูกแบบทีถี่ถ่ ูกูกตอ้อ้ งย่อ่อมขึนึ้น้ อยู่กู่กับับลักักษณะของเดก็ก็ ลักักษณะของผู้ปู้ปกครองและ
ความปรารถนาของผู้ปู้ปกครองวา่า่ ตอ้อ้ งการเดก็ก็ ประเภทใด
เดโช สวนานนท  (2518 : 76-78) ไดก้ก้ ล่า่าวถึงึงลักักษณะการอบรมเลียี้ย้ งดขูขู องบดิดิ ามารดาทีมี่ม่ ีตีตอ่อ่
ลูกูกในลักักษณะตา่า่ งๆ ซึงึ่ง่ มีผีผลกระทบกระเทอือื นตอ่อ่ บคุคุ ลิกิกภาพของลูกูกในอนาคต คือือ บดิดิ ามารดาทีไี่ไ่ ม่่
เอาใจใสล่ล่ ูกูก ย่อ่อมทำำให้ล้ลูกูกมีคีความร้สู้สู กึกึ ไม่ป่ปลอดภัยัยทางอารมณ ์ ร้สู้สู กึกึ วา้า้ เหว ่ ไม่ม่มันั่น่ คงและสง่ง่ ผลให้ล้ลูกูกมี
ผลพฤตกิกิ รรมทีอี่อ่ อกมาในรูปูปปฏิเิเสธ เปน็น็ คนขาดความรักัก และยังังให้ค้ความรักักกับับใครไม่เ่เปน็น็ อีกีกดว้ว้ ย
สว่ว่ นบดิดิ ามารดาทีใี่ใ่ ห้ค้ความปกปอ้อ้ งคุมุ้ม้ ครองดว้ว้ ยการบงังั คับับออกคำำสังั่ง่ อยู่ตู่ตลอดเวลาจะทำำให้ล้ลูกูกขาด
ความคิดิดริเิเร่มิ่มิ ขาดความเชือื่อ่ มันั่น่ ในตนเอง มีแีแนวโนม้ม้ วา่า่ จะตอ้อ้ งพึงึ่ง่ พาผู้อู้อ่นื่นื อยู่ตู่ตลอดเวลา บดิดิ ามารดา
ทีใี่ใ่ ชร้ร้ ะเบยียี บวนินิ ยัยั อย่า่างเคร่ง่งครัดัดย่อ่อมทำำให้ล้ลูกูกมีลีลักักษณะลงโทษตวัวั เอง
ผู้วู้วจิจิ ัยัยเห็น็นวา่า่ ครอบครัวัวเปน็น็ สถาบนันั แรกทีมี่ม่ ีคีความสำำคัญัญตอ่อ่ ชวีวี ติติ ของเดก็ก็ ในการสร้า้าง
ลักักษณะ
11
นสิสิ ยัยั หรือือบคุคุ ลิกิกภาพของเดก็ก็ การอบรมเลียี้ย้ งด ู การสังั่ง่ สอน ตลอดจนความเชือื่อ่ เจตคตขิขิ องบดิดิ า
มารดา ผู้ปู้ปกครอง หรือือ ญาตผิผิ ู้ใู้ใหญ่  มีผีผลตอ่อ่ พฤตกิกิ รรมและพัฒัฒนาการของเดก็ก็ ทกุกุ ดา้า้ น จะแสดงออก
มาในทางทีดี่ด่ ี หรือือไม่ด่ด ี ย่อ่อมอยู่ทู่ทีภี่ภ่ ูมูมิหิหลังังของชวีวี ติติ จึงึงไดน้น้ าำํ มาเปน็น็ กรอบแนวความคิดิดเพือื่อ่ ใชศ้ศ้ กึกึ ษา
เร่อื่อื ง การสร้า้างความสมัมั พันันธภ์ภ์ ายในครอบครัวัวและวธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดบูบู ตุตุ ร
2. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว
สถาบนันั ทางสงังั คมทีเี่เ่ ล็ก็กทีสี่ส่ ดุดุ คือือ ครอบครัวัว เปน็น็ หนว่ว่ ยย่อ่อยของสงังั คมพืนื้น้ ฐานทีมี่ม่ ีคีความสำำคัญัญ
ทีสี่ส่ ดุดุ และมีคีความยั่งั่งยืนืนทีสี่ส่ ดุดุ เปน็น็ หนว่ว่ ยสงังั คมทีที่ท่ ำำหนา้า้ ทีตี่ต่ า่า่ งๆ ทังั้ง้ หนา้า้ ทีใี่ใ่ นการสร้า้างสรร สมาชกิกิ ให้้
การเลียี้ย้ งดผูผู ู้เู้เยาวใ์ใ์ ห้เ้เจริญิญเตบิบิ โต ให้ก้การอบรมสังั่ง่ สอน ความรักัก ความอบอ่นุ่นุ กำำหนดสถานภาพและ
บทบาท ตลอดจนกำำหนดสทิทิ ธแิแิ ละหนา้า้ ทีสี่ส่ มาชกิกิ ทีมี่ม่ ีตีตอ่อ่ กันัน นบับั วา่า่ เปน็น็ หนว่ว่ ยสงังั คมทีมี่ม่ ีคีความสมัมั พันันธ์์
และความร่ว่วมมือืออย่า่างใกล้ช้ชดิดิ
จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ (2542: 31) ไดอ้อ้ ธบิบิ ายถึงึงสมัมั พันันธภาพในครอบครัวัววา่า่ หมายถึงึง ความ
สมัมั พันันธต์ต์ ามบทบาททีคี่ค่ นเรามีตีตอ่อ่ สมาชกิกิ คนอ่นื่นื ในครอบครัวัว ลักักษณะความสมัมั พันันธท์ท์ ีดี่ด่ ี ประกอบ
ดว้ว้ ยความปรองดอง รักักใคร่ก่กลมเกลียียวในครอบครัวัว นอกจากน้ ี้ ี ยังังประกอบดว้ว้ ยความผูกูกพันันรักักใคร่ 
ความใกล้ช้ชดิดิ สนทิทิ สนมระหวา่า่ งกันันของสมาชกิกิ ในครอบครัวัว รวมตลอดถึงึงเครือือญาตแิแิ ละบคุคุ คลอ่นื่นื ทีี่่
อาศยัยั อยู่ใู่ในครัวัวเรือือนน้นั้นั
เกรนเดล (Grandall อ้า้างใน จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ 2542: 31) กล่า่าวถึงึง สมัมั พันันธภาพใน
ครอบครัวัววา่า่ เปน็น็ ความสมัมั พันันธแ์แ์ บบปฐมภูมูมิ (Primary Relationship) ซึงึ่ง่ มีอีองค์ป์ประกอบดงังั นี้ี้
1. จาำํ นวนของบทบาท (Number of Role) มหี ลายบทบาท เพราะครอบครัวัวมีกีการปฏิ
สมัมั พันันธ์์
กันันหลายดา้า้ น ทำำให้เ้เกิดิดความสนใจ ไดร้ร้ ้จู้จู ักักค่า่านยิยิ ม ความเชือื่อ่ ถือือ ตลอดจนบคุคุ ลิกิกทีแี่แ่ ทจ้จ้ ริงิงของกันัน
และกันัน
2. การสือื่อ่ สาร (Communication) ความสมัมั พันันธป์ป์ ฐมภูมูมิเิเปน็น็ ความสมัมั พันันธแ์แ์ บบเปดิดิ มีกีการ
พูดูด
คุยุยแลกเปลียี่ย่ นความคิดิดเห็น็น
3. อารมณ  (Emotion) ความสมัมั พันันธใ์ใ์ นครอบครัวัวจะก่อ่อรูปูปจากอารมณต์ต์ า่า่ งๆ ระหวา่า่ งสมาชกิกิ
ก่อ่อให้เ้เกิดิดความรักัก ความเข้า้าใจ ความผูกูกพันันรักักใคร่  ความขัดัดแย้ง้ง
4. ความสามารถในการถ่า่ายทอดความร้สู้สู กึกึ (Transferability) ความสมัมั พันันธแ์แ์ บบปฐมภูมูมิ ก่อ่อ
รูปูป
12
ขึนึ้น้ กับับบคุคุ คลใด บคุคุ คลหน่งึ่งึ แนน่น่ อน เปน็น็ การปฏิสิสมัมั พันันธุก์ุก์ ับับบคุคุ คลแตล่ล่ ะคนไป มีคีความร้สู้สู กึกึ ผูกูกพันัน
เฉพาะเจาะจง ยากทีจี่จ่ ะเปลียี่ย่ นแปลงได้้
ครอบครัวัวประกอบดว้ว้ ยกลุมุ่ม่ บคุคุ คลทีมี่ม่ ีสีสมัมั พันันธภาพ มีคีความผูกูกพันันรักักใคร่  ชว่ว่ ยเหลือือเกือื้อ้ กูลูล
ซึงึ่ง่ กันันและกันัน และบริหิหารครอบครัวัวไปในแนวเดยียี วกันัน ดงังั น้นั้นั เมือื่อ่ มีสีสมาชกิกิ ในครอบครัวัวเกิดิดการ
เจ็บ็บปว่ว่ ย ซึงึ่ง่ เปน็น็ เหตกุกุ ารณห์ห์ รือือแรงผลักักดนันั ภายนอกทีเี่เ่ กิดิดขึนึ้น้ อย่า่างกระทนันั หันัน หรือือไม่ไ่ไดค้ค้ าดคิดิดมา
ก่อ่อน จึงึงไปสูภู่ภ่ าวะวกิกิ ฤต ทีไี่ไ่ ม่เ่เพียียงแตม่ม่ ีผีผลตอ่อ่ ผู้ปู้ปว่ว่ ยเทา่า่ น้นั้นั แตย่ย่ ังังสง่ง่ ผลตอ่อ่ ครอบครัวัวของผู้ปู้ปว่ว่ ย
ดว้ว้ ย น้นั้นั คือือ ทำำให้โ้โครงสร้า้างของครอบครัวัวเปลียี่ย่ นแปลงไป รวมทังั้ง้ บทบาทหนา้า้ ทีี่่ และสมัมั พันันธภาพ
ระหวา่า่ งสมาชกิกิ ในครอบครัวัว ก่อ่อให้เ้เกิดิดความเครียียด แตล่ล่ ะครอบครัวัวจะมีกีการเผชญิญิ กับับปญัญั หาทีแี่แ่ ตก
ตา่า่ งกันัน จึงึงมีผีผลทีที่ท่ ำำให้ภ้ภาวะสมดลุลุ ของแตล่ล่ ะครอบครัวัวแตกตา่า่ งกันันดว้ว้ ย
จากผลการศึกษาของ จุฑามณี จาบตะขบ (2542: 31) อธิบายให้เห็นถึงสัมพันธภาพในครอบ
ครัว เป็นความสัมพันธ์ตามบทบาทที่คนเรามีต่อสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ลักษณะของความ
สัมพันธ์ที่ดีประกอบด้วยความปรองดอง รักใคร่กลมเกลียวในครอบครัว ซึ่งความสัมพันธภาพใน
ลักษณะนี้ สามารถทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุข มีสุขภาพจิตที่ดีได้ จึงได้นำมาเป็น กรอบ
แนวความคิดในเรื่อง ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
3. แนวคิดิดเก่ยี่ยี วกับับการถา่า่ ยทอดลักักษณะทางพระพทุทุ ธศาสนา
หลักักธรรม ความเชือื่อ่ ทางพระพุทุทธศาสนา เปน็น็ สิงิ่ง่ ทีสี่ส่ บืบื ทอดกันันมาตามประเพณ ี ตลอดจน
การถือือปฏิบิบตัตั ใิใิ นเร่อื่อื งบาปบญุญุ คุณุณโทษ การทำำบญุญุ ตามประเพณ ี การถ่า่ายทอดความเชือื่อ่ มาจาก ครอบ
ครัวัวและวดัดั ซึงึ่ง่ เปน็น็ สถาบนันั ทีสี่ส่ ำำคัญัญของสงังั คม
ครอบครัวัวมีหีหนา้า้ ทีสี่ส่ ำำคัญัญตอ่อ่ สมาชกิกิ ในครอบครัวัวมากทีสี่ส่ ดุดุ ประการหน่งึ่งึ ซึงึ่ง่ เปน็น็ การขัดัดเกลา
ทางสงังั คม สว่ว่ นหน่งึ่งึ ของการขัดัดเกลาทางสงังั คม ไดแ้แ้ ก่  การอบรมเลียี้ย้ งดใูใู ห้เ้เดก็ก็ มีพีพฤตกิกิ รรมทีี่่ เหมาะ
สม และนอกจากการอบรมแล้ว้ว ครอบครัวัวยังังตอ้อ้ งทำำหนา้า้ ทีขี่ข่ ัดัดเกลาในดา้า้ นการถ่า่ายทอดวฒัฒั นธรรม
ดว้ว้ ย ซึงึ่ง่ สงังั คมไทยอาจกล่า่าวไดว้ว้ า่า่ พุทุทธศาสนาเปน็น็ วฒัฒั นธรรมทีเี่เ่ ก่า่าแก่ท่ทีสี่ส่ ดุดุ แตย่ย่ ังังมีคีความทนันั สมัยัยอยูู่่
เสมอ (งามตา วนนินิ ทานนท  2536 : 42-44) การถ่า่ายทอดลักักษณะทางพระพุทุทธศาสนาจึงึงควรอยู่ใู่ใน
ครอบครัวัวไทยทีี่่ นบับั ถือือศาสนาพุทุทธไม่ม่มากก็น็นอ้อ้ ย
ลักักษณะทางพระพทุทุ ธศาสนา
งามตา วนนินิ ทานนท  (2536: 42-44) ไดก้ก้ ล่า่าวถึงึงลักักษณะทางพระพุทุทธศาสนาวา่า่ หมายถึงึง
วฒัฒั นธรรมทางจิติตใจ และไดร้ร้ ะบวุวุ ฒัฒั นธรรมทางจิติตใจวา่า่ มี 5 ดา้า้ น คือือ
13
1. ความซือื่อ่ สตัตั ย์์
2. ความมีสีสมัมั มาคารวะ
3. ความเอ้อื้อื เฟือื้อ้
4. ความกตญัญั ญญกูกู ตเวที
5. การยึดึดบาปบญุญุ
จะเห็น็นวา่า่ ลักักษณะทีกี่ก่ ล่า่าวมาคือือ ลักักษณะทางพุทุทธศาสนาน้นั้นั เอง ซึงึ่ง่ ลักักษณะดงังั กล่า่าวจะถูกูก
ถ่า่ายทอดผ่า่านจากพ่อ่อแม่  ไปสูลู่ล่ ูกูก โดยทีพี่พ่ ่อ่อแม่เ่เปน็น็ แบบอย่า่างทีดี่ด่ ทีที างพุทุทธศาสนามากเทา่า่ ใด เดก็ก็ ก็จ็จะมี
ความเชือื่อ่ และปฏิบิบตัตั ทิทิ างพุทุทธศาสนามากเทา่า่ น้นั้นั
งามตา วนนินิ ทานนท  (2536: 42) ศกึกึ ษาถึงึงลักักษณะทางพุทุทธศาสนา และพฤตกิกิ รรมศาสตร์์
ของบดิดิ ามารดาทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้องกับับการอบรมเลียี้ย้ งดบูบู ตุตุ ร กำำหนดลักักษณะทางพุทุทธศาสนาไวว้ว้ า่า่ ประกอบ
ดว้ว้ ยลักักษณะตา่า่ งๆ 3 ลักักษณะ คือือ
1. ความเชือื่อ่ ทางพุทุทธ หมายถึงึง ความเชือื่อ่ ในพระรัตัตนตรัยัย กฎแห่ง่งกรรม กฎแห่ง่งการเวยียี น
วา่า่ ย
ตายเกิดิด เร่อื่อื งการนพิพิ พาน เปน็น็ ตน้น้
2. การปฏิบิบตัตั ทิทิ างพุทุทธ หมายถึงึง การกระทำำ หรือือการงดเวน้น้ การกระทำำอย่า่างใดอย่า่าง
หน่งึ่งึ
ในการดาำํ เนนินิ ชวีวี ติติ ประจาำํ วนันั ตามหลักักพุทุทธศาสนา เชน่น่ การให้ท้ทาน การไม่พ่พูดูดปด การไม่ล่ลักักขโมย
เปน็น็ ตน้น้
3. วถิถิ ีชีชวีวี ติติ แบบพุทุทธ หมายถึงึง การเลือือกประพฤตใิใิ นชวีวี ติติ ประจาำํ วนันั อย่า่างสอดคล้อ้อง
ตาม
หลักักคำำสอนขันั้น้ พืนื้น้ ฐาน ของพุทุทธศาสนาในเร่อื่อื งตา่า่ ง ๆ เชน่น่ การใชเ้เ้ วลาวา่า่ ง การคบเพือื่อ่ น การพักัก
ผ่อ่อนหย่อ่อนใจ การอยู่งู่ง่า่าย กินินง่า่าย
การถ่า่ายทอดลักักษณะทางพระพทุทุ ธศาสนาจากครอบครัวัว
งามตา วนนินิ ทานนท  (2536: 42) ให้ค้ความหมายของการถ่า่ายทอดหรือืออบรมสังั่ง่ สอน
ทางพระพุทุทธศาสนาจากครอบครัวัว หมายถึงึง การปฏิบิบตัตั ขิขิ องบดิดิ ามารดาตอ่อ่ บตุตุ ร ในการดาำํ เนนินิ ชวีวี ติติ
ประจาำํ วนันั ทังั้ง้ โดยตรงและทางอ้อ้อม เพือื่อ่ อบรมให้บ้บตุตุ รเกิดิดความร้ ู้ ู ความเชือื่อ่ และยอมปฏิบิบตัตั ติติ ามแนว
พุทุทธศาสนาขันั้น้ พืนื้น้ ฐานโดยเนน้น้ การอบรมให้เ้เดก็ก็ มีพีพัฒัฒนาดา้า้ นจริยิยธรรมปลูกูกฝังังให้เ้เดก็ก็ มีจีจิติตใจเมตตา
14
กรุณุณา เอ้อื้อื เฟือื้อ้ เผื่อื่อแผ่  ไม่เ่เห็น็นแก่ต่ตวัวั ซือื่อ่ สตัตั ย์  กตญัญั ญญกูกู ตเวท ี เคารพผู้ใู้ใหญ่  ร้จู้จู ักักเกรงใจและร้จู้จู ักักการ
ปฏิบิบตัตั ติติ นตามคำำสังั่ง่ สอนของศาสนา
การอบรมตามแนวพุทุทธหรือือถ่า่ายทอดลักักษณะทางพุทุทธศาสนา มี 3 ขันั้น้ ตอนดงังั นี้ี้
ข้นั้นั ที่ี่ 1 การนาำํ ศาสนาเข้า้ามาใกล้เ้เดก็ก็ หรือือนาำํ เดก็ก็ ไปร้จู้จู ักักศาสนา เปน็น็ การสร้า้างความสนใจและ
เปดิดิ โอกาสให้เ้เดก็ก็ ไดร้ร้ ับับทราบหลักักปฏิบิบตัตั เิเิ บือื้อ้ งตน้น้ ทางพุทุทธศาสนา ชกักั จูงูงบตุตุ รให้เ้เกิดิดความสนใจและ
ตอ้อ้ งการรับับทราบเกียี่ย่ วกับับการปฏิบิบตัตั ติติ นเปน็น็ พุทุทธศาสนกิกิ ชนทีดี่ด่ ี ให้บ้บตุตุ รมีปีประสบการณโ์โ์ ดยตรงกับับ
พุทุทธศาสนา เชน่น่ คุยุยเร่อื่อื งประวตัตั พิพิ ระพุทุทธเจ้า้า พาไปเทียี่ย่ วชมสถานทีที่ท่ างศาสนาและอธบิบิ ายถึงึงความ
สำำคัญัญของสถานทีนี่น่ ้นั้นั ๆ เชน่น่ โบราณสถานใชป้ป้ ระกอบพิธิธกีกี รรม การเข้า้าร่ว่วมกิจิจกรรมวนันั สำำคัญัญทาง
พระพุทุทธศาสนา
ข้นั้นั ที่ี่ 2 สร้า้างความเข้า้าใจในเน้อื้อื หาทางพระพุทุทธศาสนา อธบิบิ ายความหมายของการกระทำำ
ตา่า่ งๆให้เ้เข้า้าใจอย่า่างเปน็น็ รูปูปธรรม เชน่น่ เหตผุผุ ลวา่า่ ทำำไมตอ้อ้ งใสบ่บ่ าตรทำำบญุญุ โดยอธบิบิ ายให้เ้เข้า้า
ใจอย่า่างสมเหต ุ สมผล ตลอดถึงึงคุณุณค่า่าของ การปฏิบิบตัตั ิ หากเพียียงแตเ่เ่ ข้า้าใจ แตไ่ไ่ ม่ส่สามารถเข้า้าถึงึงความ
หมายและคุณุณค่า่าของการปฏิบิบตัตั ิ ผู้รู้รับับเพียียงแตร่ร่ ับับร้แู้แู ตจ่จ่ ะไม่ม่มีผีผลตอ่อ่ เน่อื่อื งไปถึงึงการปฏิบิบตัตั ไิไิ ด้้
ข้นั้นั ที่ี่ 3 สร้า้างการอบรมและเปลียี่ย่ นตาม คือือการจูงูงใจให้ย้ยอมรับับพฤตกิกิ รรมน้นั้นั ๆ และปฏิบิบตัตั ิ
ตามการจูงูงใจ จะทำำไดส้ส้ ำำเร็จ็จหรือือไม่ข่ขึนึ้น้ อยู่กู่กับับการจูงูงใจให้ย้ยอมรับับไดม้ม้ ากนอ้อ้ ยเพียียงใด
จากขันั้น้ ตอนการถ่า่ายทอดทางศาสนาและลักักษณะทางศาสนาทีสี่ส่ รุปุปจากการวจิจิ ัยัยของ งามตา
วนนินิ ทานนท ์ ทีกี่ก่ ล่า่าวมา ผู้วู้วจิจิ ัยัยมีคีความเห็น็นวา่า่ การถ่า่ายทอดลักักษณะพระพุทุทธศาสนาจากครอบครัวัวทำำ
ให้ค้คนเปน็น็ คนดมีมี ีคีคุณุณธรรมและจริยิยธรรมได ้ จึงึงไดน้น้ าำํ มาเปน็น็ กรอบแนวความคิดิดใชศ้ศ้ กึกึ ษาในเร่อื่อื งความ
เชือื่อ่ ความศรัทัทธาในหลักักธรรมะ
4. แนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทย
โครงสร้า้างของสงังั คมไทย คือือ การเร่มิ่มิ กล่า่าวถึงึงความเชือื่อ่ ขันั้น้ มูลูลฐานของประชาชนชาวไทย
หรือือความเชือื่อ่ ทีสี่ส่ ำำคัญัญของประชาชนชาวไทย ไดแ้แ้ ก่  ความเชือื่อ่ เร่อื่อื งการเกิดิดใหม่  ความเชือื่อ่ เร่อื่อื ง
กฎแห่ง่งกรรม ในความหมายทังั้ง้ ทางวตัตั ถุแุและศลีลี ธรรม จากความเชือื่อ่ ดงังั กล่า่าวประชาชนชาวไทยจึงึง
ยอมรับับความแตกตา่า่ งสว่ว่ นตวัวั ในการมีทีทรัพัพย์ส์สนินิ และการมีอีอาำํ นาจวา่า่ เปน็น็ เร่อื่อื งธรรมดาหรือือเปน็น็ ไปตาม
ธรรมชาต ิ คนไทยเชือื่อ่ วา่า่ คนเราบางคนเกิดิดมาทา่า่ มกลางเงินินทองหรือืออาำํ นาจ หรือือไดเ้เ้ งินินทองและ
15
อาำํ นาจในตอนหลังัง เพราะวา่า่ คนเหล่า่าน้ไี้ไี ดส้ส้ ร้า้างสมบญุญุ เอาไวใ้ใ้ นอดตีตี ชาต ิ สว่ว่ นคนทีเี่เ่ กิดิดมายากจน
สญูญู เสยียี เงินินทองและอาำํ นาจไปในภายหลังังเพราะคนเหล่า่าน้นั้นั ทำำบาปไวใ้ใ้ นอดตีตี ชาติ
จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ (2542: 9-21) ไดก้ก้ ล่า่าวถึงึงการแบง่ง่ ความเห็น็นของคนในเร่อื่อื งความเชือื่อ่ วา่า่
ไม่ว่วา่า่ จะเปน็น็ ความเชือื่อ่ ของสงังั คมใดก็ต็ตามอาจแบง่ง่ ไดอ้อ้ อกเปน็น็ 2 ระดบับั ไดแ้แ้ ก่่
1. ความเชือื่อ่ ทีเี่เ่ ปน็น็ สว่ว่ นหน่งึ่งึ ของระบบศาสนาใหญ่  หรือือศาสนาประจาำํ ชาตเิเิ ปน็น็ ความเชือื่อ่
ทีมี่ม่ ีเีเหตผุผุ ลและอธบิบิ ายสิงิ่ง่ ทีคี่ค่ นสงสยัยั ไดอ้อ้ ย่า่างแจ่ม่มชดัดั มีรีระบบและเปน็น็ ตวัวั กำำหนด
2. ความเชือื่อ่ พืนื้น้ บา้า้ น เปน็น็ ความเชือื่อ่ ทีสี่ส่ บืบื ทอดกันันมาตามประเพณ ี ตลอดจนถือือปฏิบิบตัตั ิ
ตาม
ประเพณีความเชื่อในสังคมไทยทั้งสองระดับ แตกต่างกันตรงที่ว่าความเชื่อที่เป็นส่วนหนึ่งของ
ระบบศาสนาใหญ่ หรือศาสนาประจำชาติ เป็นความเชื่อที่มีเหตุผลและเป็นระบบ แต่ความเชื่อพื้น
บ้าน เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้หรือเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล แต่เนื่องจาก
ความเชื่อระดับนี้เป็นความฉับไวในการยอมรับและปฏิบัติ ไม่ต้องการให้เสียเวลาในการอธิบายเหตุ
ผล นอกจากนี้ยังได้แบ่งความเชื่อในสังคมไทยออกเป็น 7 ประเภท คือ
2.1 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับธรรมชาต ิ เกิดิดจากการทีมี่ม่ นษุษุ ย์ห์หาคำำตอบให้ก้กับับปรากฏ
การณ์์
ทางธรรมชาตไิไิ ม่ไ่ได ้ จึงึงพยายามอธบิบิ ายในรูปูปของสิงิ่ง่ เหนอือื ธรรมชาติ
2.2 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับการเกิดิดและการตาย
2.3 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับการรักักษาโรค
2.4 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับการพยากรณ์์
2.5 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับอาชพีพี
2.6 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับการสญูญู เสยียี และไดก้ก้ ลับับคืนืน
2.7 ความเชือื่อ่ เกียี่ย่ วกับับครัวัวเรือือน
แนวคิดิดเกียี่ย่ วกับับความเชือื่อ่ หลักักๆ ในเร่อื่อื งการทำำบญุญุ ทีมี่ม่ ีปีประสทิทิ ธภิภิ าพทีี่่ จิติตต ิ มงคลชยัยั อรัญัญญา
(2541) กล่า่าวไวใ้ใ้ นเอกสารเร่อื่อื ง กองบญุญุ : ทางแก้ว้วกิกิ ฤตเิเิ ศรษฐกิจิจแบบไทยๆในกระแสโลกาวบิบิ ตัตั ดิดิ งังั นี้ี้
ความเชื่อื่อข้อ้อที่ี่ 1 ตอ้อ้ งเชือื่อ่ วา่า่ บาปบญุญุ มีจีจริงิง คนทีที่ท่ ำำบญุญุ ย่อ่อมไดบ้บ้ ญุญุ และผู้ทู้ทีกี่ก่ ระทำำบาปก็ต็ตอ้อ้ ง
ไดบ้บ้ าปรวมทังั้ง้ เร่อื่อื งทำำดไีไี ดด้ด้ ี ทำำชัวั่ว่ ไดช้ช้ ัวั่ว่
ความเชื่อื่อข้อ้อที่ี่ 2 ผลบญุญุ ทีจี่จ่ ะเกิดิดขึนึ้น้ เปน็น็ ของคนทำำ ใครไหนทำำ คนน้นั้นั ได ้ เราจะทำำแทนกันัน
ไม่ไ่ได ้ คนทีอี่อ่ ยากไดบ้บ้ ญุญุ ก็ต็ตอ้อ้ งทำำบญุญุ เอง
ความเชื่อื่อข้อ้อที่ี่3 การทำำทานทีไี่ไ่ ดผ้ผ้ ลบญุญุ มาก คือือ การทำำสงังั ฆทาน
16
ความเชื่อื่อข้อ้อที่ี่ 4 คนตกักั บาตรหรือือทำำบญุญุ แม้จ้จะเพียียงนอ้อ้ ยนดิดิ แตก่ก่ ็ท็ทำำทกุกุ วนันั ย่อ่อมไดผ้ผ้ ลบญุญุ มาก
กวา่า่ คนทีบี่บ่ ริจิจาคเงินินให้ว้วดัดั ปลีลี ะคร้งั้งั ๆ ละหน่งึ่งึ ล้า้านบาท
ความเชื่อื่อข้อ้อที่ี่5 ถ้า้าอยากไดบ้บ้ ญุญุ มากตอ้อ้ งทำำเตม็ม็ ทีี่่
ความเชื่อข้อที่ 6 ความเชื่อที่ว่า คนที่เจอกันหรือต้องมาทำอะไรร่วมกันในชาตินี้เป็นเพราะ
ได้เคยเจอกันหรือมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งในอดีตชาติ
จากแนวความคิดิดทีกี่ก่ ล่า่าวมาจะเห็น็นวา่า่ ความเชือื่อ่ น้นั้นั เปน็น็ เร่อื่อื งของแบบอย่า่าง หรือือแนวทางของ
การตกลงใจทีจี่จ่ ะเห็น็นดว้ว้ ยในสิงิ่ง่ ใดสิงิ่ง่ หน่งึ่งึ อย่า่างไรก็ต็ตามแม้ว้วา่า่ ปจัจั จุบุบนันั สภาพวทิทิ ยาการจะเจริญิญก้า้าว
หนา้า้ ไปมากแตใ่ใ่ นวฒัฒั นธรรมของคนไทยยังังคงมีคีความเชือื่อ่ ในเร่อื่อื งสิงิ่ง่ ตา่า่ งๆ และยังังมีบีบทบาทสำำคัญัญใน
ฐานะเปน็น็ ตวัวั กำำหนดการแสดงออกของคนในสงังั คม เพราะเมือื่อ่ คนเชือื่อ่ ในเร่อื่อื งใดก็ย็ย่อ่อมแสดงพฤติ
กรรมหรือือประพฤตปิปิ ฏิบิบตัตั ใิใิ ห้ส้สอดคล้อ้องกับับความเชือื่อ่ ในเร่อื่อื งน้นั้นั บคุคุ คลผู้ทู้ทีไี่ไ่ ดช้ช้ ือื่อ่ วา่า่ เปน็น็ คนดมีมี ีจีจิติต
สำำนกึกึ เสมอวา่า่ การทำำความด ี ย่อ่อมจะไดร้ร้ ับับการตอบสนองในทางทีดี่ด่ ี ผู้วู้วจิจิ ัยัยจึงึงไดน้น้ าำํ มาเปน็น็ กรอบแนว
ความคิดิดในการศกึกึ ษาเร่อื่อื งของความเชือื่อ่ ความศรัทัทธา
5. แนวคิดเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม
จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ (2542: 9-21) ให้แ้แนวคิดิดวา่า่ กฎแห่ง่งกรรมก็ค็คือือ กฎของการกระทำำทีี่่
ประกอบดว้ว้ ยเจตนา หากไม่ม่มีเีเจตนาก็ไ็ไม่ถ่ถือือวา่า่ ทำำกรรม ดงังั ในพระพุทุทธธรรมทีกี่ก่ ล่า่าววา่า่ "ภิกิกษทุทุ ังั้ง้
หลาย เจตนา น้นั้นั เอง เราเรียียกวา่า่ กรรม บคุคุ คลจงใจแล้ว้วจึงึงกระทำำดว้ว้ ยกาย ดว้ว้ ยวาจา ดว้ว้ ยใจ" ฉะน้นั้นั
การเดนินิ ไปแล้ว้วเหยีบีบมดตายโดยไม่ต่ตงั้งั้ ใจ หรือือคนวกิกิ ลจริติตทีไี่ไ่ ปทำำร้า้ายคนอ่นื่นื ๆจึงึงมีแีแตก่ก่ ระทำำแตไ่ไ่ ม่จ่จัดัด
วา่า่ เปน็น็ กรรม
พระไตรปฎิฎิ กจาำํ แนกกรรมออกเปน็น็ ประเภทตา่า่ งๆ หลายลักักษณะ คือือจาำํ แนกตามมูลูลเหต ุ
จาำํ แนกกรรมตามวธิธิ ทีที ีแี่แ่ สดง จาำํ แนกกรรมตามวบิบิ าก หรือือการให้ผ้ผล
จำำแนกกรรมตามมูลูลเหตุ
17
กรรมทีจี่จ่ าำํ แนกตามมูลูลเหตแุแุ บง่ง่ ไดเ้เ้ ปน็น็ 2 ประเภทตา่า่ งๆ หลายลักักษณะ คือือ กรรมทีเี่เ่ กิดิดจาก
มูลูลเหตทุทุ ีดี่ด่ เีเี รียียกวา่า่ กุศุศลกรรม ไดแ้แ้ ก่  การกระทำำทีไี่ไ่ ม่ไ่ไดม้ม้ าจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และ
กรรมทีเี่เ่ กิดิดจากมูลูลเหตทุทุ ีชี่ช่ ัวั่ว่ เรียียกวา่า่ อกุศุศลกรรม ไดแ้แ้ ก่  การกระทำำทีเี่เ่ กิดิดจากความโลภ ความโกรธ
ความหลง
จำำแนกกรรมตามวิธิธีทีทแี่แี่ สดง
วธิธิ แีแี สดงกรรมแบง่ง่ ไดเ้เ้ ปน็น็ 3 วธิธิ ี คือือ การทำำกรรมดว้ว้ ยกาย (กายกรรม) การทำำกรรมดว้ว้ ยวาจา
(วจีกีกรรม) และการกระทำำดว้ว้ ยความคิดิดหรือือดว้ว้ ยใจ (มโนกรรม)
การทำำกรรมดว้ว้ ยกาย เชน่น่ การฆา่า่ สตัตั ว ์ การลักักทรัพัพย์  หรือือการบริจิจาคทาน เปน็น็ ตน้น้ การทำำ
กรรมดว้ว้ ยวาจา เชน่น่ การสังั่ง่ สอนให้เ้เปน็น็ คนด ี การพูดูดให้ร้ร้า้ายผู้อู้อ่นื่นื หรือือการพูดูดจาไพเราะ เปน็น็ ตน้น้ และ
การทำำกรรมดว้ว้ ยใจ เชน่น่ การมีใีใจเมตตากรุณุณา การคิดิดอาฆาตมาดร้า้าย หรือือการคิดิดอยากไดอ้อ้ ยาก
แย่ง่งชงิงิ ของของผู้อู้อ่นื่นื เปน็น็ ตน้น้
พุทุทธศาสนาถือือวา่า่ มโนกรรมสำำคัญัญทีสี่ส่ ดุดุ เพราะใจเปน็น็ เคร่อื่อื งกำำหนดคำำพูดูดและการกระทำำ
คนเราพูดูดด ี ทำำด ี ก็เ็เพราะคิดิดด ี และพูดูดชัวั่ว่ ทำำชัวั่ว่ ก็เ็เพราะคิดิดชัวั่ว่ ความคิดิดและจิติตใจจึงึงเปน็น็ ตน้น้ เค้า้าหรือือ
มูลูลเหตขุขุ องกรรมในวธิธิ อีอี ่นื่นื ๆ ดงังั พุทุทธธรรมทีวี่ว่ า่า่
ธรรมทังั้ง้ หลายมีใีใจเปน็น็ หัวัวหนา้า้ มีใีใจเปน็น็ เจ้า้าใหญ่  สำำเร็จ็จดว้ว้ ยใจ ถ้า้ามีบีบคุคุ คลมีใีใจเสยียี หายแล้ว้ว
จะพูดูดก็ต็ตาม จะทำำก็ต็ตามความทกุกุ ข์ย์ย่อ่อมตดิดิ ตามเขาไป เหมือือนล้อ้อหมุนุนตามโคทีลี่ล่ ากเกวยียี น ถ้า้าบคุคุ คลมี
จิติตใจ ผ่อ่องใสแล้ว้ว จะพูดูดก็ต็ตาม ความสขุขุ ย่อ่อมตดิดิ ตามมาเหมือือนดงังั เงาทีตี่ต่ ดิดิ ตามตวัวั
จำำแนกกรรมตามวิบิบากหรือือการใหผ้ผ้ ล
กรรมทีจี่จ่ าำํ แนกตามวบิบิ ากหรือือการให้ผ้ผลมี 4 ประเภท คือือ กรรมดาำํ มีวีวบิบิ ากดาำํ (กรรมชัวั่ว่ ให้  ผล
ชัวั่ว่ ) กรรมขาวมีวีวบิบิ ากขาว (กรรมดใีใี ห้ผ้ผลด)ี)ี กรรมทังั้ง้ ดาำํ ทังั้ง้ ขาว (กรรมทีชี่ช่ ัวั่ว่ บา้า้ งดบีบี า้า้ ง) และกรรมไม่ด่ดาำํ
ไม่ข่ขาว (กรรมทีไี่ไ่ ม่ช่ชัวั่ว่ ไม่ด่ด)ี)ี ซึงึ่ง่ หมายถึงึงกรรมทีมี่ม่ ีเีเจตนาเพือื่อ่ ยุตุตกิกิ รรม เชน่น่ การปฏิบิบตัตั ติติ ามโพชฌงค์  7
หรือือมรรค 8 เพือื่อ่ ความพ้น้นทกุกุ ข์์
จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ (2542: 9-21) ไดก้ก้ ล่า่าวถึงึงคำำสอนของพุทุทธทาสภิกิกขุ ไดอ้อ้ ธบิบิ ายวา่า่
ปฏิจิจจสมุปุปบาท มีคีความสมัมั พันันธอ์อ์ ย่า่างแยกไม่อ่ออกกฎแห่ง่งกรรม ถ้า้าเราเข้า้าใจความหมายของ
ปฏิจิจจสมุปุปบาทอย่า่างถ่อ่องแทแ้แ้ ล้ว้ว เราย่อ่อมสามารถเข้า้าใจความหมายของบทบาทของกรรมไดช้ช้ าวพุทุทธ
สว่ว่ นมากเข้า้าใจความหมายของกรรมแตเ่เ่ พียียงในแง่ต่ตามตวัวั อักักษร และตรงไปตรงมาเทา่า่ น้นั้นั โดยเชือื่อ่ วา่า่
กรรมดแีแี ละกรรมชัวั่ว่ ย่อ่อมให้ผ้ผลอย่า่างเปน็น็ รูปูปธรรม เชน่น่ การฆา่า่ สิงิ่ง่ มีชีชวีวี ติติ อันันเปน็น็ กรรมชัวั่ว่ จะทำำให้ผ้ผู้ฆู้ฆา่า่
มีอีอายุสุสันั้น้ หรือือถูกูกฆา่า่ ตายในลักักษณะเดยียี วกันัน และการทำำบญุญุ เลียี้ย้ งพระจะทำำให้ท้ทำำมาค้า้าขึนึ้น้ หรือือราํ่าํ่ รวย
18
มากขึนึ้น้ ในอนาคต ทา่า่ นพุทุทธทาส ชีใี้ใ้ ห้เ้เห็น็นวา่า่ ความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งกรรมกับับผลของกรรมมิไิไดเ้เ้ ปน็น็
ไปในลักักษณะรูปูปธรรมตลอดเวลา แตอ่อ่ าจให้ผ้ผลสะทอ้อ้ นทางจิติตใจหรือือความร้สู้สู กึกึ นกึกึ คิดิด เชน่น่ ทำำให้้
เกิดิดความอ่มิ่มิ เอิบิบใจเมือื่อ่ ทำำกรรมดหีหี รือือวติติ กกังังวลเมือื่อ่ ทำำกรรมชัวั่ว่ เมือื่อ่ พิจิจารณา รายละเอียียดของ ปฏิจิจจส
มุปุปบาทแล้ว้วจะเห็น็นวา่า่ อวชิชิ ชาเปน็น็ ตน้น้ เหตขุขุ องกรรมชัวั่ว่ เปน็น็ ทีมี่ม่ าของตณัณั หาอุปุปทานอันันทำำให้ค้คนเรา
เห็น็นผิดิดเปน็น็ ชอบและประพฤตผิผิ ิดิดทำำนองคลองธรรม การกำำจัดัดอวชิชิ ชาจึงึงเปน็น็ กรรมด ี และการปล่อ่อย
ตวัวั ตามอวชิชิ ชาจึงึงเปน็น็ กรรมชัวั่ว่ นอกจากน้นั้นั ความเปน็น็ เหตเุเุ ปน็น็ ผลตอ่อ่ กันันตามกฎปฏิจิจจสมุปุปบาททำำให้้
เราไดเ้เ้ ห็น็นความจริงิงในเร่อื่อื ง กฎแห่ง่งกรรม ดว้ว้ ยวา่า่ กรรมของใครก็ย็ย่อ่อมให้ผ้ผลตอ่อ่ ผู้นู้น้นั้นั แลกเปลียี่ย่ นกับับผูู้้
อ่นื่นื ไม่ไ่ได ้ ผู้ทู้ทีอี่อ่ ยากไดผ้ผ้ ลดตีตี อ่อ่ ชวีวี ติติ ของตน ก็ต็ตอ้อ้ งทำำกรรมด ี จะหวงังั พึงึ่ง่ ผีสีสางเทวดาไม่ไ่ได ้ ทำำให้ต้ตอ้อ้ ง
ยอมรับับความจริงิงวา่า่ ตนเปน็น็ ทีพี่พ่ ึงึ่ง่ ของตน ตามหลักักการทางพุทุทธศาสนา
สรุปได้ว่ากฎแห่งกรรมก็คือ กฎของการกระทำ หากเป็นการกระทำที่ไม่เจตนาก็ถือว่าไม่
เป็นบาปและจะไม่เป็นกรรม แต่หากกระทำไปโดยเจนาก็จะเป็นกรรมหรือเป็นบาป โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งในทางพระพุทธศาสนา ถือว่ามโนกรรมคือการคิดร้าย คิดชั่ว เป็นเรื่องสำคัญ เพราะใจเป็นตัว
กำหนดหรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวก่อเกิดแล้วส่งให้สมองสั่งการให้เจ้าตัวกระทำการลงไป และผลของ
กรรมมิได้เป็นไปในลักษณะของรูปธรรมเสมอ แต่อาจเกิดผลเป็นนามธรรมคือสะท้อนทางจิตใจ
เช่น ถ้าทำความดีก็จะทำให้มีความรู้สึกสบายใจ แต่ถ้าคิดร้าย ทำชั่วก็จะกังวลใจกลัวความผิด จะย้อน
มาถึงตัว
ผู้วิจัยมีความเห็นว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีจริยธรรม ย่อมมีความเกรงกลัวต่อการ
กระทำความชั่ว จึงได้นำแนวความคิดเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม มาใช้เป็นกรอบแนวความคิดในด้าน
ความเชื่อความศรัทธาในหลักธรรม
1. แนวคิดิดเก่ยี่ยี วกับับจริยิยธรรม
ความหมายของจริยิยธรรม
คำำวา่า่ จริยิยธรรม มีคีความหมายกวา้า้ งขวาง และมีผีผู้ใู้ให้ค้ความหมายไวม้ม้ ากในการศกึกึ ษาคร้งั้งั น้ ี้ ี
ผู้วู้วจิจิ ัยัยไดร้ร้ วบรวมความหมายของจริยิยธรรมทีมี่ม่ ีผีผู้ใู้ให้ไ้ไวใ้ใ้ นทีตี่ต่ า่า่ งๆ พอสงังั เขปดงังั นี้ี้
19
จริยิยธรรม ตามความหมายในพจนานกุกุ รมฉบบับั ราชบณัณั ฑติติ ยสถาน (2525) หมายถึงึง ธรรมทีี่่
เปน็น็ ข้อ้อปฏิบิบตัตั ิ ศลีลี ธรรม หรือือกฎศลีลี ธรรม
จากรายงานการประชาสมัมั พันันธเ์เ์ ร่อื่อื ง "จริยิยธรรมในสงังั คมไทย" ของสำำนกักั งานคณะกรรมการ
การศกึกึ ษาแห่ง่งชาต ิ (2522) และการประชมุมุ ทางวชิชิ าการเร่อื่อื ง "แนวทางการพัฒัฒนาจริยิยธรรมไทย" ของ
กรมวชิชิ าการกระทรวงศกึกึ ษาธกิกิ าร (2523: 8) มีนีนกักั วชิชิ าการและผู้ทู้ทรงคุณุณวฒุฒุ ิหิหลายทา่า่ นให้  ความหมาย
ของจริยิยธรรมไวใ้ใ้ นลักักษณะตา่า่ งๆดงังั นี้ี้
พระราชวรมุนี (2527: 1) จริยธรรมมาจากคำว่า "พรหมจริยะ" ซึ่งในพระพุทธศาสนา
หมายถึง มรรค คือ วิธีการ
ดวงเดือน พันธุมนาวิน และ เพ็ญแข ประจนปัจจนึก (2520: 4). จริยธรรม มีความหมาย
กว้าง อาจรวมถึง ศีลธรรม ศาสนา กฎหมาย และค่านิยมแต่ละหมู่ในแง่ของพฤติกรรมศาสนา
จริยธรรมหมายถึง ลักษณะทางจิตใจและสภาพแวดล้อม ซึ่งทำให้บุคคลทำดีละเว้นความชั่ว จริย
ธรรมหมายถึง ลักษณะทางสังคมหลายลักษณะของมนุษย์ และมีขอบเขตรวมถึงพฤติกรรมทาง
สังคมประเภทต่างๆ มี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่สังคมต้องการเป็นพฤติกรรมที่สังคมให้ความนิยมชม
ชอบและสนับสนุน ทำให้เกิดความพอใจ เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและลักษณะที่สังคมไม่ต้องการ
เป็นการกระทำที่สังคมลงโทษและพยายามกำจัด ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องไม่สมควร
ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และเพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ (2520: 4-12) ไดศ้ศ้ กึกึ ษาถึงึงจริยิยธรรมซึงึ่ง่ มี
ความหมายทีกี่ก่ วา้า้ งขวาง หมายถึงึง ลักักษณะทางสงังั คมหลายลักักษณะของมนษุษุ ย์  และมีขีขอบเขตรวมถึงึง
พฤตกิกิ รรมทางสงังั คมประเภทตา่า่ งๆ ดว้ว้ ยลักักษณะและพฤตกิกิ รรมทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้องกับับจริยิยธรรม จะมีคีคุณุณ
สมบตัตั ปิปิ ระเภทใดประเภทหน่งึ่งึ ในสองประเภทคือือ เปน็น็ ลักักษณะทีสี่ส่ งังั คมตอ้อ้ งการให้ม้มีอีอยู่ขู่ของสมาชกิกิ
ในสงังั คมน้นั้นั คือือ เปน็น็ พฤตกิกิ รรมทีสี่ส่ งังั คมนยิยิ มชมชอบให้ก้การสนบับั สนนุนุ และผู้กู้กระทำำสว่ว่ นมากเกิดิด
ความพอใจวา่า่ การกระทำำน้นั้นั เปน็น็ สิงิ่ง่ ทีถี่ถ่ ูกูกตอ้อ้ งเหมาะสม สว่ว่ นอีกีกประเภทหน่งึ่งึ คือือลักักษณะทีสี่ส่ งังั คมไม่่
ตอ้อ้ งการให้ม้มีอีอยู่ใู่ในสมาชกิกิ ในสงังั คม เปน็น็ การกระทำำทีสี่ส่ งังั คมลงโทษหรือือพยายามกำำจัดัดและผู้กู้กระทำำ
พฤตกิกิ รรมน้นั้นั สว่ว่ นมากร้สู้สู กึกึ วา่า่ เปน็น็ สิงิ่ง่ ทีไี่ไ่ ม่ถ่ถูกูกตอ้อ้ งและไม่ส่สมควร ฉะน้นั้นั ผูู้้ มีจีจริยิยธรรมสงูงู คือือผู้ทู้ทีมี่ม่ ี
ลักักษณะและพฤตกิกิ รรมประเภทแรกมากและประเภทหลังังนอ้อ้ ย ซึงึ่ง่ ลักักษณะตา่า่ งๆ ของมนษุษุ ย์ท์ทีเี่เ่ กียี่ย่ ว
ข้อ้องกับับจริยิยธรรมน้นั้นั แบง่ง่ ออกไดห้ห้ ลายประเภท เชน่น่ ความร้ ู้ ู ทศัศั นคต ิ การใชเ้เ้ หตผุผุ ล และพฤติ
กรรมตา่า่ ง ๆ
ความร้เู้เู ชิงิงจริยิยธรรม หมายถึงึง การมีคีความร้วู้วู า่า่ ในสงังั คมของตนน้นั้นั คือือวา่า่ การกระทำำชนดิดิ ใด
ดคีคี วรกระทำำ และการกระทำำชนดิดิ ใดทีไี่ไ่ ม่ด่ดทีที ีคี่ค่ วรงดเวน้น้ ลักักษณะและพฤตกิกิ รรมประเภทใดเหมาะสม
หรือือไม่เ่เหมาะสม มากนอ้อ้ ยเพียียงใด ปริมิมาณความร้เู้เู ชงิงิ จริยิยธรรม หรือือ ความร้เู้เู กียี่ย่ วกับับค่า่านยิยิ มทาง
20
สงังั คมน้ขี้ขี ึนึ้น้ อยู่กู่กับับอายุ ระดบับั การศกึกึ ษา และพัฒัฒนาการทางสตปิปิ ญัญั ญาของบคุคุ คลดว้ว้ ย (ดวงเดอือื น
พันันธมุมุ นาวนินิ และ เพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ 2520: 4-6)
ทศัศั นคติเิเชิงิงจริยิยธรรม คือือ ความร้สู้สู กึกึ ของบคุคุ คลเกียี่ย่ วกับับลักักษณะหรือือพฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิย
ธรรมตา่า่ ง ๆ วา่า่ ตนชอบหรือือไม่ช่ชอบลักักษณะน้นั้นั ๆ เพียียงใด ทศัศั นคตเิเิ ชงิงิ จริยิยธรรมของบคุคุ คลสว่ว่ นมาก
จะ สอดคล้อ้องกับับค่า่านยิยิ มในสงังั คมน้นั้นั แตบ่บ่ คุคุ คลบางคนในสถานการปกต ิ อาจมีทีทศัศั นคตแิแิ ตกตา่า่ ง
ไปจาก ค่า่านยิยิ มของสงังั คมก็ไ็ได  ทศัศั นคตเิเิ ชงิงิ จริยิยธรรมของบคุคุ คลน้นั้นั มีคีความหมายกวา้า้ งกวา่า่ ความรูู้้
เชงิงิ จริยิยธรรมของบคุคุ คล เพราะทศัศั นคตริริ วมความร้แู้แู ละความร้สู้สู กึกึ ในเร่อื่อื งน้นั้นั ๆ เข้า้าดว้ว้ ยกันัน ฉะน้นั้นั
ทศัศั นคตเิเิ ชงิงิ จริยิยธรรม จึงึงเปน็น็ คุณุณสมบตัตั ทิทิ ีสี่ส่ ำำคัญัญจะใชท้ท้ ำำนายพฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมไดอ้อ้ ย่า่างแม่น่นยำำ
กวา่า่ การใชค้ค้ วามร้เู้เู กียี่ย่ วกับับค่า่านยิยิ มทางสงังั คมของบคุคุ คลแตเ่เ่ พียียงอย่า่างเดยียี ว และนอกจากน้ ี้ ี ทศัศั นคติ
เชงิงิ จริยิยธรรมของบคุคุ คลในเวลาหน่งึ่งึ ยังังอาจเปลียี่ย่ นแปลงไปจากเดมิมิ ได ้ เน่อื่อื งดว้ว้ ยสาเหตหุหุ ลาย
ประการ (ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และเพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ 2520: 4-6)
เหตุผุผลเชิงิงจริยิยธรรม หมายถึงึง การทีบี่บ่ คุคุ คลใชเ้เ้ หตผุผุ ลในการเลือือกทีจี่จ่ ะกระทำำหรือือไม่ก่กระทำำ
พฤตกิกิ รรมอย่า่างใดอย่า่างหน่งึ่งึ เหตผุผุ ลทีกี่ก่ ล่า่าวน้จี้จี ะแสดงให้เ้เห็น็นถึงึงเหตจุจุ ูงูงใจหรือือแรงจูงูงใจทีอี่อ่ ยู่เู่เบือื้อ้ ง
หลังังการกระทำำตา่า่ ง ๆ ของบคุคุ คลการศกึกึ ษาเหตผุผุ ลเชงิงิ จริยิยธรรมจะทำำให้ท้ทราบวา่า่ บคุคุ คลผู้มู้มีจีจริยิยธรรม
ในระดบับั แตกตา่า่ งกันันอาจมีกีการกระทำำทีคี่ค่ ล้า้ายคลึงึงกันันได ้ และมีบีบคุคุ คลทีมี่ม่ ีกีการกระทำำเหมือือนกันันอาจมี
เหตผุผุ ล เบือื้อ้ งหลังังการกระทำำน้นั้นั (ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และ เพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ
2520: 4-6)
พฤติกิกรรมเชิงิงจริยิยธรรม หมายถึงึง การทีบี่บ่ คุคุ คลแสดงพฤตกิกิ รรมทีสี่ส่ งังั คมนยิยิ มชมชอบ
หรือืองดเวน้น้ การแสดงพฤตกิกิ รรมทีี่่ ฝ่า่าฝืนืนกฏเกณฑ ์ หรือือค่า่านยิยิ มในสงังั คมน้นั้นั ๆ พฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิย
ธรรมเปน็น็ การกระทำำทีสี่ส่ งังั คมเห็น็นชอบและสนบับั สนนุนุ มีหีหลายประเภท เชน่น่ การให้ท้ทาน การเสยียี สละ
เพือื่อ่ สว่ว่ นรวม และการชว่ว่ ยเหลือือ ผู้ตู้ตกทกุกุ ข์ไ์ไดย้ย้ าก นอกจากน้พี้พี ฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมอีกีกประเภท
หน่งึ่งึ คือือพฤตกิกิ รรมในสถานการณท์ท์ ีเี่เ่ ย้า้ายวนใจหรือือในสภาพทียี่ย่ ั่วั่วยุ ให้บ้บคุคุ คลกระทำำผิดิดกฎเกณฑ 
เพือื่อ่ ประโยชนส์ส์ ว่ว่ นตน บางประการ พฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมในสถานการยั่วั่วยุ เชน่น่ การโกงสิงิ่ง่ ของ
เงินิน ทอง คะแนน ลักักขโมย และกล่า่าวเทจ็จ็ เปน็น็ ตน้น้ อาจรวมเรียียกวา่า่ “พฤตกิกิ รรมความไม่ซ่ซือื่อ่ สตัตั ย์””
ซึงึ่ง่ ผู้มู้มี จริยิยธรรมสงูงู ย่อ่อมงดเวน้น้ การกระทำำทีไี่ไ่ ม่ซ่ซือื่อ่ สตัตั ย์น์น้ ี้ ี พฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมเปน็น็ สิงิ่ง่ ทีสี่ส่ งังั คมให้้
ความสำำคัญัญมากกวา่า่ ดา้า้ นอ่นื่นื ๆ ของ ( ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และ เพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ 2520:
4-6) จริยิยธรรม ทังั้ง้ น้เี้เี พราะการกระทำำในสิงิ่ง่ ทีดี่ด่ ี หรือือ ไม่ด่ด ี ของบคุคุ คลน้นั้นั สง่ง่ ผลโดยตรงตอ่อ่ ความผาสขุขุ
และความทกุกุ ข์ข์ของสงังั คม การศกึกึ ษาคร้งั้งั น้ผี้ผี ู้วู้วจิจิ ัยัยจึงึงไดน้น้ าำํ ลักักษณะตา่า่ งๆ ของมนษุษุ ย์ท์ทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้องกับับการ
นาำํ จริยิยธรรมมาใชเ้เ้ ปน็น็ ข้อ้ออ้า้างอิงิงหาตวัวั ก่อ่อเกิดิด จริยิยธรรมของสมาชกิกิ ผู้ใู้ใชป้ป้ ระโยชนจ์จ์ ากกองทนุนุ หมูู่่
บา้า้ น
21
ข้นั้นั ตอนการเกิดิดจริยิยธรรม
วทิทิ ย์  วศิศิ ทเวทย์  (2530: 14)ไดเ้เ้ สนอแนวคิดิดขันั้น้ ตอนการเกิดิดของจริยิยธรรม โดยจาำํ แนกออก
เปน็น็ 4 ขันั้น้ ตอน ดงังั นี้ี้
1. ข้นั้นั รักักตนเอง เปน็น็ ขันั้น้ ทีมี่ม่ นษุษุ ย์ไ์ไม่ว่วา่า่ จะกระทำำอะไรลงไป แม้ว้วา่า่ จะเปน็น็ การกระทำำทีดี่ด่ หีหี รือือ
ไม่ด่ด ี ก็ย็ยังังเปน็น็ การกระทำำเพือื่อ่ รักักตนเอง เห็น็นแก่ต่ตนเองเปน็น็ ใหญ่่
2. ข้นั้นั รักักผ้อู้อู ื่นื่น เปน็น็ ขันั้น้ ทีมี่ม่ นษุษุ ย์เ์เร่มิ่มิ ทีจี่จ่ ะนาำํ เอาความร้สู้สู กึกึ ของคนอ่นื่นื เข้า้ามาเกียี่ย่ วข้อ้องกับับการตดัดั
สนินิ ใจ
ตัดสินใจ ในการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของตน แต่ก็ยังไม่ทิ้งการกระทำ เพื่อรักตนเอง ยังคงทำ
ควบคู่กันกับความรักผู้อื่น
3. ข้นั้นั ใช้เ้เหตุผุผลสากล เปน็น็ ขันั้น้ ทีมี่ม่ นษุษุ ย์จ์จะคำำนงึงึ ถึงึงเหตผุผุ ลสากล เปน็น็ จริยิยธรรมทีอี่อ่ อกมาจาก
ภายใน เหมือือนกับับประพฤตบิบิ นพืนื้น้ ฐานของ ธรรม ฉันันทะ อยู่ใู่ในขันั้น้ ทีมี่ม่ นษุษุ ย์ก์กระทำำบางสิงิ่ง่ บางอย่า่าง
ไม่ใ่ใชเ่เ่ พราะรักักตนเอง และรักักผู้อู้อ่นื่นื แตเ่เ่ พราะเหตผุผุ ลสากลเปน็น็ ธรรมของมนษุษุ ย์  คือือ จริยิยธรรมขันั้น้ สงูงู
กวา่า่ ขันั้น้ ทีหี่ห่ น่งึ่งึ และขันั้น้ ทีสี่ส่ อง
สรุปุป จริยิยธรรมเปน็น็ สิงิ่ง่ ทีมี่ม่ ีคีความสำำคัญัญ และมีคีความจาำํ เปน็น็ สำำหรับับชวีวี ติติ มนษุษุ ย์เ์เพราะเปน็น็
เร่อื่อื งทีี่่
เกียี่ย่ วกับับการแสดงพฤตกิกิ รรมของบคุคุ คล ซึงึ่ง่ อาจจะกระทำำไปในสิงิ่ง่ ทีดี่ด่ งีงี าม หรือือไม่ถ่ถูกูกตอ้อ้ งก็ไ็ได ้ พฤติ
กรรมทีมี่ม่ ี จริยิยธรรมเปน็น็ ลักักษณะของการกระทำำทีเี่เ่ กิดิดประโยชนแ์แ์ ก่ต่ตนเองและผู้อู้อ่นื่นื เพราะเปน็น็ การ
กระทำำทีไี่ไ่ ม่ข่ขัดัดตอ่อ่ สภาพความเปน็น็ อยู่ ู่ ความตอ้อ้ งการและความร้สู้สู กึกึ นกึกึ คิดิดของบคุคุ คลโดยทัวั่ว่ ไป สว่ว่ น
การกระทำำทีไี่ไ่ ม่ถ่ถูกูกตอ้อ้ ง ย่อ่อมทำำให้เ้เกิดิดความเดอือื ดร้อ้อนทังั้ง้ แก่ต่ตนเองและผู้อู้อ่นื่นื ๆ เพราะเปน็น็ สิงิ่ง่ ทีสี่ส่ งังั คม
ไม่ต่ตอ้อ้ งการ ไม่ย่ยอมรับับ และเน่อื่อื งจากบคุคุ คลในสงังั คมประกอบดว้ว้ ยบคุคุ คลหลายกลุมุ่ม่ แตล่ล่ ะกลุมุ่ม่ ย่อ่อมมี
ความแตกตา่า่ งกันันไปตามฐานะ หากเปน็น็ กลุมุ่ม่ คนหรือือบคุคุ คลทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้องกับับคนอ่นื่นื จะตอ้อ้ งทำำกิจิจกรรม
ร่ว่วมกับับผู้อู้อ่นื่นื จาำํ เปน็น็ ตอ้อ้ งมีหีหลักักจริยิยธรรมในการควบคุมุม ทังั้ง้ น้เี้เี พือื่อ่ รักักษาผลประโยชนข์ข์ องสงังั คม นบับั
วา่า่ จริยิยธรรมเปน็น็ สิงิ่ง่ สำำคัญัญทีี่่ ควบคุมุมพฤตกิกิ รรมของบคุคุ คลให้ก้กระทำำในสิงิ่ง่ ทีดี่ด่ งีงี าม เปน็น็ ไปอย่า่างถูกูกตอ้อ้ ง
ไม่เ่เบยียี ดเบยียี นทังั้ง้ ตวัวั เองและ ผู้อู้อ่นื่นื จะเห็น็นวา่า่ ปญัญั หาตา่า่ งๆทีเี่เ่ กิดิดขึนึ้น้ ในสงังั คมปจัจั จุบุบนันั เชน่น่ การเอารัดัด
เอาเปรียียบ การทจุจุ ริติตฉ้อ้อฉล การใชเ้เ้ ล่ห่ห์ก์กลทจุจุ ริติตตอ่อ่ หนา้า้ ทีี่่ การทำำร้า้ายร่า่างกายก่อ่อเหตทุทุ ะเลาะ เปน็น็ ตน้น้
ปญัญั หาเหล่า่าน้ลี้ลี ้ว้วนเกิดิดจากพฤตกิกิ รรมของบคุคุ คลทีไี่ไ่ ม่ม่มีพีพืนื้น้ ฐานทางจริยิยธรรมทีดี่ด่ หีหี รือือมีคีความสำำนกึกึ
ทางจริยิยธรรม และการกระทำำในสิงิ่ง่ ทีดี่ด่ งีงี ามทีสี่ส่ งังั คมยอมรับับ
22
จากความสำำคัญัญของจริยิยธรรมทีกี่ก่ ล่า่าวออกมา ผู้วู้วจิจิ ัยัยเห็น็นวา่า่ พฤตกิกิ รรมของมนษุษุ ย์ท์ทีแี่แ่ สดงออก
มา เปน็น็ สิงิ่ง่ ทีสี่ส่ ามารถหล่อ่อหลอมและกล่อ่อมเกลาได ้ จากหลายๆ สว่ว่ นประกอบกันันนบับั ตงั้งั้ แตค่ค่ รอบครัวัว
สภาพแวดล้อ้อมทางสงังั คม ศาสนา การศกึกึ ษา จึงึงไดน้น้ าำํ มาเปน็น็ กรอบแนวคิดิดในการศกึกึ ษาเร่อื่อื งวชิชิ าการทีี่่
จะค้น้นหาตวัวั ก่อ่อเกิดิดจริยิยธรรมของสมาชกิกิ ผู้ใู้ใชป้ป้ ระโยชนจ์จ์ ากกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
2. ทฤษฎีพีพฒัฒั นาการทางจริยิยธรรม
ทฤษฎีพีพฒัฒั นาการทางจริยิยธรรม เปน็น็ ทฤษฎีทีทีี่่ เพียียเจท  (Piaget 1967 อ้า้างใน นภาจรี
นาำํ เบญ็ญ็ จพล และ อมรรัตัตน ์ จันันทร์เ์เพ็ญ็ญสวา่า่ ง 2537: 7-19) นกักั จิติตวทิทิ ยาชาวสวสิสิ ไดศ้ศ้ กึกึ ษาพัฒัฒนาการ
ทางสตปิปิ ญัญั ญาของมนษุษุ ย์  และเปน็น็ ตน้น้ คิดิดของพัฒัฒนาการทางจริยิยธรรม ซึงึ่ง่ เนน้น้ ความสำำคัญัญทาง
สตปิปิ ญัญั ญา โดยมีคีความเชือื่อ่ พืนื้น้ ฐานทีวี่ว่ า่า่ พัฒัฒนาการทางจริยิยธรรมขึนึ้น้ อยู่กู่กับับพัฒัฒนาการทางสตปิปิ ญัญั ญา
เพียียเจทก์ก์ ล่า่าววา่า่ เดก็ก็ ทีมี่ม่ ีอีอายุ 4-5 ป ี จะมีแีแนวโนม้ม้ ในการตดัดั สนินิ การกระทำำผิดิดดว้ว้ ยการทำำของเสยียี แต่่
เมือื่อ่ โตขึนึ้น้ จะมีคีความคิดิดทีเี่เ่ ปน็น็ อิสิสระ เกิดิดความสมัมั พันันธก์ก์ ับับกิจิจกรรมและการรับับร้มู้มู ากขึนึ้น้ เดก็ก็ ทีมี่ม่ ีอีอายุ
5-8 ป ี จะร้สู้สู กึกึ ผิดิดเมือื่อ่ มีอีอุบุบตัตั เิเิ หตหุหุ รือือทำำของเสยียี เดก็ก็ อายุ 5-12 ป ี จะมีกีการใชเ้เ้ หตผุผุ ลเข้า้าจริยิยธรรม ใน
ชว่ว่ ง 5-7 ป ี เดก็ก็ จะยึดึดความเปน็น็ จริงิงทีมี่ม่ องเห็น็นไดช้ช้ ดัดั เจน ตดัดั สนินิ ความผิดิดจากความเสยียี หาย เมือื่อ่ ของเสยียี
จะถูกูกลงโทษไม่ส่สามารถเปลียี่ย่ นแปลงได ้ แตเ่เ่ มือื่อ่ เดก็ก็ อายุ 7 ปขีขี ึนึ้น้ ไป จะยึดึดในเร่อื่อื งของความร่ว่วมมือือ
ความเสมอหนา้า้ ร้วู้วู า่า่ กฎเกณฑเ์เ์ กิดิดจากมนษุษุ ย์  มีกีการเปลียี่ย่ นแปลงได ้ การพิจิจารณาความผิดิดควรดจูจู าก
เจตนามากกวา่า่ ความเสยียี หายและเห็น็นวา่า่ การลงโทษก็เ็เพือื่อ่ ไม่ใ่ให้เ้เดก็ก็ กระทำำผิดิดอีกีก
เพียียเจท  (Piaget 1967 อ้า้างใน นภาจรี นาำํ เบญ็ญ็ จพล และ อมรรัตัตน ์ จันันทร์เ์เพ็ญ็ญสวา่า่ ง 2537: 7-
19) ไดแ้แ้ บง่ง่ พัฒัฒนาการทางจริยิยธรรมของมนษุษุ ย์  ออกเปน็น็ 3 ขันั้น้ คือือ
ข้นั้นั ที่ี่ 1 ข้นั้นั ก่อ่อนจริยิยธรรม (Pre-moral stage) อยู่ใู่ในชว่ว่ งตงั้งั้ แตแ่แ่ รกเกิดิด ถึงึง 2 ป ี เดก็ก็ จะถือือตน
เองเปน็น็ ศนูนู ย์ก์กลาง (ego centric) ไม่ส่สนใจความร้สู้สู กึกึ ของผู้อู้อ่นื่นื
ข้นั้นั ที่ี่ 2 ข้นั้นั ยึดึดคำำสังั่ง่ (Heteronomous stage) อยู่ใู่ในชว่ว่ งอายุ 2-8 ป ี เดก็ก็ จะยึดึดคำำสังั่ง่ ของผู้ใู้ใหญ่่
เปน็น็ หลักัก ยอมปฏิบิบตัตั ติติ ามกฎเกณฑข์ข์ องผู้ใู้ใหญ่  โดยไม่ร่ร้วู้วู า่า่ ทำำไมหรือือประโยชนอ์อ์ ย่า่างไร แตท่ท่ ำำไป
เพือื่อ่ การหลบหลีกีกไม่ใ่ให้ถ้ถูกูกลงโทษ
ข้นั้นั ที่ี่ 3 ข้นั้นั ยึดึดหลักักแหง่ง่ ตน (Autonomous stage) อยู่ใู่ในชว่ว่ งอายุ 8 ปขีขี ึนึ้น้ ไป เดก็ก็ จะคลาย
ความเกรงกลัวัวอาำํ นาจจากภายนอก และค่อ่อยๆ เกิดิดขึนึ้น้ ในจิติตใจของตนเอง เร่มิ่มิ ร้จู้จู ักักเหตผุผุ ล เข้า้าใจ
ถึงึงความยุตุตธิธิ รรม ยอมรับับกฎเกณฑข์ข์ องสงังั คมและปฏิบิบตัตั ติติ าม เน่อื่อื งจากเห็น็นวา่า่ จะทำำให้ส้สงบเรียียบร้อ้อย
23
จากหลักักทฤษฎี พัฒัฒนาการทางจริยิยธรรมของเพียียเจท ์ ดงังั กล่า่าวข้า้างตน้น้ เชือื่อ่ วา่า่ การก่อ่อเกิดิดจริยิย
ธรรมของบคุคุ คลน้นั้นั เร่มิ่มิ พัฒัฒนาจากขันั้น้ ทีี่่ 3 ทีที่ท่ ำำให้บ้บคุคุ คลเร่มิ่มิ มีเีเหตผุผุ ล แสวงหาความเปน็น็ ธรรม และ
ยอมรับับหลักักเกณฑข์ข์ องสงังั คม มองสิงิ่ง่ ทีอี่อ่ ยู่หู่ห่า่างตวัวั ออกไปและยังังมองเห็น็นความเปน็น็ สว่ว่ นรวม
ประเสริฐิฐ ผลิติตผลการพิมิมพ์  (2542 : 6) ไดอ้อ้ ธบิบิ ายถึงึง ลักักษณะการเกิดิดพัฒัฒนาการทาง จริยิย
ธรรม เกิดิดได  3 ลักักษณะคือือ
1. ตามพ่อ่อแม่แ่และครู
2. ถ่า่ายทอดทางจิติตใตส้ส้ ำำนกึกึ เมือื่อ่ ปลาย 5 ขวบ (ตวัวั อย่า่างเดก็ก็ ชายอายุ 3-5 ขวบ มักักจะกลัวัว
พ่อ่อ
วธิธิ แีแี ก้ป้ปญัญั หาคือือ เปน็น็ พวกพ่อ่อดกีกี วา่า่ ปลอดภัยัยกวา่า่ วธิธิ เีเี ปน็น็ พวกพ่อ่อคือือ ถอดแบบทกุกุ อย่า่างผ่า่านจิติตใต้้
สำำนกึกึ ดว้ว้ ยวธิธิ นีนี ้เี้เี ดก็ก็ ชายไม่เ่เพียียงไดบ้บ้ คุคุ ลิกิกและความเปน็น็ เพศชายจากพ่อ่อ แตย่ย่ ังังไดจ้จ้ ริยิยธรรมของคุณุณพ่อ่อ
มาดว้ว้ ย เดก็ก็ หญิงิงก็ถ็ถอดแบบจากคุณุณแม่ด่ดว้ว้ ยกลไกเดยียี วกันัน)
3. เรียียนเร่อื่อื งจริยิยธรรมจากสงังั คม (เมือื่อ่ เปน็น็ เดก็ก็ ไม่ก่กล้า้าทำำผิดิดเพราะกลัวัวถูกูกลงโทษ โตมา
หนอ่อ่ ย ทำำความดเีเี พราะไดร้ร้ างวลัลั พอ 10 ขวบ เร่มิ่มิ ทำำความดเีเี พราะคนอ่นื่นื เขาก็ท็ทำำเหมือือนกันัน พอวยัยั
ร่นุ่นุ ทำำความดเีเี พราะมันันคือือความด ี ไม่ต่ตอ้อ้ งหาเหตผุผุ ลอะไรอีกีกแล้ว้ว)
ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และคณะ (2520: 4-12) ไดท้ท้ ำำงานวจิจิ ัยัยเร่อื่อื งจริยิยธรรมของเยาวชนไทย
เปน็น็ การวจิจิ ัยัยทีศี่ศ่ กึกึ ษาบอ่อ่ เกิดิดและพัฒัฒนาการทางจริยิยธรรมของเยาวชนไทย ประเภทตา่า่ ง ๆ ตามลักักษณะ
ทางสงังั คม และวธิธิ กีกี ารถูกูกอบรมเลียี้ย้ งดแูแู ละศกึกึ ษาสาเหตขุขุ องผลงานพฤตกิกิ รรมซึงึ่ง่ แสดงความซือื่อ่ สตัตั ย์ 
ใชว้ว้ ธิธิ กีกี ารศกึกึ ษาภาคสนามโดยสร้า้างเคร่อื่อื งมือือวดัดั ลักักษณะการใชเ้เ้ หตผุผุ ลเชงิงิ จริยิยธรรม และลักักษณะมุงุ่ง่
อนาคต พร้อ้อมกับับไดส้ส้ อบถามภูมูมิหิหลังังตา่า่ ง ๆ ของผู้ตู้ตอบและวธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักัก แบบควบคุมุม
แบบใชเ้เ้ หตผุผุ ล และแบบใชก้ก้ ารลงโทษทางกายหรือือจิติต ซึงึ่ง่ รวมแล้ว้วเปน็น็ การเลียี้ย้ งดแูแู บบประชาธปิปิ ไตย
แล้ว้วนาำํ คะแนนตา่า่ ง ๆ จากแบบสอบถามเหล่า่าน้มี้มี าวเิเิ คราะห์ค์ความแปรปรวน และหาความสมัมั พันันธก์ก์ ันัน
ในลักักษณะตา่า่ ง ๆ สว่ว่ นการศกึกึ ษาสาเหตแุแุ ละผลของพฤตกิกิ รรมความซือื่อ่ สตัตั ย์ใ์ในสถานการณย์ย์ ั่วั่วยุนุน้นั้นั ใช้้
วธิธิ กีกี ารศกึกึ ษาในสภาพการทดลองในหลังังปฏิบิบตัตั กิกิ าร ซึงึ่ง่ ผลจาการวจิจิ ัยัยทังั้ง้ ภาคสนามและการทดลอง
สรุปุปผลทีมี่ม่ ีลีลักักษณะเดน่น่ พบวา่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดใูใู นครอบครัวัว มีสีสว่ว่ นเกียี่ย่ วข้อ้องกับับจริยิยธรรมของบคุคุ คล
เปน็น็ อย่า่างมากและมีอีอิทิทธพิพิ ลคงทนไปถึงึงวยัยั ผู้ใู้ใหญ่ต่ตอนตน้น้ และในการวจิจิ ัยัยเชงิงิ ทดลอง ไดพ้พ้ บวา่า่
ลักักษณะตา่า่ งๆ ของสถานการณ ์ เชน่น่ การแจกรางวลัลั และการมีหีหรือือไม่ม่มีตีตน้น้ แบบทีกี่ก่ ระทำำความดนีนี ้นั้นั มี
อิทิทธพิพิ ลตอ่อ่ พฤตกิกิ รรมวยัยั ร่นุ่นุ มากกวา่า่ ลักักษณะทางจริยิยธรรมในตวัวั ของเขาเองอย่า่างมาก
ผู้วิจัยเห็นว่าจริยธรรมตามทฤษฎีของ เพียเจท์ และ ดวงเดือน พันธุมาวินและคณะ ดัง
กล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึง การเกิดจริยธรรมของมนุษย์อย่างเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่จากความมี
เหตุผล ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นหรือยอมรับตามหลักเกณฑ์ของสังคม ตามความคิดเห็นของ
ส่วนรวม
24
การยอมรับในส่วนรวมนับได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการหล่อหลอมและพัฒนาแล้ว สมาชิกผู้ใช้
บริการกองทุนหมู่บ้านที่มี จริยธรรม จึงเป็นผู้ที่มีเหตุผลยอมรับตามหลักเกณฑ์ของสังคม และ
ลักษณะการเกิดพัฒนาการทางจริยธรรมสอดคล้องตามแนวคิดของประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ซึ่ง
สามารถอธิบายได้ถึงลักษณะการเกิดของจริยธรรม ผู้วิจัยจึงได้นำมาเป็นหลักเกณฑ์ประกอบ เพื่อให้
เกิดความกระจ่างถึงการก่อเกิดจริยธรรมของสมาชิกผู้ใช้บริการกองทุนหมู่บ้านในการศึกษาครั้งนี้
8. แนวคิดิดพนื้นื้ ฐานของการขัดัดเกลาทางสงังั คม
สภาพแวดล้อ้อมในสงังั คมปจัจั จุบุบนันั ทีมี่ม่ ีคีความซบับั ซอ้อ้ นเพิมิ่ม่ มากขึนึ้น้ ประสบการณท์ท์ ีไี่ไ่ ดร้ร้ ับับการขัดัด
เกลาทางสงังั คมจากครอบครัวัวไม่เ่เพียียงพอทีจี่จ่ ะเตรียียมเดก็ก็ ไปสูโู่โ่ ลกของผู้ใู้ใหญ่  โรงเรียียนจึงึงมีบีบทบาท
อย่า่างมากในฐานะทีเี่เ่ ปน็น็ ตวัวั แทนของสถาบนันั การศกึกึ ษา ในการสร้า้างสมาชกิกิ ใหม่ใ่ให้แ้แก่ส่สงังั คมใน
ครรลองทีสี่ส่ งังั คมมุงุ่ง่ หวงังั เพือื่อ่ ให้ส้สงังั คมมีคีความตอ่อ่ เน่อื่อื งและมีเีเสถียียรภาพ กระบวนการซึงึ่ง่ เปน็น็ วถิถิ ีทีทางให้้
โรงเรียียนทำำหนา้า้ ทีดี่ด่ งังั กล่า่าวไดก้ก้ ็ค็คือือ กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คม (Socialization) ดว้ว้ ยเหตนุนุ ้ ี้ ี
กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คมทีเี่เ่ กิดิดขึนึ้น้ ในโรงเรียียนจึงึงมีคีความกวา้า้ งขวางและมีอีอิทิทธพิพิ ลอย่า่างมากตอ่อ่
นกักั เรียียน
พัทัทยา สายหู (2517 : 92-99) อธบิบิ ายแนวคิดิดพืนื้น้ ฐานของการขัดัดเกลาทางสงังั คม
(Socialization) ไวว้ว้ า่า่ การทีบี่บ่ คุคุ คลเกิดิดขึนึ้น้ มาทา่า่ มกลางสงังั คม บคุคุ คลมีกีการเรียียนร้ทู้ทู ีจี่จ่ ะร้จู้จู ักักตนเอง ร้จู้จู ักัก
คนอ่นื่นื ๆ มีคีความสามารถในการปฏิสิสมัมั พันันธก์ก์ ับับคนอ่นื่นื ๆ ในสถานการณต์ต์ า่า่ ง ๆ ได ้ ดงังั น้นั้นั มนษุษุ ย์แ์แตล่ล่ ะ
คนในสงังั คมไดส้ส้ มัมั ผัสัสกับับกระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คมตงั้งั้ แตเ่เ่ ร่มิ่มิ เกิดิดจนกระทังั่ง่ ตาย ภายในชว่ว่ งชวีวี ติติ
หน่งึ่งึ ๆ ของมนษุษุ ย์ใ์ในสงังั คม รวมไปถึงึงการทีบี่บ่ คุคุ คลยอมรับับทศัศั นคต ิ ค่า่านยิยิ ม ทกักั ษะ พฤตกิกิ รรม โดยผ่า่าน
บริบิบทตา่า่ งๆ เร่มิ่มิ ตน้น้ จากครอบครัวัวเปน็น็ แห่ง่งแรก ตอ่อ่ มาคือือสงังั คมทีตี่ต่ นเปน็น็ สมาชกิกิ การเปน็น็ สมาชกิกิ ของ
สงังั คมหรือือองค์ก์กร จะสมบรูรู ณเ์เ์ มือื่อ่ ผ่า่านกระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คม ซึงึ่ง่ มีตีตวัวั ขัดัดเกลาเปน็น็ ตวัวั สง่ง่ ผ่า่าน
แบบแผนทังั้ง้ หลายจนสามารถใชร้ร้ ะบบสญัญั ลักักษณท์ท์ ีอี่อ่ งค์ก์กรน้นั้นั กำำหนด เปน็น็ ความหมายร่ว่วมตามบท
บาทหนา้า้ ทีขี่ข่ องตนไดอ้อ้ ย่า่างเหมาะสมถูกูกตอ้อ้ ง และสังั่ง่ สมเอาความชำำนชิชิ ำำนาญเหล่า่าน้ไี้ไี วจ้จ้ นสามารถ
เปน็น็ ตวัวั แทนทีจี่จ่ ะสง่ง่ ผ่า่านไปสูสู่ส่ มาชกิกิ ร่นุ่นุ ตอ่อ่ ไปได ้ มโนทศัศั นก์ก์ ารขัดัดเกลาทางสงังั คมโดยทัวั่ว่ ไปหมายถึงึง
วถิถิ ีทีทางทีบี่บ่ คุคุ คลเรียียนร้ทู้ทู กักั ษะ ความร้ ู้ ู ค่า่านยิยิ ม แรงจูงูงใจ และบทบาททีเี่เ่ หมาะสมกับับตาำํ แหนง่ง่ ของเขาใน
25
กลุมุ่ม่ หรือือในสงังั คม นยิยิ ามการขัดัดเกลาทางสงังั คมในเชงิงิ สงังั คมวทิทิ ยา มักักจะเนน้น้ วถิถิ ีทีทางทีบี่บ่ คุคุ คลเรียียนรูู้้
เพือื่อ่ ทำำตวัวั ให้ส้สอดประสานกับับสงังั คม และยังังมองตอ่อ่ ไปวา่า่ นอกจากกระบวนการดงังั กล่า่าวทีจี่จ่ ะ
เปลียี่ย่ นแปลงบคุคุ คลแล้ว้ว ยังังเปลียี่ย่ นแปลงสงังั คมดว้ว้ ย นอกจากน้นั้นั การขัดัดเกลาทางสงังั คมยังังทำำหนา้า้ ทีใี่ใ่ น
การดาำํ รงรักักษากลุมุ่ม่ ทางสงังั คม โดยการสง่ง่ เสริมิมการดดัดั แปลงตนเองของบคุคุ คลตอ่อ่ กลุมุ่ม่ เหล่า่าน้นั้นั ในแง่่
ดังังกล่า่าวการขัดัดเกลาทางสงังั คมจึงึงมีผีผลดตีตี อ่อ่ ทังั้ง้ บคุคุ คลและสงังั คม (Sewell) ให้น้นยิยิ ามการขัดัดเกลาทาง
สงังั คมวา่า่ เปน็น็ "กระบวนการทีบี่บ่ คุคุ คลยอมรับับทกักั ษะ ความร้ ู้ ู ทศัศั นคต ิ ค่า่านยิยิ ม และแรงจูงูงใจทีปี่ป่ รากฏอยูู่่
ในกลุมุ่ม่ ทังั้ง้ หลายทีเี่เ่ ขาเปน็น็ หรือือจะเปน็น็ สมาชกิกิ " ในทำำนองเดยียี วกันัน นยิยิ ามทังั้ง้ หลายทีเี่เ่ กียี่ย่ วกับับการ
ถ่า่ายทอดวฒัฒั นธรรม (Acculturation) ก็ถ็ถือือวา่า่ การขัดัดเกลาทางสงังั คมไม่เ่เพียียงแตจ่จ่ ะทำำให้ผ้ผู้รู้รับับการขัดัด
เกลาสามารถดดัดั แปลงตนเองไดเ้เ้ ทา่า่ น้นั้นั แตย่ย่ ังังเปน็น็ วถิถิ ีทีทางทีวี่ว่ ฒัฒั นธรรม และสงังั คมสามารถสบืบื ทอดตน
เองไปยังังคนร่นุ่นุ ตอ่อ่ ไปอีกีกดว้ว้ ย ดงังั น้นั้นั เพือื่อ่ ทีจี่จ่ ะคงไวซ้ซ้ ึงึ่ง่ ความตอ่อ่ เน่อื่อื งในการจัดัดระเบยียี บทางสงังั คม บท
บาท พฤตกิกิ รรม ค่า่านยิยิ ม และทศัศั นคตทิทิ ีเี่เ่ หมาะสม จะตอ้อ้ งไดร้ร้ ับับการถ่า่ายทอด การทีจี่จ่ ะซมึมึ ซบับั เน้อื้อื หา
ตา่า่ งๆ ดงังั กล่า่าว บคุคุ คลจะตอ้อ้ งเรียียนร้พู้พู ืนื้น้ ฐานและเพิมิ่ม่ พูนูนความร้สู้สู กึกึ ของความเปน็น็ ตวัวั เองและความร้สู้สู กึกึ
ทางสงังั คม โดยผ่า่านการขัดัดเกลาทางสงังั คมอย่า่างเปน็น็ ทางการและไม่เ่เปน็น็ ทางการ การขัดัดเกลาทางสงังั คม
(Socialization) เปน็น็ ประเดน็น็ ทีไี่ไ่ ดร้ร้ ับับความสนใจจากนกักั สงังั คมศาสตร์จ์จากสาขาตา่า่ งๆ แตก่ก่ ็จ็จะ
พิจิจารณาวเิเิ คราะห์ใ์ในมิติตแิแิ ละแง่ม่มุมุมทีแี่แ่ ตกตา่า่ งกันันในสงังั คมวทิทิ ยาเองถึงึงแม้จ้จะยึดึดถือือความคิดิดพืนื้น้ ฐาน
ร่ว่วมกันัน แตน่น่ กักั สงังั คมวทิทิ ยาแตล่ล่ ะกลุมุ่ม่ ก็จ็จะทำำการวเิเิ คราะห์ก์การขัดัดเกลาทางสงังั คมในประเดน็น็ ทีแี่แ่ ตกตา่า่ ง
กันันไป การทีบี่บ่ คุคุ คลเกิดิดขึนึ้น้ มาทา่า่ มกลางสงังั คม มีกีการเรียียนร้ทู้ทู ีจี่จ่ ะร้จู้จู ักักตนเอง ร้จู้จู ักักคนอ่นื่นื ๆ มีคีความ
สามารถในการปฏิสิสมัมั พันันธก์ก์ ับับคนอ่นื่นื ๆ ในสถานการณต์ต์ า่า่ งๆ ไดน้น้ ้นั้นั มนษุษุ ย์แ์แตล่ล่ ะคนจะไดส้ส้ มัมั ผัสัสกับับ
กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คมตงั้งั้ แตเ่เ่ ร่มิ่มิ เกิดิดจนกระทังั่ง่ ตาย ตามแนวคิดิดของพัทัทยา สายหู (2517 :
92-99) ชีใี้ใ้ ห้เ้เห็น็นวา่า่ กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คม มีตีตวัวั ขัดัดเกลาเปน็น็ ตวัวั สง่ง่ ผ่า่านแบบแผนทังั้ง้ หลายจน
สามารถใชร้ร้ ะบบสญัญั ลักักษณท์ท์ ีอี่อ่ งค์ก์กรน้นั้นั กำำหนด เปน็น็ ความหมายร่ว่วมตามบทบาทหนา้า้ ทีขี่ข่ องตนได้้
อย่า่างเหมาะสมถูกูกตอ้อ้ ง และสังั่ง่ สมเอาความชำำนชิชิ ำำนาญเหล่า่าน้ไี้ไี วจ้จ้ นสามารถเปน็น็ ตวัวั แทนทีจี่จ่ ะสง่ง่ ผ่า่าน
ไป สูสู่ส่ มาชกิกิ ร่นุ่นุ ตอ่อ่ ไปได  นบับั ไดว้ว้ า่า่ กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คมน้นั้นั เปน็น็ สว่ว่ นหนา้า้ ทีที่ท่ ำำให้ค้คน
เปน็น็ คนดมีมี ีคีคุณุณภาพได ้ ผู้บู้บริหิหารจึงึงไดน้น้ าำํ มาเปน็น็ กรอบแนวความคิดิดในเร่อื่อื ง ความสมัมั พันันธภ์ภ์ ายใน
ครอบครัวัว ความสมัมั พันันธก์ก์ ับับครูอูอาจารย์  ความสมัมั พันันธก์ก์ ับับเพือื่อ่ นและกลุมุ่ม่ คนในสงังั คม
9. นโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
สำำนกักั งานคณะกรรมการกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองแห่ง่งชาต ิ สำำนกักั นายกรัฐัฐมนตรี
(2544) ไดน้น้ าำํ เสนอนโยบายกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองวา่า่ เปน็น็ นโยบายของรัฐัฐบาลซึงึ่ง่ มี พันัน
26
ตาำํ รวจโท ดร.ทกักั ษณิณิ ชนินิ วตัตั ร เปน็น็ นายกรัฐัฐมนตรี เพือื่อ่ เปน็น็ การเสริมิมสร้า้างกระบวนการพึงึ่ง่ พาตนเอง
ของหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองในดา้า้ นการเรียียนร้ ู้ ู การสร้า้างและพัฒัฒนาความคิดิดริเิเร่มิ่มิ และการแก้ไ้ไข
ปญัญั หาและเสริมิมสร้า้างศกักั ยภาพทังั้ง้ ดา้า้ นเศรษฐกิจิจและสงังั คมของประชาชนในหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือือง
โดยรัฐัฐบาลจัดัดตงั้งั้ กองทนุนุ
หมูบู่บ่ า้า้ น และชมุมุ ชนเมือือง กองทนุนุ ละ 1 ล้า้านบาท พร้อ้อมเสริมิมสร้า้างและพัฒัฒนาหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือือง
ให้ม้มีขีขีดีดความสามารถ ในการจัดัดระบบบริหิหารจัดัดการเงินินกองทนุนุ หมุนุนเวยียี น ในหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ
ชนเมือืองกันันเอง
ปรัชญา
1. เสริมิมสร้า้างสำำนกึกึ ความเปน็น็ ชมุมุ ชนและทอ้อ้ งถินิ่น่
2. ชมุมุ ชนเปน็น็ ผู้กู้กำำหนดอนาคและจัดัดการหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนดว้ว้ ยคุณุณค่า่าและภูมูมิปิปญัญั ญาของตน
เอง
3. เกือื้อ้ กูลูลประโยชนต์ต์ อ่อ่ ผู้ดู้ดอ้อ้ ยโอกาสในหมูบู่บ่ า้า้ น และชมุมุ ชน
4. เชือื่อ่ มโยงกระบวนการเรียียนร้รู้รู ่ว่วมกันันระหวา่า่ งชมุมุ ชน ราชการ เอกชน และประชาสงังั คม
5. กระจายอาำํ นาจให้ท้ทอ้อ้ งถินิ่น่ และพัฒัฒนาประชาธปิปิ ไตยพืนื้น้ ฐาน
วัตถุประสงค์
1. เปน็น็ แหล่ง่งเงินินทนุนุ หมุนุนเวยียี นในหมูบู่บ่ า้า้ น และชมุมุ ชนเมือืองสำำหรับับการลงทนุนุ เพือื่อ่ การ
พัฒัฒนา
อาชพีพี สร้า้างงาน สร้า้างรายไดห้ห้ รือือเพิมิ่ม่ รายได ้ การลดรายจ่า่ายการบรรเทาเหตฉุฉุ ุกุกเฉินิน และความจาำํ
เปน็น็ เร่ง่งดว่ว่ น และสำำหรับับการนาำํ ไปสูกู่ก่ ารสร้า้างกองทนุนุ สวสัสั ดภิภิ าพทีดี่ด่ แีแี ก่ป่ประชาชนในหมูบู่บ่ า้า้ นหรือือ
ชมุมุ ชน
2. สง่ง่ เสริมิมและพัฒัฒนาหมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองให้ม้มีขีขีดีดความสามารถในการจัดัดระบบ
และบริหิหารจัดัดการเงินินทนุนุ ของตนเอง
3. เสริมสร้างกระบวนการพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมืองในการเรียนรู้ การสร้าง
และพัฒนาความคิดริเริ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างศักยภาพ และส่งเสริมเศรษฐกิจ พอเพียง
ในหมู่บ้านและชุมชนเมือง
4. กระตนุ้นุ้ เศรษฐกิจิจ ในระดบับั ฐานรากของประเทศ รวมทังั้ง้ เสริมิมสร้า้างภูมูมิคิคุมุ้ม้ กันันทาง
เศรษฐกิจิจ
และสงังั คมของประเทศในอนาคต
5. เสริมิมสร้า้างศกักั ยภาพและความเข้ม้มแข็ง็งทังั้ง้ ทางดา้า้ นเศรษฐกิจิจและสงังั คมของประชาชน
ในหมูบู่บ่ า้า้ นหรือือชมุมุ ชนเมือือง
27
หลักการจัดสรรเงิน
คณะกรรมการกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นและชมุมุ ชนเมือืองแห่ง่งชาตมิมิ ีหีหลักักการในการจัดัดสรรเงินิน ให้แ้แก่่
กองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ นหรือือชมุมุ ชนเมือือง ดงังั นี้ี้
1. ความพร้อ้อม ความสนใจ และการมีสีสว่ว่ นร่ว่วมของประชาชนในหมูบู่บ่ า้า้ นหรือือชมุมุ ชนเมือือง
2. ความพร้อ้อมของคณะกรรมการกองทนุนุ ทีเี่เ่ นน้น้ ความพร้อ้อมของบคุคุ คลทังั้ง้ ในดา้า้ นความรูู้้
และ
ประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุน
3. ความพร้อมของระบบการตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของคณะ
กรรมการกองทุนโดยสมาชิก
4. ความพร้อ้อมของการบริหิหารจัดัดการ ทีสี่ส่ อดรับับและเกือื้อ้ กูลูลกันัน ระหวา่า่ งกองทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
หรือือ
ชมุมุ ชนเมือืองกับับกองทนุนุ อ่นื่นื ๆ ทีหี่ห่ นว่ว่ ยงานราชการจัดัดตงั้งั้ ขึนึ้น้ ในหมูบู่บ่ า้า้ นหรือือชมุมุ ชนเมือือง
10. งานวิจิจยัยั ท่เี่เี ก่ยี่ยี วข้อ้อง
ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และเพ็ญ็ญแข ประจนปจัจั จนกึกึ (2528 : บทคัดัดย่อ่อ) งานวจิจิ ัยัยเร่อื่อื ง จริยิย
ธรรมของเยาวชนไทย เปน็น็ การวจิจิ ัยัยทีศี่ศ่ กึกึ ษาบอ่อ่ เกิดิดและพัฒัฒนาการทางวฒัฒั นธรรมของเยาวชนไทย
ประเภทตา่า่ งๆ ตามลักักษณะทางสงังั คม วธิธิ กีกี ารถูกูกอบรมเลียี้ย้ งด ู และศกึกึ ษาสาเหตแุแุ ละผลของพฤตกิกิ รรม
ซึงึ่ง่ แสดงความซือื่อ่ สตัตั ย์  ใชว้ว้ ธิธิ กีกี ารศกึกึ ษาภาคสนาม โดยสร้า้างเคร่อื่อื งวดัดั ลักักษณะการใชเ้เ้ หตผุผุ ลเชงิงิ จริยิย
ธรรมและลักักษณะมุงุ่ง่ อนาคตพร้อ้อมกับับไดส้ส้ อบถามภูมูมิหิหลังังตา่า่ งๆ ของผู้ตู้ตอบและวธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดู
แบบรักัก แบบควบคุมุม แบบใชเ้เ้ หตผุผุ ล แบบใชก้ก้ ารลงโทษทางกายหรือือจิติต ซึงึ่ง่ รวมแล้ว้วเปน็น็ การเลียี้ย้ งดู
แบบประชาธปิปิ ไตย แล้ว้วนาำํ คะแนนตา่า่ งๆ จากแบบสอบถามเหล่า่าน้มี้มี าวเิเิ คราะห์ค์ความแปรปรวนและ
หาความสมัมั พันันธก์ก์ ันันในลักักษณะตา่า่ งๆ สว่ว่ นการศกึกึ ษาสาเหตแุแุ ละผลของพฤตกิกิ รรมซือื่อ่ สตัตั ย์  ในสถาน
การณแ์แ์ บบยั่วั่วยุนุน้นั้นั ใชว้ว้ ธิธิ กีกี ารศกึกึ ษาในสภาพของการทดลองในห้อ้องปฏิบิบตัตั กิกิ าร ซึงึ่ง่ ผลจากการวจิจิ ัยัยทังั้ง้
ภาคสนามและการทดลองสรุปุปผลทีมี่ม่ ีลีลักักษณะเดน่น่ พบวา่า่ การอบรมเลียี้ย้ งดใูใู นครอบครัวัวมีสีสว่ว่ นเกียี่ย่ ว
ข้อ้องกับับจริยิยธรรมของบคุคุ คลเปน็น็ อย่า่างมาก และมีอีอิทิทธพิพิ ลคงทนไปถึงึงวยัยั ผู้ใู้ใหญ่ต่ตอนตน้น้ ในการวจิจิ ัยัยเชงิงิ
ทดลองพบวา่า่ ลักักษณะตา่า่ งๆ ของสถานการณ ์ เชน่น่ การตกรางวลัลั และการมีหีหรือือไม่ม่มีตีตวัวั แบบทีกี่ก่ ระทำำ
ตามทีดี่ด่ นีนี ้นั้นั มีอีอิทิทธพิพิ ลตอ่อ่ พฤตกิกิ รรมของวยัยั ร่นุ่นุ มากกวา่า่ ลักักษณะทางจริยิยธรรมในตวัวั ของเขาเองเปน็น็
อย่า่างมาก
28
ดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และคณะ (2528: บทคัดัดย่อ่อ) งานวจิจิ ัยัยเร่อื่อื งปจัจั จัยัยทางจิติตวทิทิ ยานเิเิ วศทีี่่
เกียี่ย่ วกับับอบรมเลียี้ย้ งดเูเู ดก็ก็ ของมารดาไทย เปน็น็ การวจิจิ ัยัยประเภทศกึกึ ษาปญัญั หา และวเิเิ คราะห์  สมุฐุฐาน
ของปญัญั หาน้นั้นั ในเชงิงิ ทีเี่เ่ ปน็น็ ภาวะวสิสิ ยัยั (Objective approach) ซึงึ่ง่ หมายถึงึงการกำำหนดสาเหตขุขุ องปญัญั หา
จากทฤษฎีแีและผลวจิจิ ัยัยตา่า่ งๆ ทีปี่ป่ ระมวลมาวา่า่ สาเหตเุเุ หล่า่าน้คี้คี ือืออะไรบา้า้ งที่อี่อาจปรากฎในบดิดิ า มารดา
ไทยแล้ว้วจึงึงวดัดั ลักักษณะเหล่า่าน้ ี้ ี พร้อ้อมทังั้ง้ วดัดั ปริมิมาณการใชว้ว้ ธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งด ู 5 ประการ มีลีลักักษณะทีี่่
ก่อ่อให้เ้เกิดิดผลทางคุณุณธรรมของเดก็ก็ แตกตา่า่ งกันัน และดวงเดอือื น พันันธมุมุ นาวนินิ และ เพ็ญ็ญแข ประจน
ปจัจั จนกึกึ (2524: 2) ไดศ้ศ้ กึกึ ษาความสมัมั พันันธภ์ภ์ ายในครอบครัวัวกับับสขุขุ ภาพจิติตและจริยิยธรรมของนกักั เรียียน
วยัยั ร่นุ่นุ ไทย พบวา่า่ การ อบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ มาก แบบใชเ้เ้ หตผุผุ ลมากกวา่า่ อารมณ ์ มีทีทศัศั นคติ
ทีดี่ด่ ตีตี อ่อ่ บดิดิ ามารดาและสง่ง่ ผลตอ่อ่ สขุขุ ภาพจิติตด ี และการใชเ้เ้ หตผุผุ ลเชงิงิ จริยิยธรรม
ชาญชยัยั ยมดษิษิ ฐ  (2528: บทคัดัดย่อ่อ) งานวจิจิ ัยัยเร่อื่อื งปจัจั จัยัยทีสี่ส่ ง่ง่ ผลตอ่อ่ การปฏิบิบตัตั ศิศิ ลีลี ห้า้าตาม
คำำรายงานของนกักั เรียียน ชันั้น้ มัธัธยมศกึกึ ษาตอนปลายในเขตการศกึกึ ษา 6 พบวา่า่ ตวัวั แปรทีสี่ส่ ามารถอธบิบิ าย
การปฏิบิบตัตั ติติ ามศลีลี ห้า้าของนกักั เรียียนมัธัธยมศกึกึ ษาตอนปลายในเขตการศกึกึ ษา 6 ไดอ้อ้ ย่า่างมีนีนยัยั สำำคัญัญทาง
สถิติตทิทิ ีรี่ร่ ะดบับั .01 ไดแ้แ้ ก่  ความประพฤตติติ อ่อ่ เพือื่อ่ น การอบรมเลียี้ย้ งด ู ลักักษณะของเพือื่อ่ น และความ
สมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งวดัดั กับับชมุมุ ชน
สชุชุ ริริ า บญุญุ ทนันั (2541 : บทคัดัดย่อ่อ) ไดศ้ศ้ กึกึ ษาความสมัมั พันันธร์ร์ ะหวา่า่ งปจัจั จัยัยทางดา้า้ นครอบครัวัว
กับับ จริยิยธรรมดา้า้ นความกตญัญั ญญกูกู ตเวท ี ของนกักั เรียียนชันั้น้ มัธัธยมศกึกึ ษาปทีที ีี่่ 1 ในจังังหวดัดั ขอนแก่น่น โดยใช้้
กลุมุ่ม่ ตวัวั อย่า่างจาำํ นวน 859 คน พบวา่า่ 1) ปจัจั จัยัยทางครอบครัวัวทีสี่ส่ มัมั พันันธก์ก์ ับับจริยิยธรรมดา้า้ นความกตญัญั ญญู
กตเวท ี คือือลักักษณะครอบครัวัวและอาชพีพี ผู้ปู้ปกครอง มีคีความสมัมั พันันธก์ก์ ับับจริยิยธรรมดา้า้ นความกตญัญั ญญู
กตเวทอีอี ย่า่างมีนีนยัยั สำำคัญัญทางสถิติตทิทิ ีรี่ร่ ะดบับั .01 สว่ว่ นประเภทของครอบครัวัวมีคีความสมัมั พันันธอ์อ์ ย่า่างมี นยัยั
สำำคัญัญทางสถิติตทิทิ ีรี่ร่ ะดบับั .05 2) ปจัจั จัยัยทางดา้า้ นครอบครัวัวทังั้ง้ 3 ดา้า้ น คือือ ลักักษณะการอบรมเลียี้ย้ งด ู อาชพีพี
ของผู้ปู้ปกครอง และประเภทของครอบครัวัว สามารถพยากรณจ์จ์ ริยิยธรรมดา้า้ นความกตญัญั ญญกูกู ตเวทไีไี ดท้ท้ ังั้ง้
หมด โดยปจัจั จัยัยดา้า้ นลักักษณะการเลียี้ย้ งดสูสู ามารถพยากรณจ์จ์ ริยิยธรรมดา้า้ นความกตญัญั ญญกูกู ตเวทไีไี ดด้ด้ ทีที ีสี่ส่ ดุดุ
จุฑุฑามณ ี จาบตะขบ (2542 : บทคัดัดย่อ่อ) ไดศ้ศ้ กึกึ ษาปจัจั จัยัยทีที่ท่ ำำให้ค้คนทำำดเีเี พือื่อ่ สงังั คม :
ศกึกึ ษา
เฉพาะกรณ ี บคุคุ คลทีอี่อ่ าศยัยั อยู่ใู่ในตาำํ บลกำำแพงดนินิ อาำํ เภอสามง่า่าม จังังหวดัดั พิจิจิติตร ผลการศกึกึ ษาพบวา่า่
แบบพฤตกิกิ รรมของคนดกีกี ระทำำความดเีเี พือื่อ่ สงังั คมในพืนื้น้ ทีนี่น่ ้แี้แี บง่ง่ ออกเปน็น็ ก.การกระทำำความดภีภี ายใน
ครอบครัวัว คือือ มีคีความรับับผิดิดชอบและปฏิบิบตัตั หิหิ นา้า้ ทีตี่ต่ ามบทบาทของตน ข. การกระทำำความดเีเี พือื่อ่ ชว่ว่ ย
เหลือือบคุคุ คลอ่นื่นื ซึงึ่ง่ สามารถแบง่ง่ เปน็น็ การชว่ว่ ยเหลือือหนว่ว่ ยงานราชการตามตาำํ แหนง่ง่ ทางราชการทีดี่ด่ าำํ รง
อยู่ ู่ การทำำงานชว่ว่ ยเหลือือทัวั่ว่ ไปและงานพัฒัฒนาชมุมุ ชนและการพัฒัฒนาวดัดั เพือื่อ่ สบืบื ทอดพระพุทุทธศาสนา
ปจัจั จัยัยหลักักทีที่ท่ ำำให้ค้คนทำำความดเีเี พือื่อ่ สงังั คมมีอีอยู่ ู่ 2 ปจัจั จัยัย คือือ 1) การเลียี้ย้ งดใูใู นวยัยั เดก็ก็ ซึงึ่ง่ ทกุกุ กรณศีศี กึกึ ษา
29
จะไดร้ร้ ับับการอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบรักักสนบับั สนนุนุ การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบใชเ้เ้ หตผุผุ ล การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบลง
โทษทางจิติตมากกวา่า่ ทางกาย การอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบควบคุมุมและการอบรมเลียี้ย้ งดแูแู บบให้พ้พึงึ่ง่ ตนเองเร็ว็ว
จากคนในครอบครัวัว 2) ความเชือื่อ่ ทางศาสนา ซึงึ่ง่ จะไดร้ร้ ับับการถ่า่ายทอดมาจากครอบครัวัว การไดม้ม้ ี
โอกาสบวชเรียียนในบวรพุทุทธศาสนาหรือือเข้า้าร่ว่วมกิจิจกรรมทางศาสนาอ่นื่นื ๆ อย่า่างใกล้ช้ชดิดิ ซึงึ่ง่ มีผีผลทำำให้้
เกิดิดค่า่านยิยิ ม ทศัศั นคตติติ อ่อ่ การกระทำำความด ี นอกจากน้ยี้ยี ังังพบปจัจั จัยัยสง่ง่ เสริมิมให้ก้กรณศีศี กึกึ ษากระทำำความดี
เพือื่อ่ สงังั คมอีกีก คือือ ลักักษณะของครอบครัวัวทีมี่ม่ ีกีการเห็น็นอกเห็น็นใจซึงึ่ง่ กันันและกันัน อาชพีพี ทางการเกษตร
ตาำํ แหนง่ง่ ทางราชการทีอี่อ่ ยู่ใู่ในชมุมุ ชน ประสบการณเ์เ์ รียียนร้จู้จู ากการศกึกึ ษา ฝึกึกอบรมทังั้ง้ ในและนอก
โรงเรียียนและการศกึกึ ษาตามอัธัธยาศยัยั ทำำให้ม้มีวีวสิสิ ยัยั ทศัศั นแ์แ์ ละโลกทศัศั นใ์ใ์ นการพัฒัฒนาหมูบู่บ่ า้า้ น
เรสต  คอปเปอร์  คอเดอร์  และ แอนเดอสนันั (Rest, Cooper,Coder, and Anderson 1976:
491-501) ไดท้ท้ ำำการวจิจิ ัยัยโดยใชแ้แ้ บบสอบถาม เดอะ ดไีไี พน่งิ่งิ อิชิชชสูสู ์ เทสตก์ก์ ับับนกักั เรียียนชันั้น้ มัธัธยม
ศกึกึ ษาปทีที ีี่่ 3 จาำํ นวน 73 คน พบวา่า่ หญิงิงมีพีพัฒัฒนาการทาง จริยิยธรรมสงูงู กวา่า่ ชาย
จากการศกึกึ ษาค้น้นควา้า้ วรรณกรรม แนวคิดิด ทฤษฎี เอกสารงานวจิจิ ัยัยทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้องพบวา่า่ การก่อ่อ
เกิดิด จริยิยธรรม มาจากองค์ป์ประกอบหลายดา้า้ นนบับั ตงั้งั้ แตว่ว่ ธิธิ กีกี ารอบรมเลียี้ย้ งดจูจู ากครอบครัวัวทีสี่ส่ ง่ง่ ผลตอ่อ่
พฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมของบคุคุ คลวา่า่ การการกระทำำชนดิดิ ใดดคีคี วรกระทำำ และการกระทำำชนดิดิ ใดทีไี่ไ่ ม่่
ดทีที ีคี่ค่ วรงดเวน้น้ ลักักษณะ และพฤตกิกิ รรมประเภทใดเหมาะสมหรือือไม่เ่เหมาะสมมากนอ้อ้ ยเพียียงใด การ
ทีบี่บ่ คุคุ คลแสดงพฤตกิกิ รรมทีสี่ส่ งังั คมนยิยิ มชมชอบหรือืองดเวน้น้ การแสดงพฤตกิกิ รรมทีฝี่ฝ่ ่า่าฝืนืนกฎเกณฑห์ห์ รือือ
ค่า่านยิยิ มในสงังั คมน้นั้นั ๆ พฤตกิกิ รรมเชงิงิ จริยิยธรรมเปน็น็ การกระทำำทีสี่ส่ งังั คมเห็น็นชอบและสนบับั สนนุนุ ซึงึ่ง่ มี
หลายประเภท เชน่น่ การให้ท้ทาน การเสยียี สละเพือื่อ่ สว่ว่ นรวม และการชว่ว่ ยเหลือือผู้ตู้ตกทกุกุ ข์ไ์ไดย้ย้ าก การทำำดี
ไดด้ด้ ี ทำำชัวั่ว่ ได  ชัวั่ว่ ความเชือื่อ่ มันั่น่ และยินินดทีที ีจี่จ่ ะปฏิบิบตัตั ติติ นหรือือเอาแบบอย่า่างนาำํ มาประพฤตปิปิ ฏิบิบตัตั ติติ น
ให้เ้เปน็น็ ผู้มู้มีคีความรับับผิดิดชอบ ความซือื่อ่ สตัตั ย์  ภายใตก้ก้ ารอบรมเลียี้ย้ งดทูทู ีบี่บ่ ดิดิ ามารดาดแูแู ลอย่า่างใกล้ช้ชดิดิ ให้้
ความอบอ่นุ่นุ รักักใคร่  มี เหตผุผุ ล ซึงึ่ง่ เปน็น็ เร่อื่อื งสำำคัญัญในการพัฒัฒนาบคุคุ ลิกิกภาพให้เ้เดก็ก็ ไปในทศิศิ ทางใด
ให้ม้มีคีคุณุณภาพหรือือพฤตกิกิ รรมอย่า่างไร และมีอีอิทิทธพิพิ ลคงทนไปถึงึงวยัยั ผู้ใู้ใหญ่ต่ตอนตน้น้ (ดวงเดอือื น พันันธมุมุ
นาวนินิ 2520: 4-12) ครอบครัวัวจะประกอบดว้ว้ ย กลุมุ่ม่ บคุคุ คลทีมี่ม่ ีสีสมัมั พันันธภาพ มีคีความผูกูกพันันรักักใคร่ช่ชว่ว่ ย
เหลือือเกือื้อ้ กูลูลซึงึ่ง่ กันันและกันัน เกรนเดล (Grandall) ครูอูอาจารย์  มิติตรสหาย เปน็น็ สาเหตทุทุ ีที่ท่ ำำให้เ้เกิดิดการยอม
รับับลักักษณะและกฎเกณฑท์ท์ างสงังั คม เปน็น็ หลักักในการเสริมิมแรงและความสมัมั พันันธเ์เ์ ชือื่อ่ มโยงในการเรียียน
ร้ ู้ ู พระพุทุทธศาสนาเปน็น็ วฒัฒั นธรรมทีเี่เ่ ก่า่าแก่แ่และปลูกูกฝังังและถ่า่ายทอดวฒัฒั นธรรมทางจิติตใจ ความเชือื่อ่ ใน
พระรัตัตนตรัยัย กฎแห่ง่งกรรม กฎแห่ง่งการเวยียี นวา่า่ ยตายเกิดิด การปลูกูกฝังังให้เ้เดก็ก็ มีจีจิติตใจเมตตา กรุณุณา
เอ้อื้อื เฟือื้อ้ เผื่อื่อแผ่  ไม่เ่เห็น็นแก่ต่ตวัวั ซือื่อ่ สตัตั ย์  กตญัญั ญกตเวท ี เคารพผู้ใู้ใหญ่  ร้จู้จู ักักเกรงใจและร้จู้จู ักักการปฏิบิบตัตั ติติ น
ตามคำำสังั่ง่ สอนของศาสนา (งามตา วนนินิ ทนนท  2534) จนกระทังั้ง้ สภาพแวดล้อ้อมทางสงังั คม และ
การทีบี่บ่ คุคุ คลเกิดิดขึนึ้น้ มาทา่า่ มกลางสงังั คม มีกีการเรียียนร้ทู้ทู ีจี่จ่ ะร้จู้จู ักักตนเอง ร้จู้จู ักักคนอ่นื่นื ๆ มีคีความสามารถใน
30
การปฏิสิสมัมั พันันธก์ก์ ับับคนอ่นื่นื ๆ ในสถานการณต์ต์ า่า่ งๆ ไดน้น้ ้นั้นั มนษุษุ ย์แ์แตล่ล่ ะคนจะไดส้ส้ มัมั ผัสัสกับับกระบวนการ
ขัดัดเกลาทางสงังั คมตงั้งั้ แตเ่เ่ ร่มิ่มิ เกิดิดจนกระทังั่ง่ ตาย ตามแนวคิดิดของพัทัทยา สายหู (2517 : 92-99) ชีใี้ใ้ ห้เ้เห็น็น
วา่า่ กระบวนการขัดัดเกลาทางสงังั คม มีตีตวัวั ขัดัดเกลาเปน็น็ ตวัวั สง่ง่ ผ่า่านแบบแผนทังั้ง้ หลายจนสามารถใชร้ร้ ะบบ
สญัญั ลักักษณท์ท์ ีอี่อ่ งค์ก์กรน้นั้นั กำำหนด เปน็น็ ความหมายร่ว่วมตามบทบาทหนา้า้ ทีขี่ข่ องตนไดอ้อ้ ย่า่างเหมาะสมถูกูก
ตอ้อ้ ง และสังั่ง่ สมเอาความชำำนชิชิ ำำนาญเหล่า่าน้ไี้ไี วจ้จ้ นสามารถเปน็น็ ตวัวั แทนทีจี่จ่ ะสง่ง่ ผ่า่านไปสูสู่ส่ มาชกิกิ ร่นุ่นุ ตอ่อ่
ไปได้้
จากการศกึกึ ษาแนวคิดิดทฤษฎีแีและหลักักฐานเชงิงิ ประจักักษด์ด์ งังั กล่า่าวข้า้างตน้น้ ผู้วู้วจิจิ ัยัยไดน้น้ าำํ มา
วเิเิ คราะห์แ์และสงังั เคราะห์เ์เพือื่อ่ กำำหนดตวัวั แปรและกรอบแนวความคิดิดในการศกึกึ ษาคร้งั้งั นี้ี้
บทที่ 3
วิธิธีดีดาำํ เนนินิ การวิจิจยัยั
การศกึกึ ษาวจิจิ ัยัยคร้งั้งั น้ ี้ ี เปน็น็ การวจิจิ ัยัยเชงิงิ คุณุณภาพ โดยผู้วู้วจิจิ ัยัยไดศ้ศ้ กึกึ ษาค้น้นควา้า้ จาก หนงังั สอือื งานวจิจิ ัยัย
และเอกสารตา่า่ งทีเี่เ่ กียี่ย่ วข้อ้อง มาใชเ้เ้ ปน็น็ แนวทางในการเก็บ็บรวบรวมข้อ้อมูลูลสำำหรับับการศกึกึ ษา เนน้น้ วธิธิ ี
การสงังั เกตแบบมีสีสว่ว่ นร่ว่วม (Participation Observation) การพูดูดคุยุยอย่า่างไม่เ่เปน็น็ ทางการ ให้ก้กลุมุ่ม่
ตวัวั อย่า่างเล่า่าประวตัตั ติติ นเอง และสมัมั ภาษณค์ค์ ณะกรรมการกองทนุนุ โดยใชแ้แ้ บบสมัมั ภาษณเ์เ์ ปน็น็ เคร่อื่อื งมือือ
ในการเก็บ็บรวบรวมข้อ้อมูลูลมาทำำการวเิเิ คราะห์  เสนอข้อ้อเสนอแนะ มีรีรายละเอียียดดงังั นี้ี้
การกาำํ หนดประชากรและกล่มุ่มุ ตัวัวอย่า่าง
ประชากรและกลุ่มุ่มตัวัวอย่า่าง
ประชากรทีใี่ใ่ ชศ้ศ้ กึกึ ษา เปน็น็ ผู้ใู้ใชบ้บ้ ริกิการกองทนุนุ 5 กองทนุนุ ไดแ้แ้ ก่่
1. กองทนุนุ ชมุมุ ชนเทพากรร่ว่วมใจ เขตบางพลัดัด
2. กองทนุนุ ชมุมุ ชนพัฒัฒนาซอย 79 เขตบางพลัดัด
3. กองทนุนุ ชมุมุ ชนฉัตัตรชยัยั - เสริมิมโชค เขตหนองแขม
4. กองทนุนุ ชมุมุ ชนวดัดั บางขุนุนนนท์์ เขตบางกอกนอ้อ้ ย
5. กองทนุนุ ชมุมุ ชนหมู ู่  6 บางระมาด เขตตลิงิ่ง่ ชนันั
การเลือือกกลุ่มุ่มตัวัวอย่า่าง ใชว้ว้ ธิธิ ใีใี ห้ค้คณะกรรมการกองทนุนุ เปน็น็ ผู้รู้ระบสุสุ มาชกิกิ ผู้กู้กูทู้ท้ ีเี่เ่ ปน็น็ ลูกูกหน้ ี้ ี
ชันั้น้ ดกีกี องทนุนุ ละ 2 คน
31
ขนาดของกลุ่มุ่มตัวัวอย่า่าง ใชก้ก้ ลุมุ่ม่ ตวัวั อย่า่างทีเี่เ่ ปน็น็ สมาชกิกิ ผู้ใู้ใชบ้บ้ ริกิการกองทนุนุ 5 กองทนุนุ กองทนุนุ
ละ 2 คน รวม 10 คน
เคร่อื่อื งมอือื ท่ใี่ใี ช้ใ้ในการวิจิจยัยั
การศกึกึ ษาคร้งั้งั น้ ี้ ี ผู้วู้วจิจิ ัยัยจะใชว้ว้ ธิธิ สีสี มัมั ภาษณแ์แ์ บบเชงิงิ ลึกึก (In-depth interview) โดยทำำความ
คุนุ้น้ เคยกับับกลุมุ่ม่ ตวัวั อย่า่าง เพือื่อ่ ให้ก้กลุมุ่ม่ ตวัวั อย่า่างไดเ้เ้ ล่า่าถึงึงประวตัตั ชิชิ วีวี ติติ ของตนเอง (Life history) พร้อ้อมทังั้ง้
สงังั เกตพฤตกิกิ รรมในระหวา่า่ งการสนทนา
แนวทางการสมัมั ภาษณ์  (Interview Guide)
ลักักษณะของแบบสมัมั ภาษณ ์ มีแีแนวคำำถามดงังั นี้ี้
1. ประวตัตั ชิชิ วีวี ติติ
- ภูมูมิหิหลังังของบดิดิ ามารดา
- ชวีวี ติติ ในวยัยั เดก็ก็
- ชวีวี ติติ ในวยัยั เรียียน
- ชวีวี ติติ ในวยัยั ทำำงาน
- การดาำํ รงชวีวี ติติ ในปจัจั จุบุบนันั
2. ความสมัมั พันันธแ์แ์ ละบรรยากาศภายในครอบครัวัว
3. ความคิดิดเห็น็นเกียี่ย่ วกับับหลักักธรรมในศาสนา การพูดูดคุยุยกับับพระและการปฏิบิบตัตั ิ
ตามหลักักธรรม
4. ความประทบับั ใจเกียี่ย่ วกับับครู
5. สภาพแวดล้อ้อมทางสงังั คม
5.1 วถิถิ ีชีชวีวี ติติ ชมุมุ ชน
5.2 เศรษฐกิจิจชมุมุ ชน
5.3 การเลือือกคบเพือื่อ่ น
6. ระเบยียี บกองทนุนุ และการบริหิหารจัดัดการกองทนุนุ
7. พฤตกิกิ รรมในการรับับข่า่าวสาร
การเก็บ็บรวบรวมข้อ้อมลูลู
32
ข้นั้นั ที่ี่1 สร้า้างความคุนุ้น้ เคยกับับชมุมุ ชน คณะกรรมการกองทนุนุ สมาชกิกิ กองทนุนุ ตลอดจน
ประชาชนในชมุมุ ชน พูดูดคุยุยอย่า่างไม่เ่เปน็น็ ทางการ และทำำการจดบนันั ทกึกึ
ข้นั้นั ที่ี่2 สงังั เกตแบบไม่เ่เปน็น็ ทางการ โดยการเข้า้าไปเยี่ยี่ยมเยียียนในชมุมุ ชน และสงังั เกตในสว่ว่ นทีี่่
เปน็น็ ตวัวั แปรตน้น้ และเก็บ็บข้อ้อมูลูลดว้ว้ ยวธิธิ กีกี ารจดบนันั ทกึกึ ภายนอก
ข้นั้นั ที่ี่3 พูดูดคุยุยกับับกลุมุ่ม่ ตวัวั อย่า่าง ตามแนวการสมัมั ภาษณแ์แ์ ล้ว้วจดบนันั ทกึกึ ข้อ้อมูลูลภายหลังัง
ระยะเวลาในการเก็บ็บข้อ้อมลูลู
ระหวา่า่ ง เดอือื นมกราคม 2545 ถึงึง เดอือื นมิถิถุนุนายน 2546 ซึงึ่ง่ เปน็น็ ระยะเวลาทีกี่ก่ องทนุนุ หมูบู่บ่ า้า้ น
ดาำํ เนนินิ การขันั้น้ ตน้น้ จนกระทังั้ง้ ให้ส้สมาชกิกิ กองทนุนุ กูยู้ย้ ืมืมเงินินจากกองทนุนุ และชำำระค่า่าผ่อ่อนสง่ง่ เปน็น็ งวด
สดุดุ ทา้า้ ย

การก่อเกิดจริยธรรมกรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ตอนที่ 1)
การก่อเกิดจริยธรรมกรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ตอนที่ 2)
การก่อเกิดจริยธรรมกรณีศึกษาสมาชิกผู้ใช้ประโยชน์จากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ตอนที่ 3)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น